แต่ถ้า"ไม่ละความเพียร"อย่างต่อเนื่อง
"ใจ" ก็จะค่อย ๆ ปลง ปล่อยวาง ความหลง ยึดมั่น ถือมั่น ไปทีละน้อย ๆ ๆ ๆ..... จนหมดสิ้น
แล้วก็จะสิ้นสงสัย แจ้งประจักษ์แก่ใจโดยไม่ต้องถามใครอีกต่อไป
สาธุ... ให้มีศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา และ ขันติ ในการ รู้ เห็น สัจธรรมความจริง เช่นนั้นแหละ! อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ถึงแม้ในช่วงที่สัจธรรมยังไม่รู้แจ้งถึงใจจริง ๆ
โดยยังเป็นแค่"ความรู้สึกอันเกิดจากความคิดเอา"
< ความเป็นอนัตตาของขันธ์ ๕ >
● รูปขันธ์หรือสังขารร่างกาย เกิดแต่เหตุอันคือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน
》รูปไม่ใช่อัตตา (คือเป็นอนัตตา) เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในรูปได้เลยว่า เจ้าจงอย่าเสื่อม เจ้าจงอย่าแก่ เจ้าจงอย่าเจ็บ เจ้าจงอย่าตายเลย ฯ. ขอเจ้าจงมีรูปอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว หรือเจ้าจงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคตเถิด ขอรูปในปัจจุบันจงเป็นอย่างนี้เถิด จึงย่อมไม่ได้ตามใจปรารถนานั้น จึงไม่ใช่อัตตาของตัวของตนแท้จริง
● เวทนา เป็นสังขาร เกิดแต่เหตุปัจจัยอันมี...
อายตนะภายนอก + อายตนะภายใน + วิญญาณ๖ >> ผัสสะ >> สัญญา >> เวทนา
》เวทนาไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในเวทนาได้ว่า เจ้าจงเป็นสุข เจ้าจงอย่าทุกข์ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงย่อมไม่เป็นไปตามปรารถนาในเวทนาเหล่านั้น
● สัญญา เป็นสังขาร เกิดแต่สมอง(หทัยวัตถุ)อันเป็นส่วนหนึ่งของสังขารร่างกาย และการผัสสะต่างๆอันเกิดแต่อดีต ฯ.
》สัญญาไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในสัญญาได้ว่า เจ้าจงจำได้หมายรู้แต่สุข เจ้าจงอย่าได้จำอย่าได้หมายรู้ในทุกข์เหล่านี้เลย, ที่อยากจะจำกลับลืม ที่อยากจะลืมกลับจำ จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงย่อมไม่ได้ตามใจปรารถนาในสัญญานั้น
● สังขารขันธ์ เป็นสังขารปรุงแต่ง ล้วนเกิดการกระทำต่างๆขึ้นได้ก็มาแต่เหตุปัจจัยของขันธ์อีกทั้ง ๔ จึงเกิดการกระทำต่างๆได้
》สังขารขันธ์ไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในสังขารขันธ์ได้ว่า เจ้าจงอย่ากระทำดังนี้เลย เจ้าจงกระทำดังนี้เถิด (เช่นความคิดผุดขึ้นเองโดยที่เราไม่ได้สั่ง) จึงย่อมไม่ได้ตามปรารถนาในสังขารขันธ์เหล่านั้น
● วิญญาณ เป็นสังขาร เกิดแต่เหตุปัจจัยของ การกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายใน ของผู้มีชีวิตเป็นธรรมดา หรือตถตา
》วิญญาณไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในวิญญาณได้เลยว่า เจ้าจงเกิดขึ้นเลย เจ้าจงอย่าได้เกิดขึ้นเลย (เช่นเวลาเราดูทีวี เราสั่งให้ตาเห็นอย่างเดียวไม่ได้ โดยไม่ให้ได้ยินเสียงเป็นต้น) แต่เกิดดับตามเหตุปัจจัย จึงย่อมไม่ได้ตามปรารถนาในวิญญาณเหล่านั้น
อดีตคืออะไร..? คือ ผู้รู้ที่ล่วงไปแล้ว
อนาคต คือ ผู้รู้ที่ยังไม่มาถึง
ปัจจุบันคือผู้รู้ที่กำลังเป็นอยู่
ผู้รู้ทั้ง 3 กาลนี้ ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล
เกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนและแตกสลายไป
สัตว์ทั้งหลายมายึดถือเอาเป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์เป็นบุคคล
ทีนี้วิญญาณปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย
จึงมาข้องอยู่ในภพทั้งหลาย
เหตุฉะนั้นผู้รู้ของพระอรหันต์จึงไม่มีพิษ
เพราะไม่เป็นเปรตรักษาผู้รู้อยู่
เพราะผู้รู้ไม่มีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของ
เมื่อผู้รู้ไม่มีผู้ยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ผู้รู้ก็เป็นโมฆะไป
ส่งคืน “จาโค ปฏินิสสัคโค มุตติ อนาลโย”
ผู้รู้ก็ส่งคืนตามผู้รู้เสียไม่มีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของ
กายก็ส่งคืนให้กาย ใจก็ส่งคืนให้ใจ รูปก็ส่งคืนให้รูป
เวทนาก็ส่งคืนให้เวทนา สัญญาก็ส่งคืนให้สัญญา
สังขารก็ส่งคืนให้สังขาร วิญญาณก็ส่งคืนให้วิญญาณ
สมมุติก็ส่งคืนให้สมมุติ วิมุตติก็ส่งคืนให้วิมุตติ
ไม่มีใครไปยึดถือ สิ่งที่เป็นสูญ ๆ ก็ส่งให้สิ่งที่เป็นสูญ ๆ
สิ่งที่ไม่สูญก็ส่งให้สิ่งที่ไม่สูญ
ไม่มีใครไปสอดแทรกเอาสูญมาเป็นตน ตนเป็นสูญด้วย
ไม่มีใครไปสอดแทรกเอาสิ่งที่ไม่สูญมาเป็นตน ตนเป็นไม่สูญด้วย ปัญหาทั้งหลายก็จบกันไป
***************
องค์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ที่มาจากไฟล์เสียง "ผู้รู้อยู่ใต้อนิจจัง"
ระหว่างนาทีที่ 7.19-8.58
แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญ แบบ หลวงปู่โต
“ข้าพเจ้า ขออุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลนี้ ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง 20 ชั้น พรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ
ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงโมทนาในส่วนกุศลนี้
พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า
จะพึงได้รับ ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ”
สัมมาสัมพุทธะ หมายถึงพระพุทธเจ้าพระองค์แรกจนถึง
องค์สุดท้าย
หมายถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ทรงตรัสรู้ไปแล้ว
ตั้งแต่องค์ปฐมจนถึงองค์ปัจจุบันวันนี้
ซึ่งการที่เราท่องว่าสัมมาสัมพุทธะ...ปัจฉิมาสัมพุทธะ /
สัมมาสัมพุทธะ...ปัจฉิมาสัมพุทธะ
หมายถึงการที่เราน้อมพลัง จากองค์พระพุทธเจ้า
พระองค์แรกจนถึงองค์ปัจจุบันนี้
เข้าสู่ตัว สู่ตน สู่จิต สู่ใจ สู่กายของเรา เราก็ชาร์จพลัง
น้อม"พลังมหาจักรพรรดิ" ที่เย็น สบาย เข้ามาสู่ตน
แล้วก็ท่องไปเรื่อย ๆ
สัมมา สัมพุทธะ ...ปัจฉิมา สัมพุทธะ
สัมมา สัมพุทธะ...ปัจฉิมา สัมพุทธะ
สัมมา สัมพุทธะ...ปัจฉิมา สัมพุทธะ น้อม...พลัง เข้าสู่ตน
ซึ่งการบริกรรมหนึ่งครั้ง ก็เท่ากับเราได้เติมพลังบารมี...
