จิตว่างคือสติเปล่าๆ.
จิตวุ่นคือสังขารขันธ์ผู้คิดผู้ปรุงแต่ง.
ในจิตว่างมีจิตวุ่นนอนสงบนิ่งอยู่.
ในจิตวุ่นมีจิตว่างนอนสงบนิ่งอยู่คือกัน
" ความเป็นจริงท่านว่า...
การปฏิบัตินั้น อย่าทำตามใจ ของตน
นักปฏิบัติให้พิจารณาบ้าง
ใจเรา...
มัน ถูกล่อลวงมาหลายภพหลายชาติแล้ว
ว่า...เป็นใจของตน
มัน ไม่ใช่หรอก
มัน ล้วนแต่เป็นของปลอม
มันพาเราโลภ มันพาเราโกรธ มันพาเราหลง
มันพาเราปล้น พาสดมภ์
พาอยากได้ พาอิจฉาพยาบาท อย่างนี้
มัน ไม่ใช่(ใจจริงๆ)ของเราแล้ว
ลองถามดูใจ ของเราซิ อยากได้ดีไหม ?
มีแต่อยากได้ดี ทั้งนั้น
แล้วทำอย่างนั้น มันดีไหมล่ะ ?
แน่ะ ไปทำไม่ดี แต่มันอยากได้ดี
ถึงว่า...
ของที่มันไม่จริง มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าท่าน ไม่ให้ตามมัน
ให้ ขัดมัน
มัน ไปทางนั้น หลบมาทางนี้
มัน มาทางนี้ หลบไปทางโน้น นั่นแหละ
พูดง่าย ๆ ก็เท่ากันกับ เรื่องกับที่พูดมาแต่ต้น
ใจเรา มันชอบอันนี้ เอา ไปโน่น
ใจมัน จะชอบอันโน่น เอา มานี่
เหมือนคน เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน
แต่มาถึงวันนี้ ก็มีความเห็นไม่ตรงกัน
ไปคนละทาง แยกทางกัน
พูดจา ไม่ลงรอยกันทะเลาะกันเลย
มันแยก ไปอย่างนั้น
นั่นแหละ ไม่ตามใจของตน
ถ้าผู้ใดทำตามใจ ของตน
มันรักอันไหน มันชอบอันไหน
ก็เอาไปตามเรื่องตามราว ของมัน
นั่นแหละ ยังไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย สักอย่าง
ลองดู...ก็ได้."
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
พระพุทธเจ้า ต้องการให้มันมา รู้"ใจ"เฉพาะ
ให้เหลือแต่ "จุดรู้" อย่างเดียว
ถ้า ใจ ออกไป "รู้ข้างนอก" เป็น "ดวงวิญญาณ"
"ยินดีพอใจข้างนอก" เป็น "อารมณ์"
ใจ มันอยู่ข้างนอก มัน ไม่อยู่ที่ตัวเอง ถึงวุ่นวาย
ให้มัน รู้ อยู่ที่ ใจ อย่าออกนอก อย่าไปรู้ข้างนอก
มันไม่รู้จักตัวเอง วุ่นวาย
ให้รู้จัก ใจข้างใน ให้น้อมเข้ามาสู่ ดวงรู้ เข้าหา จุดรู้
ดู ลม ไม่ให้ เอาลม ให้ ใจ เข้าสู่ ดวงรู้ จุดรู้ เข้าสู่ จุดนั้น น้อมเข้า น้อม ใจ เข้าสู่ จุดรู้ เลย ให้ รู้จักตัวเอง ที่ตั้งจุดรู้ จึงให้ ใจไปรู้ ดวงรู้ อีกครั้ง
ใจ ไม่มี ตัวตน รูปร่างสัณฐาน ใจ เป็นสภาวะ "รู้"
อย่าให้ ใจ "รู้" ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ ใจ มันรู้ ใจ ใจ ไม่มีตน ไม่มีรูปร่าง เป็นเป็นสภาวะที่ "รู้" อยู่ในนี้
ใจมันออกไปรู้ รู้ รูป ข้างนอก มันจึงเป็น ภัย แก่ใจ ให้น้อม เข้ามาหา ดวงรู้ จุดรู้
ใจมันออกไป รู้ ข้างนอก จึงเป็นเหตุให้ใจมันยินดียินร้าย ไปตามอารมณ์ที่กอดสิ่งนั้น
อารมณ์ นั้นมันวางไม่ได้ มัน ติดรูป แม้จะหลับตามันยัง เห็นอยู่ในใจ อย่างนั้น เพราะใจมันจดจ่อสิ่งที่มันเห็นนั้น หรือจดจ่อสิ่งที่มันฟัง
ความประสงค์ของพระพุทธเจ้า ต้องการให้มันมา รู้ใจเฉพาะ ให้เหลือแต่ จุดรู้อย่างเดียว ถ้ามันรู้มันถือในจุดอื่นอยู่ ใจมันยังข้องอยู่กับสิ่งนั้น
(ต้องมี"อารมณ์เดียว" อยู่กับจิตเดิมตลอด อยู่กับ "จิตหนึ่ง" เท่านั้น อยู่กับ "หนึ่ง" เท่านั้น)
เช่น มันติดอารมณ์ภายใน อารมณ์ภายใน มันก็ เก็บมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจำไว้ มันเป็น สัญญาเวทนา ที่มัน เก็บ อยู่ที่ ใจ
สัญญา เวทนา เป็น จิตสังขาร
จะคิด จะปรุง จะแต่ง ก็ต้องอาศัย สัญญา กับ เวทนา คือสิ่งที่มัน จำไว้ ในสิ่งที่ มันสบาย ไม่สบาย การทำ ใจ ให้ สงบ ให้ รู้อยู่ ใน จุดรู้ อยู่อย่างเดียว .......ประคองเข้าสู่ จุดนั้น รักษา ความรู้สึก ไว้ใน จุดเดียว
ถือเอาความรู้สึกนั้นให้ ไปรวม อยู่ในที่ จุดเดียว
หรือมิฉะนั้นให้ กลั้นลมหายใจ มันจะ จดจ่อ ที่ ตั้งของใจ เมื่อได้ที่ตั้งแล้ว ให้ จำตรงนั้น ประคองความรู้สึกไว้ที่ ตรงนั้น ให้มันอยู่ ให้ มันติดตรงจุดนั้น ให้ได้
เมื่อตั้งจนชำนิชำนาญ จิตมันจะติดตรงนั้น เมื่อใจมันติดตรงจุดนั้นได้ มันก็วางข้างนอก มันไม่ไปต่อข้างนอก มันจะต่อจุดนั้นอย่างเดียว เมื่อมันแน่วอยู่ในจุดเดียวแล้วมันเป็นสมาธิเบื้องต้น
รักษาจิตให้อยู่ใน จุดนั้น มากขึ้นเท่าใด ใจก็จะมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น เป็น เอกัคตาจิต จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว อยู่ใน จุดที่ตั้ง นั้น
หลวงปู่ชา สุภัทโท
หลักของการปฏิบัติที่จะให้เกิดสติปัญญาแท้ๆ เกิดมรรคเกิดผลได้ มีไม่มากหรอก จำหลักสั้นๆ ไว้นิดเดียว
"ให้เรามีสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง"
หลวงพ่อไปรวบรวมหลักของการทำวิปัสสนากรรมฐาน ย่อลงมาเหลือเท่านี้เอง ถ้าพูดให้ถูกๆ
"ก็มีสติรู้รูป รู้นาม ตามความเป็นจริง
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง"
