ถ้าเห็นอริยสัจจ์ เห็นปฏิจจสมุปบาทนี้เรียกว่าดวงตาเห็นธรรม เห็นในกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทมันทำให้เราเห็นว่าไม่มีคน ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ธรรมทั้งหลายอาศัยกันเกิดขึ้นเป็นคราวๆ มันละสักกายทิฏฐิ
แต่ถ้ารู้แจ้งลงมาในรูปในนามได้นะ เรียกว่ารู้แจ้งอริยสัจจ์ ถึงจะพ้นได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาทไม่เท่ากัน บางองค์ท่านสาวไปแค่วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป และก็วกกลับมานามรูปเป็นปัจจัยของวิญญาณ พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสภู อะไรพวกนี้ท่านดูแค่นี้ พระพุทธเจ้าเราสาวไปถึงอวิชชา ความจริงปัจจัยของอวิชชามีอีกอันหนึ่ง คืออาสวะ นี้ท่านไปถึงอวิชชาท่านกลับมา
อริยสัจจ์นะ ยิ่งศึกษายิ่งสนุก ลึก ลึก จริงๆ ตอนเราเด็กๆ เราก็นึกว่าเข้าใจ อ่าน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ นึกว่าเข้าใจอริยสัจจ์แล้ว ตอนบวชอยู่วัดชลประทานนะไปสวดมนต์แปลบอก ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ไม่ใช่ ไม่ใช่คนเกิดคนแก่หรอกเป็นทุกข์ กลายเป็นว่ารูปนามมันเป็นทุกข์ เราก็นึกว่าเข้าใจธรรมมากขึ้นแล้วนะ รูปนามเป็นทุกข์ ไม่ใช่เราเป็นทุกข์
เวลาภาวนาปฏิบัติไป ไม่ได้เห็นอย่างนั้นนะ เห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง ไม่ได้เห็นว่าเป็นทุกข์หรอก ภาวนากันนาน ๆ เมื่อไรเห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ล้วนๆ ได้นะ มันบอกจะวางแล้ว วาง มันวางได้ด้วยปัญญาจริงๆ คำว่า“ปัญญา”ก็คือการที่เห็นรูปนามเป็นไตรลักษณ์นั่นแหละ
เราต้องพัฒนาสติ สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันเห็นเอง แกล้งทำให้เห็น ไม่เห็นหรอก ถ้าคิดจะทำให้เห็นนะ มันเจือด้วยความคิดแล้ว มันตกจากวิปัสสนาแล้ว
ช่วงที่เราภาวนาไป เราก็จะไม่รู้ว่าเราขาดอะไรมั่ง รู้สึกอย่างเดียวว่าความรู้ยังไม่พอ ยัง ลึกๆ จะรู้สึกตลอดเลยว่ายังรู้ไม่พอ ยังรู้ไม่พอ ถามว่าไม่รู้อะไรตอบไม่ถูก จนภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง ถึงจะรู้ว่า อ้อ ไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์นั่นเอง ตราบใดที่ไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์นะ ข้ามภพ ข้ามชาติไม่ได้นะ
อริยสัจจ์ลึกที่สุดเลย อย่างเราไม่สามารถเห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ เราเห็นว่าเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง ยังนึกว่ารู้อริยสัจจ์นะ ไม่รู้จริงหรอก หรือเราคิดว่ามีสมุทัย มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คนทั่วๆไปไม่ได้รู้สึกว่ามีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่ได้มีความอยากแล้วทุกข์ไม่ใช่ คนทั่วๆไปรู้สึกแค่ว่าถ้าไม่สมอยากถึงจะทุกข์ ถ้าสมอยากแล้วไม่ทุกข์หรอก มีตัณหาแล้วสนองตัณหาได้ไม่ทุกข์ มันตื้นนะตื้นมากๆ
แต่ว่าพอเราลงมือภาวนาดูจิต ดูใจตนเองออก เราเห็นทันทีเลย ทันทีที่จิตเกิดตัณหาเกิดความอยาก เกิดความยึดถือขึ้นมา จิตมันจะหมุนติ้วๆนะ มันทำงาน จิตทำงานเรียกว่าภพ “ภพ” คำเต็มๆ ของภพคือ กรรมภพ นั่นเอง จิตมันทำงานขึ้นมา มันก็มีความทุกข์ขึ้นมา มันมีทุกข์เพราะมันมีภาระ ภาวนามากเข้าๆเลยถึงจะเห็น ถ้ามีความอยากก็จะมีความทุกข์นะ จะสมอยากหรือไม่สมอยากก็ทุกข์แล้ว จะเห็น
เราก็นึกว่าเข้าใจอริยสัจจ์แล้วนะ เพราะว่าท่านบอกสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่ลึกๆ ก็ยังงงอยู่ว่าทำไมท่านเริ่มด้วยทุกข์ก่อน ท่านน่าจะสอนอริยสัจจ์ ๔ เริ่มด้วยสมุทัย และสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ น่าจะสอนสมุทัยก่อนว่า ถ้ามีตัณหาแล้วจะทุกข์ ตัวทุกข์ก็ไม่พูดเรื่องตัณหา ตัวทุกข์ กลับไปพูดเรื่องขันธ์ งั้นอริยสัจจ์ไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ง่ายๆเลย
นี้พอเราภาวนามาถึงจุดที่เราเห็นว่าถ้ามีตัณหา มีสมุทัยก็มีทุกข์ เราก็นึกว่าเข้าใจที่จริงยังไม่เข้าใจ เราจะเข้าใจอริยสัจจ์ต่อเมื่อเราภาวนาไปถึงจุดที่ว่า ถ้าไม่รู้ทุกข์ถึงจะเกิดสมุทัย ถ้าไม่รู้ทุกข์นะถึงจะเกิดสมุทัย ของเราคิดว่าถ้ามีสมุทัยจึงเกิดทุกข์ มันตื้นอยู่อีกชั้นนึง งั้นท่านถึงเอาทุกข์ขึ้นก่อน บอกทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ เมื่อไรรู้ทุกข์แล้วเมื่อนั้นละสมุทัย เมื่อไรละสมุทัยเมื่อนั้นแจ้งนิโรธ
ธรรมท่านเรียงร้อยได้สวยงามตรงกับการปฏิบัติ ท่านไม่ได้สอนไว้เพื่อให้คิดแบบนักปรัชญา ถ้าสอนอย่างนักปรัชญาก็จะเริ่มจากสมุทัย ท่านสอนจากการปฏิบัติ ปฏิบัติให้รู้รูปนามให้รู้ทุกข์ งั้นจุดเริ่มต้นคือให้รู้ทุกข์ ถ้ารู้ทุกข์แจ้ง เห็นว่าขันธ์นี้ไม่ใช่เราแล้ว คืนขันธ์ให้โลก คืนขันธ์ให้ธรรมชาติไป ตัณหาหรือสมุทัยจะดับอัตโนมัติ จะไม่เกิดแล้ว ถ้ายังไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ล้วนๆเนี่ย ตัณหาจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ มีอวิชชาอยู่ตัณหายังเกิดอีก มันเกิดเป็นระยะ ระยะไป
