< ธรรมคุณ ๖>
คุณของพระธรรม
คุณลักษณะอันเป็นความดีของพระธรรม ได้แก่
(๑) สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม
(พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว คือ ตรัสไว้เป็นความจริงแท้ อีกทั้งงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ ประกาศหลักการครองชีวิตอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง)
(๒) สนฺทิฏฺฐิโก
(อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง คือ ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ใดบรรลุ ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อตามคำของผู้อื่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติ ไม่บรรลุ ผู้อื่นจะบอกก็เห็นไม่ได้)
(๓) อกาลิโก
(ไม่ประกอบด้วยกาล คือ ไม่ขึ้นกับกาลเวลา พร้อมเมื่อใด บรรลุได้ทันที บรรลุเมื่อใด เห็นผลได้ทันที อีกอย่างว่า เป็นจริงอยู่อย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่จำกัดด้วยกาล)
(๔) เอหิปสฺสิโก
(ควรเรียกให้มาดู คือ เชิญชวนให้มาชม และพิสูจน์ หรือท้าทายต่อการตรวจสอบ เพราะเป็นของจริงและดีจริง)
(๕) โอปนยิโก
(ควรน้อมเข้ามา คือ ควรน้อมเข้ามาไว้ในใจ หรือน้อมใจเข้าไปให้ถึง ด้วยการปฏิบัติให้เกิดมีขึ้นในใจ หรือให้ใจบรรลุถึงอย่างนั้น หมายความว่า เชิญชวนให้ทดลองปฏิบัติดูอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่นำผู้ปฏิบัติให้เข้าไปถึงที่หมาย คือ นิพพาน)
(๖) ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ
(อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน คือ เป็นวิสัยของวิญญูชนจะพึงรู้ได้ เป็นของจำเพาะตน ต้องทำจึงเสวยได้เฉพาะตัว ทำให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้ และรู้ได้ประจักษ์ที่ในใจของตนนี่เอง)
< สติปัฏฐาน (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ) >
เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค สัมมะทักขาโต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางไปอันเอก (เป็นที่ไปของบุคคลผู้เดียว เป็นที่ไปแห่งเดียว)
สัตตานัง วิสุทธิยา
เพื่อความบริสุทธิ์ หมดจดของสัตว์ทั้งหลาย
โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ
เพื่อความก้าวล่วง ซึ่งความโศก และความร่ำไรรำพัน
ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ
เพื่อความดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส (ความเสียใจ ทุกข์ใจ)
ญายัสสะ อธิคะมายะ
เพื่อบรรลุธรรมที่ควรรู้ (ธรรมที่ถูก คือ อริยมรรค)
นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ
เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา
ทางนี้ คือ สติปัฏฐาน (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ) มี 4 อย่าง
กะตะเม จัตตาโรฯ
ก็สติปัฏฐาน 4 อย่างนั้น คืออะไรบ้าง
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่
อาตาปี สัมปะชาโน สติมา
มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน มีสัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว มีสติ คือ ความระลึกได้
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
พึงนำอภิชฌา คือ ความยินดี และโทมนัส คือ ความยินร้าย ในโลกเสียให้พินาศ
เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ อยู่
อาตาปี สัมปะชาโน สติมา
มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน มีสัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว มีสติ คือ ความระลึกได้
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
พึงนำอภิชฌา คือ ความยินดี และโทมนัส คือ ความยินร้าย ในโลกเสียให้พินาศ
จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่
อาตาปี สัมปะชาโน สติมา
มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน มีสัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว มีสติ คือ ความระลึกได้
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
พึงนำอภิชฌา คือ ความยินดี และโทมนัส คือ ความยินร้าย ในโลกเสียให้พินาศ
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนือง ๆ อยู่
อาตาปี สัมปะชาโน สติมา
มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน มีสัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว มีสติ คือ ความระลึกได้
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
พึงนำอภิชฌา คือ ความยินดี และโทมนัส คือ ความยินร้าย ในโลกเสียให้พินาศ
》ทางสายเอก.. สติปัฏฐาน 4
หัวใจสำคัญคือ...
อาตาปี สัมปะชาโน สติมา
มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน มีสัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว มีสติ คือ ความระลึกได้
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
พึงนำอภิชฌา คือ ความยินดี และโทมนัส คือ ความยินร้าย ในโลกเสียให้พินาศ
》การเจริญสติปัฏฐาน 4 ต้องมีเครื่องมือ สามอย่าง คือ...
