สังขารคือกาย-ใจ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากจุดหนึ่งเพิ่มเป็นหลายๆจุด จนเป็นกองรูปกองนาม เมื่อก่อตัวเต็มที่จนกลายเป็นสภาวะธรรมขึ้นมา แล้วตั้งตัวเต็มที่ ที่สุดก็อ่อนกำลังและสลายตัวดับลงไปหมด จะตั้งอยู่นานหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ตัวอุปทาน ถ้าไม่มีอุปทานเข้าไปยึด เขาก็จะดับลงเร็ว แต่ถ้ามีอุปทานเข้าไปยึดก็จะตั้งอยู่นานตามที่อุปทานยังคงอยู่ และตัวอุปทานเองก็ยังเป็นกองสังขาร เริ่มก่อตัวมาจากจุดหนึ่งและเพิ่มขึ้นเป็นนามธรรม เมื่อเติบโตเต็มที่จนเป็นสภาวะธรรมแล้วก็ดับลง สิ่งที่แสดงอาการกิริยาออกมา ล้วนเป็นอาการของขันธ์ทั้งหมด บังคับไม่ได้เพราะเขาเป็นธรรมชาติ ควรปล่อยให้เขาทำหน้าที่ไป เราเพียงแค่รู้เบาๆในกองสังขาร อย่าเก็งอย่าเพ่ง จงเอาตัวรู้ยกออกมาจากสังขารนั้น จนรู้หลุดลอยตัวออกมาอยู่ภายนอกอย่างอิสระ และมีสติเบาๆในรู้ ปล่อยให้กองสังขาร ที่เป็นสิ่งที่ถูกรู้ทำหน้าที่ก่อตัว แล้วสลายไปเป็นตามธรรมชาติ " สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง การเข้าไประงับความยึดมั่นถือมั่นต่อสังขารเหล่านั้นเป็นสุข"
พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท
แค่ไปรู้ความรู้สึก
ร้อาการของกาย เป็นเพียงผู้แบดู ชำเลืองรู้
ดูหนู ดูแมว เรียนรู้ ผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้
***ธรรมชาติของรู้ มันไม่จำ***
รู้อยู่กับรู้..ไม่ขาดทุน แต่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ขาดทุน เพราะเอารู้ไปแทรก
เน้นเรียนรู้อาการ ไม่เรียนรู้ทำคือไม่ต้องทำอะไร รู้อย่างเดียว
#หัวใจของการปฏิบัติที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมะได้ง่ายมีหนทางอยู่ การปฏิบัติที่ผ่านมาที่ทำให้เราเสียเวลาเพราะไม่เข้าใจวิธี
ถ้าเราเข้าใจวิธีไม่ใช่เรื่องยาก เพราะการฝึกฝนปัญญามี3ช่องทางสุตตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟังหรือการอ่าน
จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดตรึกตรองหรือการโยนิโส
#ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการเข้าไปดูสภาวะโดยที่เราไม่ต้องตรึกไตร่ตรองหรือใช้เหตุผลไม่ต้องใช้โยนิโส
หนทางนี้ทำให้เราเข้าถึงได้ง่ายๆและวิธีง่ายๆคือการเข้าไปแตะเบาๆ การแตะทำให้เราเข้าไปถึงเนื้อแท้ของสภาวะ
#สภาวะที่เราหวั่นไหวที่สุดคือ"ความรู้สึก"
เพราะเราไม่เท่าทันต่อความรู้สึกทางกาย
ทางอายตนะคือทางหู ทางตา ทางจมูก ลิ้น กาย
เมื่อแตะที่กาย สภาวะใดๆที่ผ่านเข้ามากระทบอายตนะทางกาย ทางใจ จะทำให้เรามีความรู้เท่าทันต่อสภาะนั้นๆ