รูปธรรมนามธรรมนั่นเอง เรียนรู้รูปธรรมนามธรรมที่ประกอบกันเป็นตัวเรา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
“ เราทำฌานไม่ได้ ดูจิตไป ใช้ชีวิตที่ธรรมดา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ไป
กระทบแล้วความรู้สึกเกิดขึ้นที่จิต
หรือพฤติกรรมเกิดขึ้นที่จิต ให้รู้ทันนะ มีความรู้สึกเช่น สุขทุกข์ ดีชั่ว เกิดขึ้นที่จิต รู้ทัน
เกิดพฤติกรรมของจิตเช่น จิตไปดู จิตไปฟัง จิตไปคิด รู้ทัน
จิตเข้าไปยึดถือไปหยิบฉวยอารมณ์ รู้ทัน จิตวางอารมณ์ รู้ทัน
หัดรู้ไปเรื่อยๆนะ ปัญญามันจะเกิด มันจะรู้ว่า รูปธรรม นามธรรม ทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา ”
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ณ วัดสวนสันติธรรม 6 ส.ค. 2560
☀️หลวงตา : "ใจ" แท้ คือ ความไม่มีตัวจิต ตัวใจ ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
มันว่างเปล่าเหมือนท้องฟ้าหรืออวกาศ แต่มันไม่ใช่ความว่างที่เป็นอากาศ แต่มันเป็นธาตุรู้ที่ว่างเปล่า
มันจึงเป็นธรรมชาติที่สงบเงียบที่สุดในท่ามกลางความปรุงแต่ง โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด
"ใจ" แท้ มันเป็นธรรมชาติรู้ของมันเอง ไม่ใช่เป็นใจเรา หรือ เป็นใจของเรา ไม่ใช่เรา หรือ ตัวเราเป็นคนรู้
ธาตุรู้ ซึ่งเป็นธรรมธาตุ เขารู้ของเขาเอง โดยไม่มีตัวตนของผู้รู้ หรือ เป็นความรู้ที่ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง ว่างเปล่าจากอาการ
"ใจแท้"
"ว่างเปล่าที่สุด" เพราะไม่มีตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์
"สงบเงียบที่สุด" เพราะเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร อสังขตธาตุ หรือ อสังขตธรรม)
☀️หลวงตา : ส่วนขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นธรรมชาติปรุงแต่ง จึงเกิดดับ เป็นทุกข์
เมื่อธาตุขันธ์ยังไม่ดับ ขันธ์ห้าก็ยังเป็นสังขารปรุงแต่งอย่างเก้อ ๆ ไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ
ส่วน "ใจแท้" ไม่ใช่ขันธ์ห้า แต่เป็นธาตุรู้แท้ ว่างเปล่า เงียบ สงบ อย่างเก้อ ๆ ไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ
🙎♀️โยม : ใช่เจ้าค่ะ เพราะรู้ว่าขันธ์ห้านี้ที่เป็นทุกข์เพราะธรรมชาติของเขาเป็นเช่นนั้นเอง ส่วน "ใจแท้ ๆ" ไม่ว่าขันธ์ห้ามันจะเป็นอย่างไร มันก็สงบของมันเช่นนั้น
☀️หลวงตา : สาธุ
................................
ความนึกคิดปรุงแต่งของเราเองนั่นแหละ
บดบัง “ความจริงสูงสุด” ไว้
~~~~~~~~~~~~~~~
มันจบในตัวของมันเอง
“สิ้นปรุงแต่ง”
ก็... ว่างเปล่า
..............................
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
ถ้ารู้เท่า "ใจ" โดยสิ้นเชิงแล้ว ก็รู้เท่า "ธรรม" โดยสิ้นเชิงทั้งนั้น
ถ้าไม่มี "อุปทาน" ยึดว่า "ใจ" เป็นตัวตน เรา เขา สัตว์ บุคคล ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า ธรรมทั้งหลายเป็นเรา เขา สัตว์ บุคคลไปในตัว ก็จบปัญหากันไปเท่านั้น
ที่ไม่จบปัญหา ก็เพราะรู้ตามสัญญาความจำได้หมายรู้
เคยหู ก็หัดปากว่าไป เหมือนแก้วเจ้าขากินข้าวกับกล้วย กล้วยที่คาปากอยู่ก็ไม่รู้จักชัด
แต่สมมติก็จริงตามสมมติ วิมุติก็จริงตามวิมุติ จะเอาของตื้นและของลึก มาเป็นสงครามกันก็ไม่ได้
ต้องปล่อยให้เป็นจริงคนละชั้น ธรรมละชั้นไปซะ
แต่..สมมุติและวิมุติเป็นของกลางไม่มีใครเป็นเจ้าของ ..
ก็ตกลงทรง อนัตตาธรรม ตามเป็นจริงของธรรม ไม่เป็นหน้าที่จะไปยึดถือว่าเราเขาอะไร
...
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
มโนทวาราวัชชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ที่มโนทวาร มีหน้าที่ผลิตความคิดนึกต่างๆ นานา คอยรับเหตุการณ์ภายในภายนอกมากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุกๆ กรณีย่อมไม่ได้
ก็แต่ว่าเมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใดๆ ถึงวัตถุ สิ่งของ บุคคลอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ว่าจิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่สัตว์บุคคล เราเขา ไม่ยึดถือวิจารณ์ความคิดเหล่านั้น
ทำความเห็นให้เป็นปกติ ไม่ยึดถือความเห็นใดๆทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
"ผู้เป็นพระ ก็เป็น พระดี ด้วยศีล
ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา
ผู้เป็นทายกทายิกา ก็เป็นทายกทายิกาที่ดี
คือ ยกทาน ยกศีล ยกภาวนา เข้าสู่หัวใจ
ยกโลภ โกรธ หลง ออกจากจิตใจ ของตน
ก็เป็น คนเบาล่ะที่นี้ เกิดที่ไหน มันเกิดขึ้นที่
ใจของตน.."