สติ สัมปชัญญะ และวิริยะ
ให้รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม โดยมีสัมมาสมาธิ (จิตที่ตั้งมั่น) ร่วมในการกำจัด อภิชฌาและโทมนัส ออกจากเสีย
เพื่อให้เห็นรูป-นาม ขณะปัจจุบัน และเห็นความจริงของมันว่า มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มิควรยึดมั่นถือมั่น
》》》นี่ละหัวใจเมื่อเห็นเวทนาในเวทนา คือความรู้สึกของตัวของจิต(สติ)เข้าไปควบคุมอาการของจิต(เจตสิก)เท่านั้นเองนะ
ฝึกให้มีความเชี่ยวชาญจิตย่อมถูกปฏิว้ฏ เพิกถอนอุปาทานและตัณหาให้สิ้นไป
ทางของอริยะ ได้แก่ ...........
อดนอน
ผ่อนอาหาร (กินน้อย หรือ อดบ้าง)
พูดน้อย
ไม่คลุกคลีหมู่คณะ
ไม่เอาการงานหรือเรื่องโลก ๆ มาหมุกมุ่นในใจ
สำรวมอินทรีย์ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
มีขันติ ได้แก่ มีความอดทน อดกลั้น ระงับยับยั้งใจไม่ให้ไหลไปตามกิเลส ตัณหา
มีหิริ โอตตัปปะ ได้แก่ ความละอายแก่ใจ
และ ความเกรงกลัวต่อการกระทำบาป
กรรมชั่วทางกาย วาจา จิต
มีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
< ปัจจัยให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรม >
เหตุปัจจัยให้ได้บรรลุมรรค ผล พระนิพพานได้ ดังที่กล่าวไว้ใน วิมุตตายตนสูตร
ซึ่งปรารภเหตุที่บุคคลจะได้บรรลุสามัญญผลนั้น ๕ ประการ คือ
๑. บรรลุในขณะที่ฟังธรรม
๒. บรรลุในขณะที่แสดงธรรม
๓. บรรลุในขณะที่สาธยายธรรม
๔. บรรลุในขณะที่พิจารณาธรรม
๕. บรรลุด้วยอำนาจของสมาธิ
เหตุทั้ง ๕ ประการนี้ เป็นปัจจัยให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้บรรลุอริยมรรคอริยผล นับตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงขั้นพระอรหันต์ได้
๑. บรรลุในขณะที่ฟังธรรม
การแสดงธรรม(อริยสัจ ๔) แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอรู้แจ้งอรรถ (รู้ความหมาย) รู้แจ้งธรรมในธรรม(รู้พระพุทธพจน์) นั้น ตามที่ศาสดาหรือเพื่อนพรหมจารีผู้ตั้งอยู่ในฐานะครูบางรูปแสดง แก่เธอ
▪เมื่อเธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์
▪เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
▪เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ
▪เธอมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
▪เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติประการ ที่ ๑ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศ กายและใจอยู่ ที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไป ย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจาก โยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
๒. บรรลุในขณะที่แสดงธรรม
การแสดงธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียน มาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร เธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรมในธรรมนั้นตาม ที่ภิกษุแสดงธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียนมาแก่ผู้อื่นโดย พิสดาร
▪เมื่อเธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์
▪เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
▪เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ
▪เธอมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
▪เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติประการ ที่ ๒ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท ฯลฯ หรือเธอย่อม บรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
๓. บรรลุในขณะที่สาธยายธรรม
การสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียนมาโดยพิสดาร เธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ในธรรมนั้น ตามที่ภิกษุสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตน ได้เรียนมาโดยพิสดาร
▪เมื่อเธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์
▪เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
▪เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ
▪เธอมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
▪เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
นี้เป็นเหตุแห่ง วิมุตติประการที่ ๓ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความ เพียร ฯลฯ หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะอัน ยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
๔. บรรลุในขณะที่พิจารณาธรรม
การตรึกตามตรองตามเพ่ง ตามด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียนมา เธอรู้ แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรมในธรรมนั้นตามที่ภิกษุตรึกตามตรองตามเพ่ง ตามด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียนมา
▪เมื่อเธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์
▪เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
▪เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ
▪เธอมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
▪เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติประการที่ ๔ ซึ่งเป็น เหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท ฯลฯ หรือเธอย่อมบรรลุธรรม อันเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
๕. บรรลุด้วยอำนาจของสมาธิ
เธอ เรียนสมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งมาดี มนสิการดี ทรงจำไว้ดี แทงตลอดดีด้วยปัญญา เธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรมในธรรมนั้นตามที่ เธอได้เรียนสมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งมาดี มนสิการดี ทรงจำไว้ดี แทงตลอดดีด้วยปัญญา
▪เมื่อเธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์
▪เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
▪เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ
▪เธอมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
▪เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติประการที่ ๕ ซึ่งเป็น เหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท ฯลฯ หรือเธอย่อมบรรลุธรรม อันเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
ภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งวิมุตติ ๕ ประการนี้แล ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไป ย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจาก
โยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
วิมุตตายตนสูตรที่ ๖ จบ
ทำอย่างไรศรัทธาถึงจะเกิด?
