พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 13 เมษายน 2561
ตอนที่ 315 **อานิสงส์ของการเป็นพระสกิทาคามี**
+ +
ในเช้าของวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถาม ถึงเรื่องของการเป็น*พระสกิทาคามี* น่ะเจ้าค่ะ
ลูกอยากจะทราบว่า ถ้าเราประพฤติ ปฏิบัติ - จนเราได้เป็น *พระสกิทาคามี*แล้ว
เราจะได้รับอานิสงส์ ความสุข ความเจริญแก่เรา แก่ดวงจิตแห่งเรา อย่างไรบ้างหรือเจ้าคะ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้ที่สามารถฝึกฝนอบรมตน ทำความดีจนนำพาตนนั้นเข้าถึงการเป็นพระสกิทาคามีนั้น ย่อมได้รับอานิสงส์ที่ดี - ดีกว่าพระโสดาบัน เป็นแน่แท้
เพราะการเป็นพระสกิทาคามี..
จิตนั้นจะเข้าถึงความสุข ความสงบ ได้มากกว่า
จิตนั้น จะห่างจากกิเลสตัณหาได้มากกว่า เบาบางกว่าพระโสดาบัน
และจะมาเกิดอีกเพียงแค่ชาติเดียว ก็จะสามารถบรรลุนิพพานได้
ฉะนั้น.. ความทุกข์ ย่อมเหลือน้อยกว่าพระโสดาบัน ลูก
* เหลือน้อยกว่า เพราะมาเกิดอีกแค่ 1 ชาติ
* เหลือน้อยกว่า เพราะว่าใจนั้นจิตนั้น อยู่ห่างจากกิเลสตัณหามากกว่า และเข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน ได้ใกล้กว่า
พระยาธรรมเอ๋ย.. ฉะนั้น อานิสงส์ที่พระสกิทาคามีทั้งหลาย ได้รับกันนั้น
- ย่อมเป็นความสุข ความสุขที่สงบ สงบเพราะจิตของเขาตั้งมั่น มุ่งตรงต่อหนทางแห่งพระนิพพาน
- เขาย่อมเป็นสุข เพราะจิตของเขาไม่เร่าร้อน ไม่ดิ้นรนขวนขวาย ไม่พยายามที่จะแสวงหาสิ่งทั้งหลาย - ที่เป็นสิ่งสมมุติ
เขาจะเข้าถึง และเข้าใจ - ถึงความไม่สวยไม่งาม ของทั้งตัวบุคคล และข้าวของ
จนเขานั้น..
ไม่ได้มีความเร่าร้อนอะไร ที่จะต้องดิ้นรนขวนขวาย เพื่อได้อะไรมาครอบครอง
เขานั้นไม่ได้มีการยึดติด ยึดมั่นถือมั่น กับตัวบุคคล และสิ่งของข้าวของ - มากจนเขาเป็นทุกข์ !
เขาจะสักแต่ว่า เห็นอยู่ ดูอยู่ รู้อยู่ เข้าใจ
ความทุกข์ที่ต้องพลัดพรากจาก แม้จะมีอยู่บ้าง.. แต่ก็เล็กน้อย
เขาย่อมสามารถสลัดออกจากจิตเขาได้ เมื่อเวลานั้นมาถึง
แม้จะมีอยู่ เขาก็ย่อมดูแลได้ดี..
ดูแลทั้งจิตใจของเขา
จิตใจของบุคคลผู้ที่อยู่ด้วย อยู่ร่วม
รวมถึงสิ่งของข้าวของต่างๆทั้งหลาย
-- เขาย่อมดูแลได้เป็นอย่างดี
คือ การดูแล โดยไม่ให้เข้ามาพัวพันกับจิตของตน / หรือว่าเอาจิตของตนไปพัวพันกับเขา...
เมื่อพระสกิทาคามี ทรงอารมณ์ไว้ได้เช่นนี้ ความทุกข์ย่อมเหลือน้อย
เพราะโดยปรกติแล้ว ทุกข์ของดวงจิตทั้งหลาย.. ก็คือ การยึดครองถือครอง ยึดเอาถือเอาตัวของเรา ตัวของบุคคลผู้อื่น สิ่งของ ข้าวของ มาเป็นตน / เป็นของตน
เมื่อต้องพลัดพรากจาก หรือมิได้เป็นตามใจตนปรารถนา - ตนย่อมเดือดร้อน และเป็นทุกข์
ย่อมปรารถนาจนต้องดิ้นรนขวนขวาย อย่างไม่รู้จบ - จนตนนั้นต้องเป็นทุกข์
บุคคลผู้ที่อยู่ด้วย อยู่ร่วม - ก็เป็นทุกข์
พระสกิทาคามี ต่างจากคนทั่วไป คือ..