ที่น้อมเข้ามาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์
ท่าน เข้าสู่ตัวของเรา 1 แต้ม
สัมมา สัมพุทธะ ...ปัจฉิมา สัมพุทธะ
น้อม...พลังเย็น เข้ามาเติมไว้ในศูนย์กลางกายของเรา
หรืออาจจะเติมตรงไหนก็ได้ ในส่วนใดส่วนหนึ่งที่เรารู้สึก
ว่ามันหนัก มันเจ็บมันปวด มันยังไม่ว่าง เราก็สามารถเติม
ได้ สัมมา สัมพุทธะ...ปัจฉิมา สัมพุทธะ
สัมมา สัมพุทธะ...ปัจฉิมา สัมพุทธะ น้อม.พลังอย่างนี้ไป
ชาร์จ...พลังอย่างนี้ไป จนกว่ากายจะเบา สบาย โล่ง ๆ
ว่าง ๆ ลอย อยู่กลางอากาศ
เราจะปล่อยให้ความรู้สึกตรงนี้ดับไปเลยก็ได้ หรือว่าเรา
นั้นจะอธิษฐานท่องโลกธาตุ พิสูจน์กฎแห่งกรรม พิสูจน์
ภพชาติ พิจารณาการเวียนว่ายตายเกิด ให้เกิดความรู้
แจ้ง เห็นตามความเป็นจริง เกิดความเบื่อหน่าย ใน
วัฏสงสารนี้ ด้วยการ เห็นการเกิด การตาย ก็สุดแล้วแต่
ตัวของเราจะปรารถนา
ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ปล่อยจิต ปล่อยใจ ของตน
ให้ว่าง และเป็นอิสระ ตามที่ตนปรารถนาเลยนะจ๊ะ
ทีนี้เมื่อเราได้รู้แจ้ง พิจารณาเช่นนี้แล้ว
เราก็จะรู้ว่า”จิต คือ จิต”...” กาย คือ กาย”
ทีนี้ เราก็ทิ้งร่างกายไป ไม่ต้องไปสนใจเขา
เรากลับมาดูที่ “ ความนิ่งเฉย ดูที่จิต...เป็นจิต “
แล้วให้นึกขึ้นมาอย่างนี้ว่า “ แสงสว่าง” หาแสงสว่างให้
เจอ แสงสว่าง สว่างไสว แสงสว่าง ๆ ๆ ๆ
ดวงแก้วอันสว่างไสว บริสุทธิ์ผุดผ่อง สว่างไสว เปล่ง
ประกายเป็นแสงสีทอง สีเขียว ชุ่มเย็น
กลายเป็นสีฟ้า แล้วก็กลายเป็นสีฟ้าใส แล้วก็กลายเป็น
ดวงแก้วใหญ่ๆ คลุม"กายภายใน"ของเราไว้
ซึ่งเราจะมีความรู้สึกว่า “มีเราที่เป็นเรา” ...”อีกคนหนึ่ง”
นั่งอยู่ในดวงแก้วสว่างไสว แล้วดวงแก้วนั้นก็พาให้เรา
ลอยขึ้นไป สูงขึ้นไป ออกไปนอกโลก ออกไปนอก
วัฏสงสาร ลอยขึ้นไป แล้วก็"แตกดับสลาย"จากความเป็น
ลูกแก้ว เป็นกายภายในนั้น
เหลือเพียง"อากาศธาตุ"...ไม่มีตัวตน ทุกอย่างว่างเปล่า
แล้วไปโผล่อีกทีหนึ่ง ที่หน้าองค์พระพุทธรูปแก้ว เป็น
ล้านพระองค์ ประทับอยู่ในเมืองแก้วเมืองนิพพาน มีองค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งประทับเรียงกัน
ตามลำดับการตรัสรู้ของแต่ละพระองค์ สูงจากทางด้าน
บนลงมา มองขึ้นไปสุดลูกหูลูกตา เห็นนั่งประทับเรียงอยู่
บนบัลลังก์ ศักดิ์สูง-ต่ำลงมาเรื่อยๆตามลำดับ
เห็นพระอรหันต์สาวกพระองค์ท่าน ก็ทรงประทับอยู่บน
บัลลังก์แก้ว อยู่ตรงด้านหน้าของเรา
เห็นองค์พระพุทธเจ้าองค์ องค์ใหญ่ สูง..เท่ากันกับ
ประมาณภูเขาลูกหนึ่ง หรือความสูงยาวซักประมาณ 40
ถึง 60 เมตร ตระหง่านสวยงามสว่างไสว เป็นพระพุทธรูป
ปางเปิดโลก “มหาจักรพรรดิเปิดโลก” สว่างไสว
ซึ่งเป็นพระพุทธรูป ที่รวมพลังมาจากองค์พระสัมมา
สัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า ทุก
พระองค์ และองค์พระอรหันต์เจ้า ทุกพระองค์ รวมพลัง
กันไว้ในพระพุทธรูปแก้ว พระองค์นั้น
เราก็เป็นกายที่สว่างไสว นั่งอยู่ทางด้านหน้า ต่ำลงมา
เป็นที่นั่งของดวงจิตผู้บำเพ็ญทั้งหลาย ส่วนทางด้านหน้า
ฝั่งตรงกันข้ามกับเรา แล้วสูงขึ้นไป เป็นที่ประทับของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพระพุทธเจ้า
และองค์พระอรหันต์เจ้า ทั้งนั้น
เราก็มองเห็นองค์พระพุทธรูปอยู่ช่วงกลางระหว่าง
พระพุทธเจ้ากับเรา ซึ่งมองเห็นฉัพพรรณรังสีอันเย็นสว่าง
จากทุกพระองค์ ส่งกำลังลงมาที่พระพุทธรูปแก้ว
“พระพุทธเจ้าพลังจักรพรรดิเปิดโลก” พระองค์ท่าน
นั้น เมื่อเราเห็นเช่นนี้แล้ว เราก็เอาความรู้สึก "ความรู้สึก
ของกายภายใน" ที่ไปนั่งอยู่ตรงนั้น ก้มกราบด้วยความ
รู้สึกและเราก็ยังคงนั่ง ชาร์จพลังต่อไปในที่แห่งนั้น ด้วย
แสงสว่าง สว่างไสว เราก็น้อมพลัง ชาร์จพลัง
สัมมา สัมพุทธะ...ปัจฉิมา สัมพุทธะ น้อม...พลัง เข้าสู่ตัว
ของเรา
สัมมา สัมพุทธะ...ปัจฉิมา สัมพุทธะ น้อมพลัง...เข้าสู่ตัว
ของเรา
สัมมา สัมพุทธะ...ปัจฉิมา สัมพุทธะ น้อมพลัง...เข้าสู่ตัว
ของเรา
ทีนี้ เราก็ดูไป "วิญญาณ"คือสิ่งที่เป็นขันธ์ กองที่ 5
ของขันธ์ 5
คือ “การรับรู้” ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกเข้าสู่ภายใน
โดยผ่าน หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ
เราก็แค่”เห็นเป็นธรรมดา” ว่ามันทำงานตามหน้าที่
ตามระบบของมันอย่างนั้น
“กาย” นี้ จึงเป็นแค่ รูป เวทนา สัญญา สังขารและ
วิญญาณ
“จิตของเรา” คือผู้ที่รู้อยู่ในตอนนี้ ดูอยู่ในตอนนี้
เห็นอยู่ในตอนนี้ และเป็นผู้สักแต่ว่าเห็น
ไม่น้อมเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมา “เป็นตัวเรา เป็น
ของของเรา”
“สิ่งทั้งหลายที่ผ่านไปแล้ว” ก็จบไปแล้วไม่มีอยู่จริง
แม้”สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น”ก็ตาม ก็”เป็นเพียงแค่สิ่ง
สมมุติเกิดขึ้นเท่านั้น ล้วนแล้วแต่ไม่มีอยู่จริง”
ไม่ใช่ตัวใช่ตน ใช่เรา ใช่ของเรา
จิตของเราเป็นเพียง
" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน.....ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ "
ฉะนั้น ไม่ควรน้อมเอาสัญญา หรือความจำเรื่องนั้นเรื่องนี้
ทั้งดีทั้งไม่ดีมาเป็นเราเป็นตัวตนของเรา
ควรที่จะปล่อยให้สัญญานั้น “เขาเป็นเขา”... “เราเป็น
เรา” ไม่น้อมเอามาใส่ตน
ทำจิตว่างๆ เห็นสักแต่ว่าเห็น ไม่ยึดไม่น้อมมาเป็น
ตัวเป็นตน
ทีนี้เมื่อ ตัวสัญญาเขาส่งข้อมูลต่างๆมาให้ดู ให้รู้ ให้เห็น
แต่ตัวของเรา ทำตัวว่างๆ ทำใจว่างๆ หมายถึงจิต
เมื่อจิตทำว่าง ๆ ทีนี้ ตัว”สังขารคือการปรุงแต่ง” ก็ไม่
สามารถทำงานอะไรหรือปรุงแต่งอะไรต่อไปได้
เพราะไม่รับข้อมูลจากสัญญามาทำงาน หรือ
ถ้า"ตัวสังขาร"มันปรุงแต่งของมันไปเอง"
เดี๋ยวก็แวะไปคิดเรื่องนั้น เดี๋ยวก็แวะไปคิดเรื่องนี้ เราก็
แค่”รู้ให้ทัน”ว่านั่นคือการทำงานของตัวสังขาร
ซึ่งมันมีอยู่ในกายเป็นปรกติ แต่จิตของเราคือ ผู้รู้ ผู้ดู
อยู่ เห็นอยู่...สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าดู
“รู้เท่าทัน.การทำงานของสังขาร” คือความคิด
คิด...ปรุงแต่งต่างๆทั้งหลาย
เราก็แค่มองเห็นว่า สังขารไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่
เที่ยง สังขารเป็นเพียงแค่ขันธ์กองหนึ่ง
ที่ทำงานอยู่ในขันธ์ 5 จึงไม่ใช่เรา ใช่ตัว ใช่ตนของเรา
ทีนี้ อาจจะมีเรื่องราวเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผุดขึ้นมา ทั้งที่
เราไม่ได้คิดไปเรื่องนั้น แต่เรื่องนั้นก็ผุดขึ้นมา โผล่ขึ้นมา
ไม่ได้คิดไปในเรื่องนู้น เรื่องนู้นก็โผล่ขึ้นมา
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นโผล่ขึ้น เกิดขึ้นจาก*ตัวสัญญา*
คือ”ความจำ ความจำได้หมายรู้”
ตัวสัญญาของเราจดจำเรื่องราวต่างๆเอาไว้
เมื่อ”จิตของเรานิ่ง เฝ้าดูการทำงานของขันธ์ 5 “
เราก็จะมองเห็นว่า ข้อมูลต่างๆที่เก็บเอาไว้ในตัวสัญญา
เขาเริ่มออกมาทำงาน เรื่องนั้นก็จะเกิดขึ้นมา เรื่องนี้ก็จะ
เกิดขึ้นมา ผุดขึ้นมา ในกล่องความจำของเรา
จะค่อย ๆ เปิด ปล่อยข้อมูลต่างๆไหลออกมา รบกวนการ
ประพฤติปฏิบัติของเรา
ทีนี้ *จิต*ของเรา ผู้ซึ่ง”เฝ้าดูอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่” ในการ
ปล่อยข้อมูล ของตัวสัญญานั้น
ก็แค่”สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้ เห็นเป็นธรรมดา” ว่า
สัญญาเขาปล่อยข้อมูลออกจากที่เก็บข้อมูลของเขา
เห็นเป็นธรรมดา ไม่เคลิ้มตาม ไม่ฟุ้งซ่านตาม ไม่ดึง
มาเป็นเรา เป็นตัว เป็นตนของเรา
ยังคง รักษา*จิต*ไว้ ให้นิ่งเฉยอยู่
สัญญาไม่ใช่ตัวตน...สัญญาเป็นของที่มีอยู่ในขันธ์ 5
ประกอบขึ้นเพื่อให้ขันธ์ 5 นี้ ทำงานเป็นปกติ
แต่...เขา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่"ตัวตน"ของเรา
รูป-กาย นี้ พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า เป็นกายแห่งขันธ์ 5
รูป ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ใช่ของของเรา
ความรู้สึก คือ เวทนา เวทนาจะสุขจะทุกข์ จะรู้สึกร้อน
หนาว เจ็บปวด
รู้สึกเป็นแบบไหนก็ตาม ก็ไม่ใช่ตัว ใช่ตนของเรา
เวทนา คือขันธ์กองหนึ่งที่อยู่ในขันธ์ 5 เวทนาคือความ
รู้สึกสุขทุกข์ ที่เขามีอยู่แล้ว ในร่างกายนี้เป็นธรรมดา
เวทนาไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่เราใช่ของของเรา
รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาก็ไม่ใช่ตัวตน
ปล่อยวางทั้งร่างกาย ปล่อยวางทั้ง"ความรู้สึกสุข
ทุกข์" ต่าง ๆ ปล่อยจิต ปล่อยใจ ปล่อยกายให้ว่าง ๆ
ไม่ยึดติดในรูป ไม่ยึดติดในเวทนา
ไม่ดึงรูป...มาเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
ไม่ดึงเวทนา...มาเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
หายใจเข้า "นิ่งเฉย" หายใจออกก็"นิ่งเฉย"
เอา***ความรู้สึก*** ของเรา เฉย ๆ ว่าง ๆ เบา ๆ สบาย ๆ
ไม่ไปปรุงแต่งตามความรู้สึกภายนอก
ไม่น้อมเอาเข้ามา *เป็นตัวเป็นตน เป็นของของตน*
ใจของเรา ก็จะว่างๆ กายของเราก็จะเบา ๆ สบาย ๆ
ผู้ที่ยังลังเล สงสัย ในการปฏิบัติกรรมฐาน เพราะธรรมะมีมากมาย ปฏิบัติไม่ได้..ปฏิบัติไม่ถูก..นับเป็นบุญของท่านแล้ว
บัดนี้...พระธรรมิกราชพุทธเจ้าน้อย ผู้เป็นราชาแห่งธรรม
ได้แสดงแก่นธรรม ที่ควบคุมไปด้วยหนทาง
ที่จะนำพาดวงจิตทั้งหลายให้หลุดพ้น
โดยย่อลงมาเหลือเพียงแค่ธรรมะตอนเดียว
ธรรมะกัณฑ์เดียวที่เทศน์ไปนั้น แต่สามารถครอบจักรวาล
และนำพาดวงจิตทั้งหลาย ให้เห็นแจ้ง เห็นนิพพาน.