"ภาวนาไปแล้วศรัทธามันจะเกิด
ยิ่งฝึกไป ของไม่เคยรู้ ได้รู้
ของไม่เคยเห็น ได้เห็น
ของไม่เคยเข้าใจ ได้เข้าใจ
ของไม่เคยปล่อยวาง ได้ปล่อยวาง
เราเห็นผลของการภาวนา เห็นพัฒนาการของตัวเอง
ศรัทธามันจะแน่นแฟ้นขึ้น
ศรัทธาของคนไม่ได้ภาวนา เป็นศรัทธาที่กลับกลอก
ศรัทธาเพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง
แต่ศรัทธาของผู้ปฏิบัติ เห็นคุณค่าของธรรมะ
ทำเราพ้นทุกข์ได้จริงๆ เป็นลำดับๆ ไป
ศรัทธามันแน่นแฟ้น
เพราะฉะนั้นอยู่ๆ จะเรียกให้ศรัทธา
ก็ต้องเล่านิทานอะไรอย่างนี้ ยิ่งโง่หนักกว่าเก่าอีก
หัดปฏิบัติไป แล้วศรัทธาตัวจริงมันจะเกิด"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
"ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต
ไปหาข้างนอกหาไม่เห็นหรอก มันไม่มี
หาตรงไหน ไม่มี
จึงว่าหาลงไปที่จิต หาลงไปที่จิต แล้วดับ ดับที่จิตนั้น
ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต ดับก็ดับที่จิตนั้น
ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต และดับไปก็เพราะเหตุนั้น
เหตุคือจิต ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นภายนอก
นอกจากจิต ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
เรื่องธรรมทั้งหลาย
ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล
เกิดจากจิตทั้งนั้น
ธรรมที่เป็นฝ่ายบวก ธรรมที่เป็นฝ่ายลบ
ธรรมที่เป็นฝ่ายสว่าง ธรรมที่เป็นฝ่ายมืด
เกิดจากจิตทั้งนั้น
จึงว่าอะไรเกิดขึ้น อะไรเกิดขึ้น ให้มองหาจิต
จิตอันนี้ล่ะเป็นสมุฏฐาน เป็นฐานที่เกิดของธรรมทั้งนั้น"
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร
(หลวงปู่แบน ธนากโร)
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
"กิเลสตัณหาก็เป็นธรรม ธรรมทั้งนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมทั้งนั้น เรียกว่าธรรม
คือธรรมเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
เพ่งเข้าหาจิต เพ่งเข้าหาจิต
ดูเข้าไปหาจิต หยั่งเข้าหาจิต
"กิเลสตัณหา" มันเป็นเหมือนกับเปลือกเนี่ย
เปลือกไม้นั่นน่ะ เหมือนกับเปลือกผลไม้อย่างงั้นล่ะ
เข้าไปหาถึงเนื้อแล้วเปลือกไม่มี
เข้าไปหาถึงแก่นแล้วกระพี้ไม่มี
เข้าไปหาจิตจริงๆ แล้ว เรื่องขี้หมูขี้หมาไม่มีหรอก
เรื่องไฟเผาหัวนี่ไม่มี
ลูบๆ คลำๆ ก็ลูบๆ คลำๆ
ใครๆ ก็ว่า เหมือนกับเอาเชื้อไปใส่ไฟ
เข้าไปหาจุดที่ไฟมันเกิดเหมือนสวิตซ์ไฟอย่างเนี้ย
ดับที่ถูก ถูกที่จุดมันเนี่ยนะ กี่ดวงกี่ดวงดับทันที
ถ้าหากว่าดับไม่ถูกจุดนั่นน่ะ ตายเพราะไฟนั่นล่ะ
นี่ ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต"
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร
(หลวงปู่แบน ธนากโร)
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
เข้าใจธรรมก็เข้าใจตน
.. ผู้ที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจตัวเอง ใครเข้าใจตัวเองก็เข้าใจธรรมะ..