"เพราะสังขารที่มีวิญญาณครอง และไม่มี
วิญญาญครอง เป็นทุกข์อยู่เสมอ ไม่มีสุข
ผู้ที่ไม่รู้ความจริง อัธยาศัยใจคอนั้นชอบสุข ทุกข์ไม่ชอบ จึงแสวงหาอามิสสุข คือรูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ดี เป็นที่ตั้งแห่ง
สุขเวทนา.. ครั้นหามาได้ก็กำหนัดยินดี
ติดอยู่เพลิดเพลินพัวพันเกิดสุขโสมนัสใน
กามเหล่านั้น.. ครั้นกามารมณ์ที่ตนชอบ
เหล่านั้นวิบัติไป จึงเกิดความเดือดร้อน
เศร้าโศกเสียใจ เพราะกามารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น.. "
โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
" เธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิ
เพราะเมื่อภิกษุมี จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว
สิ่งทั้งปวง ย่อมปรากฏตามความเป็นจริง
ก็อะไรเล่า ปรากฏตามความเป็นจริง
คือ...ใจ ย่อม ปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง
ธรรมารมณ์ ย่อม ปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง
มโนวิญญาณ ย่อม ปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง
มโนสัมผัส ย่อม ปรากฏตามความเป็นจริงว่า .ไม่เที่ยง
แม้...สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ อทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะ มโนสัมผัสเป็นปัจจัย
ย่อม ปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง."
_________________________________________
ชีวกัมพวนสูตรที่ ๑
พระไตรปิกฎฉบับหลวง ๑๖ / ๒๔๙ / ๑๔๘
#แก้จิตให้หลุดจากการครอบงำของนิวรณ์
"เราภาวนานี่ก็อบรมจิตนี่แหละ ต้องการให้จิตอยู่ ครั้นจิตอยู่แล้วมันจึงจะเกิดแสงสว่างขึ้น
จิตเดิมมันเป็นของสว่าง เป็นของเลื่อมประภัสสร แต่อาศัยอาคันตุกะกิเลส มันเข้ามาปกคลุมรัดรึงให้ขุ่นมัวเร่าร้อน อาคันตุกะกิเลสก็ไม่อื่นไม่ไกลดอก มันไม่พ้นนิวรณ์ธรรมทั้งห้า กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุัจจะกุกุจจะ วิจิกิจฉา นี่แหละ
" ถ้า...เรา พิจารณาธรรมะ
เรา..พิจารณา ที่ใจเรา..น้อมเข้ามา ที่ใจ..มารู้ อยู่ ที่ใจ
นึกแต่เพียงว่า "สิ่งภายนอก"เป็นเพียงอารมณ์
สิ่งรู้ ของจิต..สิ่งระลึก ของจิตเท่านั้น
รู้นอก "เป็นสมุทัย"..รู้ใน "เป็นมรรค"
ถ้าไปรู้นอก เป็นเหตุให้"สร้างบาปสร้างกรรม"
ถ้ารู้เข้ามาใน เป็นเหตุให้ "ละวาง"
ความรู้ที่จำเป็น ที่สำคัญที่สุด
ก็คือ...รู้จิต...รู้ใจ ของเราเอง
ว่าปัจจุบันนี้สภาพจิตใจของเรา เป็นอย่างไร
เศร้าหมอง หรือ ผ่องใส มีกิเลสตัวไหนอยู่ ในใจเราบ้าง
เมื่อ...เรารู้ ความจริงของตัวเราแล้ว
เรา จะแก้ไขดัดแปลงอย่างไร นั้น
ก็ขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของเรา
อ่านจริต ของเราให้รู้ว่า
เรา เป็นราคะจริต โทสะจริต
โมหะจริต วิตกจริต พุทธจริต
ศรัทธาจริต อย่างใดอย่างหนึ่ง
เพื่อ จะดูให้รู้แจ้ง..เพื่อ จะเป็นพื้นฐาน
ที่เรา จะแก้ไขดัดแปลงจิตของเรา
เมื่อ...เรารู้ชัดลงไปว่า
เรา มีกิเลสตัวไหน
เป็น จริตประเภทไหน
เรา จะได้แก้ไขดัดแปลง
ตัดทอนสิ่งที่เกิน แล้วเพิ่มสิ่งที่หย่อน
ให้อยู่ในระดับพอดีพองาม
เรียกว่า...มัชฌิมาปฏิปทา."
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน
การรู้ธรรม เห็นธรรม
ส่วนมากเรามักจะเข้าใจกันว่า การรู้ธรรมเห็นธรรมคือต้องเห็นสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นโครงกระดูกแล้วรู้ว่า เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราไปหมายเอาหมวดใหญ่ที่ท่านเขียนเอาไว้ในคัมภีร์การตีความหมายอย่างนั้นก็ไม่ผิด เป็นการถูกต้องกับการรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติที่จิตมันจะรู้เองด้วยพลังของสติสัมปชัญญะ แต่เราจะไปรู้ในกฎเกณฑ์ที่ท่านวางไว้เป็นแบบฉบับเท่านั้นไม่ได้
การรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติมันจะต้องรู้ขึ้นมาเอง เป็นกระท่อนกระแท่น ไม่ติดต่อสืบเนื่องกันเป็นเรื่องยืดยาว การรู้ธรรมเห็นธรรมขอกำหนดหมายอย่างนี้
๑) คือการรู้ว่าจิตของเราคืออะไร เห็นว่าจิตของเราคืออะไร เป็นเบื้องต้น
๒) เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์ก็รู้ว่าจิตสัมผัสรู้อารมณ์