ไม่มีการดิ้นรนขวนขวาย เพื่อได้มาครอบครอง - ทั้งตัวบุคคล และข้าวของแล้ว..
จิตตั้งมั่นอยู่ใน การทำความดี
จิตตั้งมั่นอยู่ใน องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ อย่างสงบ
เข้าใจใน *กฎแห่งกรรม* ได้ชัดเจนขึ้น
เมื่อมีสิ่งใดที่เกิดขึ้นกับพระสกิทาคามี ย่อมรู้ว่า เกิดจากเหตุไหน กรรมใดเป็นกรรมที่ส่งผลมา
รู้ได้ด้วยสติ ด้วยปัญญาอันสงบ อันรู้แจ้งของพระสกิทาคามี
และย่อมรู้ดีว่า จะแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร ?
จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในความสงบสุขแล้ว.. ย่อมแก้ไขปัญหาวุ่นๆเหล่านั้น ได้เป็นอย่างดี
ฉะนั้น.. *พระสกิทาคามี* จึงได้รับอานิสงส์
คือ ความสุข ความสงบ
คือ ดวงปัญญาอันแจ่มแจ้ง รู้ เข้าใจ เรื่อง *กฎแห่งกรรม*
คือ ดวงปัญญาอันแจ่มแจ้ง ที่รู้เหตุเกิด- รู้เหตุดับ รู้สิ่งที่ซ่อนอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง
คือ ความรู้แจ้ง ที่รู้ว่า..
- ตนนั้น ทำความดีใด.. แล้วจะปรากฏเป็นสิ่งใด
- ชำระกิเลสตัณหา เป็นอย่างไร ?
< เมื่อรู้สิ่งเหล่านี้ เข้าใจอย่างนี้.. ย่อมมีเครื่องป้องกันความทุกข์แห่งตน >
พระยาธรรมเอ๋ย.. ความสุขเพียงชั่วครั้ง ชั่วครู่ แห่งการทำสมาธิของปุถุชนธรรมดา หรือว่า ของดวงจิตใดก็ตาม.. ที่สามารถเข้าถึงความสงบ เพียงแค่แป๊บหนึ่ง หรือว่าพักเดียว ในระยะที่สั้น
ก็ยังรู้สึกถึงความสุข ความสงบ ที่ดีต่อจิตใจของบุคคลผู้ที่ได้ทำ
แต่พระสกิทาคามีนั้น.. จะมีจิตที่ทรงอยู่ในความสงบ อยู่ตลอด
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. ย่อมเป็นอานิสงส์ที่ดี ใช่ไหมล่ะลูก
จงกล่าวธรรมนี้มาเถิด.. พระยาธรรม
เมื่อเธอได้ฟังธรรม เรื่องของพระสกิทาคามี ในเรื่องต่างๆ รวมถึงเรื่องที่กำลังกล่าวนี้ด้วย
คือ การได้รับอานิสงส์เมื่อได้เป็นพระสกิทาคามี
เธอพอจะเข้าใจว่าอย่างไร หรือว่า มีธรรมใดที่เธอนั้นสงสัยอีกหรือไม่
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ตามที่ลูกได้ฟังธรรม เรื่องของพระสกิทาคามีมา ก็ทำให้ลูกก็พอจะเข้าใจว่า..
การเป็นพระสกิทาคามีนั้น..
/ ย่อมเป็นสุข
/ ย่อมพ้นทุกข์ได้มากกว่า พระโสดาบัน
ดวงจิตดวงนั้น
ย่อมสว่าง และสงบ มากยิ่งขึ้น
- ย่อมเป็นจิต ที่ห่างไกลจากกิเลสตัณหา มากขึ้นยิ่งกว่า
- ย่อมทำให้จิตดวงนั้น รู้แจ้ง มีปัญญารู้เท่าทัน สิ่งทั้งหลายที่เกิด - และดับ
ดวงจิตดวงนั้นย่อมสว่าง ผ่องใสตลอดเวลา เพราะว่า.. ดวงจิตดวงนั้น เข้าใจตามความเป็นจริง และ
ยอมรับความเป็นจริงในระดับที่สูงขึ้นแล้ว ละเอียดขึ้นแล้ว..