ทุกวันนี้ก็เหลือแต่เปลือกของธรรมะเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีไปไหน ถ้าจะหนี ก็ให้หนีด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา หนีด้วยความชำนิชำนาญ อย่าหนีด้วยความโง่
ถ้าเราต้องการความสงบ ก็ให้สงบด้วยความฉลาด ด้วยปัญญาเท่านั้นก็พอ
เมื่อใดที่เราเห็นธรรมะ นั่นก็เป็น "สัมมาปฏิปทา" แล้ว "กิเลส"ก็สักแต่ว่า"กิเลส".. "ใจ"ก็สักแต่ว่า"ใจ" เมื่อใดที่เราทิ้งได้ ปล่อยวางได้แยกได้ เมื่อนั้นมันก็เป็นเพียงสิ่งสักว่า เป็นเพียงอย่างนี้อย่างนั้น สำหรับเราเท่านั้นเอง
เมื่อเราเห็นถูกแล้ว ก็จะมีแต่ความปลอดโปร่ง ความเป็นอิสระตลอดเวลา
พระพุทธองค์ตรัสว่า...
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลายท่านอย่ายึดมั่นในธรรม"
..ธรรมะคืออะไร คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะ ความรัก ความเกลียด ก็เป็นธรรมะ ความสุข ความทุกข์ ก็เป็นธรรมะ ความชอบ ความไม่ชอบ ก็เป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน ก็เป็นธรรมะ ..
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อบุคคล "รู้อยู่" อย่างไร
"เห็นอยู่" อย่างไร "อนุสัย" จึงจะถึงความเพิกถอน ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งจักษุ
โดยความเป็นอนัตตา อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน ฯลฯ
เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ธรรมารมณ์
มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
โดย"ความเป็นอนัตตา" อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้
เห็นอยู่อย่างนี้แล อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน ฯ
____________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
อนุสัยสูตร
การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผล
ถ้าทำถูกวิธีก็ไม่ใช่เป็นของยาก ทำสติสัมปชัญญะให้ตั้งอยู่ที่กายที่จิต แล้วก็เจริญสติปัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เดินอยู่ ก็มีสติสัมปชัญญะ รู้ชัดทั่วกายว่าเราเดินอยู่ ยืนอยู่ ก็มีสติสัมปชัญญะ รู้ชัดทั่วกายว่าเรายืนอยู่ นั่งอยู่ ก็มีสติสัมปชัญญะ รู้ชัดทั่วกายว่าเรานั่งอยู่ นอนอยู่ ก็มีสติสัมปชัญญะ รู้ชัดทั่วกายว่าเรานอนอยู่ ตั้งกายไว้อย่างใด ๆ ก็มีสติสัมปชัญญะ รู้ชัดทั่วกายที่ตั้งไว้อย่างนั้น ๆ ด้วยจิตใจธรรมดา ๆ พร้อมกับตั้งใจทำกายคงที่ ทำจิตคงที่ไว้ด้วย ทำอยู่อย่างนี้เนือง ๆ อินทรียสังวร ก็จะแก่ขึ้น ๆ อินทรียสังวรแก่ขึ้นเท่าใด สุจริต ๓ ก็แก่ขึ้นเท่านั้น สุจริต ๓ แก่มากเท่าใด สติสัมปชัญญะที่กายที่จิต ก็จะแก่มากขึ้นเท่านั้น ทั้งกายทั้งจิตก็จะเบาสบาย มากขึ้นเพียงนั้นด้วย ครั้นสัมมาสมาธิเกิดขึ้นได้เมื่อใด สติปัฏฐาน ๔ ก็เกิดขึ้น พร้อมกับสัมมาสมาธิได้ทันที
เมื่อสติปัฏฐาน ๔ เกิดขึ้นแล้ว ก็คงทำอยู่อย่างนั้น
ไม่ต้องไปนึกเอานึกละอะไร สิ่งดีที่เกิดขึ้น เราก็ไม่นึกเอา สิ่งชั่วเกิดขึ้น เราก็ไม่นึกละ อะไรจะเกิดขึ้นเราก็ดู ดู ดู ดู ดูอยู่อย่างเดียว การดูอยู่อย่างเดียวนี่เป็น “มัชฌิมาปฏิปทา” เป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์ คือ เป็นเหตุให้อริยมัคคสมังคีเกิดขึ้น
หลวงปู่เจือ สุภโร
“ พรหมวิหาร ๔ ” ต้องใช้ให้เป็น
.