ตัณหาคืออะไร พูดง่าย ๆ เลยตัณหาก็คือความอยากให้ขันธ์นี้มีความสุข ความอยากจะให้ขันธ์นี้พ้นจากทุกข์ ทำไมมีความอยากอันนี้ขึ้นมา ก็เพราะมีความสำคัญมั่นหมายว่าขันธ์นี้คือเรา เราคือขันธ์ ฉะนั้นถ้าภาวนาจนเห็นว่า ขันธ์ไม่ใช่เราหรอก นี่กำลังเหยียบประตูไปสู่นิพพานแล้ว ได้โสดาบัน ดูต่อไปจนวางขันธ์ได้ พอวางขันธ์ได้แล้วสมุทัยหายไปเองนะ ไม่เกิดอีกว่าขันธ์ไม่ใช่เราแล้วจะไปอยากให้มันมีความสุขทำไม จะอยากให้มันพ้นทุกข์ทำไม ฉะนั้นเมื่อไรรู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อนั้นจะละสมุทัย
ทันทีที่ละสมุทัย จิตจะเข้าถึงธรรมอีกชนิดหนึ่งคือพอเราวางความยึดถือจิต สลัดจิตคืนเรียก ปฏินิสสัคคะ สลัดรูปนามคืนคืนเจ้าของเดิมคือ คืนโลกไปพอสลัดคืนไปแล้วเนี่ย ภาระที่จะต้องทำงานให้รูปนามมีความสุข พ้นทุกข์ ไม่มีอีก จิตใจเลยเข้าถึงสันติสุข เข้าถึงสันติสุข สันติสุขนั่นแหละคือนิพพาน
นิพพานมันไม่ได้อยู่ไกลนะ นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา เมื่อไรจิตมันสิ้นตัณหา เพราะมันรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง คืนกาย คืนใจ คืนขันธ์ให้โลกไปแล้วเนี่ย เมื่อนั้นจะเห็นนิพพานต่อหน้าต่อตาไม่ได้ยากอะไร เราไปวาดภาพนิพพานเอาไว้ซะไกลเลย คิดว่าต้องภาวนาอีกแสนๆ ชาติถึงจะเจอ ถ้าอย่างนั้นอีกแสนชาติ ยังไม่เจอ ยังมีความเห็นผิดอยู่
นิพพานจริงๆ พูดให้ง่ายๆ นิพพานจริงๆ คือความสิ้นตัณหาหรือวิราคะ จิตของเรามีตัณหาย้อมอยู่ตลอดเวลานะ เดี๋ยวอยากดู เดี๋ยวอยากฟัง เดี๋ยวอยากได้กลิ่น เดี๋ยวอยากได้รส เดี๋ยวอยากได้โผฏฐัพพะที่ดีนี่ เดี๋ยวอยากได้ธรรมารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจอยากตลอดเวลา ความอยากนะหมุนอยู่ในอายตนะทั้ง ๖ ในเวลาเราภาวนานะ
แต่เดิมเราคิดว่าตัณหามี ๓ ตัว กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา พอลงมือภาวนาจริง ๆ เราเห็นตัณหา ๖ ตัว เรียกว่ารูปตัณหา ความอยากได้รูป สัททตัณหา อยากได้ยินเสียง อยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากได้สัมผัสที่ดี อยากได้ธรรมารมณ์ที่ดี อยากได้ธรรมารมณ์ที่ดีเรียกว่า “ธรรมตัณหา” ชื่อเพราะนะธรรมตัณหา “อยาก” เช่นอยากรู้เรื่อง ก็คิด ๆ คิดไปนี่เรียกว่ามีธรรมตัณหา
พอจิตมันมีตัณหาขึ้นมาในอายตนะ ๖ มันก็เกิดการทำงานขึ้นมาที่จิต จิตก็หมุนจี๋ๆๆ ขึ้นมานะ ทำงานเป็นทุกข์ขึ้นมา แต่ถ้าเราคอยรู้คอยดูนะ โอ้ วันหนึ่งละความยึดถือในกายในจิตได้ตัณหาจะไม่เกิดอีก ตัณหาไม่เกิดอีกนะ ภพก็ไม่เกิดขึ้น การทำงานทางใจไม่มีขึ้น ความจะไปหยิบฉวยเอารูปเอานามคือชาตินี้ขึ้นมาอีกก็ไม่มี ความทุกข์ไม่มี
ความทุกข์ไม่มีเพราะไม่มีขันธ์ ขันธ์นี้เป็นที่ตั้งของความทุกข์ด้วย เป็นตัวทุกข์ด้วยนะ ความทุกข์เมื่อจะตั้งก็ตั้งอยู่ในขันธ์ ตั้งอยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง และตัวขันธ์ หรือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง ตัวมันก็เป็นตัวทุกข์นะ
งั้นธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนลึกนะ ลึกมาก แต่ว่ามีสติดูจิตลูกเดียวนั่นแหละจะเข้าใจได้ทั้งหมด
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
" อริยสัจจ์เป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด "
หลวงพ่อปราโมทย์: อริยสัจจ์น่ะสำคัญที่สุดเลย แต่ก่อนดูข้ามๆไปนะ รู้สึกตื้นๆ รู้สึกปฏิจจสมุปบาทอะไรเนี่ย แหมลึกซึ้ง ลึก น่าสนใจกว่าอริยสัจจ์ จริงๆถ้าไม่เห็นแจ้งอริยสัจจ์นะ ก็เกิดอีก สำคัญมากเลย
สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดสิ่งหนึ่ง คือ “เวทนา”
.
“ เรื่องพุทธศาสนานี้ ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่อง “ความดับทุกข์” อย่างเดียว
หรือขยายออกไปเป็นเรื่อง ทุกข์ กับ ความดับทุกข์ สองเรื่อง,
หรือขยายออกไปอีก ทุกข์นั้นแยกออกเป็น ๒ ส่วน คือ ตัวทุกข์ กับ เหตุให้เกิดทุกข์,
ความดับทุกข์นั้นก็มี ๒ คือ ความดับทุกข์ กับ วิธีที่จะให้ได้มาซึ่งความดับทุกข์ มันกลายเป็น ๔ เรื่อง เป็น “อริยสัจ” ขึ้นมา อย่างนี้ นี่คือทั้งหมดในพุทธศาสนาพุทธศาสนาทั้งหมดมีแต่เพียง ๔ เรื่องนี้
.
ถ้าย่นก็เหลือ ๒ พระพุทธเจ้าท่านตรัส ๔ เสมอ คือ “ อริยสัจ ๔ ” แต่ในบางที่บางแห่งนั้นท่านตรัสแต่เพียง ๒ ระบุว่า “เมื่อก่อนก็ตาม เดี๋ยวนี้ก็ตาม ฉันพูดแต่เรื่องทุกข์ กับเรื่องความดับทุกข์” เรื่องอื่นไม่พูด แต่มันขยายออกไปได้เป็น ๘๔,๐๐๐ ข้อ ตามสมมุติกัน ไม่มีใครเคยนับ คาดคะเนกัน สมมุติกันว่าพระธรรมในพุทธศาสนาในพระไตรปิฎกทั้งหมดนี้นับดูจะได้ ๘๔,๐๐๐ หัวข้อของเรื่องคือประเด็น
.
แม้อย่างนั้นก็ยังพูดได้ว่า ถ้ามัน ๘๔,๐๐๐ ประเด็นจริง มันก็ไปรวมอยู่ที่คำว่า “เวทนา” คำเดียว มันเป็นเรื่องของ ความทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์, ความดับทุกข์, ทางถึงความดับทุกข์, เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อริยสัจ ๔ บัญญัติสำหรับบุคคลผู้กำลังมีเวทนาอยู่ พอเขาไม่มีเวทนา กำลังไม่มีเวทนาอะไร ตอนนั้นไม่มีเรื่องอริยสัจ พอมีเวทนาขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะมีความจำเป็นที่จะต้องมี จะต้องการเรื่องอริยสัจ แล้วก็มีอริยสัจ
.