(ราชาแห่งกรรมฐาน - กรรมฐานสู่พระนิพพาน)
............................................
ปล่อยจิต ปล่อยใจว่าง ๆ หลับตาเบา ๆ ไม่ต้องฝืนต่อ
ร่างกาย ไม่ต้องฝืนต่อจิตใจ
ทำจิตทำใจให้ว่างๆ เหมือนว่าเราแค่กำลังจะพักผ่อน
วางมือทั้งสองข้างเอาไว้ที่หัวเข่า
หงายฝ่ามือขึ้น คล้ายคลึงกันกับว่าเรา กำลังจะใช้มือของ
เรานั้น รับพลังงาน
หายใจเข้าว่าง ๆ หายใจออกว่าง ๆ ปล่อยตัวปล่อยตน
ปล่อยความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น ในตัวในตนทิ้งไป
ให้เหลือเพียงแต่ความโล่ง โล่ง โปร่ง โปร่ง
ญาติธรรมทั้งหลาย...
997. ใจหยาบ- ลมหายใจหยาบ
เมื่อใดใจหยาบ ลมหายใจก็หยาบ
เมื่อใดใจละเอียด ลมหายใจก็ละเอียด
เมื่อใดใจร้อน ลมหายใจย่อมร้อน
เมื่อใดใจเมตตา ลมหายใจย่อมเย็น
ลมหายใจให้สิ้นสุดตรง "ศูนย์กลางกาย" เลยปอดเข้าไป เหนือสะดือ ลมหายใจ จะหายเข้าไปในใจ เพราะใจอยู่ ตรงศูนย์กลางกาย
วางใจ...ไว้ที่สุดลมหายใจ ตรงที่ตั้งแห่งใจ
ไม่ต้องสนใจกับลมหายใจต่อไป
ทำใจเฉยๆ สบายๆ
ลมหยาบ ค่อยๆเป็นละเอียด
ทั้งที่หายใจ เหมือนไม่มีลมหายใจ
พอใจละเอียด ลมละเอียด
ทุกส่วนของร่างกาย จะหายใจเอง
ลมของเรา หลอมรวมกับลมของจักรวาล
ประสานกับวิญญาณ จนลมนิ่ง ลมหยุด
นั่นคือ ใจหยุด ใจที่ปราศจากนิวรณ์
นิวรณ์เครื่องกั้น ความสว่างของจิต
เมื่อใจหยุด จึงเห็นความสว่างภายใน เรียกว่า “อธิจิต”
ภาวนาเราต้องใช้ปัญญาควบคุมจิตใจของเรา
ให้มี"จิต"...ได้ทบทวนตรวจค้น..."ความรู้สึก"
สำนึกในจิตของเราอยู่เสมอ
ไม่ให้มันล่วงเลยไปตามอารมณ์ คือไม่ตามใจ
โดยมาก คนเราไม่มีภาวนา ก็คือ "ตามอารมณ์"
"คิด"ตามอารมณ์..."พูด"ตามอารมณ์... "ทำ"ตามอารมณ์ ..."แล้วแต่อารมณ์เป็น"
การภาวนา...จึงเป็นการควบคุมไม่ให้จิตของเราตามอารมณ์
เหมือนกันกับสำลีหรือนุ่นที่เป็นของเบา ก็ต้องมีอะไรครอบไว้ รักษาไว้ ลมพัดมามันจึงจะไม่ไปตามลม
จิตของเราก็เหมือนกัน เราก็ต้องควบคุมด้วยการภาวนา ตรวจค้นจิตของเรา
จึงเรียกว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาในตน ทบทวนเข้ามา
หาจิตของเรา "ความรู้สึก"..."นึกตรวจค้น" อยู่เสมอ
"ทบทวนจิต" ของเรา ให้รู้ผิด...รู้ถูก รู้ดี...รู้ชั่ว ของจิต
มโนธาตุ โพธิญาณ
" ผู้เจริญวิปัสสนา ทั้งหลาย
เมื่ออายตนะภายใน และภายนอกมากระทบกันเข้า
มีความรู้สึก เกิดขึ้น
ย่อม พิจารณาเป็นไตรลักษณญาณอย่างนี้ทุกขณะ
ไม่ว่า อิริยาบถใด ๆ ทั้งหมด
ถ้าพิจารณาจนชำนิ ชำนาญแล้ว
มันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ของมันเอง
มีความรู้เท่าตลอดเวลา
จนเห็นว่าอารมณ์ทั้งปวง สักแต่ว่าอารมณ์
เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ดับไป...ดับไป
ตามสภาพของมัน."
____________________________________________
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง)
" ผู้ปฏิบัติ เพื่อกำจัดอวิชชาให้สิ้นไป
จำต้องยึดอริยสัจ ๔ หรือสติปัฏฐาน ๔
อันเป็นที่รวมวิชชาแห่งทางดำเนิน
ท่านเองว่า...
เมื่อจิต ก้าวขึ้นสู่ความว่างเปล่าจากรูปธรรม
ทั้งหลายแล้ว
ก็มีแต่ตามติดสังขารความปรุงของใจ
กับ วิญญาณที่สัมผัสรับรู้จากสิ่งต่าง ๆ
และ เวทนาจิตที่ส่งผล ให้ปรากฏจากการปรุง
การรับรู้ทางวิญญาณ
ด้วยสติกับปัญญา ที่มีอยู่ในที่แห่งเดียวกัน เท่านั้น
เพราะสังขาร ก็ปรุงจากจิต
วิญญาณ ก็รับทราบจากจิต
ต่างก็ดับลงที่จิต
เมื่อสติตามทัน ปัญญาค้นพบสาเหตุ
และวิพากษ์คลี่คลายทันกับเหตุการณ์ สิ่งเหล่านั้น ย่อมกำเริบรุนเเรงไปไม่ได้
การตามรู้สังขาร วิญญาณว่า
ปรุงเรื่องอะไร
รับทราบเรื่องอะไร
เพียงเท่านั้นยังไม่สากับใจ ที่มีสติปัญญาอัตโนมัติ
เป็นพี่เลี้ยงอยู่...ตลอดเวลา ไม่เผลอตัว
ยังสามารถขุดค้นลงถึงต้นตอ ที่เกิดแห่งสังขาร
และวิญญาณอีกว่า เกิดมาจากที่ไหน
อะไรเป็นเครื่องผลักดันให้เกิดอยู่ไม่หยุด ไม่ถอย
ตัวผลักดันนี้ คือตัวอวิชชาแท้
การพิจารณาอวิชชา
เพื่อถอนรากถอนโคนจริง ๆ จึงอยู่ที่ตรงนี้
ขุดค้นลงที่ใจอันเป็นเรือนรัง ของอวิชชาฝังจม
อยู่นั่นแล
จึงเห็นตัวอวิชชาแตกกระจายสลายตัวลง
ในขณะที่มหาสติ มหาปัญญาเข้าถึงตัว
นี้คือ การพิจารณาอวิชชาแท้
และ คือวิธีการถอดถอนอวิชชา ออกจากใจ
ตามทางมรรค ทางผล ที่พระบรมศาสดาทรง
สั่งสอนไว้แท้."
__________________________________________
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่มา : จากหนังสือปฏิปทา
พระธุดงคกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
โดย องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
ท่านจงตั้งใจฟัง !!