“ถ้าหากว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไปกระทบเสียต่อธรรม คุณจะต้องหยุด เมตตาออกไปไม่ได้ กรุณาออกไปไม่ได้ มุทิตาออกไปไม่ได้ ไปขวนขวายไม่ได้ ต้องหยุดขวนขวาย การหยุดขวนขวายนี้ เรียกว่า “เฉย” คือ เอาธรรมไว้ ไม่เอาคน หรือวางคนไว้ ว่าไปตามธรรม นี่คือ “อุเบกขา”
.
“อุเบกขา” ก็คือหยุดการขวนขวายที่จะไปช่วยคนนั้น เพื่ออะไร เพื่อไม่ก้าวก่ายแทรกแซงกฎแห่งธรรม ทั้งกฎธรรมชาติ และกฎหมาย เราต้องหยุดต้องงด แล้วให้กฎออกมาแสดงตัว
.
เราไม่แทรกแซงเพื่ออะไร เพื่อให้กฎธรรมชาติและกฎหมายนั้นแสดงผลออกมา ถ้ามนุษย์เข้าไปขัดขวางกฎแห่งธรรม สังคมก็เรรวนหมด จึงต้องให้ธรรมเข้ามาจัดการ
.
หมายความว่า กติกา กฎเกณฑ์ หลักการ ความถูกต้องชอบธรรมเป็นอย่างไร ก็ปฏิบัติไปตามนั้น นี่คือข้อ ๔ ที่เรียกว่า “อุเบกขา”...
.
พรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
สามข้อแรกรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ระหว่างมนุษย์ แต่ข้อที่สี่รักษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรม ซึ่งก็คือรักษาฐานของสังคมไว้
.
ฉะนั้น ถ้ามนุษย์อยู่ในหลักการ ๔ ข้อนี้ ก็จะมีดุลยภาพให้สังคมอยู่ในความพอดี
.
ยามอยู่ดี ไม่มีอะไรผิด ก็ช่วยกันอย่างดี มีน้ำใจ แต่คุณต้องรับผิดชอบต่อความจริง คือ ต่อธรรม ต่อกฎเกณฑ์กติกา ไม่ให้หลักการเสีย ถ้าเสียเมื่อไร ก็หยุด ไม่เอาด้วย ว่าไปตามกฎแห่งธรรม”
.
สามข้อแรกใช้ความรู้สึกมาก เมตตา กรุณา มุทิตา เป็นเรื่องของความรู้สึกที่ดี ไม่ต้องการ “ปัญญา” มากนัก ปัญญาใช้บ้างนิดหน่อย
.