นี่จำไว้ ที่ว่าอริยสัจคือตัวพุทธศาสนา ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของ “บุคคลผู้มีเวทนา” พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนั้น นี่ว่าเรื่องตัวศาสนาแท้ๆ ก็มีต้นเหตุมาจากสิ่งที่ร้ายกาจที่สุดสิ่งหนึ่ง คือ “เวทนา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่ีมา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “จุดสำคัญที่สุดตั้งต้นที่เวทนา” เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๔ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์เล่ม “นวกานุศาสน์” หน้า ๒๕๒-๒๕๓
---------------------
พุทธวจนะ ที่ตรัสถึง
พระพุทธองค์ทรงตรัสกับ “พระอนุราธะ” ไว้ดังนี้
“ อนุราธะ!
ทั้งในกาลก่อน และในบัดนี้
เราย่อมบัญญัติ ทุกข์
และ ความดับทุกข์ เท่านั้น”
.
ที่มา : อนุราธสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย
สงฺ. ข. ๑๗/๘๗/๑๕๗
----------------------------------
“ถึงที่สุดแห่งโลก” “ถึงที่สุดแห่งทุกข์”ได้ ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้เอง ( “อริยสัจ” มีอยู่ในร่างกายของคนเป็นๆนี้ )
.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบโรหิตัสสเทพบุตรว่า...
“เทพบุตร! เราไม่กล่าวที่สุดแห่งโลก ที่สัตว์ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ว่า “พึงรู้ พึงเห็น พึงถึงได้” ด้วยการไป
และเราไม่กล่าวว่า การที่บุคคลยังไม่ถึงที่สุดแห่งโลกจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
อนึ่ง เราบัญญัติโลก ความเกิดแห่งโลก ความดับแห่งโลก และ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งโลก ในร่างกายที่มีประมาณวาหนึ่ง มีสัญญา มีใจ นี้เอง.”
.
ไม่ว่าในเวลาไหน
ที่สุดแห่งโลก ใครก็ถึงไม่ได้ด้วยการไป
และเมื่อยังไม่ถึงที่สุดแห่งโลก
ย่อมไม่มีการเปลื้องตนออกจากทุกข์
เพราะเหตุนั้นแล ผู้รู้แจ้งโลก มีปัญญาดี
ถึงที่สุดแห่งโลก อยู่จบพรหมจรรย์
สงบระงับ รู้ที่สุดแห่งโลก
ย่อมไม่หวังทั้งโลกนี้และโลกหน้า.”
.
ที่มา : ทุติยโรหิตัสสสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๔๖/๗๔-๗๕
----------------------------------
.
“ ขอให้เข้าใจไว้ว่า อยู่ในโลก กับ นิพพาน นั้น แยกกันแต่เพียงว่า..ทุกข์ และ ดับทุกข์ เท่านั้น
.
คนอยู่ที่ไหน โลกก็อยู่ที่นั่น นิพพานก็อยู่ที่นั่น คืออยู่ที่คน อยู่ที่ในคนนั้นแหละ!
ไปสอนกันอย่างที่ เอานิพพานไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ เอาโลกไว้ที่นี่ อย่างนี้ก็ผิดหมด ไม่ถูกตามที่พระพุทธเจ้าสอน แล้วปฏิบัติไม่ได้ ถ้าแยกอยู่คนละแห่งแล้วปฏิบัติไม่ได้
.
ความทุกข์อยู่ที่ไหน ต้องปฏิบัติที่นั่น แล้วผลก็ต้องเกิดขึ้นที่นั่น
เพราะอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า.. “ โลกก็ดี, เหตุให้เกิดโลกก็ดี, ความดับแห่งโลกก็ดี, ทางให้ถึงความดับแห่งโลกก็ดี, อยู่ในร่างกายนี้ อยู่ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยังมีชีวิตเป็นๆอยู่นี้ ร่างกายที่มีชีวิตเป็นๆอยู่ มีสัญญาและใจ คือมีความรู้สึกอยู่นี้ นั่นแหละ! ในนั่นแหละ! มีกิเลส มีนิพพาน มีความทุกข์ มีเหตุให้เกิดทุกข์ มีวิธีปฏิบัติให้ดับทุกข์ด้วย”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “อาทิพรหมจรรย์” เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๑๐ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม “ธรรมปาฏิโมกข์ เล่ม ๑” หน้า ๑๒๔
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
ที่สุดของทุกข์ อยู่ที่นี่แล้ว"
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
"คนส่วนใหญ่แสวงหาความสงบ
แต่การนั่งนิ่งๆ นั้น เป็นความสงบที่ไม่สงบ
ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงยังคงเสาะแสวงหาต่อไป เพื่อ "ค้น.หา.ความจริง"
"ความจริง" เป็นสัจจะที่มีอยู่แล้วในคนทุกคนโดยไม่เกี่ยวข้องกับ ชาติ ภาษา หรือเครื่องแบบใดๆ
สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวคนทุกๆคน
นั่นแหละคือ สิ่งที่ข้าพเจ้า "เสาะหา"
กระทั่งข้าพเจ้าได้ "พบ" มัน "เห็น" มันโดยชัดเจน และ "เข้าใจ" มันโดยแจ่มแจ้ง นั่นคือ "ความสงบที่แท้จริง"
ความสงบมีสองชนิดด้วยกัน ความสงบที่เป็นการ "ไม่รู้"
จำเป็นต้องไปนั่งเงียบๆ และนั่งอยู่คนเดียว นั่นมิใช่ความสงบที่แท้
ความสงบที่ข้าพเจ้าจะกล่าวแก่พวกเธอทั้งหลายในวันนี้คือ ความสงบที่เราไม่ต้องออกแสวงหา
ถ้าเธอต้องการความสงบหรือพุทธะ เธอ "ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก"
เพียงแต่ "กลับมาดูต้นตอของชีวิต" เธอเอง
เมื่อความคิดเกิดขึ้น อย่าเข้าไปในความคิดนั้น แต่ให้ "ตัดความคิดทิ้ง และให้ออกจากความคิดในทันที" ทำให้เหมือน "แมวกับหนู"
เมื่อหนูมา แมวกระโดดตะครุบหนูทันที
ความคิดก็เช่นเดียวกัน เมื่อมันคิด
สติหรือปัญญาจะรู้ทันที ความคิดก็หยุด ทำเช่นนี้อยู่บ่อยๆ หรือเปรียบกับนักมวย เมื่อเราเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ เราจะต้องชก
เราชกที่ตาของคู่ต่อสู้ คู่ต่อสู้ก็จะแพ้เรา โทสะ โมหะ โลภะ ก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อเรามาถึงจุดนี้ พระพุทธเจ้าก็จะเกิดขึ้นในตัวของเรา
พุทธะ คือ จิตที่สะอาด จิตที่สว่าง จิตที่สงบ
เราทุกคนไม่มีใครที่จะโกรธตลอด ๒๔ ชั่วโมง ไม่มีใครที่จะโลภ ๒๔ ชั่วโมง เพียงเพราะ "โมหะ" เท่านั้น ที่ทำให้ "เราไม่รู้" เมื่อเรามารู้ที่จุดนี้ เราก็จะรู้ยิ่งๆ ขึ้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับการเทน้ำลงไปในขวด น้ำในขวดจะเต็มขึ้นมา เมื่อเต็มถึงขอบแล้ว เราก็ไม่สามารถจะใส่อะไรลงไปได้อีก
"ศีล สมาธิ ปัญญา" ก็เป็นเช่นเดียวกัน นี้เรียกว่า "ความสงบ" ในพุทธศาสนา
ความจริงมีอยู่ในคนทุกคน เมื่อบุคคลรู้ถึงความจริงนี้ เขาก็จะ "อยู่ในโลก" นี้ได้โดย "ไม่มีทุกข์"
เขาจะ "ทำงานต่างๆ" ได้โดย "ไม่มีทุกข์" ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็น ครู หรือพ่อค้าหรือ พ่อ แม่ หรือคนงานก็ตาม เพียงแต่เขามารู้วิธีปฏิบัติ และมาถึงที่สุด ความทุกข์จะหดหายไปเอง เปรียบเหมือนปลิงที่เกาะที่ผิวหนังของเรา
เราไม่จำเป็นต้องดึงมันหรือแกะมัน เพียงแต่นำปูนกินหมากกับใบยา มาผสมด้วยกันกับน้ำแล้วบีบลงบนตัวปลิง ปลิงก็จะหลุดไปด้วยตัวของมันเอง
เมื่อเรามารู้จุดนี้ เราจะรู้ว่า "ที่สุดของทุกข์" อยู่ที่นี่แล้ว"
กราบสาธุธรรม
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
บางส่วนจาก "แด่เธอ...ผู้รู้สึกตัว"
การเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏนี้
แม้จะเป็นมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ก็ยังไม่พ้นจากทุกข์
❝ ท่านผู้เจริญ !