- ย่อมเป็นสุขยิ่งนัก
- ย่อมเป็นสิ่งที่จิตทั้งหลาย ขวนขวาย ปรารถนา ที่จะได้มา
และลูกก็ยังเข้าใจอีกหน่อยหนึ่ง อย่างนี้เจ้าค่ะ..
ว่าการที่เราได้รับเป็นพระโสดาบันแล้ว เรามีเพียงหน้าที่ ที่จะต้องทำความดี ทำความเพียรต่อไป..
จิตของเราจะเลื่อนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
จะไม่มีวันถอยกลับคืนสู่ที่ที่เรามา คือ มาจากกิเลสตัณหา
แล้วก็ถึงซึ่งพระโสดาบัน
แล้วก็ทำความดี.. มาถึงการเป็นพระสกิทาคามี
* จะไม่มีทางถอยกลับคืน.. จะมีแต่เดินหน้าเท่านั้น !
เพราะจิตพระอริยเจ้าทั้งหลาย.. ไม่สามารถสร้างกรรมชั่ว
เพียงแต่อาจจะทำกรรมดีช้าหน่อย หรือว่าชะล่าใจไปหน่อย
.. เลยทำให้ช้าไปนิดหนึ่ง / ช้ากว่าปรกติ..
-- แต่ไม่มีทางที่จะถอยกลับคืนสู่ การเป็นปุถุชนธรรมดาทั่วไป++
.. ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วละเจ้าค่ะ
- - -
ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น อานิสงส์แห่งการเป็นพระสกิทาคามีนั้น พอที่จะทำให้เธอมีความปรารถนาที่จะเป็น หรือเปล่าลูก ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
+ +
พระยาธรรม :: หมายถึง เป็นพระสกิทาคามี อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?
พระพุทธองค์ :: ถูกต้องแล้วละ พระยาธรรม.. หมายถึงปรารถนาที่จะเป็นพระสกิทาคามี
หมายถึงตัวของเธอเอง เธอปรารถนาที่จะเป็นหรือเปล่า ?
หากเป็นแล้ว ได้รับอานิสงส์ดังที่กล่าวมานั้น...
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกปรารถนาที่จะเป็นเจ้าค่ะ ปรารถนาอย่างยิ่งเลยละ เจ้าค่ะ
เพราะลูกคิดว่า การที่ดวงจิตนั้น.. ดำรงชีวิตอยู่บนความไม่อยากได้ อยากมี อยากเป็น
/ บนความไม่ดิ้นรนขวนขวาย
- คงเป็นชีวิตที่สงบสุข.. เพราะรู้จักพอเพียง พอประมาณในสิ่งที่มี -
ลูกคิดว่า.. ดวงจิตหนึ่งที่สามารถฝึกฝนตน จนละจากการครองคู่ การมีครอบครัว
การที่จะต้องมีสิ่งต่างๆทั้งหลาย มายึดมาติด
เช่น ถ้าเกิดว่าเรามีครอบครัวอยู่.. เราก็ยังต้องประกอบหน้าที่ของเรา
ถ้าเกิดว่า ประกอบหน้าที่เราในครัวเรือน หรือว่าในครอบครัว.. ก็ต้องมีสังคม
มีสังคมแล้ว.. ก็ต้องมีสิ่งที่บังคับเรามากมาย ให้เราต้องเป็นทุกข์ ++
ถ้าเกิดว่า เราสามารถ ละการครองคู่ ละการมีครอบครัวได้.. ก็คงจะละความห่วงต่างๆ
รวมถึงเรื่องของสังคมไปได้..
ชีวิตของเรา ก็คงจะไม่ต้องทุกข์
- ตัดเรื่องของทุกข์ไปได้ มากมายหลายอย่างเลยทีเดียว...
หากว่าเราทำจิตใจของเรา..
ไม่ยึดถือ ไม่หวังครอบครอง ทั้งตัวบุคคล หมายถึงเราด้วย - คนอื่นด้วย
ไม่หวังครอบครองสิ่งของ ข้าวของต่างๆแล้ว
จิตใจของเรา คงไม่ต้องไปพัวพัน ยึดติด ลุ่มหลงกับสิ่งเหล่านั้น / คนเหล่านั้น
- เราคงจะหายเหนื่อยไปมากเลยทีเดียว เจ้าค่ะ
แล้วถ้าเกิดเราสามารถที่จะฝึกจิตของตน ให้ละกิเลสตัณหาได้เบาบาง
ให้จิตของเรา..
/ เข้าถึงความสงบสุข
/ เข้าถึงองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
ได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ชัดเจนขึ้น
- เราก็คงจะมีความสุข ความสงบมากยิ่งนัก..
เพราะบางครั้งจิตใจของลูก วุ่นวาย เร่าร้อน
ลูกทำสมาธิ น้อมพลัง น้อมกระแสที่ดีจากพระพุทธองค์ / จากพระนิพพาน
ก็ทำให้ลูกรู้สึกมีแรงขึ้น และสงบขึ้น
ลูกสัมผัสได้ถึงความสุขในพระนิพพาน เจ้าค่ะ
ลูกจึงคิดว่า ถ้าเราเข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน อย่างสมบูรณ์
- คงเป็นความสุข ที่ไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบดี
ลูกจึงมีความปรารถนาที่จะทำให้ถึง การเป็น *พระสกิทาคามี*
ลูกจะพยายาม ที่จะประพฤติ ปฏิบัติ เจ้าค่ะ
เพราะว่าลูกมองเห็นแล้วว่า.. การเวียนว่ายตายเกิด
การยึดเอาถือเอา ตัวเรา -ตัวเขา สิ่งของทั้งหลาย.. มาครอบครอง
การดิ้นรนขวนขวาย การคลุกอยู่กับกิเลสตัณหานั้น
.. มันเป็นทุกข์ยิ่งนักเลยเจ้าค่ะ !
เรานั้นโดนกิเลสตัณหาครอบงำ ทำให้เราเพ้อฝัน อยู่กับความฝัน อยู่กับลม อยู่กับสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริง.. เราก็โดนสิ่งเหล่านั้นหลอกให้เราลุ่มหลง ทรงอยู่เท่านั้น..
แล้วมันก็เป็นทุกข์ยิ่งนักเลย.. มันเป็นกระแสที่ทุกข์เหลือเกิน !
ฉะนั้น.. ลูกจึงปรารถนาที่จะทำความเพียร ให้ลูกนั้นเข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน
คือ การเป็นพระอริยเจ้าในระดับต่างๆ จนเข้าถึงพระนิพพานอย่างแท้จริง เจ้าค่ะ
ลูกคิดเช่นนี้ เจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม
ถ้าอย่างนั้น.. ก็จงมุ่งมั่น ตั้งใจทำเถิดหนา
เพราะว่าความสุขของการเป็นพระอริยเจ้า ในแต่ละระดับนั้น..
เป็นสุข.. ที่ไม่สามารถเอาอะไรมาเปรียบเทียบได้เลย - หากจะหยิบยกสุขในโลกสมมุติขึ้นมาเปรียบเทียบ ลูก !
ยิ่งถ้าเกิดว่าเรา เข้าถึงการเป็นพระอริยเจ้า ในระดับที่ 4 คือ การเป็นพระอรหันต์แล้วนั้น..
ก็ยิ่งสุข.. ลูก
* สุขอย่างแท้จริง
* สุขอย่างอิสระ
* สุข อย่างไม่ต้องกลับไปทุกข์อีก
ซึ่งไม่สามารถที่จะหยิบยกเอาอะไรในโลกสมมุติ ขึ้นมาเปรียบเทียบว่า จะมีคุณค่ามากเท่านั้น ++
ไม่สามารถเอาความสุขในโลกสมมุตินั้น ขึ้นมาเปรียบเทียบได้เลย ว่า.. สุขแบบไหน
ฉะนั้น.. จงตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติ เถิดนะ เพื่อที่จะได้มาถึงการมีความสุข - ด้วยตัวของลูกเอง
เพราะ..
เป็นสุขที่ละเอียดอ่อน +
เป็นสุขที่ผู้ประพฤติ ปฏิบัติ / ผู้เข้าถึงแล้ว..จะเข้าใจด้วยตนเอง +
เช่นนั้นละ.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
ลูกเข้าใจชีวิตมากขึ้น พระพุทธเจ้าค่ะ
อย่างน้อย เราก็มีจุดมุ่งหมาย แห่งการดำรงชีวิต
เพราะลูกมองเห็นว่า การที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร การคลุกอยู่กับกิเลสตัณหา
การดิ้นรนขวนขวาย แสวงหาความสุข ในโลกสมมุตินั้น..
* เป็นสิ่งที่ไม่มีวันจบ / เป็นสิ่งที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย.. เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกคงต้องขอกราบลาก่อน นะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่.. พระพุทธเจ้าค่ะ
สาธุ