๓) เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์แล้วมีอะไรเกิดขึ้น จิตของเรายินดีไหม จิตของเรายินร้ายไหม จิตของเราพอใจไหม หรือเกลียดในอารมณ์นั้น ในเมื่อรู้ว่ายินดีหรือยินร้ายเกลียดหรือชอบ ก็ดูต่อไปว่าความเกลียดและความชอบบังเกิดขึ้นภายในจิตเป็นอย่างไร ทำให้จิตร้อนหรือเย็น ทำให้จิตสุขหรือทุกข์ ถ้าหากว่าจิตรู้สึกสุขก็ผ่านไป แต่ถ้าจิตของเรารู้สึกทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นความร้อนภายในจิต เรารู้ความร้อนของจิตในเมื่อเรารู้ความร้อนของจิตแล้ว ความร้อนเป็นทุกข์ เราจะต้องถามหาเหตุว่าทุกข์นั้นเกิดมาจากอะไร
ในเมื่อจิตรู้ว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาจากอำนาจของโลภะ เกิดมาจากอำนาจของโทสะ เกิดมาจากอำนาจของโมหะ จิตมันก็จะยอมรับว่าไฟ คือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอันว่าจิตรู้ธรรมเห็นธรรม คือเห็นทุกข์ในจิต เห็นสุขในจิต
เทศนาธรรม
ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
“การฝึกจิตเพื่อให้เห็นความจริง”
...การฝึกจิตให้เห็นความจริงนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ “มโน ปุพพังคมา ธัมมา มโน เสฏฐา มโน มยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยใจ”
ทีนี้กายกรรม การกระทำทางกายเรียกว่ากายกรรม การกระทำทางวาจาเรียกว่าวจีกรรม การกระทำทางความคิดนึกมีเจตนามุ่งเป็นหลัก เรียกว่ามโนกรรม
“เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ ภิกษุทั้งหลายเจตนาเป็นตัวกรรม”
ทีนี้กายกรรมวจีกรรมนั้นมาจากมโนกรรม กรรมนั้นเป็นคำกลาง ๆ กรรมแปลว่าการกระทำ กระทำทางกายเรียกว่ากายกรรม กระทำทางวาจาเรียกวจีกรรม กระทำออกมาทางความคิดนึกเรียกว่ามโนกรรม
กายกรรมวจีกรรมมาจากมโนกรรม มโนกรรมนั้นจะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็ขึ้นกับจิตดวงนั้นประกอบด้วยวิชชาหรืออวิชชา
ถ้าจิตดวงนั้นประกอบด้วยวิชชา มโนกรรมนั้นก็จะเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบตรงตามสัจธรรมคือความจริง
ความเห็นที่ชอบตรงตามสัจธรรมคือความจริง ภาษาพระเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
เมื่อมีความเห็นชอบตรงตามสัจธรรมคือความจริง ก็มีความคิดชอบ ความคิดชอบก็เรียกว่าสัมมาสังกัปปะคือดำริชอบ เมื่อคิดชอบก็ไปพูดชอบกระทำชอบ เป็นกายกรรม เป็นวจีกรรม เรียกว่าสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
ทีนี้ ถ้าจิตดวงนั้นประกอบด้วยอวิชชา ก็จะมีความเห็นผิด เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิคือเห็นไม่ชอบนั่นเอง
สัมมาทิฏฐิเห็นชอบก็คือเห็นถูกนั่นเอง ถูกตรงไหน ก็ถูกตรงสัจธรรมคือความจริง ไม่ได้ถูกตามความเห็นหรือการประพฤติปฏิบัติของหมู่ชนใดหมู่ชนหนึ่ง ต้องถูกตรงตามสัจธรรมคือความจริงที่มันมีอยู่ที่มันเป็นอยู่
ทีนี้เมื่อจิตประกอบด้วยอวิชชาก็จะมีความเห็นผิด เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ คำว่าผิด ก็ผิดจากสัจธรรมคือความจริง
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เวลามนุษย์เกิดมาก็มีพ่อกับมีแม่เป็นแดนเกิด มีไข่กับอสุจิผสมกัน อาศัยมดลูกของแม่ แล้วก็โตมาก็ออกจากท้องของแม่
ทีนี้เราบอกว่าลูกนั้นจะเกิดออกมาจากท้องพ่อ อันนี้มันตรงความจริงไหม
ถ้ามันไม่ตรงความจริง ความเห็นตรงนี้ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ถ้าเราบอกว่าลูกนั้นมันออกจากท้องแม่ มันตรงความจริงไหม ถ้าตรงความจริงก็เรียกว่าสัมมาทิฏฐินั่นเอง
ทีนี้เมื่อจิตประกอบด้วยอวิชชาก็จะเป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิด เห็นผิดจากความจริงคือสัจธรรม
สัจธรรมนี้ไม่มีใครไปปรุงแต่งขึ้น มันเป็นกฎธรรมชาติที่มันมีอยู่ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น นี้อันที่ ๑
เมื่อจิตนั้นมีมิจฉาทิฏฐิคือเห็นผิด ก็มีมิจฉาสังกัปปะคือดำริผิด อันนี้เป็นอกุศลกรรมมโนกรรม เรียกว่าอกุศลมโนกรรม เมื่อเห็นผิดก็ไปพูดผิด ไปกระทำทางกายผิด ก็เรียกว่าอกุศลวจีกรรม อกุศลกายกรรม
เหตุนั้น ถ้าเรารู้เบื้องต้นอย่างนี้ การประกอบกรรมนั้น จะประกอบกรรมที่ถูกเรียกว่า กุศลกรรม หรือจะประกอบกรรมที่ผิดเรียกว่า อกุศลกรรม ก็ขึ้นกับจิตดวงนั้นมีวิชชาหรือมีอวิชชา นี่ต้นสายเขาอยู่ตัวนี้
ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ เราจึงต้องอบรมจิตให้มีวิชชา ถ้าจิตนั้นมีวิชชาเกิดเมื่อไหร่ คำว่าอวิชชามันก็เกิดไม่ได้ ถ้าจิตมีอวิชชาเกิด คำว่าวิชชามันก็เกิดไม่ได้...
