ฝึกพิจารณา ฝึกมีสติรู้ตามดูจิต อยู่อย่างนั้น
อย่าปล่อยให้จิตถูกกิเลสครอบงำ(1)..
อย่าปล่อยให้จิตมีอัตตา มีตัวตน(2)..
ให้จิตนั้นว่างๆ อยู่เสมอ
“ ธ ร ร ม ะ ที่ คิ ด ไม่ ถึ ง ”
“เราภาวนาไปเรื่อย เราจะเห็นเลย...มันก็แค่ธรรมชาติเท่านั้น กายก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง จิตก็เป็นแค่ธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็นสภาวะอย่างหนึ่งเท่านั้น มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ สืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นดับไป ดวงหนึ่งเกิดขึ้นดับไป สืบไปอย่างนี้เรื่อยๆ บังคับไม่ได้(เป็นอนัตตา)...
เป็นแต่“สภาวะธรรม”ล้วนๆเลย รูปธรรม-นามธรรมมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย สืบเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ
“ตัวเรา”ไม่มี ตัวเราไม่มีแล้วความทุกข์อยู่ที่ไหน ความทุกข์อยู่ที่รูปธรรม-นามธรรม อยู่ที่กาย-ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่“ตัวเรา” เพราะกายกับใจ..ไม่ใช่“ตัวเรา”
ฉันนั้น คนใดภาวนาไปจนเห็นกายกับใจไม่ใช่ “ตัวเรา”เนี่ย จะได้เจอสภาวะอันหนึ่ง เป็นสภาวะที่นึกไม่ถึง เรียกว่า “มีธรรมะที่คิดไม่ถึง” ไม่ใช่“มีชีวิตที่คิดไม่ถึง”
ธรรมะที่คิดไม่ถึง ก็คือ มันมีรูปธรรม-นามธรรม แต่..ไม่มี“ตัวเรา”
ความทุกข์มีอยู่ แต่ไม่มีผู้เป็นทุกข์ ทุกวันนี้มันมีผู้เป็นทุกข์ใช่ไหม? พอร่างกายทุกข์เราก็โดดไปรับว่า..ไอ้เนี่ย! ตัวเราทุกข์ พอจิตมันทุกข์ขึ้นมาเราก็โดดเข้าไปรับเอาไว้ เนี่ย! ตัวเราทุกข์ มันมี“ตัวเราทุกข์”ขึ้นมา
ถ้าภาวนาเป็น เห็นกายเห็นใจเขาทำงาน เป็นแค่ “สภาวธรรม” เกิด-ดับ สืบเนื่องไปเรื่อย ไม่ใช่ตัวเรา กายมันทุกข์ไม่ใช่เราทุกข์ ใจมันทุกข์ไม่ใช่เราทุกข์ เราไม่ทุกข์ด้วย ไม่เกี่ยว มันไม่มีเรา
ทุกวันนี้ ที่ยุ่งเหยิงเพราะมัน“มีเรา”ขึ้นมา พอมีเรา มีตัวเราใช่ไหม? ก็ต้องมี “ของเรา”
เพื่อจะได้ประกอบตัวเราให้โตขึ้น ทุกอย่างมันจะย้ำ..ให้เรารู้สึกว่า “ตัวเรา” มีอยู่จริงๆ ”
#_หลวงพ่อปราโมทย์_ปาโมชฺโช
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
ที่มา : หนังสือ “ประมวลธรรมเทศนา” เล่ม ๒
#หมายเหตุ : (ผู้โพสต์)
ใน “คัมภีร์วิสุทธิมรรค” มีอยู่ว่า...
"ว่าโดยความจริงแท้
ในโลกนี้มีแต่นามและรูป
ก็แลในนามและรูปนั้น
สัตว์หรือคน ก็หามีไม่
นามและรูปนี้ว่างเปล่า
ถูก(ปัจจัย)ปรุงแต่งขึ้น เหมือนดังเครื่องยนต์ เป็นกองแห่งทุกข์ (สิ่งไม่คงตัว) เช่นกับหญ้าและฟืน"
[ วิสุทฺธิ.๓/๒๑๖ ]
"ทุกข์นั่นแหละมีอยู่
แต่ผู้ทุกข์หามีไม่,
การกระทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี,
นิพพานมีอยู่ แต่คนผู้นิพพานไม่มี,
ทางก็มีอยู่ แต่ผู้เดินทางไม่มี"
[ วิสุทฺธิ. ๓/๑๐๑ ]
"ทุกข์..เพราะยึดมั่น"
"การพูดว่า...ทุกข์เพราะยึดมั่น นั้นถูกกว่า เข้าใจได้ง่ายกว่า กว่าที่จะพูดว่า "ทุกข์เพราะตัณหา" เพราะยึดมั่นสิ่งใดก็หนักอกหนักใจเพราะสิ่งนั้น และตามกฏ "ปฏิจจสมุปบาท" ก็กล่าวว่า ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ-ชาติ-ทุกข์ นั่นคือ ตัณหาต้องปรุงเป็นอุปาทานเสียก่อน คือยึดมั่นถือมั่นเสียก่อน จึงจะเกิดความหนัก และเป็นทุกข์ได้ ในบทว่า "ภารา หะเว ปัญจักขันธา ภาราทานัง ทุกขังโลเก" ดังนี้."
พุทธทาสภิกขุ
-------------------------------
ความยึดมั่นถือมั่น
"การศึกษาหลักพระพุทธศาสนา
"ต้องเป็นไปเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่เสมอ ถ้าเรื่องนี้สอนไปในทางยึดมั่นถือมั่นละก็ เป็นอันว่า...ปัดทิ้งได้เลย
หลักเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ จะเป็นหลักที่เด็ดขาดตายตัว"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม "ธรรมปาฏิโมกข์ เล่ม ๑" ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง "ระบบบ้าๆบอๆของเราจะใช้ได้หรือ?"
--------------------------------------
จะดับ“ตัณหาหรืออุปาทาน” ด้วยใช้อะไรเป็นเครื่องมือ?
“ผลของการปฏิบัติที่เรียกว่า มรรค ผล นิพพาน นั่นแหละ คือตัวสภาพที่อยู่เหนือความยึดมั่นถือมั่น หรือว่าเป็นผลที่เกิดมาจากการทำลายความยึดมั่นถือมั่นได้โดยสิ้นเชิงแล้ว หรือว่าเหลืออยู่เพียงเอกเทศก็ตาม แต่ต้องมีความยึดมั่นถือมั่นบางส่วนที่ได้ดับไปแล้ว
ทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นได้ว่า..บรรดาวิชาความรู้ทั้งหมด การปฏิบัติทั้งหมด และผลของการปฏิบัติทั้งหมดในพุทธศาสนานั้น สรุปรวมลงในประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียวว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” และจัดได้ว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนาจริงๆ
ดังนั้น ถ้าถูกถามว่าจะดับ“ตัณหาหรืออุปาทาน” ด้วยใช้อะไรเป็นเครื่องมือ? เราก็ตอบได้อย่างไม่ผิดว่า...“ฉันจะดับมันด้วยหัวใจของพุทธศาสนา” ดังนี้
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อ "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ในหนังสือ "ตัวกู-ของกู"
-----------------------------------
จงทำจิต..ให้ว่างจากความยึดถือ
"ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา และ ไม่ควรยึดมั่น นี้เป็นหลักที่ตายตัวแล้วในพระพุทธศาสนา
(ส่วน)ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ที่เรียกว่าไตรสิกขานี้ เป็นเพียงยานพาหนะ มีไว้อาศัยเดินทาง ไม่ใช่สำหรับยึดถือหรือหาบหามเอาไว้ด้วยความหวงแหน
จงทำจิตให้ว่างจากความยึดถืออย่างเดียวเถิด หน้าที่ทั้งปวงก็จะหมดลงทันที ไม่ต้องมี(ตัวตนของ)ใครเป็นผู้ลุถึงนิพพาน นอกไปจาก "จิตซึ่งหมดความยึดถือว่าตัวมันเองเป็นตัวตน"อย่างเด็ดขาดแล้ว.
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวเป็นหลักไว้ว่า "การลุถึงนิพพานมีได้โดยไม่ต้องมีตัวใคร(ตัวตนของใคร)เป็นผู้บรรลุ. การเดินทางไปจนถึงที่สุดทุกข์ก็มีได้แล้วโดยไม่ต้องมีตัว(ตัวตน)ผู้เดิน ซึ่งเป็นคำที่ฟังยากๆอยู่สักหน่อย แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีๆก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า มีแต่"จิต" ซึ่งบัดนี้หมดความสำคัญผิดยึดถือตัวเองว่าเป็นตัวตนนั่นเอง, ที่เคยเป็นตัวประธานยืนโรงอยู่ตลอดเวลา.