เพราะการเฝ้าอยู่กับกายกับใจ #การเฝ้าอยู่กับกายกับใจไม่ได้เป็นภาระ เพราะเราไม่ได้ตั้งสติเพื่อไปเรียนรู้ทุกอย่าง
แค่ เอา"รู้"ไปฝากเบาๆไว้กับกายกับใจ มันจึงเป็นการวางรู้อย่างไม่เป็นภาระเพราะเราไม่ได้เอาสติมากเกินไม่ได้เอาสมาธิมากเกิน มันจึงง่าย
#เพราะเป็นการปฏิบัติแบบไม่ต้องจำ ไม่ต้องใช้ความคิด รู้ที่ฝึกไว้ดีแล้ว การรู้เบาๆแตะเบาๆ ภาระของรู้จึงไม่มี
เพราะมันรู้เบาๆรู้ซื่อๆรู้โง่ๆ แต่ไม่ได้โง่เพราะธาตุรู้จะฉลาดขึ้น จากกการแตะเบาๆภาระต่างๆจึงหมดไป
แม้เราใช้"รู้"เข้าไปแตะก็ไม่ได้เป็นภาระ เพราะรู้โดยไม่ต้องจำ ไม่ต้องคาดหมาย คาดหวัง รู้โดยที่ไม่ได้คิดปรุงแต่งนั่นจึงหมดภาระ"รู้"มันจึงเบา
#ดังนั้นการเรียนรู้ทางธรรม จึงต่างจากทางโลกอย่างสิ้นเชิง เรียนรู้ทางโลกต้องใช้ความคิดตลอด ต้องใช้ความจำตลอด
เพราะเราต้องการข้อมูลเหล่านั้นเอามาใช้กับทางโลก แต่ในทางธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องจำ เราไม่จำเป็นต้องคิด และเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย #แค่เอา"รู้"ไปฝาก และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ"รู้"ให้เขาเรียนรู้ไป
การที่เราไม่ได้จำ ไม่ได้คิดนั้นเราจะได้ข้อมูลใหม่ๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ข้อมูลนี้เกิดขึ้นในใจภายในกายตลอดเวลา.
"พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท"
ระหว่างจิตกับวิญญาณมันต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่อาศัยกันอยู่ เราไม่สามารถจะเห็นจิตได้แต่เราสามารถรับรู้ได้จากวิญญาณ...
เพราะฉะนั้นตัวรู้มีหน้าที่รู้รับรู้อย่างเดียวแต่ที่มัน #รับรู้ได้เพราะยังอาศัยกายอยู่ถ้าวิญญาณนี้ไม่มีร่างกาย เป็นตัวสื่อ เป็นกระจก เป็นจักขุวิญญาณ เป็นโสตวิญญาณ ตัวรู้นั้นก็ไม่สามารถจะไปรับรู้ภายนอกได้ก็แค่ #รู้ซื่อๆ อยู่ภายใน...
เพราะฉะนั้นรู้ตัวนี้มันต่างกับจิตโดยสิ้นเชิง เปรียบเทียบก็เหมือนกับลม #ลมกับใบไม้ เวลาลมพัดโยมเห็นอะไรใบไม้ไหวใช่มั้ย นั้นหน่ะอาการที่ไหวคืออาการของใจ...
เช่น ความรู้สึกมันไหว ความจำเคลื่อนไหว ความคิดเคลื่อนไหว และรู้เคลื่อนไหว เกิดขึ้นได้เพราะจิต ลมเป็นพลังงานเป็นธรรมชาติมี #ความอิสระ แต่มันทำให้ใบไม้ไหวได้แต่เรากลับไปหลงอาการของใบไม้ว่าเป็นจิตไหว...
ดังนั้นตราบใดที่ยังมีลมอยู่เราห้ามไม่ให้ใบไม้ไหวไม่ได้ลมก็มีหน้าที่พัดไป หากว่าไม่มีต้นไม้มีแค่ลมอย่างเดียวมันก็ไม่มีอาการไหวให้เราสัมผัสได้หรือมีแค่ต้นไม้แค่ใบไม้ไม่มีลมมันก็ไม่ไหว...
เหมือนคนที่มีกายแล้วไปตายเนี่ยตัวยังอุ่นอยู่รูปร่างหน้าตาสมบูรณ์อยู่แต่เขาไม่มีอะไรไหวแล้วก็คือไม่มีใจแล้วเพราะไม่มีจิต เพราะจิตออกจากร่างไปแล้วพร้อมกับวิญญาณจึงไม่มีอะไรไหว...