ความสุข มีเพียงเล็กน้อย
ดั่งหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า
แต่ความทุกข์ในโลกทั้งมวล
เหมือนน้ำในสาคร
.
ความจริง...
ความสุขนั้นเกิดจากจินตนาการ
โลก ๓ ทั้งมวล...
ล้วนเป็นทุกข์โดยแท้ ❞
.
ศูนย์ปฏิบัติธรรมตาณัง เลณัง เฉลิมราช ๖๐ ปี
"ความปรุงแต่งเกิดขึ้นทีไร ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ทุกข์ทุกที
พอรู้ทันว่าความปรุงแต่งเกิดขึ้น แล้วนำความทุกข์มาให้
ใจก็ฉลาดรู้ว่าปรุงแล้วทุกข์ ใจไม่ปรุงแล้ว
ใครไปงานศพแล้วเคยได้ยินพระชักบังสุกุลบ้าง
อนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตฺวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข เตสัง วูปะสะโม สุโข
แปลว่า ความปรุงแต่งทั้งหลาย สงบระงับเสียได้ เป็นสุข
จิตที่จะพ้นความปรุงแต่งได้ คือ จิตพระอรหันต์"
.
———
#หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
#อวิชชา คือ แม่บทของความทุกข์ 🙏🙏🙏ค่ะ
ทั้งปวง #ในปฏิจจสมุปบาท
ความทุกข์ มีจุดเริ่มต้นที่ #อวิชชา
ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
พระอาจารย์หลวงพ่อพุทธทาสท่าน
กล่าวว่า
▪อวิชชาเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เรียกว่า
#อวิชชาธาตุ มีอยู่ในทุกคน
แต่ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา
เมื่อใดที่มีการ กระทบอารมณ์
หากไม่มีสติก็จะมีผัสสะโง่
หรือผัสสะอวิชชา จิตก็จะปรุงแต่ง
เรื่อยไป จนเกิด ตัวกู-ของกู
เกิดชาติ ชรา มรณะ จนกระทั่ง
เกิดทุกข์
▪การกระทบอารมณ์ในแต่ละวัน
จะมีอยู่เสมอ ทางตา หู จมูก ลิ้น
กาย ใจ ซึ่งการกระทบในแต่ละครั้ง
จะมีอวิชชา
...เมื่อจิตไปสำคัญ มั่นหมายว่าเป็น
อะไรในอารมณ์นั้นแล้วเกิดการ
ปรุงแต่งด้วย #อวิชชา
ส่วนการกระทบอารมณ์ที่ไม่เกิด
อวิชชาก็มีอยู่ เช่น เมื่อเห็น ต้นไม้
ใบไม้ ได้ยินเสียงนกร้อง
ลมพัดมากระทบกาย เป็นต้น
▪อวิชชา จะดับลงเมื่อได้ฝึกฝน
อบรมจิต จนรู้แจ้งเห็นจริงตาม
ธรรมชาติว่าสิ่งทั้งปวง อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ในสิ่งใดๆโดยเฉพาะนามรูป หรือ
เบญจขันธ์ ว่าเป็นตน - ของตน
อวิชชาจึงจะดับลง และมีวิชชา
เกิดขึ้นแทน การเวียนว่ายตายเกิด
ในวัฏฏสงสารก็สิ้นสุดลง
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
#อวิชชา แปลว่า #ธรรมชาติที่
ปราศจาก ความรู้ที่จะดับทุกข์ได้
ที่พระอาจารย์หลวงพ่อพุทธทาส
#ท่านเรียกว่า ความโง่ ความหลง
ความไม่รู้ ในเรื่องดังนี้
๑. อริยสัจ ๔
๒. อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๓. ความเป็นจริงของธรรมชาติว่า
สิ่งทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน
๔. สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ปรุงแต่งเรื่อยไป
๕. สิ่งทั้งปวงมีเกิด มีดับ
๖. เกิดมาทำไม.?
ฯลฯ ทั้งหมดนี้ คือ อวิชชา
เจริญธรรม สาธุค่ะ
----------------------------
ที่มา: คุณกมล บางชาวงาม
ขออนุโมนาสาธุบุญนี้ให้ท่าน สาธุๆๆ
ป็นกลางด้วยปัญญา
"อดีตเป็นความจำ อนาคตเป็นความคิด ความจริงอยู่ในปัจจุบัน
เรามาเรียนรู้ความจริงอยู่ในปัจจุบัน
ดูกายอย่างที่กายเป็น ดูใจอย่างที่ใจเป็น
จนวันหนึ่งเราเข้าใจ มันเป็นอย่างนี้แหละ
ของไม่เที่ยง ของที่ถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
เป็นของที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ
ไม่เป็นไปตามใจอยาก แต่เป็นไปตามเหตุของมัน
พอใจยอมรับตรงนี้ได้ ใจจะเข้าสู่ความเป็นกลางด้วยปัญญา"
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
จิตใจที่สงบจะทําให้มีสมาธิ สมาธิจิตตั้งมั่นทําให้เกิดญาณ ญาณเกิดปัญญา ปัญญาเป็นแสงสว่างที่จะทําให้เห็นวิชชาแยกออกจากอวิชชาอย่างชัดเจน ทําให้ละอุปาทานได้ เราละได้ด้วยปัญญาที่เกิดจากญาณ ไม่ได้ละด้วยการกดข่ม การกดข่มละไม่ได้ตลอดเหมือนปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งรู้จริง เหมือนผลส้มที่ถูกปอกเปลือกไปแล้วก็ไม่มีเปลือกให้ต้องปอกอีก....ละอุปาทานในการวางอุเบกขา....
