อย่าพูด ตามความคิด
อย่าทำอะไร ตามความคิด
อย่าปล่อย ให้ความคิดออกหน้า
ให้สตินำหน้า พูดกับผู้อื่นให้น้อย
เตือนตนเองให้มาก
ความหลงเป็นศัตรู ความรู้เป็นมิตร
ให้กลัวความหลง ให้กล้ากับความรู้สึกตัว
ฉลาดในการเอาชนะตน
ยอมแพ้คนอื่น ในทางสมมติ
มีสติ เฝ้าดูตัวเอง"
.
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
ความสงบ..ย่อมมีคุณค่าเสมอ
สำหรับผู้ไม่ยินดีในความวุ่นวาย
ความวุ่นวาย...ก็เป็นยอดปรารถนา
สำหรับผู้ไม่ยินดีในความสงบ
แต่ทั้งความสงบและความวุ่นวาย
ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง
เมื่อมันมีเหตุให้สงบ มันก็สงบเอง
เมื่อมันมีเหตุให้วุ่นวาย มันก็วุ่นวายเองเช่นกัน
ดังนั้นความสงบหรือความวุ่นวาย
จะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่นั้น
มันขึ้นอยู่ว่า มีเราที่เป็นผู้เผลอ 'สติ'
ด้วยจิตที่หลงไปตามความรู้สึกในขณะได้รับรู้สัมผัส
แต่ไม่สามารถเห็นความจริงตรงหน้าที่กำลังแสดงธรรม
กลับไหลไปเป็นเจ้าของความคิด และอารมณ์ที่ปรากฎขึ้น
ด้วยการให้ค่าเป็นยินดีหรือยินร้ายต่อสิ่งนั้นเอง
.
วิมุตติธรรม
< อวิชชา ๘ >
อวิชชา คือ ไม่มีความรู้ ความไม่เข้าใจ และไม่รู้เท่าทันในเหตุปัจจัยอันเป็นสภาวะธรรม(ธรรมชาติ)ของทุกข์ และการดับทุกข์หรือพ้นทุกข์ตามความเป็นจริง อันคือความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่แทงตลอด ไม่รู้เท่าทัน(สติ) ในการดับทุกข์ เพราะอวิชชา๘ อันมีดังนี้
๑. ความไม่รู้ใน"ทุกข์" ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้รู้จักทุกข์ และให้ดับสนิทหมายถึงอุปาทานทุกข์หรืออุปาทานขันธ์๕, และมีสติรู้เท่าทันอุปาทานทุกข์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ที่ล้วนเกิดขึ้นมาจากเหล่าทุกขอริยสัจและทุกขเวทนาที่เป็นสภาวะธรรม(กฏเกณฑ์ธรรมชาติ) ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงไม่เป็นเวทนูปาทานขันธ์ อันเป็นอุปาทานทุกข์ที่แสนเร่าร้อนเผาลน คงเป็นเพียงทุกข์ธรรมชาติ, และทุกข์นี้ มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญายิ่ง คือ เป็นสิ่งที่ควร "รู้ "
๒. ความไม่รู้ใน"สมุทัย" อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์มาจากตัณหา ๓ (กามตัณหา-อยากในกามหรือในทางโลก, ภวตัณหา-ความอยากเป็นโน่นนี่, วิภวตัณหา-ความไม่อยากให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้,) อันจักเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นอุปาทานทุกข์, สมุทัย มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญา คือ เป็นสิ่งที่ควร "ละ "
๓. ความไม่รู้ใน"นิโรธ" เป็นเช่นใด ไม่เคยสัมผัส หรือไม่เข้าใจสภาวะนิโรธอันว่างจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน อันล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กัน อันยังให้เกิดอุปาทานทุกข์ ทําให้ไม่ทราบว่าดับทุกข์ได้แล้ว จักเป็นสุขสงบ หรือได้สภาวะใด อย่างไร? คุ้มค่าให้ปฏิบัติไหม? มีจริงหรือเปล่า? หรือเข้าใจผิดไปจับสภาวะผลอันสงบเย็นของสมาธิหรือฌานเป็นสภาวะนิโรธ! ซึ่งแท้จริงแล้วยังคงมีความสงสัยอยู่ลึกๆในจิต(วิจิกิจฉา), นิโรธ มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญา คือ เป็นสิ่งที่ควร " ทำให้แจ้ง "
๔. ความไม่รู้ใน"มรรค" การปฎิบัติในการดับทุกข์ ควรปฏิบัติอย่างไร? ศึกษาแล้วยังไม่เข้าใจ ปฏิบัติไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน? วิธีใด? ของใครถูกแน่? ต้องดำเนินทางไหน อย่างนี้เป็นต้น, มรรค มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญา คือ เป็นสิ่งที่ควร " ปฏิบัติ "