เพราะฉะนั้นการไหวของใบไม้ก็คือเป็นสภาวะที่เกิดดับ เพราะฉะนั้นจิตดวงนี้ก็คือพลังงาน ลมหน่ะมันว่างเปล่าจิตมันก็ว่างเปล่า จิตเดิมแท้มันเบาอยู่แล้วเหมือนลมที่มันเบาอยู่แล้วเป็นปกติ
"พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท"
การภาวนาเพื่อฝึกความตั้งมั่น ไม่ได้หมายความว่า ต้องท่องบริกรรมเพื่อให้เข้าถึงความสงบ จงฝึกสมาธิตั้งมั่นไว้ในขณะที่ เราทำงาน หรืออาบน้ำ ขับถ่าย ดื่มกิน เดิน ยืน นั่ง นอน ในอิริยาบทนั้นๆ ตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมาจนเข้านอน ถือเป็นการปฏิบัติ มีสติตั้งมั่นได้หมด
เพียงแค่เราเอาสติตั้งไว้ที่กายและลมหายใจเบาๆเป็นประจำ และเขาจะมีความคุ้นเคยกับกายและลมหายใจ จนเป็นที่อยู่ของสติแบบอัตโนมัติ
จิตเขาจะเห็นโทษของการส่งออกนอก เวลามีอะไรมากระทบทางอายตนะภายในเขาจะกลับเข้ามาตั้งมั่นที่กายและลมหายใจทันที นี่คือการภาวนาแบบไม่ต้องมีคำบริกรรม เพราะการบริกรรมเป็นเพียงแค่พื้นฐานของการปฏิบัติ ถ้าถึงเวลาแล้วมัวแต่บริกรรมภาวนา กิเลสมันมาไวไปไว เกิดดับจนเราตามไม่ทัน
หากเราไม่ฝึกแตะไว้ที่กายและลมหายใจเบาๆ
และระลึกรู้ใจเบาๆไว้แล้ว เวลาอะไรเกิดขึ้นเราจะไม่รู้ตัวเลย มารู้ตัวอีกทีก็ไม่ทันแล้ว
สังขารจับและเกาะไปกับอารมณ์และกับสภาวะนั้น เตลิดไปไหนต่อไหน ขาดสติหลงเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่มากระทบ
ฉะนั้นจงฝึกหัดตั้งมั่นไว้ที่กายและลมหายใจเบาๆ ไม่ต้องรอเวลา การกำหนดเวลา และสถานที่ว่าจะทำตรงนั้น ทำตรงนี้ เวลานั้น เวลานี้ ถือว่าเราประมาท...
หลักสูตร
1 เมื่อไม่รู้อาการ ... จะวางอาการไม่ได้
2 ใจพูดได้ มาเป็นภาษานั่นคือสภาวะที่ควรรู้
"""""""""""""""""""
1 ปฏิบัติ ไม่ได้ยากอย่างที่เราปฏิบัติกัน(1)
- กาย / ใจ / จิต
- จิตที่มั่นคงต่อความเป็นกลาง
- สงบตัวนี้ก็คือ ความสงบระงับ สงบจากความยึดมั่น ถือมั่น
กราบนมัสการค่ะพระอาจารย์🙏 โยมฟังคลิปของพระอาจารย์มาหลายคลิปแล้ว... โยมเข้าใจว่าให้ตามรู้และพิจารณาการทำงาน การเกิด ดับ ของธาตุ 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ที่อยู่ในกายสังขารของเรา และขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) คือพิจารณาให้รู้ให้เห็นการเกิด ดับ ของธาตุ 4 ขันธ์ 5 ให้รู้แจ้งความจริงในทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น ว่ามันมีเกิด มีการตั้งอยู่ และดับไป เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลาจวบจนถึงวันที่กายสังขารนี้จะหยุดการทำงานไปเอง
จึงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะยึดติดกับสิ่งใดเลย โยมนั่งสมาธิได้สงบยาวนานมากขึ้น และไม่เพ่ง ไม่บังคับจิตเหมือนแต่ก่อน และโยมตามดูตามรู้ว่าจิตกำลังคิดอะไร แล้วค่อยพิจารณาสิ่งที่เขากำลังคิด ว่าเป็นกุศล หรืออกุศล เหมือนว่าจิตแยกเป็น 2 ส่วน หรือมีจิตซ้อนจิตอีกที คือมันแยกกันชัดเจน ...ถ้าหากสิ่งที่โยมเข้าใจมาทั้งหมดนี้ถูกต้องแล้ว โยมขอกราบขอบพระคุณในธรรมของพระอาจารย์สาธุ..เจ้าค่ะ🙏🙏🙏