" เรื่อง...ทุกข์ เรื่อง...ไม่สบายใจนี่
มัน ก็ไม่แน่หรอกนะ..มัน เป็นของไม่เที่ยง
เรา...จับจุดนี้ไว้
เมื่ออาการเหล่านี้ มันเกิดขึ้นมา
เรารู้...มันเดี๋ยวนี้
เรา...วาง
กำลังอันนี้จะค่อย ๆ เห็นทีละน้อย ๆ
เมื่อ...มันกล้าขึ้น
มันข่มกิเลสได้เร็วที่สุด
ต่อไปมันเกิด...ตรงนี้
มันดับ...ตรงนี้
เหมือนกับน้ำทะเล ที่กระทบฝั่ง
เมื่อขึ้นมาถึงฝั่ง มันก็สลาย เท่านั้น
คลื่นใหม่มาอีก มันก็สลายต่อไปอีก
มัน จะเลยฝั่งไป ไม่ได้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
คือ...
ฝั่งทะเลอารมณ์ทั้งหลาย ที่ผ่านเข้ามา
มัน...ก็เท่านั้นแหละ."
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
เราจักแสดง #ความตั้งขึ้นและความตกไปแห่งทุกข์ ให้เธอทั้งหลายฟัง
เธอทั้งหลายจงฟัง !
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย #ความตั้งขึ้นแห่งทุกข์ ได้แก่สิ่งใด
ความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ย่อมอาศัย ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ ใจกับธรรม
รวม ๓ สิ่ง คือ อายตนะภายใน , ภายนอก และวิญญาณนั้น เป็น #ผัสสะ
#เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาอันนี้แหละเป็นที่ตั้งขึ้นแห่งทุกข์ ...
...
#ก็ความตกไปแห่งทุกข์นั้นได้แก่สิ่งใด
วิญญาณ ... คือความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
และอายตนะภายนอก คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
การประชุมของสิ่งทั้ง ๓ คือ
อาตนะภายใน , ภายนอก และวิญญาณเข้าด้วยกันเป็น ผัสสะ
ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา
เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา
#การคลายตัณหาดับตัณหาโดยไม่เหลือนั้นทำให้อุปาทานดับ
อุปาทานดับ ทำให้ ภพดับ
ภพดับ ทำให้ ชาติดับ
ชาติดับ ทำให้ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ดับ
#อันนี้แหละเป็นความตกไปแห่งทุกข์คือความสิ้นไปแห่งทุกข์ .. ดังนี้
..
พระสุตตันตปิฎก คัมภีร์ที่ ๓ สังยุตตนิกาย สฬายตนะวรรค เล่ม ๑ หน้า ๑๓๓ .
คนเราเป็นทุกข์เพราะความคิด
ที่ใจเป็นทุกข์เพราะเกิดความยึดมั่น
แล้วมีการปรุงแต่งในความคิดขึ้น
และอุบายที่จะละความทุกข์ ก็คือหยุดการปรุงแต่ง
แล้วปล่อยวางให้เป็น นี่คือหลักการ
แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องอาศัยภาวนา ทำใจให้สงบ
จึงจะเกิดพลัง มีสติปัญญามองเห็นเหตุเห็นผล
แล้วจิตก็จะมีการปล่อยวางได้
เมื่อละความยึดมั่นได้ ความทุกข์ในสิ่งนั้นก็หมดไป
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
สรุป:
▪หยุดคิดก็หยุดทุกข์
▪ขันธ์ 5 มีอยู่
▪หากเราไม่ปรุงรูป รูปใดจึงจะทุกข์ได้
▪หากเราไม่ปรุงเวทนา เวทนาใด จะทุกข์ได้
▪หากเราไม่ปรุงสัญญา สัญญาใด จะทุกข์ได้
▪เมื่อเราปรุงเรา จึงทุกข์
▪หยุดปรุงวิญญาณ(ความรู้สึกทุกข์)ย่อมดับลง
❝ ธรรมะนี้
มันไปจบลงที่เรื่อง “ไม่มีตัวตน”
คือเรื่อง “อนัตตา”
.
ถ้ายังมีอัตตา มีตัวตนอยู่ ยังไม่จบ ไม่ว่าจะเป็นอัตตาชั้นดี ชั้นเลิศชั้นประเสริฐ ชั้นมั่นคงอะไร ก็ยังไม่จบมันยังมีตัวตนอยู่ จิตที่ยังรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ก็เป็นจิตที่แบกของหนัก ❞
.
พุทธทาสภิกขุ
---------------------------------
อัตตา - อัตตนียา
อหังการ - มมังการ
ตัวกู - ของกู
.
❝ เราจะพิจารณากันว่า "ตัวเรา-ของเรา" นี้ มันทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมาอย่างไร แล้วเราจะจัดการกับมันอย่างไร เริ่มตั้งแต่ชั้นที่จะทำลายตัวเราชนิดอันชั่วร้าย ให้เหลืออยู่แต่ตัวเราชนิดที่ดีๆ แล้วค่อยๆบรรเทายึดถือในตัวเราชั้นดีให้น้อยลงๆ จนกระทั่งถึงขั้นสุดท้าย คือไม่มีความรู้สึกของ "ตัวเรา-ของเรา" ชนิดใดๆ เหลืออยู่ในใจเลย
.
เรื่องมันก็จบกันเพียงเท่านี้ และเป็นการจบเรื่องหมดทั้งพระไตรปิฎก หรือทั้งหมดในพระพุทธศาสนา แล้วผู้นั้นก็จะประสบสันติสุขอันถาวร ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพเช่นไร
.
เพราะสิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา-ของเรา" นี้ มันเป็นเหตุของความทุกข์ทุกอย่าง สิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา" และ "ของเรา" นี้ ก็มีชื่อโดยภาษาบาลีว่า "อหังการ" และ "มมังการ" ถ้าเป็นคำทางจิตวิทยา จะเรียกว่า "อัตตา" และ "อัตตนียา" ก็ได้ ทั้งหมดนี้ ก็หมายถึง จิตที่กำลังกลัดกลุ้มอยู่ด้วยความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวจัด กำลังดิ้นรนทุกอย่างเพื่อจะทำตามใจตน โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม หรือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีใดๆ
.
"อุปาทาน" คือการยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจ เช่น ยึดมั่นในเบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจ รวมกันว่าเป็น "ตัวตน" และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ อันมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็น "ของตน" หรือที่ละเอียดลงไปกว่านั้นก็ยึดถือจิตส่วนหนึ่งว่าเป็น "ตัวเรา" แล้วยึดถือเอารูปร่างกาย ความรู้สึก ความจำ และความนึกคิด สี่อย่างนี้ว่าเป็น "ของเรา"
.
พุทธภาษิตมีอยู่ว่า...
" เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน นั่นแหละเป็นตัวทุกข์ "
ฉะนั้น คนที่มีอุปาทานยึดมั่นว่า "ตัวเรา" ว่า "ของเรา" จึงมีเบญจขันธ์ที่เป็นทุกข์ คือแสดงอาการที่ทนได้ยากแก่บุคคลนั้น และแสดงอาการที่น่าเกลียด น่าเอือมระอา แก่บุคคลที่ได้พบเห็นทั่วไป
.
ส่วนเบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้น หาเป็นทุกข์ไม่
.
ฉะนั้น คำว่า บริสุทธิ์ หรือ หลุดพ้น จึงหมายถึง การหลุดพ้นจากอุปาทานว่า "ตัวเรา" ว่า "ของเรา" นี้โดยตรง ดังมีพระพุทธภาษิตว่า "คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้น เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน" ถ้ายังมีอุปาทานก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์ สิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา-ของเรา" นั่นแหละเป็นบ่วงทุกข์ ที่คล้องหรือร้อยรัดผูกพันเราทั้งหลายอยู่ ถ้าเราตัดบ่วงนี้ให้ขาดไม่ได้ อยู่เพียงใด เราก็จะต้องเป็นทุกข์อยู่เรื่อยไป ❞
.