จงอย่ายึดมั่น อย่าเพลิดเพลิน ใน "สิ่งที่ได้พบเห็นใดๆ ทั้งสิ้นในโลกนี้"
จงดับ"อารมณ์...ความครุ่นคิด" ทั้งหลาย ให้หมดสิ้น
ทำใจให้ผ่องแผ้ว นั่นแล
ท่านจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางทุกประการ
หลวงพ่อกัสสปะมุณี
ความอยากของเรา กีดกั้นเราจากมรรคผลนิพพาน
หลวงพ่อปราโมทย์ : จริงๆมรรคผลนิพพานไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ นิพพานไม่เคยหายไปไหนสักวันเดียวเลย นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตาเรามาแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้อยู่ไกลเลยนะ อยู่ต่อหน้าต่อตานี่เอง แต่เราไม่เห็น
นิพพานคือความไม่ปรุงแต่ง นิพพานมีชื่ออันหนึ่งว่า “วิสังขาร” นิพพานมีชื่ออันหนึ่งว่า “วิราคะ” ไม่มีความอยาก
"ใจ" ของเรามันมี"ความอยาก" อยากปฏิบัติธรรม อยากดี อยากโน่นอยากนี่ขึ้นมา
พอมันมีความอยากขึ้นมา มันก็"ปรุง" คนชั่วก็ปรุงชั่ว คนดีก็"ปรุงดี" นักปฏิบัติก็ปรุงดีขึ้นมา คอยควบคุมกายคอยควบคุมใจ หาทางทำอย่างนั้นหาทางทำอย่างนี้ การที่พยายามทำอยู่นั่นแหละทำให้ไม่เห็นนิพพาน
ฉะนั้นขันธ์ ๕ นะ ขันธ์ ๕ เค้าเป็นธรรมะที่ปรุงแต่งเรียก“สังขตธรรม” ฉะนั้นขันธ์ ๕ ต้องปรุงแต่ง ขันธ์ ๕ เป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่ง เราไม่ได้ไปฝึกให้ขันธ์ ๕ ไม่ปรุงแต่งนะ เพราะฉะนั้นอย่างจิตเนี่ย จิตอยู่ในขันธ์ ๕ จิตมีหน้าที่ คิด นึก ปรุงแต่ง
เราไม่ได้ฝึกให้มันไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง แต่เมื่อเค้าทำงาน ขันธ์ ๕ เค้าทำงานแล้วเนี่ย อย่าหลงเข้าไปแทรกแซงขันธ์ ๕ พวกเรานักปฏิบัติชอบแทรกแซงขันธ์ ๕ นะ เช่น ร่างกายนี้มันจะหายใจ เราก็ไปแทรกแซงการหายใจ ไปเปลี่ยนจังหวะการหายใจ หายใจให้ผิดธรรมดา แล้วก็เหนื่อยนะ
ร่างกายเคยขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เคยยืน เคยเดิน เคยนั่ง เคยนอน ท่านั้นท่านี้ เราก็เริ่มไปจำกัดมัน ต้องอยู่ท่านั้นต้องอยู่ท่านี้ ต้องเดินอย่างนั้นถึงถูกต้องนั่งอย่างนี้ถึงจะถูก เดินท่านั้นผิดเดินท่านี้ผิด นี่เราพยายามเข้าไปแทรกแซงขันธ์
"เวทนา"เค้าก็เป็นธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง เดี๋ยวเค้าก็สุข เดี๋ยวเค้าก็ทุกข์ เดี๋ยวเค้าเฉยๆ พอเราเห็นทุกข์ขึ้นมาเราไม่ชอบนะ พยายามแทรกแซงให้หายไป ความสุขก็พยายามแทรกแซงให้มันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาแล้วแทรกแซงจะรักษามันไว้ นี่เราเข้าไปหลงแทรกแซงขันธ์ ๕
"สัญญา"มันจะจำได้ มันจะหมายรู้ ก็ไปแทรกแซง ที่อู๊ดเคยพลาดเรื่องแทรกแซงสัญญา ตัวนั้น จำได้ใช่มั้ย เห็นโต๊ะไปเรียกว่าเก้าอี้อะไรอย่างนี้นะ ไปแทรกแซงทำให้มันสับสน เสร็จแล้วมันจะอยู่ในโลกสมมุตินี้ไม่ได้ เพราะว่าสัญญา ไม่ตรงกับใครเค้าเลย
"สังขาร"ก็คือจิตมันต้องปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง เราไม่อยากให้ปรุงชั่ว เราอยากให้ปรุงดี เราแทรกแซงนะ อย่างจิตฟุ้งซ่านขึ้นมา เราก็มาพุทโธๆ มาฟุ้งซ่านหนอๆ ให้หายฟุ้งซ่าน นี่แทรกแซง จิตโกรธขึ้นมานะ ก็พยายามแผ่เมตตาใหญ่ แผ่เมตตาให้หายโกรธ อันนี้ก็แทรกแซง แต่ถามว่าดีมั้ย? ก็ดี เหมือนกันนะ แต่ดีแบบ"สมถะ"ไม่ใช่"วิปัสสนา"
วิปัสสนานี่เราจะให้ขันธ์ทำงานไป โดยเราไม่เข้าไปแทรกแซงขันธ์ ใจที่มันสงบตั้งมั่นไม่เข้าไปแทรกแซงขันธ์ เห็นขันธ์ไปตามความเป็นจริง ใจดวงนี้เนี่ยใกล้ต่อมรรคผลนิพพาน ที่อาจารย์วัฒนาถาม “สังขารุเปกขาญาณ” เมื่อเช้านี้ จิตที่มันตั้งมั่นด้วยปัญญานะ ตั้งมั่นมีปัญญาอยู่ เห็นขันธ์ทำงานไปส่วนของขันธ์ จิตไม่เข้าไปแทรกแซงขันธ์ อย่างนี้เรียกว่า “สังขารุเปกขา”
"เป็นกลาง"กับขันธ์ เป็นกลางกับสังขาร กับความปรุงแต่งทั้งหลาย
" ภาวะแห่งการสักว่ารู้...สักว่าเห็น"ก็จะเกิดขึ้น
ใจจะไม่ ดิ้นรน เมื่อใจไม่ดิ้นรน ถึงจุดหนึ่งใจจะเห็นธรรมะที่ไม่ดิ้นรน ธรรมะที่ไม่มีความอยาก
ธรรมะที่ไม่ดิ้นรน คือ “วิราคะ” กับ “วิสังขาร” หรือ “นิพพาน” นั่นเอง
เพราะฉะนั้นไม่มีใครกีดกั้นเราไว้จากนิพพานเลย ไม่มีใครกีดกั้นเราจากมรรคผล เรากีดกั้นตัวเองด้วย"ความอยาก"
จะได้มรรคผลนิพพานนั่นแหละ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ธรรม ๔ ประการ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้เจริญยิ่งขึ้นไป
๑. อสุภภาวนา ละราคะ
๒. เมตตาภาวนา ละพยาบาท
๓. อานาปานสติ ตัดวิตก (คิดมาก)
๔. อนิจจสัญญา เพิกถอนความทะนงตน
"...ภิกษุพึงเจริญธรรม ๔ ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ พึงเจริญอสุภภาวนา เพื่อละราคะ, พึงเจริญเมตตา เพื่อละพยายาท, พึงเจริญอานาปานสติ เพื่อเข้าไปตัดวิตก (คิดมาก), พึงเจริญอนิจจสัญญา เพื่อเพิกถอนความทะนงตน..."
ขุ.อุ. (บาลี) ๒๕/๘๙/๑๒๘ (สฺยา.)
ถ้ารู้ยิ่งแล้วมันวาง..!
"...เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใด ก็เป็นสมมติสังขารเมื่อนั้น ท่านจึงให้พิจารณาสังขาร คือ จิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง เมื่อมันเคลื่อนออกไปก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เมื่อผู้รู้ รู้ตามความเป็นจริงของจิต หรือเจตสิกเหล่านี้ จิตก็ไม่ใช่เรา สิ่งเหล่านี้มีแต่ของทิ้งทั้งหมด ไม่ควรเข้าไปยึด ไปหมายมั่นทั้งนั้น
เหมือนกับตะเกียงเป็นตัวผู้รู้ แสงสว่างของตะเกียง มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน มันเกิดจากผู้รู้อันนี้ ถ้าจิตนี้ไม่มี ผู้รู้ก็ไม่มีเช่นกัน มันคืออาการของพวกนี้ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้รวมแล้วเป็นนามหมด ท่านว่าจิตนี้ก็ชื่อว่าจิต มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล มิใช่ตัว มิใช่ตน มิใช่เรา มิใช่เขา ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม มิใช่ตัวตนเราเขา ไม่เป็นอะไร ท่านให้เอาที่ไหน เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขันธ์ห้า ท่านให้วาง
สิ่งทั้งหลายที่จิตคิดไปทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นสังขารทั้งหมด เมื่อรู้แล้วท่านให้วาง เมื่อรู้แล้วท่านให้ละ ให้รู้สิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ทุกข์ ก็ไม่วางสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เป็นของหลอกลวง สมกับที่พระศาสดาตรัสว่าจิตนี้ไม่มีอะไร ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายกับใคร จิตเป็นเสรี รุ่งโรจน์โชติการ ไม่มีเรื่องราวต่างๆ เข้าไปอยู่ในที่นั้น ที่จะมีเรื่องราวก็เพราะมันหลงสังขารนี่เอง หลงอัตตานี่เองพระศาสนดาจึงให้มองดูจิตของเรา เบื้องแรกมันมีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดด้วย มิได้ตายด้วย ถูกอารมณ์ดีมากระทบก็มิได้ดีด้วย ถูกอารมณ์ร้ายมากระทบก็มิได้ร้ายไปด้วย เพราะรู้ตัวของตัวอย่างชัดเจนรู้ว่าสภาวะเหล่านั้นไม่เป็นแก่นสาร ท่านเห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ตัวผู้รู้นี้ รู้ตามความเป็นจริง ผู้รู้มิได้ดีใจไปด้วย มิได้เสียใจไปด้วย อาการที่ดีใจไปด้วยนั่นแหละเกิด อาการที่เสียใจไปด้วยนั่นแหละตาย ถ้ามันตายก็เกิด ถ้ามันเกิดก็ตาย ตัวที่เกิดที่ตายนี่แหละ เป็นวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่หยุดเมื่อจิตผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องสงสัย ภพมีไหน ชาติมีไหม ไม่ต้องถามใคร พิจารณาอาการสังขารเหล่านี้แล้วจึงได้ปล่อยวางสังขาร วางขันธ์เหล่านี้ เป็นเพียงผู้รับทราบไว้เฉยๆ มันจะดีขึ้นมา ท่านก็ไม่ดีกับมัน เป็นคนดูอยู่เฉยๆ ถ้ามันร้ายขึ้นมา ท่านก็ไม่ร้ายกับมัน เพราะมันขาดจากปัจจัยแล้ว
เมื่อรู้ตามความเป็นจริง ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดไม่มี
เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจมากระทบ มันก็เกิดเป็นอาการขึ้นกับใจเรา เราติดมันไหม เราวางมันได้ไหม อาการที่ไม่ชอบใจนั้นเกิดขึ้นมา เรารู้แล้ว ผู้รู้เอาความไม่ชอบไว้ในใจหรือเปล่า หรือว่าเห็นแล้ววางถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจแล้วยังเอาไว้ในใจของเรา ให้เรียนใหม่ เพราะยังผิดอยู่ ยังไม่ยิ่ง ถ้ามันยิ่งแล้วมันวาง ให้ดูอย่างนี้..ฯ"
...
• ธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร [หลวงพ่อชา สุภัทโท]
เมื่อจิตตั้งมั่นมีความสงบ ลองใช้ใจดูกายตนเอง จะค่อยๆเห็น กาย แยกออกจาก ใจ เป็นคนละส่วนกัน ทําบ่อยๆ จะเจริญปัญญาครับ
จิตตั้งมั่น เป็นสัมมาสมาธิ เป็นแค่ผู้รู้อารมณ์ จิตอยู่ส่วนจิต กายอยู่ส่วนกาย จิตกับกายแยกจากกัน เห็นเวทนากับจิตมันแยกจากกัน เห็นความปรุงแต่ง เช่น รัก โลภ โกรธ หลง มันแยกจากกัน...