2 ปฏิบัติ ไม่ได้ยากอย่างที่เราปฏิบัติกัน(2)
#กายคือธรรมชาติซึ่งรวมตัวมาจากดินของพ่อจากน้ำของแม่ เสร็จแล้วถูกฟูมฟัก จนกลายเป็นรูปร่างขึ้นมาเวทนาก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติหนึ่งซึ่งมีกายเป็นฐานรองรับ
#สัญญาการจำได้หมายรู้ก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอันหนึ่งที่มีร่างกายเป็นตัวรองรับ
#สังขารความคิดปรุงแต่งก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอันหนึ่งซึ่งมีร่างกายเป็นตัวรองรับ ดังนั้นสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนมาจากกายทั้งสิ้น
ตั้งอยู่ก็เพราะการดับไปก็เพราะกาย ดังนั้นทุกอย่างทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกายมีกายเป็นเหตุเป็นปัจจัย แล้วก็ย่อมดับเพราะกายดับไปสิ้น แต่ธาตุรู้นี้ยังทรงอยู่
ดังนั้น #ธาตุรู้อาศัยอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยธาตุรู้นี้อาศัยจิตเป็นเหตุเป็นปัจจัย จึงปล่อยให้จิตล่องลอยไปเกิด ปัญหาก็คือให้เรามาปฏิบัติย้อนศรก็คือมาเรียนรู้กายเรียนรู้เวทนาเรียนรู้จิตเรียนรู้ธรรม เพื่อเป็นการถอดถอนการยึดมั่นถือมั่นกายในกายในเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรม
เพื่อเราจะได้ปล่อยวางกาย ธาตุรู้ที่ฝึกไว้ดีแล้วจากการเข้าไปแตะเบาๆธาตุรู้จะเกิดวิชชาขึ้น เมื่อธาตุรู้เกิดวิชชาขึ้นแล้วด้วยการแตะถอยๆ ธาตุรู้เขาก็จะเห็นตัวเขาเอง
หลังจากธาตุรู้ถอยออกมาจากสิ่งที่ถูกรู้ถูกอาศัยก็คือกายกับใจทั้ง 3 ตัว จนธาตุรู้เห็นว่ากายนี้ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จนธาตุรู้นี้เห็นว่าเวทนาสัญญาสังขารนี้ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
เพราะมีรู้เป็นตัวตั้ง มีมโนวิญญาณเป็นตัวรับรู้ เมื่อวิญญาณเข้าไปเรียนรู้สิ่งที่เขามาอาศัยแล้ว จนหายสงสัย แล้วเราก็พลิกวิญญาณให้มารู้ตัวเขาเอง เอาธาตุรู้มาเรียนรู้ตัวเขาเองด้วยการจดจ่ออยู่กับรู้ในรู้
เมื่อจดจ่ออยู่กับรู้ในรู้แล้ว ตัวรู้ตัวนี้เขาจะถอยตัวออกมาเห็นสภาวะของรู้ #รู้ดั้งเดิมที่ไม่มีการฝึกฝนมันจะเป็นรู้ของอวิชชา
และรู้ตัวใหม่ที่เขาฝึกฝนดีแล้วถอยออกมาตัวนี้จะเกิดพัฒนาการเรียนรู้ขึ้นเป็นความรู้ของวิชา #ดังนั้นรู้ของวิชามันไม่รู้อะไรเลยมันไม่เข้าใจอะไรเลยและมันหลงทุกอย่างที่มันเรียนรู้มา
ดังนั้นตัวรู้ตัวใหม่ที่เราสร้างขึ้นมาเนี่ย เพื่อพัฒนาจากสิ่งที่ไม่รู้ให้มันรู้ขึ้นมาจึงเป็นความรู้เกิดขึ้นของวิชาในวิญญาณ เป็นวิชาของธาตุรู้และวิชาของธาตุรู้มันจะเป็นความรู้แจ้งความรู้จริง เพราะเขาถอยออกมาจากสภาวะ