พุทธทาสภิกขุ
" ถ้ามันมีปัญญา...
มัน รู้เสีย มัน รู้เท่าทันเสีย
เมื่อมีการสัมผัส อารมณ์แล้ว
เกิดผัสสะ เกิดเวทนาแล้ว
มัน ก็รู้เสียว่า
โอ้ มันเป็นอย่างนี้เองโว้ย
ไม่ไปหลงรัก หลงเกลียดกับมัน
ก็ไม่เกิดตัณหา ก็ไม่เกิดอุปาทาน
ก็ไม่เกิดความรู้สึกประเภท...
ตัวกู ของกู
มัน ก็ไม่เป็นทุกข์ เท่านั้นแหละ
ฉะนั้น...
ธรรมะโดยย่อ ที่จะไม่ให้เกิดความทุกข์
ก็คือ รู้ความจริงว่า...
มัน ไม่มีอะไรที่จะเอามาเป็น ตัวเรา
เป็น ของเราได้
มัน เป็นธรรมชาติ ที่เป็นไปตามกฏของ
ธรรมชาติ
แล้วมันประหลาด ที่มันสรุป
อยู่ในคำว่า...
มัน เป็นเช่นนั้นเอง."
_____________________________________
(พุทธทาส ภิกขุ)
เหตุแห่งทุกข์
* เหตุแห่งทุกข์ เกิดมาจากการที่ดวงจิตมีกิเลสตัณหา
มีความรัก โลภ โกรธ หลง มีความอยาก ความไม่อยาก
มีความยึดมั่นในตัวตนและสิ่งอื่น ตลอดจนมีการเบียด
เบียนตนเองและผู้อื่นจนเกิดความทุกข์ตลอดเวลาไม่
หมดสิ้น
ความทุกข์จะหมดไปมีค่าเท่ากับศูนย์ เมื่อไม่หลง
ไม่อยาก ไม่ยึดติดในสิ่งใด หรือไม่สร้างหนี้กรรมขึ้น
มาใหม่ ด้วยการมีศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญารู้ตื่น
รู้แจ้งในความเป็นจริง มีพระพุทธ พระธรรมและพระ
สงฆ์เป็นที่พึ่ง ดำเนินอยู่ในทางสายกลางและปล่อย
วางทุกสรรพสิ่ง ดวงจิตจึงจะออกจากวัฏสงสารไปสู่
พระนิพพานได้ *
“””””””””””””””””””””
ปัจจัยแห่งการเกิด
* ปัจจัยแห่งการเกิดมี 4 ปัจจัยที่ค้ำหนุนกัน คือ
1. กิเลส คือ มีความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลง
2. ตัณหา คือ มีความอยากและความไม่อยาก
3. อุปาทาน คือ มีความยึดติด ยึดมั่น ถือมั่น
4. อกุศลกรรม คือ มีการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ปัจจัยแห่งการเกิดทั้งสี่อย่างนี้ ทำให้มีหนี้กรรม
ทำให้ดวงจิตไม่สามารถหลุดพ้นจากการเกิดไปได้
การประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมขององค์พระสัมมา
สัมพุทธเจ้าจะนำพาให้ดวงจิตหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา
ไม่ติดยึดในสิ่งใด ไม่สร้างกรรมที่ไม่ดีขึ้นมา ได้เข้าถึง
ความพ้นทุกข์ เป็นอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน สกิทาคามี
อนาคามี และพระอรหันต์ ดับการเกิดได้*
“”””””””””””””””””””””
หนึ่งคำ สองความหมาย
วิญญาณมี ๒ ประเภท
วิญญาณในเบญจขันธ์ หมายถึงวิญญาณที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
วิญญาณตัวที่ไปผุดไปเกิด คือ ปฏิสนธิวิญญาณ ที่เรียกว่าวิญญาณ เพราะเขารู้จักไปผุดไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามกฎของกรรม
แม้แต่คำว่า ทุกข์ ก็มีความหมาย ๒ อย่าง
ทุกสิ่งทุกอย่างมันทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องมีการสึกกร่อนหรือสลายตัว อันนี้เรียกว่า ทุกข์ในพระไตรลักษณ์
ทุกข์ในพระไตรลักษณ์นี่ ใครจะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม เขามีอันเป็นไปของเขาอยู่อย่างนั้น
ทีนี้ ทุกขอริยสัจ ทุกขัง อริยสัจจัง ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ มันหมายถึงทุกข์ที่เกิดกับใจโดยตรง แต่นักเทศน์นักธรรมทั้งหลาย เมื่อกล่าวถึงทุกข์แล้ว ตีขลุมเป็นอันเดียวกันหมด
เพราะฉะนั้น ทุกข์ในพระไตรลักษณ์ หมายถึงความเสื่อมโทรมของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าทุกข์ในอริยสัจ หมายถึงทุกข์ใจอย่างเดียว
ตราบใดที่เรายังมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ทุกข์ก็ไม่สามารถจะดับได้ แต่ถ้าจิตของเราหมดความยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ดับหมด มันสักแต่ว่าเป็นกิริยาที่ยังเหลืออยู่
เทศนาธรรม ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุุธ ฐานิโย)
นี่คือ..ความจริงแท้ของชีวิต และ กฎธรรมชาติ
.