เราจงมีความกล้าพอ"ที่จะปรารถนาความมีจิตชนิดนี้" ด้วยการถอนตัวเรา(ความยึดถือว่าเป็นตัวตนเรา)ออกเสีย ให้ยังคงเหลือแต่จิตทำนองนั้นล้วนๆเถิด"
(***หมายเหตุ : คำในวงเล็บผู้โพสต์ได้เพิ่มเติมเข้าไปเอง เพื่อให้สามารถเข้าใจข้อความได้ง่ายขึ้น เพราะผู้ที่ไม่ได้อ่านหรือฟังเนื้อหาทั้งหมด อาจทำความเข้าใจข้อความนี้ได้ยาก)
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ปาฐกถาธรรม เรื่อง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๙๑ ที่ "พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย"
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
หลักปฏิบัติต้องเป็นอันเดียวกัน
คือหลักที่พระพุทธเจ้าสอน
อันแรกสุดเลย เราต้องมีวิหารธรรม มีเครื่องอยู่
เครื่องอยู่เครื่องรู้ของจิตที่เป็นกายเวทนาจิตธรรม
คือกายกับใจเรานี่เอง คือรูปกับนาม
มีวิหารธรรม มีเครื่องอยู่
คำว่าเครื่องอยู่มันก็บอกแล้วว่าไม่ใช่คุก
เครื่องอยู่คือบ้าน
พวกเรานักปฏิบัติส่วนใหญ่
อยู่ๆ ก็หาเรื่องติดคุก คือน้อมใจให้มันซึมทื่อนิ่ง
ห้ามกระดุกกระดิกนะ
คนอยู่บ้านนี่ เวลามีธุระ ออกจากบ้านได้ตลอดเวลา
คนติดคุกอยากไปไหนก็ไปไม่ได้ถูกขัง
เพราะฉะนั้นเราต้องมีวิหารธรรม
คือเอากายเวทนาจิตธรรมเป็นบ้าน
เป็นที่ระลึกของสติ
ให้สติคอยมาระลึกอยู่เรื่อยๆ
แต่ถ้าจิตใจมีธุระจะไปทำงานที่อื่น
มันก็ออกจากบ้านไป
วิ่งไปทางตาบ้าง ทางหูบ้าง วิ่งไปคิดบ้าง
มันก็ทำงานของมัน เราไม่ได้ห้ามมัน
แต่พอหมดธุระแล้วก็กลับมาอยู่บ้าน
มาอยู่กับลมหายใจ มาอยู่กับอิริยาบถนะ
มาอยู่กับพุทโธก็ยังได้นะ
พุทโธก็เนื่องด้วยความคิด เนื่องด้วยจิต
พุทโธก็เป็นชื่อของจิต
เรามาอยู่กับอารมณ์กัมมัฏฐานของเรา
ใครเคยดูท้องพองยุบก็ดูไป
เคยรู้ลมหายใจก็รู้ไป เคยขยับมือก็ขยับไป
แต่ไม่ใช่ทำเพื่อให้จิตนิ่ง ไม่ได้เพ่งให้นิ่ง
เพ่งให้นิ่งคือตรึงความรู้สึกเอาไว้ที่เดียวคือติดคุก
หลายคนภาวนาแล้วจิตอึดอัดนะ
พอลงมือภาวนาก็เพ่งเลยเพ่งกายเพ่งใจ
เพ่งให้นิ่ง กายก็นิ่งๆ ผิดความเป็นจริง
จิตใจก็แข็งทื่อขึ้นมาผิดความเป็นจริง
อันนั้นติดคุกแล้ว ไม่มีความสุขเลย
จิตใจที่ไม่มีความสุขเป็นจิตอกุศลนะ
จิตที่เป็นกุศลต้องมีความสุข
ดังนั้นถ้าเราภาวนาแล้วหนักๆ แน่นๆ แข็งๆ ซึมๆ ทื่อๆ
นั่นอกุศล ติดคุกอยู่ ติดคุกทางใจนะ
ขังตัวเองด้วยความเชื่อมั่นเอาเอง ด้วยทิฏฐิ
คิดเอาเองว่าทำอย่างนี้แล้วจะดี
ฉะนั้นอันแรกเลยต้องมีวิหารธรรม
คนไหนรู้ท้องพองยุบแล้วสติเกิดก็เอาอันนั้น
รู้ลมหายใจแล้วสติเกิดก็เอาอันนั้น
พุทโธแล้วสติเกิดก็เอาอันนั้นนะ
ขยับมือทำจังหวะแล้วสติเกิดบ่อยก็เอาอันนั้น
สติเกิดบ่อย ก็คือรู้ทันตัวเองได้บ่อย
เช่น บางคนดูท้องพองยุบแล้วจิตไหลไปคิดแวบ
สติระลึกรู้ทันว่าหลงไปคิดแล้ว ลืมพองยุบไปแล้ว
พอระลึกรู้ทันว่าจิตหนีไปคิดแล้ว
มันจะตื่นขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
เราก็เห็นร่างกายมันพองมันยุบไป
ตรงนี้เดินปัญญาได้แล้ว
เห็นว่าตัวที่พองที่ยุบอยู่ไม่ใช่ตัวเรา
นี่จะเดินปัญญาได้
หรือบางคนรู้ลมหายใจนะ
รู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า
รู้ไปสบายๆ จิตหนีไปคิดแวบ ลืมลมหายใจ
มีสติรู้ทันว่าจิตหนีไปแล้ว ทันทีที่มีสติรู้ทันว่าจิตหลงไป
จิตจะตื่นขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
ในขณะนั้นจิตมันจะเกิดตั้งมั่นขึ้นมาชั่วขณะ
มันจะเกิดปัญญาเห็นว่าตัวที่กำลังหายใจอยู่นี่
ไม่ใช่ตัวเราหรอก แต่เป็นรูปกำลังกระเพื่อมไหวอยู่
มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก
หรือรู้ทันว่าจิตนั้นเป็นอนัตตา
แต่เดิมจิตรู้อยู่ที่ลมหายใจ แล้วอยู่ๆ จิตก็หนีไปคิด
แล้วสติก็เกิดขึ้นเองอีก เกิดขึ้นเองทั้งสิ้นเลย
สติระลึกได้ ใจก็ตั้งมั่นขึ้นมาเอง
เดิมหนีไป ตอนนี้ตั้งมั่นอีกแล้ว
มีแต่ของไม่เที่ยง ของบังคับไม่ได้
อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญา
ต้องมีสติ ใจตั้งมั่นขึ้นมานะ
แล้วถึงจะเกิดปัญญา
ความตั้งมั่นเรียกว่าสัมมาสมาธิ
เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญานะ
ไม่ใช่เอาสติไปเพ่งๆ ลูกเดียว
จิตไม่มีสัมมาสมาธิ มีแต่มิจฉาสมาธิ
พอเพ่งไปจิตก็แข็งซึมทื่ออยู่ที่เดียวนะ
ไม่เกิดปัญญา
ไม่สามารถเห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์ได้
นอกจากมีวิหารธรรมแล้ว
เราก็ฝึกให้มีสติ มีใจตั้งมั่นขึ้นมา
รู้สึกตัวขึ้นมา มีสัมปชัญญะ
ความรู้สึกตัวรู้เท่าทันทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา
นี่คือหลักของสติปัฏฐานนะ
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
"...จิตหลงอารมณ์..."
"... การปฏิบัติเรื่องจิตนี้ ความจริงจิตนี้ไม่เป็นอะไร มันเป็นประภัสสรของมันอยู่อย่างนั้น มันสงบอยู่แล้ว "ทีจิตไม่สงบทุกวันนี้เพราะจิตมันหลงอารมณ์" ตัวจิตแท้ ๆ นั้นไม่มีอะไร "เป็นธรรมชาติอยู่เฉย ๆ เท่านั้น" ที่สงบไม่สงบก็เป็นเพราะอารมณ์มาหลอกลวง
จิตที่ไม่ได้ฝึกก็ไม่มีความฉลาด มันก็โง่ อารมณ์ก็มาหลอกลวงไปให้เป็นสุข เป็นทุกข์ ดีใจ เสียใจ "จิตของคนตามธรรมชาตินั้น ไม่มีความดีใจ เสียใจ ที่มีความดีใจเสียใจนั้นไม่ใช่จิต" แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง จิตก็หลงอารมณ์โดยไม่รู้ตัว
แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์ เพราะยังไม่ได้ฝึก ยังไม่ฉลาด แล้วเราก็นึกว่า จิตเราเป็นทุกข์ นึกว่าจิตเราสบาย ความจริงมันหลงอารมณ์ พูดถึงจิตของเราแล้ว มันมีความสงบอยู่เฉย ๆ มีความสงบยิ่ง "เหมือนกับใบไม้ที่ไม่มีลมพัดก็อยู่เฉย ๆ ถ้ามีลมมาพัดก็กวัดแก่วงเป็นเพราะลมมาพัดและก็เป็นเพราะอารมณ์ มันหลงอารมณ์"
ถ้าจิตไม่หลงอารมณ์แล้ว จิตก็ไม่กวัดแกว่ง ถ้ารู้เท่าทันอารมณ์แล้วมันก็เฉย "เรียกว่าปกติของจิตเป็นอย่างนั้น" ที่เราปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อให้เห็นจิตเดิม "เราคิดว่าจิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ แต่ความจริงจิตไม่ได้สร้างสุขสร้างทุกข์ อารมณ์มาหลอกลวงต่างหาก มันจึงหลงอารมณ์" ฉะนั้นจึงต้องฝึกจิตให้ฉลาดขึ้น ให้รู้จักอารมณ์ ไม่ให้เป็นไปตามอารมณ์ จิตก็สงบ... "
หลวงปู่ชา สุภัทโท
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน
เรื่องจิตอันนี้ มันจะอยู่นิ่งๆ ในที่ของมันไม่ได้หรอก บางทีมันก็มีอาการคิดอย่างโน้น คิดอย่างนี้ ในขณะอยู่ในที่สงบอันนั้นแหละ บางคนจิตไม่สงบ จิตก็ฟุ้งซ่าน ใจก็ไม่สบาย ใจเขาก็ไม่ดี เพราะว่าจิตไม่สงบ อันนี้เราต้องพิจารณาด้วยปัญญาของเรา เรื่องไม่สงบอันนั้น เพราะเราไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันเท่านั้นเอง
.
ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว อันนั้น สักแต่ว่าอาการของจิต จริงๆ แล้วจิตมันไม่ฟุ้งไปอย่างนั้น เช่นว่า เรารู้ความคิดแล้วว่า บัดนี้ เราคิดอิจฉาคน นี้เป็นอาการของจิต แต่เป็นของไม่จริง มันไม่เป็นความจริง เรียกอาการของจิต มันมีตลอดเวลา
.
ถ้าหากว่าคนไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว ก็น้อยใจว่าจิตเราไม่อยู่นิ่ง จิตเราไม่สงบ อันนี้เราต้องใช้การพิจารณาอีกทีหนึ่งให้มันเข้าใจ เรื่องของจิตนั้นนะ มันเป็นเรื่องของอาการของมัน
แต่ที่สำคัญคือ มันรู้ รู้ดีมันก็รู้ รู้ชั่วมันก็รู้ รู้สงบมันก็รู้ รู้ไม่สงบมันก็รู้ อันนี้คือตัวรู้
พระพุทธเจ้าของเราท่านให้"ตามรู้ ตามดูจิต"ของเรา..
หลวงปู่ชา สุภัทโท
การที่เราคอยมี🔸*#สติ* ระลึกรู้กายระลึกรู้ใจ
➡️ก็ #เพื่อศึกษาความจริงของกายของใจ
เรียกว่า 🔸 🔍 *#ธัมมวิจยะ*🔍
.
พอมี สติ.. ตามรู้ตามดู..เรื่อยๆ.. ➡️
ก็มี ความเพียร เรียกว่า 🔸*#วิริยะ*
.
มีวิริยะแล้วก็เกิด.. ➡️🔸*#ปีติ*
ซึ่งเป็น ..ปีติในธรรมะ .... ไม่ใช่ปีติจากสมาธิ
แต่เป็น.. ปีติที่ได้.. ** เห็นความจริง**
**จิตใจก็ร่าเริงเบิกบานในธรรมะ**
.
ถ้าเรา มีสติ ...รู้ทันใจ ที่ร่าเริงเบิกบาน
ใจก็จะเปลี่ยนจาก ปีติ ➡️ มาเป็นความสุข
.
พอมีสติ ..รู้ความสุข ขึ้นมาอีก
ความสุขก็ค่อยๆ สลายตัวไป
ค่อยสงบระงับลงไปเป็น ➡️ 🔸*#ปัสสัทธิ*
.
➡️ จากนั้นใจก็เข้าสู่ 💗ความสงบ ตั้งมั่น💗
เป็น 🔸**#สมาธิ**
.