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม อ.พล จ.ขอนแก่น
บางส่วนจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “การฝึกจิตเพื่อให้เห็นความจริง”
เทศน์ที่ศาลปกครอง แจ้งวัฒนะ จ.กรุงเทพฯ
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑
รับฟังฉบับเต็ม
อย่าเอาใจไปผูกกับอะไร เห็นกิริยาของใจให้ดี
เห็นตอนที่มันจะเข้าไปผูก เห็นตอนเริ่มต้น เห็นแล้วละด้วยปัญญาที่มองเห็นได้ยาวไกล ผูกกับสิ่งใดเราเป็นทาสสิ่งนั้น อย่าโง่เลย โง่ตามใจ ใจไม่ใช่เรา
เห็นใจแยกออกไปจากเรา เห็นแล้วก็ไม่เอามัน มันเป็นตัวทําให้เราหลงโง่วนเวียนไม่จบสิ้นโดยแท้ ใจสอนใจ
หลวงตา : ผู้ใด รู้..เห็น..จาก "ใจ" จริง ๆ ว่า
“ยังกิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ”
สิ่งหนึ่ง สิ่งใด (สังขาร) เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา”
ก็จะเรียกว่ามี “ดวงตาเห็นธรรม” คือ พระโสดาบัน
แต่เพราะยังหลงยึดถือว่า เราเป็นผู้รู้ ผู้เห็น
หรือ ผู้รู้ ผู้เห็นเป็นตัวเรา จึงมีตัวเราหลงยึดถือ “ผู้รู้”
ว่าเป็นนิพพาน
เมื่อมีสติ ปัญญา รู้เท่าทันความหลงยึดถือ โดยรู้เห็นจากใจว่าความหลงยึดถือว่า เราเป็น.. หรือ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา นั้น เป็นเพียงสังขาร หรือ ความคิดปรุงแต่ง ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะสิ้นหลงยึดถือเอาสังขารที่คิดปรุงแต่งนั้น มาเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเราจริง ๆ จัง ๆ
คงมีแต่เพียง “รู้” สักแต่ว่า “รู้” ซึ่งเป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติ เป็นธรรมธาตุ เป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์........เพราะไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ ทั้งสิ่งที่"ถูกรู้"และ"ผู้รู้.."ผู้เห็น" จึงไม่มีผู้ทุกข์ (นิพพาน)
“นิพพาน” ไม่ใช่สภาวะใด ที่มีตัวเราไปถึง ไปได้ ไปเป็น
แต่เป็นเพราะไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือทั้งสิ่งที่ถูกรู้ และ ผู้รู้
จึงไม่มีกิเลส ตัณหา และ ผู้ทุกข์ เรียกว่า “นิพพาน”
แต่ถ้ามีความเห็นผิด ว่า “นิพพาน” เป็นสภาวะใด ๆ เช่น เป็นความว่าง ความสว่าง ความสุข ความสงบ เงียบ สงัดเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ก็จะมีตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา อยากเอา อยากได้ อยากเป็น อยากถึง อยากบรรลุนิพพาน คือ ถึงสภาวะที่คาดหมายไว้นั้น
เมื่อมีเรา หรือ ตัวเราหลงยึดถือ จึงเป็นอวิชชา ตัณหา
อุปาทาน ..... และความทุกข์ทั้งมวล
*****ดังนั้น นิพพาน คือ ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เป็นผู้ยึดถือทั้งสังขาร ซึ่งเป็นสิ่งเกิดดับ และ วิสังขาร (ธรรมชาติไม่เกิดดับ) ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เป็นผู้ยึดถือแม้ธรรม และ นิพพาน
ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เป็นผู้ยึดถือความไม่ยึดถือ
เมื่อไม่มีผู้ยึดถือ จึงไม่มีผู้ทุกข์ เรียกว่า “นิพพาน”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
ต้องการจะดับทุกข์ให้ได้ผลดีจริง
เราจะต้องทำใจให้หยุด เมื่อใจหยุดแล้ว
วาจา.. ก็อยู่ในกรอบของศีล
กาย..ก็อยู่ในกรอบของศีล
ใจ..ก็อยู่ในกรอบของศีล
ไม่ละเมิดศีลไปได้ เพราะใจหยุดเสียแล้ว
พอใจหยุดเสียได้เท่านั้นแหละ
โลกธรรมก็กระทบกระเทือนเราไม่ได้
หยุดได้เวลาใด ก็เป็นมงคลเวลานั้น
ถ้าหยุดไม่ได้เวลาใด ก็เป็นอัปมงคลเวลานั้น
หลวงปู่สด จันทสโร วัดปากน้ำภาษีเจริญ
เราไม่สามารถห้ามสิ่งภายนอกที่เปลี่ยนแปลงได้
แต่เราสามารถรู้เท่าทันความชอบ ไม่ชอบ
ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนั้นได้
เมื่อนั้นใจจึงเป็นกลางในท่ามกลาง
ความเปลี่ยนแปลงของโลก
เมื่อใจเป็นกลางจึงสามารถมองเห็นโลก
ตามความเป็นจริง เมื่อใดเห็นตามจริง
เมื่อนั้นก็ไม่หวั่นไหวเพราะความเปลี่ยนแปลง
เพราะความเปลี่ยนแปลงนั้นแหละคือความจริง...
...that change is the truth ...
หลวงปู่วัน อุตฺตโม
จงทำหน้าที่ของตัวให้ถูกต้องและสมบูรณ์
จิตใจหวังพึ่งเราอยู่เสมอ เพราะจิตใจไม่สามารถอยู่โดยอิสระลำพังตัวเองได้ ถูกกดขี่บังคับจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหาประเภทต่างๆ อยู่เรื่อยมา
ใจจึงเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเรา อยู่ตลอดเวลา
เราจะเอาอะไรเข้าช่วยเหลือจิตใจที่ถูกกดขี่บังคับอยู่ตลอดเวลานั้นให้พ้นจาก ภัยได้
ถ้าไม่เอาข้อวัตรปฏิบัติคือ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เข้าเป็นเครื่องบุกเบิกเพิกถอน ช่วยจิตให้พ้นภัยจากเครื่องบีบบังคับ
เวลานี้เรามาเปลื้องภัยที่มีอยู่ภายในใจ เราต้องพยายามทำทุกวิถีทางที่จะปลดเปลื้องให้ได้
หลักใหญ่ของการปฏิบัติก็คือ
จงมีความหนักแน่นแก่นนักรบ หวังจบชีวิตในสงครามล้างโลกออกจากใจ ถ้าไม่ชนะก็ต้องตายถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ไปเลย อย่า ถอยหลังด้วยความพ่ายแพ้จะเสียหน้าและถูกกิเลสเย้ยหยันไปนาน
พระธรรมเทศนา
พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่
พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เหมือนกันกับสำลีหรือนุ่นที่เป็นของเบา ก็ต้องมีอะไรครอบไว้ รักษาไว้ ลมพัดมามันจึงจะไม่ไปตามลม