แต่ข้อที่สี่ เห็นได้ว่าปัญญาเป็นใหญ่ เพราะเราจะปฏิบัติข้อสี่ได้ เราต้องรู้ว่าอะไรเป็นความจริงถูกต้องดีงาม ธรรมเป็นอย่างไร กฎ กติกาว่าอย่างไร...”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมนิพนธ์ “จะอยู่อย่างเป็นเหยื่อ หรือขึ้นเหนือไปนำเขา”
ธรรมชาติของ #ฌาน เกิดขึ้น มีวิตก วิจาร ปิติ สุข ... เห็นแสงสว่างเกิดขึ้น
ดูแสงสว่าง ปิติ สุข ดูนิมิต สัญญา อารมณ์ ในภาวนา เกิดปิติ สุข สบาย นิ่งเฉย เป็น #ปฐมฌาน
ธรรมชาติของปฐมฌาน #กามไม่มี แต่ถ้าไม่มีพุทธปัญญามันไม่เที่ยง
เหมือนก้อนหินทับหญ้า หญ้ายังไม่ขึ้น พอเอาอิฐ ( หิน) ออก หญ้ามันก็ขึ้น
#ฌานของพวกฤาษีจิตเป็นฌาน พร้อมกับ #ความเห็นว่าเป็นเรามันไม่ดับ
กามไม่มีเสียแล้วก็ไม่กลับมาเกิดใน #กามภพ อีก
ไม่ว่าจะเป็นเทวดาชั้นไหนตั้งแต่ยอดสวรรค์ถึงก้นนรก เป็นกามทั้งนั้น เรียกว่า #กามภพ อันนี้เรียกว่าทุกข์มาก
กามนี้ดับไปจากจิตเสียแล้วมันก็สบาย
#ชอบภาวนาติดอยู่ในฌานมันก็บานแค่นั้น
ถ้ากามดับเด็ดขาด ไม่มีเหตุให้มาเกิดในกามภพอีก ก็สบายแล้ว
เป็นอริยบุคคล - จิต โลกุตรจิต จิตพ้นโลก .. #พระอนาคา ฯ ..No - returner
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต
หมายถึงธรรมที่เป็นกำลังหนุน
ให้บรรลุถึงสิ่งที่มุ่งหมาย
หรือเป้าหมายอันชอบธรรม
สุดแล้วแต่ว่า บุคคลผู้นั้น
มีเป้าหมายอยู่ที่สิ่งใด
ท่านเรียกว่า “พลธรรม”
มี ๕ ข้อด้วยกัน คือ
๑. ศรัทธา ในพลสูตร (อังคุตตรนิกาย
ปัญจกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๑๒
ข้อ ๑๓-๑๔) กล่าวถึงเชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ในความหมายกว้าง หมายถึง
เชื่อในศักยภาพของมนุษย์
ที่จะพัฒนาตนเองไปสู่
จุดหมายปลายทางได้
..
แต่ศรัทธาที่ตรัสในข้อ ๑๕
มีความแปลกออกไปว่า ศรัทธา
พึงเห็นได้ในโสดาปัตติยังคะ ๔
(คือเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหว
ในพระพุทธเจ้า, พระธรรม, พระสงฆ์และมีศีลบริสุทธิ์
(สํ. นิ. ๑๖ หน้า ๘๓))
...
๒. วิริยะ ความเพียร ในสัมมัปปธาน ๔
คือ ระวังบาปที่ยังไม่เกิด
ละบาปที่เกิดแล้ว
ทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
รักษากุศลที่เกิดแล้วไม่ให้เสื่อม
ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
...
๓. สติ หมายถึงเจริญสติปัฏฐาน ๔
คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
..
๔. สมาธิ หมายถึงเจริญฌาน ๔
..
๕. ปัญญา หมายถึงปัญญาเห็นอริยสัจ
..
ในข้อ ๑๖ ตรัสว่า
บรรดาพลธรรมทั้งห้านี้
ปัญญาพละจัดเป็นเลิศ
เหมือนยอดเรือน
..
ทรงแสดงพลธรรมอีก ๕ ประการว่า
เป็นกำลังของพระตถาคต
เป็นเหตุให้พระตถาคต
ปฏิญาณอาสภฐานะ คือ
ฐานแห่งผู้นำบันลือสีหนาท
ในบริษัท หมุนพรหมจักร (ธรรมจักร)
ให้เป็นไป พลธรรม ๕ ประการนั้น
คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ
วิริยะ ปัญญา
=================
#เพจอาจารย์วศิน อินทสระ
มนุษย์เรา ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ๕ อย่าง เรียกว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เราอาจย่นย่อลงอีกก็ได้ คือ รูปเรียกว่ารูป ส่วนอีก ๔ อย่างเรียกว่านาม
รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดหรือตอบกลับใดๆคืนมา มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะ ที่สามรถรับรู้ หรือ รู้สึกถึงสภาพนั้นๆได้ หากเปรียบในขันธ์ ๕ รูปนั้นก็คือ กายเรานี้ อันมีเกิดจากการประกอบรวมกันของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น ซึ่งธาตุ ไฟ มีลักษณะเฉพาะคือ ร้อน เย็น ดิน มีลักษณะเฉพาะคือ อ่อน แข็ง ลม มีลักษณะเฉพาะคือ เคลื่อนไหว ตรึงไหว น้ำ มีลักษณะเฉพาะคือ การรวมตัวผสมของธาตูทั้งหลายข้างต้น เช่น เวลาเรากระทบน้ำด้วยความเร็วและแรง น้ำจะแข็งมากใช่ไหมครับ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เป็นธาตุดิน เป็นต้น สี เสียง กลิ่น รส ก็เป็น รูป เพราะเป็นสิ่งที่ถูกรู้