Trader Hunter พบธรรม
"พระโคดมผู้เจริญ .. ด้วยการปฏิบัติอย่างไร
สาวกของพระโคดม จึงจะได้ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอน
ปฏิบัติตรงต่อโอวาท ข้ามพ้นความสงสัยไปได้
ไม่ต้องเที่ยวถามใครว่า นี่อย่างไร มีความกล้าหาญ
ไม่ต้องเชื่อตามบุคคลอื่นในคำสอนแห่งศาสดาตน ?"
อัคคิเวสนะ .. สาวกของเราในศาสนานี้
พิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันชอบตรงตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า ..
#รูป...
#เวทนา...
#สัญญา...
#สังขาร...
#วิญญาณ ...
อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม
ทั้งที่ล่วงไปแล้ว...ทั้งที่ยังมาไม่ถึง
ทั้งที่เกิดขึ้นอยู่ในบัดนี้ก็ตาม
ที่เป็น"ภายใน"ก็ตาม..."ภายนอก"ก็ตาม
"หยาบ"ก็ตาม..."ละเอียด"ก็ตาม
"เลว"ก็ตาม "ดี"ก็ตาม
ในที่ไกลก็ตาม ในที่ไกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั้น
"เป็นสักแต่ว่า" รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ
นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่อัตตาของเรา ดังนี้.
อัคคิเวสนะ .. ด้วยการปฏิบัติเพียงเท่านี้
สาวกของเราย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอน
ปฏิบัติตรงต่อโอวาท ข้ามพ้นความสงสัยไปได้
ไม่ต้องเที่ยวถามใครว่า นี่อย่างไร มีความกล้าหาญ
ไม่ต้องเชื่อตามบุคคลอื่นในคำสอนแห่งศาสดาตน ดังนี้.
ทางบรรลุธรรม เมื่อภาวนาเต็มที่ จิตจะจนมุมต่อความจริง และเข้าสู่ สังขารุเปกขาญาณ และ อนุโลมญาณ (สัจจานุโลมิกญาณ)
หลวงพ่อปราโมทย์ : พอจิตหมดแรงดิ้นแล้ว จิตก็สักว่ารู้ว่าเห็น ตรงนี้แหละสักว่ารู้ว่าเห็นขึ้นมา
อย่างที่พวกเราพูดว่าสักว่ารู้ว่าเห็นนั้นน่ะ ไม่จริงหรอก ไม่ยอมสักว่ารู้ว่าเห็นหรอก มีแต่ว่าทำอย่างไรจะดีกว่านี้อีก ทำไงจะดี ทำไงจะดี ทำไงจะถูก รู้สึกมั้ยแต่ละวัน นักปฏิบัติตื่นนอนก็คิดว่า วันนี้จะทำไงดี คิดอย่างนี้แหละ
จนกระทั่งมัน"สุดสติ"..."สุดปัญญา"นะ ทำไงมันก็ดีกว่านี้ไปไม่ได้แล้ว ยอมรับสภาพมัน จิตหมดแรงดิ้น จิตหมดความปรงุแต่ง หมดความดิ้นรน พอจิตไม่มีความปรงุแต่ง ไม่มีความดิ้นรน จะยังอยู่ตรงนี้ช่วงหนึ่ง บางคนก็อยู่ ๑๕ วัน อะไรอย่างนี้ อาจจะมากกว่านั้น น้อยกว่านั้น ไม่ได้เปิดสัมภาษณ์เสียที
พอ"จิตมันหมดแรงดิ้น" ก็ไม่ปรุง อะไรเกิดขึ้นก็แค่รู้ อะไรเกิดขึ้นก็แค่รู้ ไม่ปรุงต่อ จิตก็เรียกว่าจิตเข้าถึงความเป็นอนุโลม อนุโลมญาณ หมายถึงว่า อะไรเกิดขึ้นก็คล้อยตามมันไป คล้อยตามเนี่ยไม่ใช่หลงตามมันไป ก็แค่เห็นน่ะ เออ..มีขึ้นมา เออ..ก็หายไป มีแค่นั้นเอง ไม่ต่อต้าน ไม่หลงตามไป ยอมรับ มันมาก็มา มันไปก็ไป
เนี่ย จิตมีอุเบกขาอย่างแท้จริงเลยนะ คล้อยตามทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เห็นน่ะ เห็นแต่ควมจริง ทุกอย่างมาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป จิตเห็นอยู่แค่นี้เอง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
" ใจ...
ทำไม ? จึงเป็นไป เพื่อความสงบ ไม่ได้
ลองสังเกตดูซิ วันหนึ่ง ๆ
ถ้าเราตั้งข้อสังเกต โดยเฉพาะในหัวใจของเราแล้ว
เรา จะได้เห็นข้อบกพร่องของเรา ทั้งวัน
และ ในขณะที่เราได้เห็นข้อบกพร่องของเราทั้งวันนั้น
แสดงว่า เราก็มีข้อสมบูรณ์ขึ้นด้วยกัน
เพราะ เรามีสติ
เรา จึงเห็นข้อบกพร่องของเรา
เรา ไม่ต้องสนใจกับเรื่องอะไร ทั้งนั้น
ให้สังเกตดูตั้งแต่เรื่องหัวใจ ที่จะปรุงเรื่องอะไร
ขึ้นมา แล้วบังคับไว้ภายใน"กาย..กับ..จิต" นี้
ท่านว่า
สติปัฏฐาน ๔ คือ ฐานที่ตั้งแห่งสติ
พูดง่าย ๆ ถ้าจิตเราได้ตั้งอยู่ กับกายนี้แล้ว
สติ...
บังคับสติ ไว้กับกายนี้แล้ว
ปัญญา ท่องเที่ยวอยู่ในสกลกายนี้แล้ว
เรียกว่า...
ได้เดินทางในองค์แห่งอริยสัจ...อย่างสมบูรณ์."
_________________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
🌠 #ความเป็นอรหันต์เป็นตรงไหน
ก็จับจุดให้ดีว่าการเป็นอรหันต์ อยู่ที่
#การตัดรูปอย่างเดียว
ย่อเนื้อความลงมานะ
#เพราะถือว่าตัดกิเลสตรงไหน_ตัดที่รูป ให้มีความรู้สึกใน รูป คือ ร่างกาย
ว่า ร่างกายมันมีสภาพไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ร่างกายมีแต่ความสกปรกโสโครก
มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มันค่อยๆ เสื่อมลงไปทุกวันแก่ลงไปทุกวันในที่สุดก็ตาย ตายก็สลายตัว
ในเมื่อร่างกายสลายตัวไม่ทรงอยู่ ความจริงร่างกายเป็นสิ่งที่เรารักมากที่สุดยิ่งกว่าสมบัติใดใด
สมบัติชิ้นใดที่ว่าเรารักจะรักเกินร่างกายไม่มี แต่ว่าในที่สุดร่างกายมันก็ตาย
ในเมื่อเรายังไม่หมดกิเลส
ร่างกายตายเราก็ยังไม่ตาย ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ต้องเกิดต่อไปอีก
//..วิญญาณดับ ..//
เมื่ออายตนะรับสัมผัส
เมื่อละความกำหนัด
เมื่อไม่เพลินยินดียินร้าย
อารมณ์ย่อมขาดสูญ..
ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี..
ย่อมหลุดพ้นไป
จึงดำรงอยู่ .ยินดีพร้อม
ไม่หวั่นไหว ดับรอบเฉพาะตน
วิญญาณไม่ได้ตั้งอยู่ ปรินิพพานแล้ว..
แปรสภาพเป็นกองธรรมขันธ์.. ในแดนนิพพาน
เหนือ โลกธาตุ มารตามหาไม่พบ..
มโนธาตุ โพธิญาณ
"ศีล" จึงไม่ต้องไปแสวงหา
คำว่า "สมาธิ" ก็ไม่ต้องไปแสวงหา
คำว่า "ปัญญา" ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปแสวงหา เพราะเกิดขึ้นที่ "ใจ"
ใจของเรา "เป็นเท่านั้น" จะไป "หาธรรม" ที่อื่น
อาจจะเจอแต่ "ชื่อของธรรม"
"ชื่อของธรรม" กับ "ธรรมะ" คนละอัน
"ยา" กับ "ชื่อของยา" ก็คนละชิ้นคนละอัน
เรา "ปฏิบัติ" จนธรรมปรากฏขึ้นที่ใจ
จนใจของเราสมบูรณ์ด้วยธรรม
ธรรมะ ธรรมชาติ เป็นธรรมกำจัดกิเลส
เมื่อ "ธรรมปรากฏขึ้นที่ใจ" กิเลสจะสลายตัวในขณะนั้น
"ธรรมะส่วนใดส่วนหนึ่ง" ปรากฏขึ้นในใจ
"กิเลส" ที่เป็นข้าศึก ต่อธรรมะนั้นจะ "สลายตัว" ไปเป็นชั้น เป็นอย่างๆ แต่ละอย่างๆ ไป
เมื่อ "ใจเราเป็นธรรม" ขึ้นทั้งดวง เป็นธรรมขึ้นทั้งใจ
กิเลสตัณหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ "อยู่ไม่ได้"
การปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติที่จิต
"ปัญญา" ก็ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน
เมื่อ "จิต" ของเราสำรวมไว้ดี "จิต" ของเราแน่วแน่
"ปราศจากอารมณ์" มีแต่ "ความผ่องใส"
มีแต่ความสว่างไสว ความผ่องใสหรือความสว่างไสว
เรียกว่า "ปัญญา" หรือ "ปัญญา" เกิดขึ้นก็ได้
หรือ "ปัญญา" คือความสว่าง
"จิต" ของเรา "เป็นปัญญา" ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน
เมื่อ "องค์ปัญญา" เกิดขึ้นแล้ว "ความมืด" หรือ "กิเลสตัณหา"
ยากที่จะซ่อนเร้นอยูใน จิตที่สว่างไสว สมบูรณ์เป็นธรรมขึ้นทั้งใจนั้น เมื่อใจไปกระทบกับธรรมะ มีแต่จะทำให้เย็นๆๆ
มีความร่มเย็นเป็นสุขอย่างเดียวเท่านั้น
หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
รู้จักเจ็บไหม ... รู้จัก
รู้จักสบายไหม ... รู้จัก
แต่เราไม่ไปอยู่ในความสบายและความไม่สบายนั้น อยู่แต่ในความสงบ
คือ หมายความว่า ท่านไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ท่านรู้ว่ามันสุขมันทุกข์อยู่เหมือนกัน
*แต่ท่านไม่ไปแบกมันไว้ เวทนานั้นก็ไม่เกิด.