จิตของเราก็เหมือนกัน เราก็ต้องควบคุมด้วยการภาวนา ตรวจค้นจิตของเรา
จึงเรียกว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาในตน ทบทวนเข้ามา
หาจิตของเรา "ความรู้สึก"..."นึกตรวจค้น" อยู่เสมอ
"ทบทวนจิต" ของเรา ให้รู้ผิด...รู้ถูก รู้ดี...รู้ชั่ว ของจิต
มโนธาตุ โพธิญาณ
__________________________
อายตนะ ความสืบต่อ อายตนะภายในภายนอก
ภายในคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ภายนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับอายตนะภายใน "เกิดความรู้สึก"ขึ้นมา แล้ว"เกิดความสำคัญไปต่าง ๆ นานา" ส่วนมากไปในทางที่ผิด ให้แยกแยะดูให้ดี นี่ท่านเรียกว่าวิปัสสนา วิปัสสนาแปลว่าความเห็นแจ้ง รู้แจ้งเห็นจริง
ไม่รู้แบบปลอมๆ หลอกๆ หลอนๆ
โดยมาก คนเราไม่มีภาวนา ก็คือ "ตามอารมณ์"
"คิด"ตามอารมณ์..."พูด"ตามอารมณ์... "ทำ"ตามอารมณ์ ..."แล้วแต่อารมณ์เป็น"
การภาวนา...จึงเป็นการควบคุมไม่ให้จิตของเราตามอารมณ์
นั่นคือ ใจหยุด ใจที่ปราศจากนิวรณ์
นิวรณ์เครื่องกั้น ความสว่างของจิต
เมื่อใจหยุด จึงเห็นความสว่างภายใน เรียกว่า “อธิจิต”
ภาวนาเราต้องใช้ปัญญาควบคุมจิตใจของเรา
ให้มี"จิต"...ได้ทบทวนตรวจค้น..."ความรู้สึก"
สำนึกในจิตของเราอยู่เสมอ
ไม่ให้มันล่วงเลยไปตามอารมณ์ คือไม่ตามใจ
997. ใจหยาบ- ลมหายใจหยาบ
เมื่อใดใจหยาบ ลมหายใจก็หยาบ
เมื่อใดใจละเอียด ลมหายใจก็ละเอียด
เมื่อใดใจร้อน ลมหายใจย่อมร้อน
เมื่อใดใจเมตตา ลมหายใจย่อมเย็น
ลมหายใจให้สิ้นสุดตรง "ศูนย์กลางกาย" เลยปอดเข้าไป เหนือสะดือ ลมหายใจ จะหายเข้าไปในใจ เพราะใจอยู่ ตรงศูนย์กลางกาย
วางใจ...ไว้ที่สุดลมหายใจ ตรงที่ตั้งแห่งใจ
ไม่ต้องสนใจกับลมหายใจต่อไป
ทำใจเฉยๆ สบายๆ
ลมหยาบ ค่อยๆเป็นละเอียด
ทั้งที่หายใจ เหมือนไม่มีลมหายใจ
พอใจละเอียด ลมละเอียด
ทุกส่วนของร่างกาย จะหายใจเอง
ลมของเรา หลอมรวมกับลมของจักรวาล
ประสานกับวิญญาณ จนลมนิ่ง ลมหยุด
เมื่ออารมณ์เหล่านี้ไม่เข้าครอบงำแล้ว จิตนี้มันก็อ่อน จิตสว่างไสวควรแก่การแก่งาน การงานที่พิจารณา มันเป็นแสงสว่างขึ้น"
"หลวงปู่ขาว อนาลโย"
ในการภาวนา อย่าไปเคร่งเครียดมาก วางใจให้สบายๆ
“ รู้ ได้เท่าที่รู้ แต่ไม่หยุดที่จะ รู้ พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า
เราตถาคต ไม่พัก ไม่เพียร ข้ามโอฆะ ได้แล้ว
คือไม่ปล่อยจิตใจให้หลงไปกับสิ่งต่างๆ ทั้งภายนอกภายใน
ไม่คอยเพ่งกำหนดรักษาไว้ไม่ให้ใจกระดิกเลย
แต่ให้จิตใจเราอยู่ในสภาพที่พร้อมจะเรียนรู้
ในทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงหรือหยุดนิ่ง
โดยไม่คล้อยตาม ไม่หักหาญ
< อินทรียสังวร >
จะกล่าวถึงความสำคัญของการสำรวมอินทรีย์ หรือมี อินทรีย์สังวร ซึ่งจุดเริ่มในภาคปฏิบัติก็เริ่มที่จุดนี้ ขอให้ทุกท่านอย่าลืมเลข 6 เด็ดขาด
#อารมณ์6 ->รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส, ธรรมารมณ์
#อายตนะ6 ->ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
#วิญญาณ6 ->จิตรู้ทางอายตนะ6
#ผัสสะ6 ->ประสานอายตนะกับวิญญาณ
#เวทนา6 ->ความรู้สึกสุข, ทุกข์, เฉยๆทางทวาร6
#สัญญา6->ความจำได้ทางอายตนะ6
#สังขาร6 ->การปรุงแต่งจิตทางทวาร6
#ตัณหา6 ->ความอยากได้และยึดติดในอารมณ์6
ซึ่งการภาวนานั้นต้องเริ่มที่จุดนี้
เมื่อนามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ6 ซึ่งเป็นประตู 6 ช่องทาง(ทวาร6) เพื่อจะได้เสพ เวทนา6
การเกิดขึ้นมาของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงมุ่งไที่"เวทนา" ทั้งสิ้น ขบวนการของวัฏฏะจึงหมุนสืบต่อไม่จบไม่สิ้นเพราะความไม่รู้ในอริยสัจ4 คือ
▪ไม่รู้ใน ทุกข์
▪เหตุให้เกิดทุกข์
▪ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
▪และหนทางการปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งทุกข์คือมรรคมีองค์8 นั่นเอง
เพราะไม่รู้ความจริงนี่เองจึงหลงยึดมั่นในขันธ์5 และสร้างประตูคือ อายตนะ6 คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมาเพื่อหวังจะได้สุขเวทนา แต่หารู้ไม่ว่าแม้แต่ในสุขเวทนานั้นก็ตกอยู่ในทุกขลักษณะ คือ ไม่สามารถคงสภาพเดิมอยู่ได้ ต้องอาศัยเหตุปัจจัยมีขึ้นและเป็นปัจจัยให้ปัจจัยอื่นต่อไปเรื่อยๆ มีความแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เพราะความไม่รู้นี้จึงเกิดการดิ้นรนที่อยากจะเติมเต็ม(ตัณหา) จึงเกิดขบวนการทุกข์ซ้อนทุกข์ไม่จบไม่สิ้น
การเจริญมรรคจึงเป็นวิธีที่จะออกจากทุกข์ เมื่อ ตาต้องสัมผัสกับรูป หูสัมผัสเสียง จมูกสัมผัสกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส กายสัมผัสโผฏฐัพพะ ใจสัมผัสธรรมารมณ์ อยู่ตลอดทั้งวันตั้งแต่ตื่นจนหลับ
ผู้ไม่รู้มรรควิธี ย่อมปล่อยให้ไหลและเพลินไปกับผัสสะ6 ทางนั้นแต่ถ้าทุกคนเฉลียวใจหน่อยก็จะเห็นความสำคัญในการสำรวมระวังอินทรีย์ ทั้ง6 ขณะที่สำรวมอยู่สติย่อมว่องไว รวมถึงเห็นไตรลักษณ์ที่เกิดขึ้น ปัญญาที่เห็น ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกาย ธรรมารมณ์ ในการรับรู้6 ช่องทาง(วิญญาณ6) ในผัสสะ6 ในเวทนา6 ในสัญญา6 ในสังขาร6 ในตัณหา6 เมื่อเห็นอยู่เช่นนี้
▪จึงเห็นโทษ
▪จึงเบื่อหน่าย
▪คลายกำหนัด(วิราคะ)
▪คลายความยึดมั่นในที่สุด
อินทรียสังวร ปิดกั้นการเกิดขึ้นแห่งบาปอกุศล
-บาลี สฬา. สํ. ๑๘/๒๒๒/๓๒๐.