…. “ เมื่อคนไม่รู้ทันความจริงของธรรม ก็นำความทุกข์ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติมาเป็นทุกข์ของตัว
…. “ ทุกขํ ” ทุกขัง ในไตรลักษณ์นี้ เรามักไปมองคำว่าทุกข์เป็นความเจ็บปวดเสีย ที่จริงทุกข์เป็นสภาพตามธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย หรือเป็นสภาวะตามธรรมชาติ คืออาการที่สิ่งทั้งหลายไม่สามารถคงอยู่ในสภาพเดิม บางทีแปลว่า stress หรือ conflict คือภาวะที่มันมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ-ปัจจัยหรือองค์ประกอบต่างๆที่เกิด-ดับ บีบคั้น ขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา แล้วทุกข์ก็เป็นภาพรวมที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านั้น
…. สิ่งทั้งหลายเป็นองค์รวมที่เกิดจากองค์ประกอบต่างๆมาประชุมกัน เมื่อองค์ประกอบแต่ละอย่างเกิดขึ้น-ดับไป เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา องค์รวมนั้นจึงไม่สามารถคงสภาพเดิมอยู่ได้ เพราะเมื่อองค์ประกอบแต่ละอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป ก็จะเกิดการขัดแย้งกันเป็นความกดดันภายใน แล้วก็จะต้องคงอยู่ไม่ได้
…. สภาพที่ขัดแย้ง ฝืน กดดัน คงอยู่ไม่ได้ ทั้งหมดนี้เรียกว่า “ทุกข์” ซึ่งเป็นสภาวะธรรมชาติในสิ่งทั้งหลาย เมื่อเราใช้ศัพท์นี้กับภาวะในใจคนก็จะมีความหมายว่า เป็นภาวะที่จิตถูกกดดันบีบคั้น ก็คืออันเดียวกัน
…. จะเห็นว่าทุกข์ที่มีอยู่ในธรรมชาติในสิ่งทั้งหลายนี้ ก็มีความหมายหนึ่ง คล้ายๆกับทุกข์ในใจของเรา ทุกข์ในใจของเราก็คือ ภาวะที่ถูกบีบคั้น กดดัน ขัดแย้ง ไม่สบาย ทนไม่ไหว ทีนี้ ในสิ่งทั้งหลายทุกข์ก็คือภาวะที่จะต้องผันแปรเปลี่ยนแปลงไป เกิดความขัดแย้ง กดดัน ทนอยู่ไม่ได้
…. ส่วน “อนตฺตา”(อนัตตา) ก็อย่างที่พูดไปแล้วว่า คือดำรงอยู่หรือเป็นไปตามสภาวะของมันอย่างนั้นๆ ซึ่งใครจะไปยึดถือ ยึดครองเป็นตัว เป็นของตัว อย่างใดไม่ได้จริง ถ้าเป็นสังขารก็เป็นเพียงภาพรวมของปรากฏการณ์แห่งกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง มิใช่เป็น “ตัวตน” ที่ยั่งยืนมั่นคงอยู่อย่างนั้นตลอดไป
…. เรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกับกฎทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีอยู่ตามธรรมดาในธรรมชาติ ไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่ ใครมีปัญญาสามารถก็ค้นพบแล้วก็เอามาบอกกัน
…. เรื่อง อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา นี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เป็นความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาของมัน ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิด พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้มาค้นพบ เปิดเผยอธิบาย วางเป็นระบบไว้
…. ตรงนี้แหละ ที่มาโยงเข้ากับ “อริยสัจ” คือเมื่อสิ่งทั้งหลาย ทั้งโลก รวมทั้งชีวิตของคนเรานี้ เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งๆ มันก็เป็นไปตามกฎธรรมชาตินี้ ที่ว่ามีความไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงทุกเวลา มีความกดดันขัดแย้งภายใน คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ และเป็นไปตามเหตุปัจจัย ปรากฏรูปลักษณ์ไปต่างๆ ยักย้ายไปตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์กันนั้น อย่างร่างกายของเรานี้ก็เปลี่ยนไป ตอนเป็นเด็กหน้าตาอย่างหนึ่ง อายุมากขึ้นมาก็เปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่ง
…. เมื่อสิ่งทั้งหลายเป็น อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ตามธรรมดาของมันอย่างนี้ ก็มีคำถามว่า มนุษย์จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร คือ จะปฏิบัติหรือสัมพันธ์กับธรรมชาติ กับโลก กับชีวิต ที่เป็นไปตามกฎธรรมชาตินั้นอย่างไร
มนุษย์อาจจะสัมพันธ์กับมันด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
“อวิชชา” คือ ภาวะที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ไม่รู้ทันความจริงของสิ่งนั้นๆ
“ตัณหา” คือ ความอยากความปรารถนาต่อสิ่งต่างๆ โดยไม่รู้ทันความจริงของมัน
“อุปาทาน” คือ การเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ให้เป็นอย่างที่ตัวต้องการ เอาความปรารถนาของตนเป็นตัวกำหนด
…. ถ้ามนุษย์เข้าไปสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลาย หรือพูดง่ายๆว่า สัมพันธ์กับโลกและชีวิตด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็จะเกิดปัญหาขึ้นกับชีวิตของตัวเองทันที ทุกข์ที่เป็นสภาพอยู่ในธรรมชาติตามธรรมดาของมัน คือ เป็นความขัดแย้ง คงอยู่ไม่ได้ ในสิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงคืบเคลื่อนไปนั้น ก็จะเกิดเป็นสภาวะที่กดดัน ขัดแย้ง ขึ้นในจิตใจของมนุษย์ ตอนนี้ ทุกข์ในธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมดา กลายมาเป็น “ทุกข์ปรุงแต่งในใจของเรา”
…. ที่จริงมันเป็นทุกข์อยู่ตามธรรมดาในธรรมชาติ แต่เมื่อเราไปสัมพันธ์ปฏิบัติต่อมันไม่ถูก จึงเกิดเป็นทุกข์ในใจของเราขึ้นมา และเมื่อสืบค้นดูก็จะรู้ว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ของเราในกรณีนี้ ตัวนี้แหละที่ท่านว่าเป็น “สมุทัย” คือเหตุแห่งทุกข์ ตอนนี้สมุทัยมาเเล้ว
…. “สมุทัย” นี้ ถ้า(พระพุทธเจ้า)ตรัสแค่บทบาทหน้าโรง ก็เอา”ตัณหา” เป็นตัวแสดง แต่ถ้าตรัสแบบเต็มโรง จะยกเอา “อวิชชา” เป็นตัวกำกับหลังโรง ขอให้ดูเวลาตรัส ว่าอะไรคือสมุทัย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๒ แบบ
…. แบบที่ ๑ ตรัสว่า สมุทัย ได้แก่ ตัณหา คือ อธิบายง่ายๆสั้นๆว่า “สิ่งทั้งหลายมันไม่เป็นไปตามใจอยากของคุณหรอก เมื่อคุณสัมพันธ์กับมันด้วยความอยาก คุณก็ต้องเป็นทุกข์เอง” แต่เบื้องหลังตัณหา คือความอยาก หรือความตามใจตัวนี้ ตัวการที่แท้ก็คือ “ความไม่รู้เท่าทันความจริง” ซึ่งเป็นเงื่อนไขเปิดช่องให้ปัจจัยต่างๆเข้ามาหนุนกันในการที่จะให้ปัญหานั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น...
… แบบที่ ๒ จึงตรัสแบบกระบวนการที่เริ่มต้นจาก “อวิชชา” ว่าอวิชชาเป็นปัจจัยพื้นฐานของปัญหาหรือทุกข์ สมุทัยที่แท้จริงเป็นกระบวนธรรม(ธรรมปวัตติ) ตามกฎปฏิจจสมุปบาทว่า “อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา” ซึ่งประมวลว่าทั้งหมดนี้คือสมุทัยแห่งทุกข์
…. ตอนนี้จะเห็นได้ว่า กฎธรรมชาติ มาสัมพันธ์กับมนุษย์แล้ว
…. ตอนแรก พูดเริ่มจากกฎธรรมชาติก่อนว่า ความจริงของธรรมชาติมันมีอยู่ตามธรรมดาของมัน สิ่งทั้งหลายดำเนินไปตามกฎธรรมชาตินั้น เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
…. ตอนนี้มาถึงคน คือในการที่คนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น ถ้าเกี่ยวข้องโดยมี อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นตัวกำหนด ก็จะเกิดปัญหา มี “ทุกข์” ขึ้นมา
…. อันนี้ คือ อริยสัจ ข้อที่ ๑ และข้อที่ ๒ คือ การสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายซึ่งมีศักยภาพที่จะให้เกิดทุกข์ ด้วยอวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน ซึ่งเป็นสมุทัย คือตัวเหตุ แล้วก็เกิดทุกข์ในตัวคนขึ้นมา คือ ก้าวจากทุกข์ในสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมชาติ มาเป็นทุกข์ในใจของเรา
…. นี่คือ วิธีพูดแบบย้อนกลับโดยเอากฎธรรมชาติเป็นจุดเริ่มต้น โดยเริ่มที่ “สมุทัย” คือมนุษย์ไปสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายไม่ถูกต้อง โดยสัมพันธ์ด้วย อวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน ก็เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมนิพนธ์ เรื่อง “ถ้ารู้จักพระพุทธศาสนา ความสุขต้องมาทันที”
-----------------------------------------
.
กระแสแห่งชีวิต ความจริงของชีวิต
.