... หลวงปู่ชา สุภทฺโท
"จิต" นั้น เมื่อย่นย่อเข้ามา มี 2 อาการ
อาการหนึ่ง คือ จิตใจดวงผู้รู้ อยู่ในตัวคนเราทุกคน มีจิตใจดวงผู้รู้ ครองในสังขารแต่ละบุคคล จิตใจดวงนี้นั้น เรียกว่า เป็นดวงจิตที่รู้อยู่
มีความรู้สึกอยู่ในตัวในกาย ในจิตในกายนี้ ไม่ว่าเราจะเอามือไปแตะต้องที่ไหน จนปลายผมก็ตาม ก็มีความรู้สึกเข้าไปถึงจิตใจ ดวงผู้รู้นี้ นั่นแหละ ให้สังเกตเข้าไป สู่ดวงจิตที่รู้อยู่
ส่วนต่อจากดวงจิต ผู้รู้ออกมาภายนอก ท่านให้ชื่อว่า "สังขารจิต" จิตปรุง จิตแต่ง จิตคิด จิตนึก คือมันเป็นเงา เป็นกิริยาอาการของจิต มันต่อออกมาอีก มันงอกออกมา มันรั่วไหลออกมา
อันนี้ท่านให้ละทิ้ง คือไม่ให้ตามออกมา มันเข้ามันออกก็ยังมีจิตใจดวงผู้รู้ รู้ว่าจิตเราคิดออกไป เผลอไปลืมไป ไม่ต้องตามไป ละเสียวางเสีย
ให้ทวนกระแส มาอยู่กับดวงจิตที่รู้อยู่ จิตผู้รู้ คือว่ามันมีอยู่ตลอดเวลา
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
ในมรรคมีองค์แปด เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงให้มี สัมมาสติ
ก่อนแล้วต่อมาจึงเป็น สัมมาสมาธิ
อธิบายโดยย่อให้เข้าใจง่ายดังนี้......
คนเราเกิดมามีสมาธิโดยธรรมชาติและถูกฝึกด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ให้มีสมาธิอยู่มากพอสมควร
แต่ที่จะมีสติโดยธรรมชาตินั้น น้อย
จะถูกฝึกให้มีสติ ก็ยิ่ง น้อย
พระพุทธเจ้าท่านจึงให้มีสัมมาสติก่อนสัมมาสมาธิ
แล้ว"ใช้สติคุมสมาธิไว้"
เพราะ..จิตมนุษย์เมื่อปักดิ่งลงไปเป็นสมาธิในเรื่องใด ก็มักจะยึดมั่นถือมั่นได้โดยง่าย
เปรียบเทียบกับการขับรถไปตามทาง แต่ยังไม่ถึงที่หมาย. พบเห็น 2 ข้างทางมีทิวทัศน์งดงาม เลยแวะพักเที่ยวเตร่ชมวิว จนลืมที่จะออกเดินทางต่อ.. นั่นเอง
"สติ"จะทำหน้าที่คอยปลุกเตือน"สมาธิ"ไว้ มิให้"หลงใหลติดยึด" ให้เดินทางต่อเพื่อไปถึงที่หมายให้จงได้.
อนึ่ง..สมาธิที่เราเข้าใจเอาว่า เมื่อปฏิบัติแล้วจะต้อง"เห็นนั่นเห็นนี่" เป็นภาพนิมิต สวรรค์นรก อะไรอย่างนั้น ยังถือเป็น"มิจฉาสมาธิ" ไม่เป็นสัมมา
ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ คือ มี "ประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลพร้อมและสมควรแก่การงาน"
อะไรที่เห็นไปตามรายทางของการฝึกปฏิบัติสมาธิ นั้นยังไม่ใช่เป้าหมายที่แท้ และไม่ควรจะนำมาถกเถียงกันด้วยว่า เห็นหรือไม่เห็นอย่างไหนจึงจะดี ? ถ้าไม่เห็นตามที่ผู้ปฏิบัติคนอื่นเขาเห็น จะผิดหรือไม่ ? เพราะเป็นเรื่องปัจจัตตัง คือ เป็นเรื่องจำเพาะตน ซึ่งแม้ผู้เห็นก็อาจเห็นไม่เหมือนกันก็ได้ เปรียบเทียบกับการนั่งรถคันเดียวกันไปหลายคน แต่ละคนก็อาจสังเกตวิวทิวทัศน์สองข้างทางไม่เหมือนกัน อารมณ์ความรู้สึกที่เห็นก็แตกต่างกัน เป็นต้น
ต้องไปถึงความมี "ประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลพร้อมและสมควรแก่การงาน" .. นั่นหละจึงจะถึงเป้าหมายแท้จริง
และเมื่อถึงเป้าหมายแท้จริงแล้วจะใช้หลักวิทยาศาสตร์หรือวิทยาการยุคใหม่มาวัดผลก็ย่อมได้ทั้งสิ้น ว่า เป็นคนที่ผ่านการฝึกสมาธิมานั้นทำงานเก่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือไม่ ?
ซึ่งผลการวัดหรือวิจัยจากทุกสำนักในโลกก็เห็นตรงกันว่า การฝึกฝนสมาธิก็ให้เกิดประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลสูงขึ้นในการทำงาน
แต่ในเหล่าพุทธศาสนิกชนที่ใฝ่ใจในการฝึกฝนสมาธิ กลับไม่ใส่ใจในกระบวนการของ"สติ"อย่างมากพอ. บางสำนักปฏิบัติบ่งชี้ชัดเจน ให้ผู้ฝึกกำหนด"นิมิต"ขึ้นมา ซึ่งอันตรายมาก หาก"จิตไปติดหลงนิมิต"เข้า อาจกลายเป็นสติวิปลาส(บ้า)ไปเลยก็ได้.
เรื่องการฝึกสมาธิอย่าง"ขาดความใส่ใจสติ" นั้น มีมาก่อนเกิดพุทธศาสนา เป็นลัทธิของพวกนักพรต ฤๅษีชีไพร ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสรุปบทเรียนแล้วว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ท่านจึงบัญญัติทางสายกลางคือมรรคมีองค์แปดนี้เองที่จะเป็นทางพ้นทุกข์
และ..หลักมรรคมีองค์แปด 2 ข้อสุดท้าย ก็คือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ดังได้บรรยายตอบคำถามสาธุชนมานั่นเอง๚
----------------
หลวงปู่เทพโลกอุดร
" ผู้ปฏิบัติ เพื่อกำจัดอวิชชาให้สิ้นไป
จำต้องยึดอริยสัจ ๔ หรือสติปัฏฐาน ๔
อันเป็นที่รวมวิชชาแห่งทางดำเนิน
ท่านเองว่า...
เมื่อจิต ก้าวขึ้นสู่ความว่างเปล่าจากรูปธรรม
ทั้งหลายแล้ว
ก็มีแต่ตามติดสังขารความปรุงของใจ
กับ วิญญาณที่สัมผัสรับรู้จากสิ่งต่าง ๆ
และ เวทนาจิตที่ส่งผล ให้ปรากฏจากการปรุง
การรับรู้ทางวิญญาณ
ด้วยสติกับปัญญา ที่มีอยู่ในที่แห่งเดียวกัน เท่านั้น
เพราะสังขาร ก็ปรุงจากจิต
วิญญาณ ก็รับทราบจากจิต
ต่างก็ดับลงที่จิต
เมื่อสติตามทัน ปัญญาค้นพบสาเหตุ
และวิพากษ์คลี่คลายทันกับเหตุการณ์ สิ่งเหล่านั้น ย่อมกำเริบรุนเเรงไปไม่ได้
การตามรู้สังขาร วิญญาณว่า
ปรุงเรื่องอะไร
รับทราบเรื่องอะไร
เพียงเท่านั้นยังไม่สากับใจ ที่มีสติปัญญาอัตโนมัติ
เป็นพี่เลี้ยงอยู่...ตลอดเวลา ไม่เผลอตัว
ยังสามารถขุดค้นลงถึงต้นตอ ที่เกิดแห่งสังขาร
และวิญญาณอีกว่า เกิดมาจากที่ไหน
อะไรเป็นเครื่องผลักดันให้เกิดอยู่ไม่หยุด ไม่ถอย
ตัวผลักดันนี้ คือตัวอวิชชาแท้
การพิจารณาอวิชชา
เพื่อถอนรากถอนโคนจริง ๆ จึงอยู่ที่ตรงนี้
ขุดค้นลงที่ใจอันเป็นเรือนรัง ของอวิชชาฝังจม
อยู่นั่นแล
จึงเห็นตัวอวิชชาแตกกระจายสลายตัวลง
ในขณะที่มหาสติ มหาปัญญาเข้าถึงตัว
นี้คือ การพิจารณาอวิชชาแท้
และ คือวิธีการถอดถอนอวิชชา ออกจากใจ
ตามทางมรรค ทางผล ที่พระบรมศาสดาทรง
สั่งสอนไว้แท้."