การทำจิตให้มีพลัง
คำว่า "จิตสงบ" นั้นไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร มันต้องมี มีความสงบครอบอยู่
การทำจิตให้สงบ คือการวางให้พอดี
"ตั้งใจเกินไป" มากก็เลยไป
"ปล่อยเกินไป" ก็ไม่ถึง เพราะขาดความพอดี
ธรรมดาจิตเป็นของไม่อยู่นิ่ง เป็นของมีกิริยา ไหวตัวอยู่เรื่อย ฉะนั้นจิตใจของเราจึงไม่มีกำลัง
"การทำจิตใจของเราให้มีกำลัง กับการทำกายของเราให้มีกำลังมันต่างกัน การทำกายให้มีกำลังก็คือ การออกกำลัง ทำกายบริหาร มีการกระโดด การวิ่ง นี่คือการทำกายให้มีกำลัง
การทำจิตใจให้มีกำลังก็คือ"ทำจิตให้สงบ"
ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่นคิดนี่ไปต่างๆ ให้อยู่ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเรานั้นไม่เคยได้สงบ ไม่เคยมีกำลัง
มันจึงไม่มีกำลังทางด้านสมาธิภายใน"
พระธรรมเทศนาของพระโพธิญาณเถร
(หลวงพ่อชา สุภัทโท)
💡“รู้ไม่ทัน ขันธ์บังธรรม”💡
ความเงียบ ความสงบ ความสงัดไปทั้งโลกธาตุ มันมีของมันอยู่แล้วแต่เดิม
ไม่ใช่เราไปหามัน หรือ เราทำมันขึ้นมาใหม่
แต่.. เพราะเรา “หลงปรุงแต่ง” มากเกินไป
“ยึดถือ” มากเกินไป
“อยากรู้อยากเห็น อยากได้อยากเป็น” มากเกินไป
“อยากสงบ” มากเกินไป
อยากอย่างโน้น อยากอย่างนี้
เราวุ่นวายกับโลกมากเกินไป
วุ่นวายกับคนอื่นมากเกินไป
วุ่นวายกับครอบครัวมากเกินไป
วุ่นวายกับร่างกาย
วุ่นวายกับ “อาการของใจ” มากเกินไป
วุ่นวายกับอยากรู้ อยากเห็น อยากได้ อยากเป็น
อยากบรรลุพระนิพพานมากเกินไป
มันเลยมาปิดบัง มาบังธรรมชาติที่บริสุทธิ์เสียหมดเลย
กามในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงในระดับเรื่องเพศ แต่เป็นกามในระดับที่ละเอียดครอบคลุมมากกว่า ในความอยากต่างๆ ที่ทําให้ใจหวั่นไหวตาม
ใจไหลไปตามความอยาก หรือ ไหลไปตามสิ่งกระทบใจ
ทําให้ใจไม่สงบตั้งมั่น ความฟุ้งซ่าน จึงตามมา
ถ้าใจไม่ไปให้ค่า จะไหลตามไปไหม
สภาวะละเอียดในระดับจิตใจ
ใจให้ค่าไหลตามไป
สมาธิจึงไม่มี
Trader Hunter พบธรรม
เมื่อต้องการ "โลกุตระ" ต่อไป ให้ "รวมสิ่งที่เรารู้เราเห็น" ทั้งหมดเข้ามาเป็น "จุดอันเดียว" คือ "เอกัคคตารมณ์" ให้เห็นเป็นสภาพ "อันเดียว" กันทั้งหมด เอา "วิชชาความรู้" ทั้งหลายเหล่านั้นเข้ามา "รวมอยู่" ใน "จุดอันนั้น"
จนรู้แจ้งเห็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายนี้ "เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป" เป็นธรรมดา แล้ว "อย่ายึดถือ" ใน "สิ่งที่รู้" ที่เห็นมาเป็น "ของตน"
อย่ายึด "ความรู้ความเห็น" ที่เกิดจากตนมาเป็นของตน ให้ "ปล่อยวาง" ไปเสียตามสภาพ
ถ้าไปยึด "อารมณ์" ก็เท่ากับ "ยึดทุกข์"
"ยึดความรู้" ของตนจะเกิดเป็น "เหตุแห่งทุกข์" คือ "สมุทัย"
ฉะนั้น "จิตที่นิ่ง" เป็น "สมาธิ" แล้วเกิด "วิชชา" วิชชานั้นเป็น "มรรค" สิ่งที่ให้เรารู้ต่างๆที่ผ่านไปผ่านมาเป็น "ทุกข์"
"จิต" เราอย่าเข้าไป "ยึดเอาวิชชา" อย่าเข้าไปยึดเอา "อารมณ์" ที่มาแสดงให้เรารู้
"ปล่อยวาง" ไปตามสภาพ ทำจิตให้สบายๆ ไม่ "ยึดจิต" ไม่ "สมมุติจิต" ของตนเองว่า "เป็นอย่างนั้นอย่างนี้" ถ้ายัง "สมมุติตน" เองอยู่ตราบใด ก็เป็น "อวิชชา" อยู่ตราบนั้น
เมื่อ "รู้" ได้โดย "อาการ" อย่างนี้ก็จะกลายเป็น "โลกุตระ" ขึ้นในตน จะเป็น "บุญกุศล" อย่างประเสริฐสูงสุด ในฐานะที่เป็น "มนุษย์พุทธบริษัท" ของพระพุทธเจ้า
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
" เมื่อ...รู้แล้ว
รู้ อยู่เฉย ๆ
รู้ เท่าทัน
รู้ แจ้ง
ไม่รับ ส่วนกับผู้ใด ไม่รับ เป็นทาสใคร
ไม่รับ ส่วนกับใคร
รู้แล้ว ไม่เอา
รู้แล้ว วาง
รู้แล้ว ละ
สุข ก็มีอยู่เหมือนกัน
ทุกข์ ก็มีอยู่เหมือนกัน
อะไร ก็มีอยู่เหมือนกัน
แต่...ไม่เอา."