แต่ #เป็นความสงบเพราะผ่านการเจริญปัญญา มา
#ไม่เหมือนความสงบจากการทำสมาธิจากสมถะ
☇โพชฌงค์ 7 คือธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้
ประกอบด้วย สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ
ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา
ครูบาอาจารย์สอนเอาไว้ว่า
"เมื่อไรมีสติ เมื่อนั้นมีความเพียร
เมื่อไรมีความเพียร เมื่อนั้นก็ต้องมีสติ"
ถ้าเรามีสติเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็จะได้ 🔸สติสัมโพชฌงค์
การที่เราคอยมีสติระลึกรู้กายระลึกรู้ใจ
ก็เพื่อศึกษาความจริงของกายของใจ
เรียกว่า 🔸ธัมมวิจยะ
เมื่อเราตามรู้ตามดูเรื่อยๆ
พอมีสติก็มีความเพียรเรียกว่า 🔸วิริยะ
มีวิริยะแล้วก็เกิด 🔸ปีติ
ซึ่งเป็นปีติในธรรมะ ไม่ใช่ปีติจากสมาธิ
แต่เป็นปีติที่ได้เห็นความจริง
จิตใจก็ร่าเริงเบิกบานในธรรมะ
ถ้าเรามีสติรู้ทันใจที่ร่าเริงเบิกบาน
ใจก็จะเปลี่ยนจากปีติมาเป็นความสุข
พอมีสติรู้ความสุขขึ้นมาอีก
ความสุขก็ค่อยๆ สลายตัวไป
ค่อยสงบระงับลงไปเป็น 🔸ปัสสัทธิ
จากนั้นใจก็เข้าสู่ความสงบ ตั้งมั่นเป็น 🔸สมาธิ
แต่เป็นความสงบเพราะผ่านการเจริญปัญญามา
ไม่เหมือนความสงบจากการทำสมาธิจากสมถะ
ที่ทำให้เราได้พักผ่อน ใจไม่วุ่นวาย มีกำลังขึ้นมา
ถ้ารู้ธรรมภายใน คือรูปนามของตัวเอง
รู้อย่างนี้เรื่อยไปด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตที่สงบพอประมาณ
จิตไม่หลงไม่ไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รู้ทุกอย่างอย่างเป็นกลาง
เห็นรูปแล้วยินดี รู้ทัน จิตจะเป็นกลางด้วยสติ
เห็นรูปแล้วยินร้ายให้รู้ทัน จิตจะเป็นกลางด้วยสติ
สุดท้ายจะเป็นกลางด้วยปัญญา
เรียกว่า 🔸อุเบกขา
ถ้าเราภาวนาไปจนถึงขั้นที่จิตเป็นกลางด้วยปัญญา
เพราะรู้ความจริงแล้วว่า
อะไรๆ ก็ไม่เที่ยง
อะไรๆ ก็เป็นทุกข์
อะไรๆ ก็บังคับไม่ได้
ไม่ใช่ตัวเรา
เรียกว่ามี ☄สังขารุเปกขาฌาน
ใกล้กับมรรคผลนิพพานแล้ว
ตรงที่เราเดินปัญญาเป็นการสะสมพลัง
ถ้ากำลังเราพอ
คุณงามความดีของเราเพียงพอ
จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ
แล้วก็ล้างกิเลส
กิเลสที่ล้างด้วยอริยมรรคไม่เหมือนการล้างด้วยวิธีอื่น
ถ้าเป็นการล้างด้วยปัญญาระดับมรรค
ล้างแล้วล้างเลย ไม่ต้องล้างครั้งที่ 2
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
เราต้องรู้ด้วยตัวของเราเอง ไม่ใช่ใครมาบอกให้เรารู้ เพราะเมื่อคนที่มาบอกให้เรารู้..มันเป็นความรู้ของคนอื่น ยังไม่ใช่รู้ของเรา เมื่อนั้นแล้วเราจะพึ่งพาตัวเองด้วยสติปัญญาของตัวเราเองไม่ได้ แล้วเราก็จะไม่มีรู้ทางได้จริงเลยว่าสิ่งนั้นที่เราไปฟังมานั้นมันใช่จริงหรือไม่
เหมือนธรรมคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ดี เค้าเรียกเป็นธรรมะที่ท่านได้ค้นพบได้ประสบมา ยังไม่ใช่ธรรมะของเรา เมื่อเราฟังมาเราสดับมาแล้ว เราก็ต้องน้อมนำในธรรมท่านมาพิจารณาให้เห็นตามความจริงในธรรมนั้นว่าใช่หรือเปล่า ถ้าเราเห็นตามความเป็นจริงของท่านจริง..เราก็จะได้ธรรมจริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่ถ้าเรายังไม่ได้ทำแต่ไปรับมาในธรรมคำสั่งสอนท่าน..มันได้แค่รู้ธรรม แต่ยังไม่ได้เข้าถึงธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นจึงเรียกว่าไม่รู้จริง ไม่มีธรรมของตัวเอง เมื่อไม่มีธรรมของตัวเองแล้วจะไปอวดอ้างอะไรกับคนอื่นเค้า ก็เรียกว่าคุณวิเศษเราไม่มี แต่คนที่ประพฤติปฏิบัติเองรู้เองเทพเทวดาเจ้าเค้าก็โมทนา แต่ถ้าโยมไปเอาธรรมคนอื่นมากล่าวขานมาบอกอย่างนั้นอย่างนี้ อานิสงส์ก็ยังสู้บุคคลที่ประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมเองไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นเราทำอะไรอยู่ประพฤติอยู่..ไม่ใช่ว่าใครไม่รู้ แต่อย่างน้อยเรารู้ว่าเราทำอะไร กรรมดีหรือกรรมชั่ว เป็นกุศลหรืออกุศล เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมจะบวชจิตเทวดาเค้าก็รู้ ไม่ต้องประกาศว่าฉันนี่นั่งได้นาน การนั่งนานนั่งทนเค้าเรียกว่ามีขันติ อาจจะมีความอดทนในสิ่งนี้ แต่ถ้าโยมไม่เคยได้อดทนอารมณ์เวทนาหรือละอารมณ์นั้น โยมจะทนต่อเวทนาหรืออารมณ์ที่คนมาทำให้โยมโกรธโยมไม่พอใจ..ไม่ได้เลยนะเมื่อโยมออกจากฌาน ออกจากการเจริญสมาธิแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่ถ้าโยมหยิบยกอารมณ์มาพิจารณาแล้วละอารมณ์นั้น แล้วเพ่งโทษในอารมณ์นั้นแล เมื่อใครมาทำให้โยมไม่เข้าใจ ไม่สบายใจ ไม่พอใจ โยมจะเท่าทันในอารมณ์ในความคิดที่มากระทบได้..นี่เรียกว่าเป็นผู้เจริญสติจริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเจริญสติจริงโยมจะรู้ได้เลยว่าสติโยมนั้นมีกำลังเพียงใด เรียกว่าโยมเท่าทันในไฟ ๓ กอง (โลภะ โทสะ โมหะ) ได้ หรือว่าลดอารมณ์จากไฟ ๓ กองได้ เท่าทันได้นั่นแล เรียกว่าโยมมีสติจริง เป็นผู้เจริญสติจริง เรียกว่าใช้ได้ แสดงว่าสิ่งที่โยมประพฤติปฏิบัติมาก้าวหน้า
แต่โยมมานั่งปิดหูปิดตาอยู่อย่างนี้เป็นวรรคเป็นเวร แต่พอใครเค้าว่าตำหนิติเตียนอะไรแล้ว..ไม่ได้เลย ตัวตนสะเทือนทันที นี่แสดงว่าสิ่งที่โยมประพฤติปฏิบัติมามันไม่ได้อะไร มันไม่ใช่สมาธิ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันมาอาศัยแค่ความสงบ มาอาศัยเพื่อความหลับนอน มาอาศัยเพื่อว่าหนีทุกข์มา เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างนี้เค้าเรียกมันไม่ได้อะไร..
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
สมถะ-วิปัสสนา เป็นชื่อแห่งวิธีการเท่านั้น
ในเมื่อจิตมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ก็เป็นปฐมฌาน ปฐมฌานนี่การเดินจิตในสมาธิขั้นวิปัสสนา ซึ่งมันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ นักปฏิบัติปัจจุบันนี้เข้าใจว่าสมถะกับวิปัสสนาเป็นคนละอย่าง
การเข้าฌาน ถ้าเป็นปฐมฌาน จิตก็เดินวิปัสสนาได้
ถ้าทุติยฌาน วิตก วิจาร หายไป เดินวิปัสสนาไม่ได้ กลายเป็นฌานสมาบัติ ฌานสมาบัติเริ่มตั้งแต่ทุติยฌานเป็นต้นไป
แต่ลักขณูปนิชฌาน (ฌาน ในอริยมรรค) หมายถึง ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ ในเมื่อเข้าสมาธิลึกลงไปแล้ว ถอนจิตออกมาเจริญวิปัสสนาเป็นไปไม่ได้ นอกจากจิตจะถอนเอง
ที่ว่าถอนจิตออกมาเจริญวิปัสสนานี่ เป็นโวหารเท่านั้น แต่แท้ที่จริง จิตเข้าไปอยู่ในฌานสมาบัติแล้วถอนออกมาเอง พอถอนออกมาแล้ว มาถึงระยะที่รู้สึกว่า มีร่างกายตัวตน มาสัมพันธ์กับประสาททางสมอง จิตจะเกิดความคิดขึ้นมาเอง ในช่วงนี้ พอจิตเกิดความคิดขึ้นมา เราปล่อยให้มันคิดไป เอาสติตัวเดียวตามรู้ๆ ก็เป็นการเจริญวิปัสสนา
ที่เข้าใจกันโดยทั่วๆ ไป เราเดินวิปัสสนา หมายถึง พิจารณา พระไตรลักษณ์ ยกเอา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น อารมณ์ ทีนี้เมื่อเราพิจารณา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นี่เป็นภาคปฏิบัติ แต่เมื่อพิจารณา ไปแล้ว จิตสงบลงไป บางทีมันไปนิ่งอยู่เฉยๆ ผู้ปฏิบัติก็ว่าตัวได้ฌาน การเจริญวิปัสสนามาแล้ว แต่มันไม่ใช่ การพิจารณาเป็นอุบายทำจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ บริกรรมภาวนาก็เป็นอุบายทำให้จิตสงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ พอจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ มันจะเกิดวิปัสสนา มันจะเป็นเองโดยอัตโนมัติ
อย่างบางทีเราพิจารณาภูมิวิปัสสนาอยู่แทบเป็นแทบตาย พอจิตสงบแล้วมันไปนิ่งอยู่เฉยๆ เป็นสมถะ บางทีนึกว่าจะภาวนา พุทโธๆๆๆ พอมันสงบสบายๆ พอมันสงบแล้ว มันไม่หยุดแค่สบาย มันกระโดดไปเล่นวิปัสสนา
เพราะฉะนั้น สมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี จึงเป็นชื่อแห่งวิธีการ เท่านั้น การบริกรรมภาวนาก็ดี การพิจารณาก็ดี เพื่อให้จิตตั้งมั่น เป็นสมาธิ การปฏิบัติตามแบบวิปัสสนานี่ เราพิจารณามันเป็นแนวทาง พอจิตสงบเป็นสมาธิแล้วมันจะเกิดวิปัสสนาขึ้นมาเอง ไม่ต้อง ไปน้อมนึกให้มันเป็น มันเกิดเอง บางทีพิจารณาเรื่องวิปัสสนา พอสงบมันก็สงบๆ ไป จนกระทั่งรู้สึกว่าร่างกายตัวตนหาย เหลือแต่จิตสว่างอยู่ดวงเดียว ทีนี้เมื่อถอนจากสมาธิขั้นนี้มา พอรู้สึกว่ามีกายปั๊บ มันเกิดความคิดขึ้นมา นี่มันเริ่มวิปัสสนาแล้ว
ในเมื่อจิตเป็นสมาธิตามธรรมชาติของสมาธิ สารพัดที่จิตจะปรุงแต่งขึ้นมา มันไม่อยู่ในขอบเขตที่เรากำหนดไว้ เช่นอย่างผู้ที่เคย เรียนวิชาทางโลกมาศาสตร์ไหน มีธุรกิจเกี่ยวข้องอยู่ในเรื่องอะไร เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิตามธรรมชาติแล้ว มันก็ไปหาวิชาความรู้และธุรกิจที่เคยคล่องตัวอยู่ ในลักษณะอย่างนี้ นักปฏิบัติทั้งหลายท่านว่า จิตมันฟุ้งซ่าน แต่ความจริงไม่ใช่จิตฟุ้งซ่าน อะไรที่มันคล่องตัวอยู่ มันข้องอยู่ มันติดอยู่ มันจะไปวิจัยเรื่องนั้น
อย่างบางทีเราพิจารณาสมถะ พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก เราตั้งใจ พิจารณา แต่เมื่อจิตสงบพั้บลงไป มันไม่อยู่กับอารมณ์ที่พิจารณา มันจะวิ่งไปหาวิชาที่เราเรียนมา ผู้ที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ ครุศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ มันก็วิ่งไปหาวิชาที่เรียนมา แล้ว มันจะไปวิจัย
แล้วในความเป็นไปของจิตในขณะที่อยู่ในสมาธิตามธรรมชาตินี่ มันกระโดดไปกระโดดมา กระโดดไป กระโดดมา เมื่อเป็นเช่นนั้น มันเป็นวิปัสสนา เป็นปัญญาได้อย่างไร มันเป็นได้ตรงที่สติ ไล่ตามทัน สติที่รู้ทันเหตุการณ์ในจิตนี่ เรียกว่า สมาธิปัญญา หรือ วิปัสสนา แล้วเวลามันไป มันไม่ได้ไปเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนพระเทศน์ให้โยมฟัง ประเดี๋ยวมันวิ่งไปโน่น ประเดี๋ยวมันวิ่งไปนี่ บางทีมันออกไปนอก บางทีมันวิ่งเข้าใน แต่ผลงานของมัน ก็คือสติตัวที่ รู้ทันเหตุการณ์นั้นๆ มันจะไปไหน สติก็จ่อๆ ตามรู้
เทศนาธรรม ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
#อารมณ์อะไรมา ก็ให้พิจารณามันไป
#เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาทิ้งไส่สามขุมนี่เลย
แล้วคิดไป พิจารณาไป
เรื่องอารมณ์นั้น โดยมาก เรามีแต่เรื่องคิด คิดตามอารมณ์
#เรื่องคิดกับเรื่องปัญญามันคนละอย่าง
มันพาไปอย่างนั้น ก็ติดตามมันไป
#ถ้าเป็นเรื่องคิดแล้วมันไม่หยุด
แต่เรื่องปัญญาแล้วหยุดนิ่งไม่ไปใหน
เราเป็นผู้รับรู้ไว้
เมื่ออารมณ์อันนั้น อันนี้มา จะเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น
เรารู้ไว้ ๆ
เมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะว่า เออ ..