___________________________
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่มา : จากหนังสือปฏิปทา
พระธุดงคกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
โดย องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"จิตนี้"ไม่ใช่"จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง" มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับ"รูปธรรม"โดยสิ้นเชิง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกจาก"ความคิดปรุงแต่ง"เท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตคือพุทธะ
ดูรูปนามแสดงละคร
หลวงพ่อปราโมทย์ : การเจริญปัญญานั้นจะรู้รูปธรรมนามธรรมว่าเป็น“ไตรลักษณ์” ต้องการเห็นตรงนี้
เราจะเจริญปัญญาได้นะ ถ้าหากเรามีสติรู้รูปรู้นาม รู้ตามความเป็นจริง คือไม่เข้าไปแทรกแซงนะ มันเป็นยังไงรู้ว่าเป็นอย่างนั้น มีสติรู้กายรู้ใจรู้รูปรู้นามตามความเป็นจริง รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ถ้าทำได้อย่างนี้นะปัญญาจะเกิด มันจะเห็นความจริงของรูปของนามได้
จิตมันเป็นแค่คนดู รูปนามนั้นแสดงละครให้จิตดู จิตเหมือนคนดูละคร รูปนามเป็นตัวละครผลัดกันมาแสดง เดี๋ยวตัวดีมาเดี๋ยวตัวร้ายมา เดี๋ยวตัวสุขมาเดี๋ยวตัวทุกข์มา เดี๋ยวรูปธรรมมาเดี๋ยวนามธรรมมา มันแสดงให้เราดู เราเป็นคนดูเฉยๆ ถ้าเราดูได้อย่างนี้ เราก็จะรู้เลยตัวละครทุกตัวเมื่อออกมาแสดงแล้ว ไม่นานก็ต้องไป
มีมั้ยตัวละครที่ไม่ยอมเข้าไปในโรงเลยมีมั้ย เราคงไม่ดูหรอก มันต้องไหลไปเรื่อย เปลี่ยน ตัวนี้มาตัวนี้ไปตัวนี้มาตัวนี้ไป หมุนเวียนไปเรื่อย ดูไปดูไปถึงรู้เลยโลกนี้เป็นโรงละครเท่านั้น ไม่ได้มีจริงหรอก ขันธ์ทั้งหลายที่แสดงละครให้เราดูเป็นแค่ตัวละครหลอกๆ เหมือนเราดูละครเรารู้แล้วละครไม่ใช่เรื่องจริง เราเห็นขันธ์ห้าแสดงละคร เรารู้เลยนี่มันแค่สมมติขึ้นมา แค่ตัวหลอกๆขึ้นมา
ใจไม่ไปหลงยินดียินร้ายในขันธ์ห้าเนี่ย ใจจะคลายความยึดถือในขันธ์ห้าออก ถ้าใจไม่ยึดในขันธ์ห้านะก็ที่สุดแห่งทุกข์อยู่ตรงนั้นเอง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ไม่ยึดตรงนั้น ไม่ยึดเพราะปัญญา ไม่ใช่ไม่ยึดเพราะน้อมใจให้ไม่ยึด ไม่ใช่ไม่ยึดเพราะเจตนาไม่ยึด แต่จิตมันไม่ยึดของมันเองเพราะมันเห็นความจริงแล้วว่า รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เค้าถึงไม่ยึด เค้าไม่ยึดของเค้าเอง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
304..วิปัสสนา..ในอภิญญา.
การวิปัสสนา.คือ.เพื่อรู้ความจริง..ของสัจธรรม..เพื่อจะไม่หลงในภาพมายา..ที่เราหลงมาก..คือ..หลงกาย หลงใจ..ของเราเอง.
เมื่อหลงว่า..ขันธ์5 เป็นของเรา..มีอุปทานยึดมั่นในกาย..จึงเกิดตัญหา..ความอยาก..ก่อภพก่อชาติต่อไป.
การพิจารณากาย ใจ.มีหลายแบบ..ที่เรารู้จักคือ..ตามดูกาย ดูใจ.สติปัฏฐาน4 รู้กาย เวทนา จิต ธรรม..ตามดู..จนรู้ความจริง
ของกาย และ ใจ.ว่าไม่ใช่เรา..แตกสลาย.
จะได้ไม่หลงผิดในกายอีก
* ยังมีการวิปัสสนา.แบบใช้กำลังสมาธิ ฌาน..อันนี้จะเห็นนิมิตของกาย..ที่เน่าเปื่อย.เป็นอสุภะอสุภัง..สลายตัวไป..ใจเราจะเบื่อหน่ายในกาย..
* ทีนี้..ยังมี.การวิปัสสนา.ในฌานอภิญญา...คือ..สำหรับผู้มีอภิญญา..จิต หรือ กายใน..มันจะถอดออกมาดู..กายเนื้อที่นั่งอยู่..มันจึงรู้ชัด..ว่า..กาย.ไม่ใช่.ใจ..แล้วมันยังมีอีกตัว.ที่เห็นกายในด้วย
** เท่ากับว่า..มันจะมี 3 ตัว.คือ..หนึ่ง.กายหยาบ..สอง..กายใน..สาม..คือ..สติตัวใน.
..เมื่อ..ตัวใน..มันพิจารณา.กายเนื้อ.ผุพัง.จะเห็น.น้ำเลือด น้ำหนอง..กระดูกผุพัง.
ไอ้ตัวกายใน..มันจะรู้สึก.เหม็นมาก..เบื่อมาก..เพราะตอนนั้น..จิตมันละเอียด.ด้วยกำลังสมาธิ ฌาน..จึงเห็นชัด..เหม็นชัด..เบื่อชัด.
// แล้วตัวใน..มันจะไม่เอา.กายเนื้อ..มันจะไปที่อื่น..แล้ว.ไอ้ตัวสติ..มันก็เห็นไอ้กายในมัน..ไปที่ใดด้วย...
++ ดังนั้น..การวิปัสสนา..ไม่ใช่ว่า..จะมีแค่..ตามรู้กาย รู้ใจอย่างเดียว..มีหลายแบบ..เพราะผลสุดท้าย..เพื่อ..เกิดการเบื่อหน่ายในกาย.ที่มันผุพัง..ไร้สาระ..ไม่มีอะไรน่ายึดมั่น..เรียก..นิพพิทาญาน..เพื่อ.จะไม่ได้ปรุงแต่งสิ่งที่มากระทบกาย..จิตจึงวางเฉย..และ.ค่อยๆคลาย.กิเลสราคะ..ออกไป..เรียก..วิราคะ..เมื่อคลายหมด..เรียก..วิมุตติ.
** ..ดังนั้น..การถอดจิต..มันก็มีประโยชน์.เห็นชัดว่า..กาย.ไม่ใช่จิต..กายไม่ใช่เรา..ยีงรู้ว่าคำสอนพระพุทธองค์.นรก สวรรค์ บาปบุญ.มีจริง.
ยังสามารถรับความรู้จากโลกทิพย์ด้วย.ทำให้เกิดศรัทธาในพุทธศาสนามากขึ้น
** เรายังใช้อภิญญา..มาเดินวิปัสสนา.ได้..คนที่ได้อภิญญา..เหมือนคนมีกล้ามเนื้อแรง..เมื่อยกมีดฟันอะไรย่อมขาดง่าย..กล้ามเนื้อคือกำลังสมถะ..มีดคือ..วิปัสสนา..ประกอบกัน..ย่อมกำจัดกิเลสได้ไว
//..ที่ข้าพเจ้าแชร์ประสะการ์ณ..นั้นคือ..แบบเด็กๆ..คนของฤทธิ์..เป็นเรื่องเก่า..ทีตอนนั้น..จิตมันติดแบตตอรี่..จึงผาดโผนไปทั่ว..แต่ข้าพเจ้าไม่เคยบอกว่า..อภิญญา.คือ..ทางไปนิพพาน. แต่กำลังอภิญญา..เป็นผู้ช่วยของวิปัสสนา.ได้ดียิ่ง..
มโนธาตุ โพธิญาณ
310.. ความเข้าถึง ย่อมไม่หลุดพ้น
ความเข้าถึง ในที่นี้ หมายถึง เข้าถึงขันธ์ ๕ ด้วยอำนาจตัณหา มานะ และทิฏฐิ จึงไม่ใช่ความหลุดพ้น
วิญญาณ (ผู้รู้) ที่เข้าถึงรูป เมื่อตั้งอยู่ ก็พึงมีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง เข้าไปเสพ เสวยความเพลิดเพลิน
วิญญาณ ที่เข้าถึงเวทนา (ทุกข์ สุข) เมื่อตั้งอยู่ ก็พึงมีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้งเข้าไปเสพเสวย ความเพลิดเพลิน
วิญญาณ ที่เข้าถึงสัญญา(ความจำได้) เมื่อตั้งอยู่ ก็พึงมีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้งเข้าไปเสพเสวย ความเพลิดเพลิน
วิญญาณ ที่เข้าถึงสังขาร(ความคิดปรุงแต่ง) เมื่อตั้งอยู่ ก็พึงมีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้ง
เข้าไปเสพเสวย ความเพลิดเพลิน
**... วิญญาณ คือ เชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิด สร้างภพสร้างชาติ
บุคคลใด "ละความกำหนัด" ในรูปธาตุ เวทนาธาตุ ..สัญญาธาตุ. สังขารธาตุ
"อารมณ์"จึงขาดสูญ
." ที่ตั้งแห่งวิญญาณ" ก็ไม่มี
วิญญาณที่ไม่มีที่ตั้ง ไม่งอกงาม ไม่ปรุงแต่ง "หลุดพ้น"ไป เพราะหลุดพ้นจึง"ตั้งมั่น" เพราะตั้งมั่นจึง"สันโดษ"
เพราะสันโดษจึง"ไม่สะดุ้ง" เมื่อไม่สะดุ้งย่อม"ดับ"ไปเอง
บุคคลนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้นแล้ว..อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ..ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว.. ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป”
ทางบรรลุธรรม เมื่ออริยมรรคเกิด อริยผลเกิด จิตจะสัมผัสพระนิพพาน
หลวงพ่อปราโมทย์ : ข้ามเข้ามา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงวิญญาณธาตุ ธาตุรู้แท้ๆแล้ว ธรรมธาตุ ตัวนี้ แล้วอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่นี้ ถูกอริยมรรคแหวกออก แหวกออกทำลายออก ก็ล้างกิเลส ล้างในพริบตาเดียว ในขณะเดียว วับเดียว ขาดเลย
มันคล้ายๆ เปิดสวิตช์ไฟปั๊บ สว่างวูบเดียว ความมืดหายไปเลยนะ ในพริบตานั้นเลย จิตถัดจากนั้นนะ จะเห็นพระนิพพานอีก ๒ – ๓ ขณะ เห็นไม่เท่ากันหรอก บางคนเห็น ๒ ขณะ บางคนเห็น ๓ ขณะ ถ้าพวกอินทรีย์กล้ามากๆก็เห็น ๓ ขณะ พวกอินทรีย์ไม่กล้ามาก ก็เห็น ๒ ขณะ