ดังนั้นที่หลวงปู่ดุลย์บอกว่าเมื่อพบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้เมื่อพบจิตให้ทำลายจิตนี่คือขั้นตอนของการทำลายรู้ทำลายจิต
#จากสิ่งที่ได้กล่าวมาคือสิ่งที่ถูกรู้ทั้งหมดจะเป็นกายก็ดีเป็นเวทนาก็ดีเป็นสัญญาก็ดีเป็นสังขารก็ดีนั่นคือสิ่งที่ถูกรู้ถูกอาศัยทั้งหมด
#เมื่อธาตุรู้มันหายสงสัยในรูปเวทนาสัญญาสังขารหมดสิ้นแล้วตอนนี้ก็เหลือธาตุรู้ตัวเดียวที่มันต้องมาเรียนรู้ตัวมันเอง เพื่อจะได้หายสงสัยตัวมันเองเหมือนที่มันหายสงสัยรูป เวทนา สัญญาสังขาร
เราก็ต้องเอารู้มาเรียนรู้ ดังนั้นการแตะรู้แล้วถอยออกมา เพื่อเราจะได้เรียนรู้ธาตุรู้ด้วยตัวเขาเอง จนเห็นธาตุรู้ที่แตะแล้วมันถอยออกนี้จนธาตุรู้มันเบาบางจางลงไปๆ แล้วธาตุรู้ตัวที่2ก็จะจางแล้วดับไปในที่สุด
เพราะธาตุรู้ตัวนี้เป็นตัวที่เราสร้างขึ้นมาจากการเข้าไปแตะแล้วถอยออกมาตัวนี้คือตัวที่เราสร้าง มันเป็นสภาวะของธาตุรู้หยาบๆ
ถ้าเราเอาตัวรู้ตัวใหม่มาเรียนรู้ธาตุรู้ตัวหยาบๆจะได้ธาตุรู้ตัวใหม่เกิดขึ้น เรียกว่าธาตุรู้อันละเอียด ธาตุรู้อันละเอียดนี้จะเป็นธาตุรู้ตัวใหม่ที่เราฝึกแล้วถอยออกมาเป็นตวใหม่เกิดขึ้น
เคล็ดลับของการฝึกฝนคือ อย่าไปจมอยู่กับสภาวะให้ออกมาจากสภาวะ เพื่อเราจะได้แจ้งสภาวะ
เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกล้วนๆโดยที่ไม่มีความจำ โดยที่ไม่ได้คาดหวังคาดหมายใดๆ
ตรงนี้ต่างหากที่นักปฏิบัติธรรมควรฝึกฝนเรียนรู้ ตรงนี้มันจะเป็นปัจจัตตังก็คือย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง
ถึงจุดหนึ่งแล้วธาตุรู้ที่มันถอยออกมามันจะรู้ตัวมันเองว่ามันถอยออกมาจากอะไร
ดังนั้นเบื้องต้นเราต้องฝึกรู้ให้มีกำลังเมื่อธาตุรู้มีกำลังเราก็เอารู้ออกมาจากกาย
เหมือนตอนยิงจรวดออกนอกโลกไปสู่ดวงจันทร์ตอนยิงจรวดต้องใช้พลังงานขับเคลื่อนเพื่อให้พ้นจากแรงดึงดูดของโลก เมื่อหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของโลกเขาก็จะทิ้งจรวดขับดันเชื้อเพลิง เหลือแต่หัวจรวดซึ่งลอยอยู่เหนืออวกาศไม่มีแรงดึงดูดแล้ว
ในเบื้องต้นของการฝึกรู้ก็เช่นเดียวกัน เราต้องเอารู้เป็นพลังเพื่อส่งรู้จนถึงชั้นบรรยากาศของสภาวะนั้น #แล้วเราก็ทิ้งรู้เพื่อเอารู้มาอยู่เหนือรู้โดยมีตัวรู้อีกตัวหนึ่งมาแทนที่เพื่อทิ้งตัวรู้อยู่ข้างล่างไม่เห็นไม่รู้ในรู้เห็นโลกใบนี้ได้ชัดเจนเพราะว่าเราถอยออกมาจากกาย เห็นกายของเราก็เหมือนโลกหนึ่ง เห็นใจของเราก็เหมือนโลกหนึ่ง เหมือนกายคนอื่นเหมือนใจคนอื่น
#การถอยออกมานี่คือเคลล็ดลับ หากเราไม่ถอยออกมาจากกายเราก็จะไม่เห็นกาย ถ้าหากว่าเราไม่ถอยออกมาจากใจเราก็จะไม่เห็นใจ
ดังนั้นการเรียนลัดที่สั้นและตรงที่สุดคือการแตะแล้วถอยออกมาจนรู้สึกว่าเบาและรักษาระยะความเบาเอานั้นไว้ เรียนรู้ได้ชัดเจนกว่า ดีกว่าที่เราเอารู้ไปอยู่ภายใน การปฏิบัติจึงง่ายเมื่อเรารู้วิธี.
พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท.
วิธีการปฏิบัติธรรมแบบ "ไม่ต้องปฏิบัติ" โดยพระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท ท่านมีความตั้งใจที่จะนำพระธรรมคำสอนในเรื่องของขันธ์ ๕ อันเป็นเส้นทางที่ถูกตรงตามหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นหัวใจของการดับทุกข์ และเป็นจุดที่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้ มาแนะนำให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ได้เข้าใจเส้นทางเดินนี้ เพื่อที่ใครจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาดังที่ท่านเคยเป็นมา ไม่คิด ไม่จำ ไม่ทำ แค่ "รู้" อย่างเดียว ติดตามเพิ่มเติมทาง 1 - ถามตอบปัญหาธรรม LINE Open chat : https://line.me/ti/g2/UVSBS9J0LA 2 - Facebook : https://goo.gl/fDPiQU 3 - Website : www.phrachanon : https://goo.gl/go7vro 4 - YouTube : https://goo.gl/Kf7zbM 5 - LINE @ : @phrachanon -- https://line.me/R/ti/p/%40phrachanon 6 - Google Drive (ฟรี! ดาวน์โหลดไฟล์เทศน์ MP3) : https://bit.ly/3baK4EG 7 - Soundcloud : https://goo.gl/s2UK6c ติดตั้ง App soundcloud(Android) --https://goo.gl/FFJxaL ติดตั้ง App soundcloud(iPhone) --https://goo.gl/HG9mha 8 - ตารางกิจนิมนต์ปี 2563 -- https://bit.ly/39Kq7Do
เราคือผู้มีอาการ*** นิพพานดับไปจากอะไร ?
เอารู้ ไปเรียนรู้ การทำงานของกายของใจที่เขาปฏิบัติอยู่
รู้อย่างสงบ...รู้แบบมีสคิ รู้แบบไม่มีสติ รู้อยู่เหนือทุกสิ่ง สังขารต้องลอย ต้องฟุ้ง
[ถาม-ตอบ] ทำอย่างไรให้รู้มีกำลังมากขึ้น
อาการ รู้ อาการ ความรู้สึก รู้ ความรู้สึก
ดูความรู้สึกอย่างเดียว ให้หลุดพ้นจากอาการ
(ธรรมชาติ สอนธรรมชาติ)
แกะ
ฝึกปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงสภาวะ-สภาวะธรรม คือ ความรู้สึก(ปรากฏการของความรู้สึกทั้งสิ้น)
ผ้สสะ สร้างความคิด
สติเบา ๆ
สติมาก ใช้ในสมถะ
พอใจ ไม่พอใจ มายังไง
ฐานของการเรียนรู้สภาวะธรรม
รูัอาการของกาย รู้อาการของใจ ตามเป็นจริง รู้ จะปล่อยวางเอง
การแสดง หรืออาการ จะสอนธาตุรู้ ฉลาดต่อความรู้สิกทางกาย ฉลาดต่อความรู้สึกทางใจ
อาการเฉย ๆ เรียกว่าอาการของใจ
เอารู้ ส่องดูสภาวะ ความรู้สึกที่ปรากฏสุข-ทุกข์ เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง
ปรมัตตธรรมคือ สภาวะล้วน ๆ ไม่มีชื่อธรรมชาติไม่มีอะไร มีแต่เกิดและดับ และ ที่เกิดและดับ คือความรู้สึก
จิตคือสภาวะปกติ ไม่ว่างเปล่า แต่ทรงอยู่