นาม คือ สภาพที่รับรู้ สภาพที่รู้อารมณ์ นั่นคือ จิต เจตสิก (อารมณ์ในทางธรรม หมายความว่า สิ่งใดที่จิตรู้ สิ่งนั้นคืออารมณ์ เช้นคุณได้ยินเสียง คุณก็มีเสียงเป้นอารมณ์ คุณมองเห็น คุณก็มีรูปสีเป็นอารมณ์ คุณรู้กระทบทางกาย คุณก็มีโผฐฐัพะเป็นอารมณ์) นามในขันธ์๕ ก็คือ วิญญาณขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เวทนาขันธ์
Trader Hunter พบธรรม
☀️พลังบริสุทธิ์จากธาตุรู้บริสุทธิ์ ตอนที่ 3/4 ความรู้ที่บริสุทธิ์☀️
เหมือนกับวิญญาณของพระโคธิกะ ยมทูตมารอเอาวิญญาณของพระโคธิกะไป พอพระโคธิกะดับขันธ์นิพพาน จิตวิญญาณของพระโคธิกะดับหายไปเหมือนดั่งเปลวไฟที่สิ้นเชื้อ ไม่เหลือเป็นตัวเป็นตน ไม่เหลือกายโปร่งแสง ไม่เหลือวิญญาณเป็นตัวเป็นตนจะเอาไปได้
ยมทูตก็ไปถามกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า จิตวิญญาณของพระโคธิกะหายไปไหนแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโคธิกะบรรลุพระนิพพานแล้ว สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน สิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิงแล้ว จิตวิญญาณดับหายไปเหมือนดั่งเปลวไฟที่สิ้นเชื้อ
จิตวิญญาณที่ดับหายไปเหมือนดั่งเปลวไฟที่สิ้นเชื้อนี้ ไปรวมกับจิตวิญญาณที่ดับหายไป ที่เคยอยู่ในธาตุขันธ์พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกที่ดับแล้วไปเป็นอมตะอยู่ในธรรมชาติในจักรวาล แต่ไม่ใช่ว่ามีตัวเราไปเป็นอมตะ เพราะสิ้นความเป็นตัวเรา ตัวตนของเราแล้ว แต่ไปเป็นความรู้ที่ถูกต้อง
💡ความรู้ที่ถูกต้องที่เป็น “สัมมาทิฏฐิ” คือ ความรู้ว่า...
✔️สัพเพ สังขารา อนิจจา
สังขารทั้งปวงคือร่างกายและจิตใจ หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป มีแล้วก็ต้องหายไป
✔️สัพเพ สังขารา ทุกขา
สังขารทั้งปวงคือร่างกายและจิตใจ หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นแล้วต้องทุกข์ทนยาก เพราะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ทุกข์ทรมาน
✔️สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ธรรมทั้งมวลทั้งที่เป็นสังขารและวิสังขาร (คือธาตุรู้ที่บริสุทธิ์เพราะสิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่นแล้ว) ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
✔️สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ
ธรรมทั้งมวลคือทุกสรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตนของผู้ยึดมั่นถือมั่น ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้
ความรู้นี้จึงเป็นความรู้แท้ รู้ถูกต้อง หรือรู้สิ้นยึด รู้สิ้นหลง รู้พ้น รู้ตื่น รู้เบิกบานตลอดกาลอย่างเป็นอมตะ มีแต่ “ความรู้ที่บริสุทธิ์” แต่ตัวตนของผู้รู้ หรือตัวตนของความรู้ไม่มี มีแต่ความรู้ที่บริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เป็น “เอโกธัมโม” อย่างเป็นอมตะตลอดกาล
ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกับธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ในธรรมชาติ รวมอยู่ในบุญบารมีทั้งหมด พลังจิตที่บริสุทธิ์ พลังธรรมชาติที่บริสุทธิ์ รวมหมดแล้วอยู่ใน “ธาตุรู้” นั้น
ท่านจงน้อมนำมาอธิษฐานให้ถึงธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ ให้ดับมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ความโง่ ความหลงยึดมั่นถือมั่น ดับอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งหมดโดยถาวรสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย