🌠 #มหาสติปัฏฐานสูตร..ตอนที่๒
#การเจริญกรรมฐานต้องมีเป้าหมาย
ในการต่อไปการหวังผล การปฏิบัติจริงๆนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องหวังผล ถ้าเราไม่หวังผลมันก็เหนื่อยนานหน่อย เหนื่อยมากได้ผลน้อย
ผลที่จะต้องการก็ไม่ใช่อารมณ์เป็นสมาธิแน่วแน่ ถ้ามีอารมณ์ดิ่งทรงตัวนานหรือมีอารมณ์นึกเราชอบใจ แต่ความจริงการชอบใจอย่างนี้ไม่ผิด ถูก ถ้าไม่มีความหวังไว้ก่อนจุดใดจุดหนึ่งก็ถือว่าผลดียังอยู่ไกลผล ถ้าต้องการให้ใกล้ผล...
คำว่าสมาธิ คือ การตั้งใจ ตั้งใจไว้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งถ้าอารมณ์ทรงอย่างนั้นถือว่าเป็นสมาธิในตอนนี้ต้องจับอารมณ์ของ
#พระโสดาปัตติผลหรือสกิทาคามีก่อน
ℹ️...ตามแบบของท่านเวลาปฏิบัติจริงๆ บารมี ๑๐ มีความสำคัญมาก บรรดาท่านพุทธบริษัทเมื่อสมัยก่อนที่ฝึกอยู่ ครูบาอาจารย์ ท่านสั่งให้เขียนบารมี ๑๐ ไว้ข้างที่นอน
ถ้าลืมตาขึ้นมาให้อ่านบารมี ๑๐ ว่ามีอะไรบ้าง แล้วก็ตัดสินใจว่าวันนี้ทั้งวันเราจะไม่ยอมพลาดจากบารมี ๑๐ จะทำให้ครบถ้วน คือมีกำลังใจครบถ้วน แล้วเป็นธรรมดาใหม่ๆก็พลาดบ้างเป็นของธรรมดา
เวลาที่จะเข้านอนก็ดูก่อนว่าบารมี ๑๐ วันนี้เราบกพร่องข้อไหน ถ้าบกพร่องข้อไหนก็คิดว่าวันต่อไปเราจะไม่ยอมให้บกพร่อง
บารมี ๑๐ นี่เป็น กำลังของมรรคผล
ถ้าบารมี ๑๐ ครบอย่างอ่อนจะเป็น
ถ้ากำลังบารมี ๑๐ ปานกลาง เข้มข้นปานกลาง ทรงตัวดีพอสมควรก็จะเป็นปัจจัยให้ได้ #พระอนาคามี
ถ้าบารมี ๑๐ เข้มข้นที่สุดทุกบารมี
เรียกว่า #ปรมัตถบารมี
ปรมัง แปลว่า อย่างยิ่ง คือเต็มอย่างยิ่งอย่างนี้เป็นปัจจัยให้ได้เป็น #พระอรหันต์
ฉะนั้นบารมีทั้ง ๑๐ ประการขอ ญาติโยมพุทธบริษัทเขียนไว้วางไว้ข้างที่นอนอีกแผ่นหนึ่งหรือแผ่นเดียวกันก็ได้ เขียนตัวโตๆนะอ่านชัดๆ
อีกแผ่นหนึ่งเขียนสังโยชน์ ๑๐
สังโยชน์ ๑๐ ถ้าทำถึง ๑๐เราเป็นพระอรหันต์
ถ้าทำละได้ ๕ ข้อเป็นพระอนาคามี
ละได้ ๓ ข้อเป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี
📌...อันดับแรกขอให้เขียนแต่ #พระโสดาบันก่อน จะได้ไม่กลุ้ม
▪️ข้อที่ ๑ คือ #สักกายทิฏฐิ
มีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นของเรา เรามีในร่างกายร่างกายมีในเรา เป็นต้น #อย่างนี้เป็นอารมณ์ผิด
ให้เกิดความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา แต่ว่าถ้าเขียนไว้อย่างนี้ยุ่งไม่ได้อีกเพราะการเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นี่เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์
ถ้าอารมณ์พระโสดาบันใช้กำลังต่ำกว่านี้ ให้มีความรู้สึกแต่เพียงว่าร่างกายนี้มันต้องตาย เราก็ตายคนอื่นก็ตาย ความตายมีสภาพเหมือนกันหมด คิดแค่นี้
▪️ข้อที่ ๒ #วิจิกิจฉา
ไม่สงสัยในคุณความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ
▪️ข้อที่ 3 #สีลัพพตปรามาส
มีศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน
▪️แล้วก็ ๔ พิเศษนี่ไม่ใช่สังโยชน์
ถ้าเราสามารถกำจัดความรู้สึกชั่วในสังโยชน์ ๓ ประการได้สังโยชน์นี่มันคิดว่าร่างกายนี้มันจะไม่ตาย เราต้องคิดตามความเป็นจริงว่าร่างกายนี้มันต้องตาย ยอมรับนับถือความตายมีแน่นอน แล้วก็ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์แน่นอน มีศีล ๕ บริสุทธิ์มีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ แต่ถ้าจิตหวังพระนิพพานอย่างนี้เป็นพระโสดาบันแน่หรือสกิทาคามี
เอาแค่นี้ก่อนนะต้อง ขึ้นต้นแบบนี้เสียก่อน แล้วต่อไปเมื่อกำลังใจทรงตัวในสังโยชน์ ๓ ประการ กำลังใจปลูกฝังในบารมีทั้ง ๑๐ ประการอย่างนี้ กำลังใจของท่านพุทธบริษัทจะไม่เคลื่อนจะไม่เสื่อม แต่การทำใหม่ๆการพลั้งเผลอเป็นของธรรมดา ที่เราคิดว่ามันจะต้องตายเวลานั้นเป็นเวลาที่ปัญญาเกิด
เวลาไหนถ้าปัญญามันทรุดตัว ความรู้สึกว่าจะต้องตายก็หายไป มันก็คิดว่าเรายังแก่ไม่พอ เรายังไม่ตาย หรือยังไม่แก่ไม่ตาย ยังเด็กอยู่ไม่ตาย
ความจริงขึ้นชื่อว่าความตาย ไม่เลือกวัยไม่เลือกสมัย อย่างสังเกตได้ว่าคนเกิดทีหลังเราตายก่อนเราก็เยอะ คนรุ่นราวคราวเดียวกับเราตายก่อนเราไปก็เยอะ เด็กบางคนยังไม่คลอดออกจากครรภ์มารดาตายไปก็เยอะ คลอดจากครรภ์มารดาใหม่ๆไม่ทันจะเห็นเดือนเห็นตะวันตายไปก็เยอะ ขึ้นชื่อว่าความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ซ้อมตายไว้เสมอ
#แต่ว่ามาคิดถึงความตายก็อย่าทำจิตใจหดหู่_ทำใจสบายมีจิตเป็นสุขว่า..
ถ้าเราชนะสังโยชน์ ๓ ประการนี้แล้ว ขึ้นชื่อว่าบาปเก่าๆทั้งหมดไม่สามารถให้ผล การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม มุสาวาท ดื่มสุราเมรัย ที่ทำมาในการก่อนไม่สามารถดึงเราลงอบายภูมิได้ หมดสิทธิ์ เรามีหวังอย่างต่ำคือสวรรค์ แล้วก็ก้าวต่อไปคือพรหมโลก ต่อไปถึงที่สุดก็คือนิพพาน อันนี้เป็นอานิสงส์
(#พระมหาวีระ_ถาวโร ป.ธ.๔)
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
📖 : คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๕๙
หน้า ๙๘-๙๙
พระอริยสงฆ์ คือ ใคร
: พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
1.พระโสดาบัน ผู้เข้าถึงกระแสคือเข้าสู่มรรค เดินทางถูกต้องอย่างแท้จริง หรือปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคอย่างแท้จริง เป็นผู้รักษาศีลให้สมบูรณ์มิให้ศีลขาดหรือด่างพร้อย ทำได้พอประมาณในสมาธิ (คือทำได้ยังไม่เต็มที่เหมือนรักษาศีล) และทำให้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์กิเลสได้ 3 คือ
สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน)
วิจิกิจฉา (ความสงสัย)
สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นในศีลและข้อวัตรอย่างงมงาย)
2.พระสกทาคามี ผู้จะกลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว ก็จะกำจัดทุกข์ได้หมดสิ้น เป็นผู้รักษาศีลให้บริบูรณ์ ทำได้พอประมาณในสมาธิ ทำได้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์กิเลส 3 ข้อ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และทำ ราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงด้วย
3.พระอนาคามี ผู้จะปรินิพพานในที่ที่ผุดขึ้น ไม่เวียนกลับมาอีก เป็นผู้รักษาศีลให้บริบูรณ์ ทำสมาธิให้บริบูรณ์ได้เต็มที่ แต่ทำได้พอประมาณในปัญญา (มีใจเป็นสมาธิ แต่ยังไม่เห็นแจ่มแจ้ง) ละสังโยชน์ได้อีก 2 คือ
กามราคะ (ความกำหนัดในกาม) และ
ปฏิฆะ (ความขุ่นเคืองใจ)
รวมเป็นละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 ข้อ
4.พระอรหันต์ ผู้ควรแก่ทักษิณาหรือการบูชาพิเศษ หรือผู้หักกำแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอาสวะ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสิกขาทั้ง 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และ ละสังโยชน์กิเลสเบื้องสูงได้อีก 5 ข้อ คือ
รูปราคะ (ความติดใจปรารถนาอยู่ในรูปภพ)
อรูปราคะ (ความติดใจปรารถนาอยู่ในอรูปภพ)
มานะ (ความถือตัว)
อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
อวิชชา (ความไม่รู้อริยสัจจ์)
รวมละสังโยชน์ได้ 10 ข้อ
Trader Hunter พบธรรม
ตอนที่ศาสนาพุทธเข้ามาในแผ่นดินนี้
ไม่ใช่เข้ามาศาสนาเดียว
พราหมณ์ ฮินดู อะไรมันก็เข้ามาด้วย
แล้วเข้ามาก่อนศาสนาพุทธซะอีก
งั้นก็จะปน ปนเปื้อน
ปนกับลัทธิถือผี ลัทธิบูชาบรรพบุรุษ
ลัทธิบูชาธรรมชาติ ลัทธิบูชาเทพเจ้า เทวดา
งั้นพวกเราจะไหว้อะไรปนๆกันไปหมดเลย
พอจะเข้าใจธรรมะนะ
กลั่นกรองแยกแยะออกเนื้อแท้
ของพระพุทธศาสนาออกมาได้
ถึงไม่ใช่เรื่องง่าย
กระทั่งคนที่พยายามจะเรียนศาสนาพุทธจริงๆนะ
ก็เกิดการตีความที่แตกต่างกัน
อันนี้เป็นเรื่องปกติจะเกิดนิกาย
นิกายมันมีมาตั้งนานแล้ว
สมัยหลังปรินิพพานใหม่ๆ มันก็เริ่มมีนิกายขึ้นมา
กลุ่มของเราเนี่ยอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า"เถรวาท"
เราจะถือมติที่พระมหากัสสปะขอกับสงฆ์ ๕๐๐ องค์
ว่าจะยืนหยัดอยู่ในพระธรรมคำสอน
ดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า จะไม่เพิ่ม
แล้วก็จะไม่ลดคำสอนของพระพุทธเจ้า
นี้พอสังคายนาเสร็จก็มีพระมาจากที่อื่น
ทางคณะสงฆ์ก็บอกพวกพระว่า
สังคายนาเสร็จแล้ว
มีมติว่าจะคงคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้
พระองค์นั้นท่านก็ตอบเลยบอกว่า
สังคายนากันท่านก็อนุโมทนานะ
แต่ท่านจะเชื่อคำสอน
ที่ท่านได้ยินจากพระพุทธเจ้าด้วยตัวท่านเอง
คล้ายๆ มติของท่านก็ดีไม่ว่าหรอก
แต่ฉันจะเชื่อที่ฉันได้ยินจากพระพุทธเจ้า
มันก็เริ่มมีรอยปริให้เราเห็นแล้ว
ในที่สุด
ก็เกิดนิกายในศาสนาพุทธมาเป็นสิบๆนิกายเลย
หลายสิบนิกาย
บางนิกายช่วงหนึ่งก็หายไป
บางนิกายเหลืออยู่
แต่ก็ปนกับนิกายที่เคยไม่ถูกกันก็มี
ผสมไปเรื่อยๆ มาถึงรุ่นมือเราเนี่ย
ธรรมะตกมาถึงรุ่นพวกเราเนี่ย
ก็เริ่มมีปัญหานะ
ว่าจะเรียนจะแยกแยะ
คำสอนดั้งเดิมนะต้องเรียนกันจริงๆ
ต้องเรียน รากเดิมเลยก็คือตัวพระไตรปิฎก
แก้ไม่ได้ ต้องรักษา
ในยุคเรานี้ยังมีคนพยายามจะแก้พระไตรปิฎกนะ
บอก พระไตรปิฎกขาดตรงนี้ ตรงนี้เกินไปตัดออก
งั้นท่านพุทธทาสนะท่านบอก
อภิธรรมนี้เกินตัดออกได้
งั้นคนจำนวนมากก็รับไม่ได้
งั้นธรรมะเนี่ยนะ
มันพร้อมจะแกว่งตลอดเวลา
มันพร้อมจะบิดจะเบี้ยวไปตามกิเลส
การที่เราจะเรียนธรรมะให้เข้าใจจริงๆนะ
ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ
นี้พอจะลงมือปฏิบัติก็มีปัญหาอีกแล้ว
สำนักปฏิบัติเยอะแยะไปหมดเลย
จะลงมือยังไงนะ เนี่ยเราก็ค่อยๆสังเกตไป
การปฏิบัติแนวไหนเนี่ย
ที่สามารถลดละกิเลสได้นะ
กิเลสที่มีอยู่ก็ดับสูญไป กิเลสใหม่ไม่เกิด
แต่ว่ากุศลที่ไม่มี ก็เกิดมีขึ้นมา
กุศลที่มีแล้ว เจริญขึ้นมา
เนี่ยเราวัดด้วยตัวของเราเอง
งั้นเราปฏิบัติธรรมแล้วลดละกิเลสได้ก็โอเค
เราไม่ต้องพูด ว่ามันสำนักไหนๆหรอก
แต่ถ้าปฏิบัติแล้วลดละกิเลสไม่ได้ ก็ไม่ใช่
เราปฏิบัติแล้วก็ละโมบโลภมาก
อยากโน่นอยากนี่ อะไรอย่างนี้ก็ไม่ใช่
ธรรมะของพระพุทธเจ้านะ
มักน้อย สันโดษ
อย่างปฏิบัติแล้วก็ชอบวุ่นวายกับโลก
ไม่สนใจความสงบ ความวิเวก มันก็ไม่ใช่นะ
ต้องมักน้อย สันโดษ ใฝ่ในความสงบ
ทางกาย ทางจิตใจนะก็สงบจากกิเลส
ปรารภความเพียร
ไม่ใช่อยู่เฉยๆก็บรรลุมรรคผล
นอนเฉยๆ ก็บรรลุมรรคผล ไม่ใช่
ต้องลงมือปฏิบัติ ก็เจริญศีล สมาธิ ปัญญา
จนกระทั่งวิมุตติเกิด
วิมุตติก็คือ การที่จิตหลุดพ้นจากอาสวกิเลส
มันจะหลุดพ้นเป็นลำดับๆไป มี ๔ ขั้น
โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์
มี ๔ ขั้น
ในขั้นพระอรหันต์เนี่ย
จิตหลุดพ้นจากอาสวะจริงๆ
ในขั้นก่อนหน้านั้นนะ
อริยมรรคก็ไปทำลายสังโยชน์บางตัวไป
แต่ยังเหลือสังโยชน์ เหลือกิเลสชั้นละเอียดอยู่
งั้นค่อยๆฝึก ในที่สุดก็ทำลายกิเลสได้หมด
นี้เราจะฝึกยังไง
เราก็ดูองค์มรรค มรรคมีองค์ ๘
ขั้นแรกเลยเราต้องเรียนให้ได้ก่อนว่า
สัมมาทิฏฐิเป็นยังไง
สิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐินั้นก็คือ
การเรียนรู้เรื่องอริยสัจ ๔
รู้ว่ารูปนาม ขันธ์ ๕ นี้คือ"ตัวทุกข์"
นี่เรียกว่าทุกข์นะ
รู้หน้าที่ต่อทุกข์ก็คือ"การรู้" ไม่ใช่การละ
งั้นหน้าที่ของเราเนี่ย"ต้องรู้ทุกข์"
คือ รู้ความจริงของกาย ของใจ ตัวเอง
รู้ความจริงของขันธ์ ๕
แต่บางคนก็แยกในมุมอื่นไม่ใช่มุมของขันธ์ ๕
ตัวรูปนามเนี่ย
บางทีก็แยกไปในมุมของขันธ์ ๕ ก็ได้
แยกในมุมของอายตนะ ๖ ก็ได้
ธาตุ ๑๘ ก็ได้
อินทรีย์ ๒๒ ก็ได้
ปฏิจจสมุปบาทก็ได้
แล้วแต่จะแยกกัน
ก็คือเรื่องของขันธ์ ๕ ทั้งนั้นน่ะ
เรื่องของรูปนาม
ฟังแล้วเยอะใช่มั้ย ยังไม่ต้องตกใจ
แค่(เห็น)ร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู
ก็ถือว่าโอเคแล้ว แยกได้แล้ว พอเอาตัวรอด
เนี่ยสัมมาทิฏฐิมันเริ่มจากการรู้อริยสัจ
แต่มันเป็นการรู้ทางทฤษฎี
มันยังไม่ได้รู้ด้วยใจ
งั้นสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น
มรรคมีองค์ ๘ ในเบื้องต้น
เนี่ยยังไม่ใช่อริยมรรค
แต่มันเป็นเบื้องต้นแห่งอริยมรรค
ก็เรียกว่า"บุพภาคมรรค"
เป็นบุพภาค เป็นส่วนเบื้องต้นของอริยมรรค
สัมมาทิฏฐิ ก็เป็นสัมมาทิฏฐิในทางทฤษฎี
มีทฤษฎีที่ถูกต้อง
คำว่าทิฐิเป็นภาษาบาลี
ภาษาสันสกฤตใช้คำว่า ทฤษฎี
พวกเรารู้จักคำว่าทฤษฎีมั้ย ?
สัมมาทิฏฐิก็คือ life really (ชีวิตที่แท้จริง)
มีทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้อง
แล้วที่พระพุทธเจ้าชี้ไว้ให้
ตัวสัมมาทิฏฐิที่เราจะต้องรู้จักคือ"อริยสัจ"