เพราะฉะน้นพระอริยะในภูมิเดียวกันนะ ระดับเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน ความแตกฉานอะไรอย่างนี้ไม่เท่ากัน เห็นพระนิพพาน ก็รู้ว่าพระนิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานไม่เคยหายไปไหน อยู่ต่อหน้าต่อตานี้แหละ แต่โง่เอง ไม่เห็น
ทำไมไม่เห็น มัวแต่เห็นแต่กาม มัวแต่เห็นรูปภพ มัวแต่เห็นอรูปภพ จิตไม่รู้จักปล่อย ตรงที่เขาปล่อย เขาข้ามแล้ว เขาทิ้งแล้ว ตรงโคตรภูญาณที่จิตข้ามโคตรน่ะ ข้ามจากปุถุชน มาเป็นพระอริยะ ข้ามทิ้งตรงนี้ มันทิ้งหมดเลยนะ มันทิ้งกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทิ้งหมดเลย ข้ามมาสู่อริยภูมิ โลกุตรภูมิ ข้ามเอง
ทีนี้พวกเราก็มีหน้าที่ภาวนาให้มันพอเท่านั้นแหละ ถ้ามันพอเมื่อไหร่ มันก็ข้ามโคตร เปลี่ยนสกุล ก็ไม่ใช่นามสกุลเดิม โดยสมมุติบัญญัติก็เป็นนามสกุลเดิม โดยปรมัตถ์แท้ๆก็ไม่ใช่ละ ก็มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเวลาพระพุทธเจ้าท่านพูดถึงพระอริยะนะ ท่านจะบอกว่า ลูกของเรา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
“…(เมื่อเอาสติมาดูความคิด
มันคิด รู้-เห็น-เข้าใจ-สัมผัสได้แล้ว)
ให้เราเห็นวัตถุ-เห็นปรมัตถ์-เห็นอาการ
‘วัตถุ’ หมายถึง ‘ของที่มีในโลก
ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคนและจิตใจของคนและสัตว์’
‘ปรมัตถ์’ หมายถึง ‘ของที่มีอยู่จริง
กำลังเห็นอยู่-เป็นอยู่เฉพาะหน้า สัมผัสได้ด้วยใจ’
‘อาการ’ หมายถึง ‘การเปลี่ยนแปลง’
สมมติ-น้ำสีเต็มกระป๋อง เดิมคุณภาพดี ๑๐๐%
ถ้าเอาไปย้อมผ้า มันจะติดเนื้อผ้าไป ๑๐๐%
เมื่อเรารู้-เราเห็น-สัมผัสได้ทางจิตใจ
น้ำสีปริมาณเต็มกระป๋องเหมือนเดิม แต่คุณภาพเสื่อมไปแล้ว
เอาไปย้อมผ้า จะไม่ติดเนื้อผ้าอีกเลย
อันนี้ต้องเห็น-ต้องรู้จริง ๆ
แล้วเห็น ‘โทสะ-โมหะ-โลภะ’
แล้วให้ ‘เห็นเวทนา-เห็นสัญญา-เห็นสังขาร-เห็นวิญญาณ’
เห็น-รู้-สัมผัสได้ เข้าใจจริง ๆ เรื่องนี้...ไม่ต้องสงสัย
ตอนนี้จะเป็นปีติเพียงเล็กน้อย
ปีติจึงเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมเบื้องสูง
เราไม่ต้องข้องแวะกับปีตินั้น เราต้องมาดูความคิด
นี้เป็นอารมณ์ปรมัตถ์ขั้นต้น
ของการเจริญสติแบบนี้ของผู้มีปัญญา
ให้ดูความคิดต่อไป
มันจะปรากฏมีความรู้-หรือญาณ-หรือปัญญาญาณเกิดขึ้น
เห็น-รู้-เข้าใจ ‘กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม’
ฉะนั้น ความยึดมั่นถือมั่นจะจืดลง-คลายลง-จางลง
เหมือนกับน้ำสีที่ไม่มีคุณภาพ ย้อมผ้าจะไม่ติด
ก็จะเป็นปีติขึ้นมาอีก ไม่ต้องข้องแวะกับปีตินั้น
ให้ถอนความพอใจและความไม่พอใจออกเสีย
ให้ดูความคิดต่อไป ดูจิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่
มันจะมีญาณชนิดหนึ่งปรากฏเกิดขึ้น
เห็น-รู้-เข้าใจ ‘ศีล ศีลขันธ์-สมาธิขันธ์-ปัญญาขันธ์’
หรือ ‘อธิศีลสิกขา-อธิจิตตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา’
‘ขันธ์’ แปลว่า ‘รองรับ หรือต่อสู้’
‘สิกขา’ แปลว่า ‘บดให้ละเอียด หรือถลุงให้หายไป’
‘ศีล จึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ’
กิเลสอย่างหยาบ คือ โทสะ-โมหะ-โลภะ นี่เอง
(รวมถึง)กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม
เมื่อโทสะ-โมหะ-โลภะ
กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม จืดจางคลายไปแล้ว
ศีลจึงปรากฏ
‘สมาธิ เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง’
กิเลสอย่างกลาง คือความสงบ
คือ เห็น-รู้-เข้าใจจำพวก ‘กามาสวะ-ภวาสวะ-อวิชชาสวะ’
เพราะกิเลสเหล่านี้เป็นกิเลสอย่างกลาง ทำให้จิตใจสงบ
อันนี้เป็นอารมณ์หนึ่งของการเจริญสติแบบนี้
เมื่อรู้อย่างนี้-เห็นอย่างนี้
มันจะไปรู้การให้ทาน-รักษาศีล-ทำกรรมฐานอีกด้วย
ทุกแง่-ทุกมุม…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ทางบรรลุธรรม เมื่อภาวนาเป็นแล้ว ก็ต้องภาวนาให้เต็มที่ เพื่อเข้าถึงภาวะ สักว่ารู้ สักว่าเห็น
หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำไปเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งก็พบว่า เอ๊.. ทำยังไง ดีก็ไม่ถาวร สุขก็ไม่ถาวร สงบก็ไม่ถาวร ตัวผู้รู้ก็ไม่ถาวรนะ ตัวผู้รู้เกิดได้ก็กลายเป็นตัวผู้คิดได้ ยังกลายเป็นตัวผู้เพ่งได้ มีแต่ของไม่ถาวร ก็พย้ามพยามนะ อยากจะให้ดีถาวร สุขถาวร สงบถาวร
ถามใจของพวเราดู ที่เราปฏิบัติ เราอยากได้ตรงนี้ใช่มั้ย อยากได้ มรรค ผล นิพพาน จริงๆเพราะอะไร มรรค ผล นิพพาน มันน่าจะดีถาวร มันน่าจะสุขถาวร มันน่าจะสงบถาวร เราอยากได้สิ่งเหล่านี้
ถ้ามีสติปัญญามาก ก็อยากจะได้ มรรค ผล นิพพาน เพื่อจะดีถาวร สุขถาวร สงบถาวร ถ้าโง่กว่านั้นนะ ก็ไปทำสมาธิ ทำอะไรขึ้นมา ก็ดีเหมือนกัน ดีช่วงที่มีสมาธิอยู่ สงบช่วงที่มีสมาธิอยู่ สุขช่วงที่มีสมาธิอยู่ พอมันเสื่อมแล้วก็หาย
ไปอีก ก็ต้องมาทำอีก นี่ก็แล้วแต่สติ แล้วแต่ปัญญา บางคนก็อยากได้มรรค ผล นิพพาน ก็เพราะว่ามันดี มันสุข มันสงบ นั่นแหละ
ทีนี้ตะเกียกตะกายนะ หาสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อย คิดว่าถ้าเราฝึกได้ดี เต็มที่แล้ว วันหนึ่งจิตของเราจะดีถาวร สุขถาวร สงบถาวร แล้วคิดก็ว่าจิตเป็นเรานั่นแหละ คิดจะทำมันให้ดีให้ได้ คิดจะทำมันให้สุขให้ได้ คิดจะทำมันให้สงบให้ได้ ดีชั่วคราว สุขชั่วคราว สงบชั่วคราว เราก็ไม่พอใจ จะเอาถาวร
สุดท้ายเนี่ย พากเพียรแทบล้มแทบตายนะ ก็พบว่า ดีก็ชั่วคราว สุขก็ชั่วคราว สงบก็ชั่วคราว จิตผู้รู้ก็ชั่วคราว อะไรๆก็ชั่วคราวไปหมดเลย ไม่เห็นมีตรงไหนเลยที่มันจะถาวรได้ จิตยอมรับความจริงตรงนี้ได้นะ จิตก็หมดแรงดิ้นละ จะดิ้นไปทำไมล่ะ ดิ้นหาดี หาสุข หาสงบ ดิ้นยังไงก็ไม่มี มีก็มีชั่วคราวเดี๋ยวก็หายไปอีก เนี่ย จิตจะหยุดแรงดิ้นนะ หมดแรงดิ้น แต่จิตที่หมดแรงดิ้นเพราะดิ้นมาสุดขีดแล้วนะ สติก็สุดขีดแล้ว สมาธิก็สุดขีดแล้ว ปัญญาก็สุดขีดแล้ว
สติสุดขีดก็คือ ไม่เจตนาจะรู้ ก็รู้ๆๆ รู้ทั้งวันเลย รู้ทั้งคืนด้วย สมาธิก็จิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้อยู่อย่างนี้ ไม่เป็นผู้หลงนะ อย่างมากก็หลงแว้บๆ แล้วก็กลับมาเป็นผู้รู้อย่างรวดเร็ว จะทำสมาธิให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง จะทำสติให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง จะเจริญปัญญาให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง มันจนมุมไปหมดเลย
คือสติก็ทำมาจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว สมาธิทำจนไม่รู้จะทำยังไง ปัญญาก็ไม่รู้จะพลิกแพลงไปพิจารณาอะไรอีกต่อไปแล้ว เนื่ยจิตถ้าภาวนามาจนสุดขีดนะ มันจะเข้ามาสู่ภาวะแห่งความจนมุมนี้ มันจะหยุดแรงดิ้น มันจะหมดความอยากว่าจะทำยังไงจะพ้นทุกข์ได้ ทำยังไงจะสุขถาวร ทำยังไงจะดีถาวร ทำยังไงจะสงบถาวร เพราะมันดิ้นมาสุดฤทธิ์สุดเดชแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง มันทำไม่ได้สักทีหนึ่ง
พอ"จิตหมดแรงดิ้น"แล้ว "จิตก็สักว่ารู้ว่าเห็น" ตรงนี้แหละสักว่ารู้ว่าเห็นขึ้นมา…
ถ้าจิตเราฉลาด เราก็ก็ไม่ไปยึด แต่วาง
เป็นแค่ผู้รู้เฉยๆ รู้เท่าแล้วปล่อยไปตามสภาวะ อันนั้นลักษณะของจิตกับเวทนาทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้
แม้ว่าเราเจ็บป่วยขึ้นมา เราก็ยังรู้สึกว่า"เวทนา"มันก็เป็นเวทนา "จิต"มันก็เป็นจิต เป็นคนละอย่างกันอยู่