…. “สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้น มีกระแสที่ไหลไป ไหลไป จะเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่าเรายืนดูในที่สูง ก็เห็นน้ำในแม่น้ำไหลไป ไหลไปในลำน้ำ ไหลไปๆ มีอะไร ไปอย่างไร ยืนดูแล้วก็เห็นกระแสที่มันไหลไปนั้น ถ้าตามดูไปได้ตลอดเวลา ตลอดกระแส ก็จะมีความรู้มีความเข้าใจ กระทั่งว่า..สิ่งนั้นไปถึงทะเลหรือไม่ กระทั่งว่า..มันไปจมเสียกลางทาง หรือกระทั่งว่า..มันไปติดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เน่าผุพังอยู่ที่ตรงนั้น หรือว่ามีใครลากเอาท่อนไม้ท่อนนั้นในกระแสน้ำนั้นขึ้นบกเสีย ไม่มีโอกาสที่จะไปตามกระแส
…. ชีวิตนี้มันก็มีการไหลในทำนองเดียวกัน เป็นกระแสแห่งการปรุงแต่งตามส่วนของมันๆ ที่เป็นส่วนของวัตถุหรือร่างกาย มันก็มีกระแสไหลไปตามแบบของวัตถุ ก่อตัวขึ้นมาอย่างไร มีเหตุปัจจัยอย่างไร ปรุงแต่งขึ้นมาอย่างไร งอกงามขึ้นมาอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงก็เหมือนกับกระแสแห่งการไหล นี้เป็นเรื่องทางวัตถุที่มีกระแส
…. ทีนี้ มองดูในทางจิต มันก็มีการปรุงแต่งอีกนั่นแหละ มีอะไรถึงกันเข้า เกิดความรู้สึกทางจิต แล้วก็ปรุงกันต่อไป ให้ไหลไปตามเรื่อง อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกถึงกันเข้า ก็เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ และเกิดทุกข์ ก็เรียกว่าเป็นการปรุงแต่ง เป็นการเปลี่ยนแปลง มีกระแสของการเปลี่ยนแปลง ไหลไปจนเกิดความทุกข์ หรือในทางที่ตรงกันข้ามก็ไม่เกิดความทุกข์ เพราะมันมีการปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงในทางที่ตรงกันข้าม
…. ความปรุง(สังขาร)ทำให้เกิดทุกข์
…. ทีนี้ เรามาดูกันตรงที่ว่า มันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรจึงจะไม่เกิดทุกข์ หรือว่าที่มันเกิดทุกข์ กันก่อนดีกว่า แล้วจึงดูว่าที่มันไม่เกิดทุกข์นั้นอย่างไร มันจะง่ายดี
…. เมื่อมีการกระทบทางอายตนะ เช่น ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส เป็นต้น ในโอกาสนั้นเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วว่ากระทบ ถ้ามันไม่มี “วิชชา” เข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ปรุงแต่งไปในทางธรรมชาติ ธรรมดา ที่ไม่มีวิชชาเข้ามาเกี่ยวข้อง
…. คือ มันจะเกิดเวทนาสำหรับให้ยินดียินร้าย เวทนาทำให้โง่ นี่จิตมันก็ไปตามทางของ “อวิชชา” มีเวทนาอย่างนี้แล้วมันก็ปรุงแต่ง เกิดตัณหา เกิดความอยาก ที่น่าพอใจก็อยากได้ ที่ไม่น่าพอใจก็อยากทำลาย เป็นตัณหาขึ้นมา คือความอยากตามอำนาจของอวิชชา
…. มีความอยากแล้วก็เกิดความรู้สึกเป็น “กูผู้อยาก” ขึ้นมา นี้ก็เป็นอุปาทาน จนกระทั่งว่าเข้มข้นๆ เป็น “ตัวกู-ของกู” ที่เข้มข้น เป็นภพขึ้นมา เป็นชาติขึ้นมา ชาติแห่งตัวกูที่เต็มที่ หรืออุปาทานที่แก่จัด จนคลอดออกมาเป็น “ตัวกู” สำหรับจะวุ่นวายภายนอก “ตัวกู”ที่แสนจะโง่เขลา อย่างนี้ มันก็ทำอะไรไปตามความโง่เขลานั้นๆ มันก็ไปเอานั่น เอานี่ เข้ามาเป็นของกู จนเกิดเรื่องเกิดราว เป็นความยุ่งยากลำบาก ทนทุกข์ทรมาน เอาอะไรๆของธรรมชาติมาเป็น “ของตัวกู” เช่น เอาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของธรรมชาติ มาเป็นเกิด แก่ เจ็บ ตาย “ของกู” แล้วมันก็ได้ความทุกข์เองแหละ ได้ความทุกข์เองอย่างสาสมกันทีเดียว สาสมกับความโง่ ที่ไปเอาธรรมชาติมาเป็น “ของกู” ในลักษณะที่เหมือนกับว่าแย่งชิงเอามา ปล้นเอามา หลอกลวงเอามา
…. นี่คือ “กระแสของชีวิต” ตามธรรมดาที่มีอยู่ในคนเรา แต่ละวัน แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ตลอดชีวิต มันก็ได้รับความทุกข์”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง "กระแสแห่งชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องรู้จัก" บรรยายเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ ธรรมะคือสิ่งพัฒนาชีวิต ครั้งที่ ๔
---------------------------------------
.
“ตัณหา”มา “ตัวกู”จึงมี
.
…. ว่ากันต่อไป จะเห็นลักษณะของ “ตัณหา” อีกอย่างหนึ่งว่า พอตัณหามา ก็เกิดมี“ตัวตน” ขึ้นรับ เป็นตัวตนในความคิดปรุงแต่ง ที่ยึดติดถือมั่นด้วยอํานาจความรู้สึก ซึ่งมิได้มีจริง คือในเวลาที่จะเสพ ก็จะมี “ตัวตน” ขึ้นมารับเป็นผู้เสพ
…. แต่ในฝ่ายฉันทะนั้น ไม่มีตัวตนขึ้นมารับสมอ้าง เป็นเรื่องของสภาวธรรม ความอยากในสภาวะที่ดี ก็มุ่งไปที่สภาวะนั้น อยากให้สภาวะนั้นเกิดขึ้น แล้วเกิดความอยากทําให้เป็นอย่างนั้น ต่อด้วยการทําให้มันเป็นอย่างนั้น เป็นกระบวนการที่ดําเนินไปของเหตุ ปัจจัยตามธรรมชาติ เรียกสั้นๆ ว่า “กระบวนธรรม”
…. ในฝ่ายตัณหา พออยากเสพก็เกิดมีตัวตนขึ้นมาเป็นผู้เสพ ส่วนในฝ่ายฉันทะ ตามคําพูดว่าเราอยากในภาวะนั้น อยากให้สิ่งนั้นดี อยากทําให้สิ่งนั้นดี อยากรู้ อยากเข้าถึงความจริงของสิ่งนั้น อันนี้ไม่ต้องมีตัวตนขึ้นมา มีเพียงสภาวะและองค์ประกอบของสิ่งนั้นๆ เช่น เมื่อเรากินอาหารด้วยฉันทะ ก็คือเราอยากให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดี ก็เป็น สภาวะ คือเห็นว่าสภาวะร่างกายแข็งแรงอย่างนี้ จึงจะดี หรือว่าเจาะไปที่ส่วนนั้นๆ ให้องค์ประกอบส่วนนั้นๆ มันดี ซึ่งเป็นเรื่องของความเป็นไปในสภาวะของสิ่งนั้นๆ”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมบรรยายจากหนังสือ “ตามพระใหม่ไปเรียนธรรม” ตอนที่ ๒๑
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม. #