#เรื่องเจ้าคิด เจ้านึก เจ้าวิตก วิจารณ์มานี้ เรื่องเหล่านี้มันไม่เป็นแก่นสารทั้งหมด
#เป็นเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสิ้น
#ตัดบทมันเลยทิ้งไส่ไตรลักษณ์เลย
...
หลวงปู่ชา สุภัทโท
" ทีนี้ก็ดู แต่กาย กับ จิต
ดู แต่อารมณ์ กับ จิตนี้
ดู มันเกิด ดู มันดับ
ดู เกิดแล้ว ก็ดับไป
ดับแล้ว ก็เกิดขึ้นมา
ดับเกิด เกิดดับ
ดับแล้วเกิด เกิดแล้วดับ
ผลที่สุดก็ดูแต่...
ความดับ เท่านั้นล่ะทีนี้
ขะยะวะยัง ความสิ้นไป เสื่อมไป
เป็นธรรมดา ของมัน
เป็นขะยะวะยัง จิตใจเมื่อเป็นอยู่อย่างนี้
จิตไม่ไปสืบสาวเอาอะไรหรอก
มันจะทันของมันล่ะ ทีนี้
เห็นก็สักแต่ว่า...เห็น
รู้ก็สักแต่ว่า ...รู้
มันเป็นของมันอยู่...อย่างนั้น."(อารมณ์)
______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" สตินี่
ทำให้มันมีกำลังดีแล้ว จิตมันจึงจะล่วง
เพราะ...สติคุ้มครองจิต
ตัวสติก็คือ...จิตนั่นแหละ
แต่ว่า ลุ่มลึกกว่า
สตินั่นอบรมจิต
ครั้นอบรมจนขั้น จิตรู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว
มันจึงหายความหลง พบความสว่าง
ความหลงนั้นคือ...
ไม่มี...สติ
ครั้นมีสติคุ้มครอง หัดไปจนแน่วแน่แล้ว
ให้มันแม่นยำ ให้มันสำเนียกแล้ว
มันจะรู้แจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่าง
สติแก่กล้า จิตย่อมทนไม่ได้
เมื่อทนไม่ได้ก็...สงบลง
ครั้นสงบลงแล้ว มันจะรู้
เดี๋ยวนี้มันไม่มีปัญญา มันก็ส่ายไปมา
เพราะมันไปหลายทาง จิตไปหลายทาง
เพราะ...เป็นอาการของมัน
เมื่อ...ผู้วางภาระ
คือ ...ว่าง
ไม่ยึดถือว่าขันธ์ห้านี้ เป็นตัวเป็นตนแล้ว
ไม่ยึดถือแล้วปลง
เป็นผู้ว่างภาระ ก็มีความสุข
จะยืน เดิน นั่ง ก็มีความสุข ไม่ยึดถือ
เพราะ...
รู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว."
_______________________________________
(หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล)
ถ้าเราฝึกรู้ โดยไม่หลงเข้าไปเป็น
ในสภาวะที่ถูกรู้ ฝึกอยู่ในชีวิตประจำวัน
ฝึกอยู่ในอารมณ์ธรรมดาๆนี่แหละ
จิตที่เคยชินกับการไม่หลงในทุกๆ สภาวะ
เมื่อดำเนินวิถีจิต อยู่กับความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ
เมื่อไปเจอกับภาวะที่ละเอียดๆ เหมือนๆกับว่า
ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ เหมือนกับว่าทุกสิ่งนั้นว่าง
จิตจะเกิดการเฉลียว ไม่เข้าไปเป็น
เป็นเพียงรู้ แม้แต่ความว่างถึงที่สุด
ก็ไม่ไปสำคัญมั่นหมาย
เมื่อใดรู้เท่าความว่างนั้นแล้ว
ความว่างนั้นถูกทะลุทะลวงด้วยปัญญา
เมื่อนั้นจึงประจักษ์กับธรรม
ที่ไม่อาจหาคำไปบอกได้
ฉะนั้นขออย่าได้ลืมพื้นฐาน
คือสติ สัมปชัญญะนะ
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ดูจิต ดูใจ ( จิตตานุปัสสนา )
ขึ้นไปให้ถึง“ปัญญา” ไม่ใช่ปล่อยใจให้จมอยู่ใต้สิ่งที่ดู
“ทีนี้ก็มาดูใจ ดูใจนี่ ถ้าว่าถึงหลักเดิมก็คือ “จิตตานุปัสสนา” ในสติปัฏฐาน ๔ เมื่อปฏิบัติในระยะแรกๆ บางสำนักก็จะเน้นการดูจิต มันเป็นเทคนิคของสำนักนั้นๆ
“สติปัฏฐาน” นั้น ๔ อย่าง กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา #เวลาปฏิบัติจริงก็คือในชีวิตที่เป็นอยู่เป็นไปตลอดเวลา ชีวิตก็อยู่ใน “อนุปัสสนา ๔” เมื่อปฏิบัติครบ ๔ อันนี้ ก็คือครบทั้งชีวิต แต่พอเริ่มต้น จะทำให้ครบทั้ง ๔ มันไม่ค่อยจะไหว
ทีนี้ สำนักทั้งหลายก็มีเทคนิคของตัว คือ ตอนแรก ตอนเริ่ม เอาหมดทั้งสี่ ยังไม่ไหว จะเริ่มที่อันไหนดี ตามโบราณสืบมามักเอากายานุปัสสนาเป็นตัวเริ่ม แต่บางสำนักอย่างโกเอนก้าหรือโคเองก้า ท่านว่าเวทนา เรื่องเจ็บปวด เรื่องสุข-ทุกข์ นี่ชัด มันเด่น ก็เอาเวทนานุปัสสนาเป็นจุดเปิดการปฏิบัติ เอาเวทนานุปัสสนาเป็นที่เริ่ม บางสำนักก็เริ่มที่จิตตานุปัสสนา เน้นการ“ดูจิต”
สำหรับโบราณนั้น เขามองว่าร่างกายเป็นของหยาบ ดูชัดจับง่ายหน่อย จึงเอากายานุปัสสนาเป็นจุดเริ่ม แล้วค่อยๆขยายไปถึงอนุปัสสนาอย่างอื่นในสติปัฏฐาน ๔ แต่ในที่สุดแล้ว ต้องมาประสานกันหมด คือในที่สุด เมื่อปฏิบัติได้จริง ก็พรึ่บเลย หมายความว่า ไม่ว่าด้านไหนโผล่มา ต้องได้หมด ต้องทันหมด แต่ตอนเริ่มแรกมันทันไม่ไหว ก็เลยเอาอันไหนที่ท่านเห็นว่าง่ายหรือได้ผลไว
ทีนี้ เรามาดูเรื่อง “จิต” ดูจิต ดูใจ ก็ดูไปตามที่มันเป็น แล้วในการดูตามที่มันเป็นนั้น จะทำอย่างไร การปฏิบัติในการดู ก็ก้าวไปในหลักศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ แล้วตอนที่ปฏิบัติอยู่น่ะ มันเป็นศีล สมาธิ ปัญญาอย่างไร
การที่เราดูไปนั้น ก็เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงดูจิตของพระองค์นั่นแหละ พระองค์ทรงเล่าในพระสูตรว่า เมื่อประทับอยู่ ทรงเกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมา พระองค์ก็สืบสาว ก็ตามดูเจ้าความรู้สึกนี้ที่เกิดขึ้นนั้น ก่อนมันจะเกิด อะไรเกิดขึ้น มีความรู้สึกอะไรก่อน แล้วความรู้สึกนี้จึงเกิดขึ้น สืบสาวตามดู อ้อ อันนั้นเกิดขึ้นแล้ว อันนี้จึงเกิด แล้วอันนั้นล่ะ ก่อนที่อันนั้นจะเกิด อะไรเกิดขึ้น อย่างนี้ ก็ตามดู ก็ตามสังเกตนั่นเอง อนุปัสสนา ฝรั่งแปลกันว่า observation ก็คือ “สังเกตดูความเป็นไป” ดูของจริงนะ ดูตามที่มันเกิด ตามที่มันเป็นไป
ทีนี้ ดูจิตของเรา ก็ดูตามที่มันเป็น ถ้าเราฝึกปฏิบัติอะไรอยู่ ก็ดูไปตามนั้น แล้วก็ก้าวไปในการปฏิบัติด้วย ถ้าดูจิตดูใจ ก็ดูแล้วก็รู้ตามที่มันเป็นอยู่นั่นแหละ ทีนี้ การดูก็ไปพร้อมอยู่ในการปฏิบัติ การปฏิบัติก็คือการฝึกใช่ไหม ก็คือการฝึกตน
เราฝึกตนอยู่ ก็ดูใจในขณะแห่งการฝึกของเรานั้นแหละว่า เรากำลังฝึกกำลังปฏิบัติในเรื่องนี้ แล้วจิตในเวลานั้นเป็นอย่างไรๆ นี่รู้ เป็นขั้นหนึ่งละ
ทีนี้ การดูใจนั้น ไม่ใช่การปล่อยใจหรือตามใจ มันคนละเรื่องกัน การดูใจ คือ ดูตามที่มันเป็น แล้วก็รู้ตามที่มันเป็น เป็นเรื่องของความ “รู้” เป็นเรื่องของ“ปัญญา” จบตอนของมันแล้ว ไม่มีเรื่องของการปล่อยใจ หรือไม่ปล่อยใจ ไม่มีเรื่องของการตามใจ หรือไม่ตามใจ เป็นคนละขั้นคนละตอนกัน
การปล่อยใจ หรือไม่ปล่อยใจ และการตามใจ หรือไม่ตามใจนั้น เป็นเรื่องของความ“ตั้งใจ” คือเป็นเจตนา ไม่ใช่เป็นเรื่องของปัญญา แม้ว่าอาจจะเป็นเจตนาอย่างอ่อนจนไม่รู้ตัว แต่ก็คือเจตนานั่นแหละ
พอเป็นเจตนาก็เป็น“สังขาร” ทีนี้แหละ กุศล หรือไม่ก็ อกุศล ย่อมแทรกย่อมปนเข้ามา คือก็จะเป็นกุศล หรือไม่ก็เป็นอกุศล ก็ให้พิจารณาเองว่าจะเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล ที่จริงก็ง่ายๆ เจตนาที่ปล่อยตัวตามใจก็คือขี้เกียจไปจนถึงประมาท ก็เป็นอกุศลนั่นเอง ทีนี้ก็ซับซ้อนขึ้นละ ก็คือดูใจที่ ขี้เกียจ หรือดูใจที่มีกิเลสหรือดูจิตที่ถูกกิเลสครอบงำนั่นเอง
ทีนี้ ถ้าดูจิตในการปฏิบัติ ความตั้งใจในการปฏิบัติ หรือเจตนาในการฝึกนั้น ก็ชัดแล้วว่าเป็นกุศล ทีนี้ ก็กลายเป็นว่า ดูจิตแล้ว แทนที่จะปฏิบัติคือฝึกให้ไปทางกุศล นี่กลับให้เป็นอกุศล ตรงข้ามกับการปฏิบัติ
ยิ่งกว่านั้น พอตามใจปล่อยใจไปตามอำนาจกิเลส ก็เสื่อมจากการปฏิบัติ ที่จริงการดูจิตดูใจในขณะปฏิบัติ ก็เพื่อรู้แล้วจะได้ทำให้ดี คือ ถ้าดูแล้วรู้ว่าจิตเป็นอกุศลอยู่ มีเจตนาอกุศลแทรกอยู่ จะได้ละ จะได้แก้ไข ถ้ารู้ว่าเป็นกุศลจะได้เจริญ แต่นี่ดูรู้แล้วว่าจิตเกียจคร้าน เป็นอกุศล แทนที่จะปฏิบัติ แทนที่จะฝึก คือแก้ไข ละอกุศลนั้นเสีย ก็ไม่ทำ การปฏิบัติก็เหลวหมด แทนที่จะลดละอกุศล และเจริญกุศล ก็กลับตรงข้าม การปฏิบัติ หรือการฝึกก็เหลวหมด
หนำซ้ำ เมื่อปล่อยตัวปล่อยใจอย่างนี้ ยอมให้อกุศลครอบงำหรือให้มันหมักหมมอยู่ โดยไม่จัดการแก้ไข และไม่พยายามหันไปทำให้เป็นกุศลขึ้นมา ก็คือการตกอยู่ในความประมาท เลยยิ่งเป็นการปฏิบัติที่ผิดไปไกล ไม่รู้ว่าปฏิบัติอะไร ไปจบไปตันอยู่แค่ได้เป็นคนงอก่องอขิง จมอยู่ในความประมาท
ขอให้จับจุดว่า จะปล่อยใจจะตามใจไม่ได้ มันไม่ใช่เป็นการดูจิตดูใจอะไรเลย มันผิดขั้นผิดตอนไปแล้ว แยกแยะให้ถูก ถามตัวเองว่า ดูใจ ให้รู้จักใจ แล้วจะได้ตามใจอย่างนั้นหรือ หรือว่าจะดูใจ ให้รู้จักใจ แล้วจะได้ก้าวไปในการปฏิบัติ ด้วยการละและการเจริญให้ตรงเรื่องกัน
เมื่อดูจิต ได้รู้จิตตามที่มันเป็นแล้ว เวลานั้นเราปฏิบัติอะไรอยู่ ถ้าเราดูใจ รู้สภาวะของใจในขณะนั้นแล้ว ก็เป็นการให้โอกาสแก่การปฏิบัติหรือแก่การฝึก
ทีนี้ ถ้าฝึกใจไปตามปกติมันก็เป็น“สมถะ” ดูจิตนี่เป็นสมถะหรือไปวิปัสสนาก็ได้ ทีนี้ เมื่อดูจิตดูใจก็ฝึกไปด้วย เช่นว่า จิตเรายังมีโทสะมาก เราก็รู้ว่าควรเจริญเมตตา เราก็เจริญเมตตาดูซิ แล้วดูความเป็นไปของจิต จิตที่มีเมตตา เปลี่ยนจากโทสะนี้ มันมีอาการอย่างไร ดูจิตอย่างนี้ ดูตามที่มันเป็น แล้วควบประสานไปกับการฝึกอย่างนี้ ก็เจริญสมถะควบไป
ส่วน“วิปัสสนา” ก็คือว่าไม่ใช่แค่ดูแล้วฝึกให้จิตเข้มแข็งให้มีเมตตา หรืออะไรอย่างนั้น นั่นสมถะ ทีนี้ เราก็ดูจิตดูใจตามที่มันเป็นอย่างนั้น ดูว่ามันเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างไร ดูแล้วก็รู้ตามที่มันเป็นๆ ต่อไปๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสเมื่อกี้ จิตมีความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้น เมื่ออันนี้เกิดแล้วอันนั้นก็เกิดขึ้น เมื่ออันนั้นเกิดแล้ว อันโน้นเกิด เมื่ออันนี้เกิดแล้ว อันนั้นจึงเกิด เมื่ออันนี้ไม่เกิด อันนั้นก็ไม่เกิด ตามดูไปอย่างนี้ ก็ได้เห็นเหตุปัจจัย ทีนี้การ“เห็นปฏิจจสมุปบาท”ก็จะมา
ดูตามที่มันเป็น อ๋อ จิตนี้ดับไปแล้ว จิตนี้เกิดมา จิตที่มีอารมณ์แบบนี้ ที่มีความรู้สึกอย่างนี้แต่ก่อนไม่มี แต่บัดนี้มีขึ้นแล้ว แล้วเดี๋ยวมันก็หายไปอีก ดูไปๆ รู้ไปๆ ตามที่มันเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นความเกิดดับ การดูอย่างนี้ ก็เป็น“วิปัสสนา”แล้ว
เป็นอันว่า ดูจิตนี่ก็ไปได้ ๒ ทาง
ดูแบบ“สมถะ”ก็ได้ฝึกจิต เราต้องการให้คุณธรรมความดี กุศลธรรมอะไรเกิดขึ้นมา เราดูไป พร้อมกันนั้นเราก็ได้ฝึกละอกุศลฝึกเจริญกุศลไปด้วย ในแบบของสมถะ
หรือดูแบบ“วิปัสสนา” ก็ดูตามที่มันเป็นนั่นแหละ ดูความเป็นไปของจิตที่มันมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันนี้เกิด อันนั้นดับ อันนี้ดับ แล้วอันนั้นเกิด อันนี้มีแล้ว อันนั้นจึงมี นี่ก็ฝึกไปด้วย คือฝึกปัญญา วิปัสสนาก็มา
แต่ถ้าเราดูโดยปล่อยเรื่อยเปื่อย เราปล่อยใจ ใจมันก็เป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง คือเมื่อมันไม่ดำเนินไปในการฝึก มันก็เป็นไปตามกิเลส เมื่อมันไม่ไปในทางที่ปัญญาเป็นใหญ่ มันก็ไปตามทางของเจตนา
ในขั้นหนึ่ง การดูเป็นการปฏิบัติ คือดูก็ได้รู้ แต่ทีนี้ รู้นั้นเกี่ยวอะไรกับการปฏิบัติที่ดำเนินไป มันจะเสริมการฝึกละอกุศลเจริญกุศลไหม หรือจะได้เสริมการดูรู้เห็นตามความเป็นจริงของวิปัสสนาไหม
ทีนี้ ถ้าเราดูโดยไม่มีการปฏิบัติต่อไป จิตมีกิเลสอะไรเกิดขึ้น ก็เห็นกิเลสนั้น ถ้าเป็นคนปัญญาไวก็แล้วไป ก็จะไปต่อได้ อย่างที่ว่า คนที่แม้แต่ว่ากำลังจะตายก็ยังตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ได้ อันนี้หมายความว่า ตัวเองปฏิบัติมาไม่ถูก ใจเกิดมีกิเลส ก็เห็นกิเลสอะไรต่ออะไร ใจก็เศร้าหมอง แต่พอดีเกิดจิตสำนึกวาบขึ้นมา เกิดความรู้ทันกิเลสขึ้น ก็อาจจะพลิกทีเดียวเลย คือเกิดความรู้เข้าใจเห็นโพลงสว่างตามความเป็นจริง มองเห็นสภาวะ ก็ไปวิปัสสนาได้ โดยเกิดโยนิโสมนสิการมาช่วย แต่นั่นไม่ใช่การปฏิบัติตามปกติ
การปฏิบัติตามปกติก็คือว่า จะเอาสมถะก็ฝึกจิตไปด้วย โดยการดูรู้เห็นช่วยให้ก้าวไปในการปฏิบัติที่ละอกุศลเจริญกุศลนั้น หรือเอาวิปัสสนาก็ดูตามที่มันเป็น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จิตอะไรเป็นอย่างไรๆ ก็รู้ตามที่มันเป็น อย่างที่ท่านบรรยายว่า จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ จิตมีโทสะหรือไม่มีโทสะ ก็รู้ตามที่มันเป็นอย่างนั้น จิตมีโมหะ จิตไม่มีโมหะ จิตเศร้าหมอง จิตผ่องใส ก็รู้ตามที่มันเป็น แต่ไม่ใช่ปล่อยเรื่อยเปื่อย คือมันมาในการฝึก มีการฝึกไปด้วย โดยละอกุศลเจริญกุศล หรือก้าวไปในการรู้เห็นตามเป็นจริง ไม่ใช่ปล่อยใจไปตามกิเลสเรื่อยเปื่อย รวมความว่า หลักใหญ่คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ไปด้วยกัน มาหนุนกัน
ในกระบวนนี้ ถ้าปฏิบัติถูก ก็ตรวจสอบได้ เอ นี่เรามีศีลหรือเปล่า ถ้าไม่มีศีล ก็คงจะไม่ค่อยถูกแล้วนะ เรามีความรู้เข้าใจปัญญาเจริญขึ้นไหม ถ้าปัญญาก็มืดๆ มัวๆ มีแต่ใจที่ปล่อยไปตามกิเลส อย่างนี้จะไปรอดอะไร ต้องตรวจสอบได้ ต้องมีทั้งศีล สมาธิ และปัญญา เมื่อถูกหลักแล้ว ไม่ว่าปฏิบัติอะไร มันก็คือการฝึกนั่นแหละ
คำว่า“ปฏิบัติ”นั้น แปลว่า ดำเนิน เดิน ก้าว ก็คือ การไปข้างหน้า เดินต่อไป เป็นศัพท์หนึ่งที่ท่านใช้ควบคู่หรืออยู่ในกลุ่มพวกคำว่าฝึก ฝึกไปก็คือ“สิกขา”นั่นเอง สิกขา ก็ฝึก ทมะ ก็ฝึก (ทมะ กับทันตะ ก็อันเดียวกัน ทมะเป็นนาม และเป็นต้นเดิมของกิริยาศัพท์ ทันตะคือคนที่ฝึกแล้ว) แล้วก็ภาวนา ก็ฝึกปรือให้เป็นให้มีให้เจริญขึ้นไป สิกขา ภาวนา ทมะ เป็นหลักรวมการปฏิบัติ คุมและคลุมหมด เวลาเราปฏิบัติ ก็คือดำเนินไปในหลักรวมที่ว่านี้
ในสิกขา ก็มีการปฏิบัติ ปฏิบัติ แปลว่า เดิน ดำเนิน ปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร ดำเนินเดินไปไหน ก็ปฏิบัติดำเนินไปในไตรสิกขา ทำอย่างไรสิกขาจะเกิดขึ้น ก็ปฏิบัติสิ ปฏิบัติแล้วสิกขาก็เกิดขึ้น ก็คือต้องเดิน ไม่ใช่อยู่เฉยๆ เมื่อคุณเดินไป สิกขาจึงจะเดินหน้าไปได้ ทมะจึงไปได้ ภาวนาจึงเป็นไปได้ และจะเดินไปได้ ก็ต้องเข้มแข็ง ต้องมีกำลัง มีเรี่ยวแรง
ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ปัญญาต้องรู้ ข้อปฏิบัตินี้มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร ก็ต้องรู้ ต้องชัด เราทำอันนี้เพื่ออะไร ดูจิต ดูเพื่ออะไร ดูใจ ดูเพื่ออะไร ต้องตอบตัวเองได้ ดูว่าเราฝึกได้ผลไหม หรือดูให้รู้ตามที่มันเป็น ให้เห็นตามเป็นจริง เข้าไปถึงปฏิจจสมุปบาท เห็นไตรลักษณ์ ไปในวิปัสสนา
อย่างน้อยก็อย่างที่ว่าแล้ว ดูรู้ว่าจิตของเราขณะนี้มีกิเลสไหม นี่รู้ทัน แล้วเมื่อมีกิเลส เราตระหนักว่ากิเลสเป็นของไม่ดี มีโทษ ต้องละ ก็จะละได้ การรู้ตามเป็นจริง จึงช่วยในการละกิเลสนั้น และเมื่อรู้ว่าจิตมีกุศล เรารู้อยู่แล้วว่ากุศลต้องเจริญ คือต้องภาวนา เราก็เจริญกุศลนั้นได้ แต่ถ้าเราไม่ได้ดู ไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็น ก็ไม่ได้ทำอะไร การดู รู้ เห็น จึงมาช่วยในการฝึก ในการปฏิบัติ
กระบวนการเหล่านี้เป็นปัจจัยแก่กันและกัน แล้วก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ รวมแล้วหลักการทั่วไปคือ ต้องฝึก ต้องเดินหน้า แล้วก็ต้องมีความเข้มแข็ง
พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเข้มแข็ง ศัพท์ธรรมะทุกคำบอกให้เข้มแข็งทั้งนั้น นึกให้ติดใจไว้ “วิริยารัมภะ”นี่ตรัสเรื่อย วิริยารัมภะ แปลว่า ปรารภความเพียร หมายความว่าใจปรารภๆ จะเพียร มุ่งเอาอันนี้ ไม่ไปไหน คือใจมันเอา ร่ำแต่จะเพียร จะเพียรอยู่ร่ำไป เพียรพยายามเต็มที่เลย สู้ไม่มีถอย ถ้ามีวิริยารัมภะ ก็เดินหน้าอย่างเดียว นี่คือต้องเข้มแข็ง
พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาของคนอ่อนแอ พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างของผู้เข้มแข็ง มีแต่เดินหน้า ตอนบำเพ็ญเพียร ทรงสู้ทุกอย่าง แม้แต่แทบจะแย่อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงถอย แต่อันไหนรู้ว่าผิด อย่างการอดอาหาร บำเพ็ญทุกรกิริยา นั่นแหละพรต และเป็นพรตที่พระองค์ทรงทราบว่ามันผิด คือปัญญารู้แล้ว ก็เลิก
ถ้ารู้แล้วว่าผิด หรือยังไม่รู้ แต่ถือไปโดยงมงาย ก็เป็น“สีลัพพตปรามาส” ถ้าพระองค์ไปกลั้นหายใจ อดอาหาร โดยทำไปตามที่เขาว่า อย่างนี้จะทำให้หลุดพ้นได้ ทำไปโดยโมหะ ไม่มีปัญญา ก็เป็นสีลัพพตปรามาส แต่พระองค์รู้ทันแล้ว อันนี้ไม่ถูกแล้ว ไม่เอา เลิก ไม่ยอมตกอยู่ใต้สีลัพพต-ปรามาส ข้อปฏิบัติใดถูก มีความมุ่งหมายอย่างนี้ อยู่ในขั้นตอนนี้ เช่น ธุดงค์ ก็ปฏิบัติไปตามตรงตามความหมายและความมุ่งหมายของมัน แค่พอดี ตรงไปตรงมา
ธุดงค์ไม่ได้พาไปถึงนิพพาน แต่เป็นขั้นตอนเบื้องต้น ซึ่งเลือกได้ด้วย เป็นขั้นตอนในการช่วยกำจัดขัดเกลากิเลส การขัดเกลากิเลสนั้นช่วยเรา เพราะว่าใจเราไม่เข้มแข็ง เรานี่ช่างอ่อนแอเหลือเกิน ตามใจตัวเองอยู่เรื่อย ไม่ได้เรื่องได้ราวสักที เรารู้ตัว เราจึงสมาทานธุดงค์
สมาทาน คือรับ หรือจับเอามาทำอย่างจริงจัง การที่จะถือธุดงค์ได้ ต้องเข้มแข็งจริงๆ เราก็เลยสมาทานธุดงค์นั้น เราจะเอาข้อไหนดี ธุดงค์ไม่ได้จำเป็น ไม่ได้บังคับใคร แต่ท่านให้ดูว่า ข้อนี้ถ้าเราฝึกน่าจะดี จะได้แก้ความขี้เกียจ แก้ความตามใจตัวเองเสียที ธุดงค์ก็จะมาบังคับ เช่น ถือบิณฑบาตประจำทุกวันไม่ขาด ถือแค่ไตรจีวร ถือผ้าบังสุกุลเป็นพรต (ไม่ใช่เป็นวัตร) เอาแต่ผ้าบังสุกุลจีวรอย่างเดียว ธุดงค์นี่ชัด ทุกข้อมาช่วยเสริมกำลังจิตให้เข้มแข็ง ไม่ยอมให้เราตามใจกิเลส ไม่ยอมให้เราปล่อยจิตปล่อยใจของเราให้อ่อนแอ ท่านจึงจัดหาพรตมาให้เราฝึก เพื่อจะได้เข้มแข็ง ให้ก้าวไปได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะมัวแต่อ่อนแอ เหยาะแหยะ ปวกเปียก ป้อแป้
เพราะฉะนั้น อย่าให้ใจหงิก แล้วมัวแต่หง็อกแหง็ก ไม่ไปไหน เดี๋ยวจะสู้คนเป็นง่อยไม่ได้ ต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเข้มแข็งทั้งนั้น เมื่อเราฝึกปฏิบัติธรรมด้วยความเข้มแข็ง ต่อไปไม่ว่างานอะไรก็ไม่ต้องกลัว สู้ได้หมด
ถ้าแค่ในจิตใจตัวเองจะปฏิบัติธรรมยังเข้มแข็งไม่ได้ แล้วต่อไปจะสู้งานอะไรข้างนอก ถ้าแพ้ใจตัวเองเสียแล้ว จะไปเอาชนะมารที่ไหน ท่านให้เอาชนะมาร พระพุทธเจ้าสำเร็จก็ด้วยชนะมาร ท่านจึงบอกว่าต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ผู้ที่เอาชนะใจตัวเองได้ คือมีชัยชนะสูงสุด
พระพุทธเจ้าเน้นให้เอาชนะใจตนเอง ไม่ใช่ให้ยอมแพ้ ถ้าใจปวกเปียกอ่อนแอ จะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องตรวจสอบว่ามันถูกต้องหรือเปล่า ถ้าไม่ถูก ข้าไม่เอากับแก จิตของเราอ่อนแอ มันจะเอาอย่างนั้น เรามีปัญญา เราก็บอกว่าแกไม่ถูกแล้ว ข้าต้องบังคับแก แล้วเราก็ชนะใจตัวเองได้ พอชนะใจได้ เราก็เดินหน้า ถ้ามิฉะนั้นก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว ได้แต่วนเวียนจมอยู่แค่ความประมาทนั่นแหละ”
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ตอบคำถามของพระที่วัดญาณเวศกวัน เมื่อคืนวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๗
เมื่อเรา #ดูจิต ของเราอยู่ #ผู้รู้ดูจิตเจ้าของ
#ผู้ใดตามดูจิตจักพ้นบ่วงของมาร
จิตก็เป็นจิต แล้วใครจะมาดูจิตอีกเล่า เดี๋ยวก็งงงันเท่านั้น
#จิตอันหนึ่งผู้รู้อันหนึ่ง รู้ออกมาจากจิตนั่น
รู้จิตเป็นอย่างไร สบอารมณ์เป็นอย่างไร ปราศจากอารมณ์เป็นอย่างไร
#ผู้ที่รู้อันนี้ท่านเรียกว่าผู้รู้
#ผู้รู้จะตามดูจิตผู้รู้จะเกิดปัญญา
#ถ้าพบอารมณ์นั้นก็แวะไปถ้าพบอารมณ์อีกมันก็แวะไปอีก
เหมือนกับควายเรานั่นแหละ
( จิตเราเหมือนควาย อารมณ์คือต้นข้าว ผู้รู้ก็เหมือนเจ้าของ )
#มันจะไปทางใหนเราก็ดูมันอยู่มันจะไปใหนได้
มันจะไปไกล้ต้นข้าว ก็ตวาดมันอยู่ ว่าไม่ฟังก็ค้อนเท่านั้น
ทรมานมันอย่างนี้
#จิตก็เหมือนกันเมื่อถูกอารมณ์มันจะเข้าจับทันที
เมื่อมันจะเข้าจับ ผู้รู้ต้องสอน ต้องพิจารณามัน ว่าดีไม่ดี อธิบายเหตุผลให้มันฟัง
มันไปจับสิ่งอื่นอีก มันนึกว่าเป็นของน่าเอา
ผู้รู้นี้ก็สอนมันอีก อธิบายให้มีเหตุผล
#จับอะไรมาก็แต่ของไม่น่าเอาทั้งนั้น
มันก็หยุดเท่านั้น มันขี้เกียจเหมือนกัน
เพราะมีแต่ถูกด่าถูกว่าเสมอ
#ทรมานมันเข้าทรมานเข้าไปถึงจิตหัดมันอยู่อย่างนั้นแหละ
....
หลวงปู่ชา สุภัทโท
วิตก วิจาร นี่ ถ้าวิตก วิจาร ธรรมดา ก็หมายถึงความคิดธรรมดา ความคิดที่มีวิจาร ก็คือสติที่รู้ทันความคิด
ถ้าในภาคปฏิบัติ มันมี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แต่ บางทีความคิดธรรมดามันก็ทำให้เกิดปีติเหมือนกัน เช่น ความคิดถึง บุญถึงกุศลอะไร แล้วมันทำให้ตื้นตันใจ อะไรทำนองนี้ เช่นอย่าง บางทีเราอยากได้อะไรมากๆ พอได้สิ่งนั้นมา มันก็ทำให้เราเกิดปีติเหมือนกัน
เอกัคคตา ไม่ได้หมายความว่า จิตต้องนิ่ง ไม่มีอะไร เพียงอย่างเดียว อย่างเราอยู่ธรรมดาอย่างนี้ จิตของเราเป็นกลาง เกิดความคิดอะไรขึ้นมา สติรู้ปั๊บ รู้แล้วปล่อยวางๆ อันนี้ก็คือ เอกัคคตา
เอกัคคตา จิตเป็นหนึ่งโดยไม่มีความคิด ไม่มีอะไร นั่นเป็น เอกัคคตาในฌานสมาบัติ แต่เอกัคคตาในสมาธิวิปัสสนาต้องมี วิตก วิจาร มีความคิด แล้วก็มีสติรู้พร้อม
เพราะฉะนั้น ทางปฏิบัติที่สบายที่สุดก็คือว่า เราไม่ต้องไปควบคุมจิต เพียงแต่ให้มีสติกำหนดรู้จิตอย่างเดียว ถ้าจิตนิ่ง ปล่อยให้มันนิ่งไป ถ้ามันคิด ปล่อยให้มันคิด แต่เราเอาสติตามรู้
อันนี้เราสามารถปฏิบัติได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเลือกกาล เลือกเวลาว่า เช้า สาย บ่าย เย็น
เทศนาธรรม
ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด
…………………..
(๑)
“เราภาวนาไปเรื่อยๆ นะ
ทีแรกก็รู้ทันกิเลสอย่างหยาบ
ราคะ โทสะ โมหะนี่กิเลสอย่างหยาบ
รู้จักราคะไหม?
บางคนขี้โลภ เห็นอะไรอยากได้หมดเลย
ได้ยินเสียงเพลง อยากซื้อซีดีอันนี้ อะไรอย่างนี้
เวลาได้ยินธรรมะหลวงพ่อ ฟังคนอื่นเค้าเปิด
นี่เราก็มีเหมือนกัน
มันมีกิเลสเล็กกิเลสน้อยซ่อนอยู่
ทีแรกหัดดูใหม่ๆ มันจะเห็นกิเลสอย่างหยาบ
โลภขึ้นมาแรงๆ แล้วจึงจะรู้ โลภนิดหน่อยไม่รู้
โกรธแรงๆ แล้วจึงจะรู้ โกรธนิดหน่อยไม่รู้
หลงแรงๆ หลงนานๆ แล้วจึงจะรู้
หลงแว๊ปแล้วรู้สึก อย่างนี้ไม่ค่อยรู้ รู้ไม่ได้
ต้องให้กิเลสแรงเสียก่อน จึงจะรู้ได้
เป็นอย่างนั้นทุกคนแหละ
ทีนี้พอเราหัดดูเข้าเรื่อยๆ
สติของเราแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ
มันจะรู้ทันกิเลสที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ” ...
(๒)
หัดดูเรื่อยๆ นะ
ทีแรกจะเห็นแต่ของหยาบ
อย่างต้องโกรธแรงๆ แล้วรู้
ต่อไปขัดใจนิดนึงก็เห็นแล้ว
โลภนิดนึงก็เห็นแล้ว
ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อย
ต่อไปเราจะเห็นกิเลสที่ละเอียดขึ้น
เรียกว่านิวรณ์
นิวรณ์ ใครเคยได้ยินไหม?
อย่างใจของเรามันเพลิดเพลินพอใจ
ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส
มันดูต้นไม้ดูดอกไม้แล้วแหม มันพอใจ
ถ้ามันเห็นตั้งแต่(กิเลสยัง)เล็กๆ อย่างนี้
มันไม่ทันจะโลภขนาด อยากซื้อต้นไม้กลับบ้าน
หรือใจเราฟุ้ง รู้จักใจฟุ้งไหม?
ใจมันไหวๆ ขึ้นมา ฟุ้งขึ้นมา
ทำไมใจฟุ้ง?
(เพราะว่า) ใจอยากรู้อารมณ์
แต่อารมณ์ที่อยากรู้นี่ เยอะเหลือเกิน
เพราะฉะนั้นจะจับจดในการรู้อารมณ์
อยากรู้อันนี้ อยากรู้อันนั้น อยากรู้อันโน้น
ในชีวิตจริงเคยมีมั้ย?
ที่มีงานที่ต้องทำหลายๆ เรื่องพร้อมกัน
ไอ้นี่ก็จะทำ ไอ้นี่ก็จะทำ ไอ้นี่ก็ต้องทำ
ไอ้นี่ก็จำเป็น ไอ้นี่ขาดไม่ได้
หัวนี่หมุนติ้วเลย
ใจที่มันกระสับกระส่าย แส่ส่าย
จะวิ่งออกไปทางตา ทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
(ถ้าเรา)เห็นมันส่าย
มันยังไม่ทันกระโดดออกไป
เห็นมันกวนๆ อยู่ข้างใน
อย่างนี้มันเป็นกิเลสชั้นในนะ
มันกวนๆ อยู่ข้างใน
แล้วเดี๋ยวมันจะปรุงราคะ โทสะ โมหะหยาบๆ ขึ้นมา
กิเลสที่อยู่ในใจเราลึกๆ
อาศัยนิวรณ์นะ คอยกวน คอยป่วนขึ้นมา
สุดท้ายก็ขึ้นมาข้างบน
โผล่ออกมาเป็นราคะ โทสะ โมหะ
ภาวนาต่อไปอีกนะ
จะเจอกิเลสละเอียดกว่านี้อีก เรียกว่าสังโยชน์
สังโยชน์เป็นเครื่องผูกมัดให้เราติดอยู่ในภพต่างๆ
ใจเราสร้างภพทั้งวัน
เวลาเราเป็นพ่อเป็นแม่อย่างนี้
เราคุยกับลูก เราก็มีภพของพ่อของแม่
เราจะคุยกับเพื่อน เพื่อนคนนี้เรามีภพแบบนี้
เพื่อนคนนี้เราเกลียด เราต้องวางฟอร์ม
เราสร้างภพวางฟอร์มหน่อย
หรือบางทีจะคุยกับลูกน้อง
ต้องวางฟอร์มหน่อย รู้สึกไหม?
ถ้าคุยกับลูกน้อง ต้องเต๊ะท่านิดๆ ต้องอย่างนี้
ถ้าจะคุยกับลูกค้า เราจะขายของเค้า
เราก็ต้องมีฟอร์มขึ้นมา วางฟอร์มในใจ
สร้างภพขึ้นในใจ
ไอ้ตัวฟอร์มในใจนี่เป็นตัวภพแล้ว
ตัวที่ทำให้ใจสร้างภพนะ
เป็นกิเลสชั้นละเอียดเลยนะ
อวิชชานี่ทำให้ปรุงภพละเอียดที่สุด
หยาบๆ ขึ้นมาก็ตัณหา
ตัณหาปรุงภพที่หยาบขึ้นมา
นี่แหละนะใจลึกๆ มันสะสมกิเลส
มันคอยปรุงโน่นปรุงนี่ไปเรื่อย
พวกสังโยชน์มันเป็นตัวที่ผูกใจเอาไว้ในภพ
ทำให้เราติดอยู่ในภพ
ตัวนี้ต้องใช้สติใช้ปัญญาชั้นสูง
คือโลกุตตระปัญญา
ปัญญาในโสดาปฏิมรรคจะทำลายสังโยชน์ได้ ๓ ตัว
ปัญญาในอนาคามีมรรคทำลายสังโยชน์ได้ ๒ ตัว
ปัญญาในอรหัตมรรคทำลายสังโยชน์ได้ ๕ ตัว
สังโยชน์ที่ผูกมัดจิตอยู่ในภพ มี ๑๐ ตัว
ตัวหัวโจกชื่ออวิชชา พระอรหันต์ละได้”
…………………..
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
คิดว่าตัวเอง มีสติ
กับ หลงว่าตัวเองไม่มีสติ
หลงไปมี และ ไม่มี กับมายาที่ตนสร้างขึ้น
จะมี หรือ ไม่มี มันก็ของชั่วคราวเป็นแค่ขณะๆ
มีคนหนึ่งบอก ...... ให้ขัดเกลาจิต
มีอีกคนหนึ่งบอก....... จิตไม่ใช่เรา
มันก็ถูกของมันทั้งคู่ .... หรือไม่
วาง มิจฉาทิฎฐิ....ได้
วาง สัมมาทิฎฐิ......ได้
คือ วาง.............จิตได้
คือ พ้น จาก นามธรรมทั้งปวง
คนที่ใจ...กว้าง
คือคนที่คืนจิต คืนใจ ให้โลกไป
ไม่ถือ จิต ไม่ถือใจตน ว่าเป็นตัวตน
ผู้ไม่สามารถ......
หลุดพ้นจากอำนาจ...จิต
ก็ไปเวียนว่ายตายเกิด...ต่อไป
บนโลกนี้มีความหลง มีทิฐิ มีมากมาย
ไม่ใช่หน้าที่ไปแก้ไข
หรือเปลี่ยนแปลงใคร
แต่จงหมดหลงซะเอง
หมดเขา หมดเรา
มีร้อยคนพันคน มีก็เหมือนไม่มี
"สรรพสิ่งหาได้เป็นเหตุแห่งทุกข์ไม่
ความหลงผิดต่างหากที่เป็นตัวการ"
โลกนี้ไม่เคยวุ่นวายและไม่เคยทำร้ายใคร
นอกซะจากใจเราที่มองเห็นที่ผิดเอง
คุณเป็นผู้เล่นหรือคนเขียนบทละคร
( เผลอไปเป็นแล้ว ไปยึดอะไรซะแล้ว)
หรือ..