______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" ใจเป็นบ่เกิดของกิเลสทั้งหลาย
เป็นบ่เกิดของอารมณ์ทั้งปวง
เป็นบ่เกิดของความดีทั้งหมด.
ความดีและความชั่วเกิดที่ใจเหมือนกัน.
ถ้าหากว่ามี"สติ"ควบคุมจิต คอยกลั่นกรองจิต.
กำจัดความชั่วให้ออกไปเสีย เหลือแต่ความดีไว้ในจิตของตน จึงจะปรากฏแต่ความดี.
ถ้าความชั่วไหลเข้ามาในใจของเรา เราไม่มีสติกลั่นกรอง.
ก็จะเหลือแต่ความชั่ว กองไว้ในใจของเราทั้งหมด."
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
" การฝึกใจนี้
เรา ต้องไม่ยึดมั่นทั้งสรรเสริญ ทั้งนินทา
ความต้องการแต่สรรเสริญ และไม่ต้องการนินทานั้น
เป็นวิถีทางของโลก
แต่ แนวทางของพระพุทธเจ้า
ให้รับสรรเสริญตามเหตุตามปัจจัย ของมัน
และ ก็ให้รับนินทาตามเหตุตามปัจจัย ของมัน
เหมือนกัน เหมือนอย่างกับการเลี้ยงเด็ก
บางที ถ้าเราไม่ดุเด็กตลอดเวลา
มัน ก็ดีเหมือนกัน
ผู้ใหญ่บางคน ดุมากเกินไป
ผู้ใหญ่ที่ฉลาด ย่อมรู้จักว่า
เมื่อใดควรดุ เมื่อใดควรชม
ใจ ของเราก็เหมือนกัน
ใช้ปัญญา เรียนรู้จักใจ
ใช้ความฉลาด รักษาใจไว้
แล้วเรา ก็จะเป็นคนฉลาดที่รู้จักฝึกใจ
เมื่อฝึกบ่อย ๆ
มัน ก็จะสามารถกำจัดทุกข์ได้
ความทุกข์ เกิดขึ้นที่ใจนี่เอง
มัน ทำให้ใจสับสน มืดมัว
มัน เกิดขึ้นที่นี่
มัน ก็ตายที่นี่."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
มันเข้ามาทางอายตนะ และ พุ่งเข้าสู่ใจ
วิธี คือ สติตั้งมั่น คอยดักจับสิ่งที่มาตกกระทบ
รู้เหตุ แล้ว วางใจ ไม่รับ , แล้วมันก็ดับลงเอง
หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร
💛 สุญญตาแท้ คือ "ใจ" 💛 🙏🏻ค่ะ
สุญญตาแท้ ๆ ก็คือใจของเราเองนั่นแหละ สุญญตาแท้ ๆ ก็คือใจของเรานั่นแหละ
แต่เรากลับจะเอาใจของเราเนี่ยไปหาอะไร จะเอาใจของเราไปเอาอะไร เรากลับเอาใจเราไปหาพระนิพพาน กลับเอาใจของเราจะไปเอานิพพาน แต่แท้ ๆ มันก็คือใจของเรานี่เอง
เราเอาใจของเราไปรังเกียจสิ่งที่เราไม่ถูกใจไม่พอใจ เพราะเราจะไปเอาอย่างอื่นซึ่งเราคิดว่ามันมีความสุขยิ่งกว่า สิ่งนี้มันไม่ใช่ความสุข เรารังเกียจสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ที่มันคับแค้นใจ ที่มันอึดอัดคับข้อง เราจะเอาความสบาย เราจะไปเอาความสงบ ไปเอาความว่าง ไปเอาความเบา ไปเอาความโปร่งโล่งเบาสบาย
แต่ "ใจ" ไม่เป็นอย่างงั้นเลย ใจไม่มีทั้งความโปร่งโล่งเบาสบาย ไม่มีทั้งความสุข ไม่มีทั้งความทุกข์ ไม่มีทั้งความแน่นอึดอัด ไม่มีทั้งความทึบ ไม่มีทั้งโปร่งโล่งเบาสบาย
ใจเป็นสภาพรู้อย่างเดียว มีสภาพรู้อย่างเดียว
****ตัวตนของใจไม่มี
เป็นสูญไง เป็น "สูญ" เพราะว่าตัวตนของมันไม่มี ไม่ใช่มีเลขศูนย์ คือสูญคือตัวตนของมันไม่มี มันไม่ใช่ทั้งสุขและไม่ใช่ทั้งทุกข์
ใจมันมีสภาพที่มันไปเอาอะไรไม่ได้ และมันจะไปรังเกียจอะไรก็ไม่ได้ จะไปผลักไสอะไรก็ไม่ได้ จะไปเอาอะไรก็ไม่ได้ ใจไม่มีสภาพที่ไปดิ้นรนผลักไสทุกข์ ไปเกลียดทุกข์ ใจไม่มีสภาพที่จะไปรักสุขได้
เพราะมันเป็นความไม่มีตัวตนเลย ไม่ใช่เลขศูนย์ แต่เปรียบเทียบว่ามันเปรียบเหมือนศูนย์
จะไปเอาอะไรมันก็เป็น บวก บวก บวก ขึ้นไปไม่ใช่ศูนย์
ไปรังเกียจอะไรดิ้นรนผลักไสอะไร มันก็เป็น ลบ ลบ ลบ มากขึ้นไป ไม่ใช่ศูนย์
ท่านจึงเรียก "สูญ" นั้นว่า "สุญญตา" เพราะไม่มีตัวตนไม่มีอะไรเลย ไม่เอาอะไรเลย ไม่คิดจะไปเอาอะไรเลย และไม่ดิ้นรนผลักไสอะไรเลย
เพราะใจของตัวเองนั่นแหละ
*** ผู้ใดพบใจผู้นั้นพบธรรม ผู้ใดถึงใจผู้นั้นถึงพระนิพพาน***
ใจของตัวเองนั่นแหละ แต่เราพลาดถนัดที่จะเอาใจไปหา "นิพพานนอกใจ"
จึงเขียนไว้ที่หน้าปก (หนังสือ "จบที่ใจ")
หลายคนดิ้นรนแสวงหาหนทางไม่มีที่สิ้นสุด แต่บางคนน้อยคนนัก ที่สิ้นสุดเพราะหยุดแสวงหา คือ จบที่ใจของตัวเอง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
สถานภาพดั้งเดิมหรือยานแม่ของเธอ.. คือความไม่ยินดีไม่ยินร้ายต่อสิ่งใดๆในสามแดนโลกธาตุ.