เธอไม่เคยเริ่มต้น (มีตัวตน) ด้วยซ้ำ
หากอธิบายพุทธศาสนา
โดยไม่ต้องใช้คำพูดเยอะ
เรากล่าวได้ว่าสั้นๆแต่เป็น
ข้อสำคัญสุดเลยว่า..
" อย่ายึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด "
" ให้เห็นความเป็นจริง
ของสิ่งทั้งหลาย อย่างที่มันเป็น "
" สิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมา ทำให้รู้ว่า
ไม่มีสิ่งใดๆเลย ที่ดำรงอยู่อย่างถาวรตลอดไป "
พระปกรณ์นันทน์ ฐิตธมโม
450… สุญญตา..วิหารธรรม
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้ เราอยู่ด้วยสุญญตา-วิหารธรรมโดยมาก.”..อานนท์ การก้าวเข้าสู่สุญญตา(ความว่าง)ตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนบริสุทธิ์
**...สุญญตาวิหารธรรม หรือ ศูนยตา หมายถึง การอยู่ด้วย “สุญญตผลสมาบัติ” ความว่าง.. ความไม่มีตัวตน
“สิ่งทั้งมวลล้วนเป็นธรรม”... “สิ่งทั้งมวลล้วนว่างเปล่า” ความว่างนี้ ไม่ใช่ความดับสูญ มันมีแบบไม่มีอุปทานยึดมั่น
สุญญตา ความว่าง มีหลายระดับ หลายความหมาย เช่น
+สูญญตา - สภาพที่ว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ว่างจากความเที่ยง ความสวยงาม ความสุข ว่างจากธรรมต่างๆ ไม่มีอัตตาตัวตน
+สูญญตา - ความว่างจากกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ว่างจากสังขาร ( นิพพาน)
+สูญญตา - โลกุตตรมรรค เพราะ พิจารณาความเป็นอนัตตา ว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ว่างจากกิเลสมีราคะ มีสุญญตา คือ นิพพาน เป็นอารมณ์
+สูญญตา - ความว่าง ที่ เป็นอารมณ์ของจิตในการเจริญสมาบัติ ในฌาน อรูปฌาน
***...วิหารธรรม คือ ธรรมที่เราสนใจดำรงอยู่ โยไม่สนใจสิ่งอื่นๆ เช่น เราสนใจพื้นดินนี้ เท่านั้น. อารมภ์เราจะอยู่แต่แผ่นดิน จะไม่สนใจ สิ่งอื่น ว่างจากสิ่งอื่น ทั้ง ผืนน้ำ ผู้คน กองไฟ ช้าง ม้า .เงิน ทอง ..*ไม่ว่างอยู่..อย่างเดียวคือแผ่นดินเท่านั้น..
หรือ. ไม่ใส่ใจ ว่าเป็น ป่า เป็นแผ่นดิน แต่.สนใจแต่ฌาน๔ อย่างเดียว ว่างจาก ฌาน ๑ -๒- ๓ ไม่ว่างอย่างเดียว สำคัญอย่างเดียว จิต จึงแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และน้อมไปในความสำคัญว่า คือ ฌาน๔
หรือ ไม่ใส่ใจ ว่าเป็น ป่า ว่าแผ่นดิน ว่าฌาน๑-ฌาน๔ **แต่ใส่ใจอยู่อย่างเดียว “อากาสานัญจายตนะ .(อรูปฌานชั้น๑) เท่านั้น จิต จึงแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และน้อมไปในความสำคัญว่า ..อากาสานัญจายตนะ..
หรือ ไม่ใส่ใจ ว่าอากิญจัญญา-ยตนะ ไม่ใส่ใจ ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ใส่ใจอยู่อย่างเดียว คือ
เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตเท่านั้น.. จิต จึงแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และน้อมไปใน.เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต..
***.. เมื่อรู้ชัดอย่างนี้ว่า ‘เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้ ยังถูกปัจจัยปรุงแต่งจูงใจได้ ไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา’ จิตจึงหลุดพ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ว่า ‘หลุดพ้นแล้ว’ รู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป’
.++..ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ผู้ใด เข้าถึงสุญญา (ผลสมาบัติ.ที่เกิดจากความว่าง) – อันบริสุทธิไม่มีกิเลส ยอดเยี่ยม บุคคลนั้นได้เข้าถึงสุญญตาอันบริสุทธิ์ยอดเยี่ยมนี้
**.. สุญญตาสูงสุด .. คือ วิปัสสนา..คือ.. โลกุตรมรรค ... สุญญตะมรรค ..เพราะเห็นสังขารโดยความเป็นอนัตตาบ้าง เป็นของไม่เที่ยงบ้าง โดยความเป็นทุกข์บ้าง (ไตรลักษณ์)
..สุญญตะ .. คือ .สูญจากราคะ ..จากกิเลส . แม้พระนิพพาน ก็เรียกชื่อว่า สุญญตะ
วิญญาณขันธ์..ใช้แทน..ใจ
วิญญาณขันธ์ก็คือขันธ์ขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕
ซึ่งมีรูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์
ขันธ์ทั้ง ๕ เป็น อนัตตานะ
คำว่า"อนัตตา"ก็คือสิ่งที่มีอยู่ ในธรรมชาติ
แต่มันไม่รู้ความหมายในตัวของมันเอง
•รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์ ไม่รู้ความหมายในตัวของมันเอง..เป็นผู้ถูกรู้
•ส่วนวิญญาณขันธ์..เป็นผู้รับรู้
แต่ไม่รู้ความหมายในการรับรู้นั้นๆ
•ดังนั้นขันธ์ทั้ง ๕ จึงเป็นอนัตตา
#คือรู้แต่ไม่รู้ความหมายในตัวของมันเอง
ก็คือ..มันไม่ปรุงแต่ง.
ไม่สมมติ,ไม่ตีความหมายออกมานั่นเอง.
•ขันธ์ทั้ง ๕ เกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ก็ดับไป
เป็นสัจธรรม
•ธรรมชาติของขันธ์ ๕
คือเป็นอนิจจัง, ทุกขังและอนัตตา
ก็คือไม่เที่ยง..เป็น "อนิจจัง"
เสื่อมแตกสลาย..เป็น "ทุกขัง"
จนดับไปไม่เหลือสภาพเดิมที่เป็นอัตตาตัวตนอยู่เลยจึงเรียกว่า "อนัตตา"
นี่คือธรรมชาติของ..ขันธ์ ๕
• จิต เป็นผู้รู้ จิตไม่มีวันตาย
ไม่มีวันดับภายในจิตนั้นมีอวิชชาอยู่
จึงได้มาวนเวียนเกิดในภพนั้นภพนี้ในวัฏสงสาร
#อวิชชา เป็นผู้ไม่รู้เหตุ,ไม่รู้ผล,ไม่รู้บุญ,ไม่รู้บาป,ไม่รู้กุศลและอกุศล
เมื่อจิตมีอวิชชา จิตจึงไม่รู้ สิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี
จำเป็นจะต้องใช้สติและปัญญาของเราเอง
ฝึกจิตให้มี วิชชา เกิดขึ้น
ให้จิตรู้บุญ รู้บาป รู้กุศล รู้อกุศล รู้หลักในความเป็นไปตามธรรมชาติ #รู้อริยสัจ๔
#เมื่อจิตมีวิชชาแล้วจิตก็จะดับอวิชชา
จิตก็จะใสสว่างโล่งไม่หลงกระทำผิดในสิ่งที่ไม่รู้นั้นๆ
ในขณะที่จิตมีอวิชชา..คิดหลงในการรับรู้ต่างๆ
เมื่อจิตหลง..จิตก็จะเพลิดเพลินในความหลงผิดนั้น
ปรุงแต่งเพลิดเพลินสมมุติตั้งขึ้นมา
แล้วเกิด เวทนา สุขบ้าง, ทุกข์บ้าง หรือเฉยๆบ้าง
ปรุงแต่งเพลิดเพลินให้เกิดกิเลสตัณหาคือความอยากในสิ่งเหล่านั้น ให้ได้ให้เป็นไปตามจิต ตามความต้องการของตนเอง
🔺ยึดมั่นถือมั่น..เก็บไว้ที่จิต
จิตก็อยู่ตรงกลางหน้าอกนี่แหละ
#เมื่อยึดมั่นถือมั่นก็จะเป็นอุปทานจุกที่หน้าอกของตนเองนี่แหละเมื่อเป็นอุปทานก็จะเก็บไว้เป็นภพๆ ภพอะไร ภพของกุศล ภพของอกุศล
เมื่อจิตดวงนี้ออกจากร่างหรือขันธ์ ๕ ไปแล้วก็จะเอาภพนั้นๆแหละไปเกิดไปปฏิสนธิกับวิญญาณในขันธ์ใหม่อีกต่อไป
• สติและปัญญาของเรา..อยู่เหนือจิต
อบรมจิตได้..สอนจิตได้,บังคับจิตได้
เพราะฉะนั้น
เราจะต้องฝึกสติและปัญญาของเรา
ให้ เกิดขึ้น มีขึ้น เพื่ออบรมสั่งสอนจิตไม่ให้หลงตาม
วิชา นั้นให้จิตเกิดปัญญา
รู้เห็นเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามอริยสัจ ๔
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ค้นพบมาแล้ว
•เมื่อจิตเห็นเป็นไปตามธรรมชาติ
ปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่าง
คำว่าปล่อยวางก็คือ ไม่ต้องการที่จะสวนทิศทางของธรรมชาติ
#ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ก็จะไม่เกิดทุกข์ขึ้น
• นั่นแหละเขาเรียกว่าจิตนี้พ้นโลกทั้งสามแล้ว
คือ ปล่อยวางโลกทั้งสามให้เป็นไปตามธรรมชาติของมัน
ก็เป็นอิสระเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
#จิตก็จะอยู่ว่างๆวางเฉย ตื่นตัวตลอดเวลา
ทั้งกลางวันและกลางคืน(ชาคร)
จิตหมดความดิ้นรนวุ่นวายใดๆทั้งสิ้นกับอาการที่เกิดขึ้นของโลกทั้ง ๓ โลกทั้งสาม
อย่าหลงอาการเกิดขึ้นของขันธ์ทั้ง ๕
เกิดขึ้นแล้ว..ปล่อยวางทิ้งให้หมด
อย่าดิ้นรน,กวัดแกว่ง..กับอาการที่เกิดขึ้น
ของขันธ์ทั้ง ๕ ให้จิตอยู่ว่างๆวางเฉยนิ่งอยู่ ตื่นอยู่ คงที่อยู่ ตลอดเวลาเป็นอสังขตลักษณะคือ ๑. นะอุปปาโทปัญญาญัตติไม่ปรากฏมีอะไรเกิดขึ้นในนั้น
๒. นวโยปัญญายติไม่ปรากฎมีสิ่งใดเสื่อมสลายไปในนั้น
๓. นะฐิตัสสะ อัญญะถัตตังปัญญายติ ไม่ปรากฎมีอะไรแปรปรวนในนั้น
นั่นแหละคือเข้าถึงนิพพานแล้ว
...ขออวยพร...