๕. "ความไม่รู้ในอดีต" การไม่รู้ระลึกชาติ หรือภพที่เคยเกิดเคยเป็นในภพชาติต่างๆในปัจจุบันชาติ หมายถึงการ ย้อนระลึกขันธ์๕หรืออุปาทานขันธ์๕ที่เคยเกิดเคยเป็น กล่าวคือไม่รู้ไม่เข้าใจขันธ์ ๕ ที่เคยเกิดๆดับๆ อันก่อให้เกิดอุปาทานทุกข์นั้นเกิดแต่เหตุปัจจัย และเหตุปัจจัยอะไร? เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ เครื่องรู้ เครื่องระลึก อันก่อให้เกิดปัญญาญาณ และนิพพิทาญาณ อันยังให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการเข้าถึงความดับทุกข์
๖. "ความไม่รู้ในอนาคต" การไม่รู้อนาคต คือไม่รู้ไม่เข้าใจในการอุบัติ(เกิด) การจุติ(ดับ) ของขันธ์ทั้ง๕ว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้น เช่น กรรมคือตามการกระทําที่มีเจตนาทั้งสิ้น และอนาคตนั้นก็จักเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันคือกรรมการกระทํานั่นเอง ดังนั้นความทุกข์ในภายหน้าหรือชาติหน้าก็ล้วนเกิดดับอันเกิดแต่กรรมการกระทํา อันจักยังให้เกิดอุปาทานขันธ์๕เช่นเดิมหรือเกิดความทุกข์ขึ้นเฉกเช่นเดียวกับอดีต
ดังนั้นเพราะความไม่รู้ จึงประมาท จึงมิได้แก้ไข เพื่อไม่ให้ทุกข์จะเกิดขึ้นมาได้อีก กล่าวคือการรู้อนาคตเพราะรู้การเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง คือเมื่อเหตุเป็นเช่นนี้ ผลอย่างนี้จึงเกิดขึ้น อันเกิดขึ้นจากความเข้าใจในสภาวะธรรมอย่างถ่องแท้ ด้วยปัญญานั่นเอง
๗. ความไม่รู้ในทั้ง"อดีตและอนาคต" จึงไม่เกิดการยอมรับและเข้าใจในเหตุปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง จึงไม่มีทั้งเครื่องระลึก เครื่องเตือนสติจากการระลึกอดีต, และเกิดความประมาท ขาดการป้องกันจากการไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต คือมัวเพลิดเพลินหลงไหลในปัจจุบันนั่นเอง
๘. ความไม่รู้ใน"ปฏิจจสมุปบาท" ไม่ทราบ,ไม่รู้ กระบวนการเกิดขึ้นของทุกข์ และกระบวนการดับไปของทุกข์ จึงไม่รู้จักอาสวะกิเลส ตลอดจนตัณหาและอุปาทานที่แอบซ่อนนอนเนื่องอยู่ในจิต หรือตัวอวิชชาที่นอนเนืองอยู่ในสันดาน
เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจจึงไม่สามารถดับทุกข์ที่ต้นเหตุปัจจัยได้ถูกต้องและเหมาะสมนั่นเอง....
< สัญญา 10 เพื่อทำลายอาพาธ >
1.อนิจจะสัญญา
ขันธ์ 5 รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
》โดยอาการ พิจารณามองเห็นว่า ไม่เที่ยง
2.อนัตตะสัญญา
อายตนะ ภายนอก 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะ ภายใน 6 รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
》โดยอาการ พิจารณามองเห็นว่า ไม่มีตัวตน
3.อสุภะสัญญา
อาการ 32 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจตับ พังผืด ไต ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า น้ำดี เสลดหนอง เลือด เหงื่อ มัน น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
》โดยอาการพิจารณาเห็น ความเป็นของไม่งาม ไม่น่าพิศมัย ในกายนี้
4.อาทีนะวะสัญญา
ผลของโรคต่าง ๆ และ เหตุของโรคต่าง ๆ
》โดยอาการพิจารณาเห็น ความเป็นโทษ ในกายนี้
5.ปหานะสัญญา
กามวิตก ,พยาบาทวิตก , วิหิงสาวิตก , อกุศลกรรมทั้งปวง
》โดยอาการสำเหนียกด้วยอารมณ์ ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงซี่งความไม่มี
6.วิราคะสัญญา
ธรรมที่ทำให้เกิดการสละคืนอุปธิทั้งปวง และธรรมที่ทำให้ตัณหาสิ้นไป
》โดยอาการเจริญปัญญาให้ใจมุ่งมั่น ต่อการทำลายล้างกิเลสที่เกิดขึ้น
7.นิโรธะสัญญา
ธรรมชาตินั่นสงบ ประณีต ระงับได้แล้วซึ่ง อุปธิ และตัณหา โดยไม่เหลือ
》โดยอาการทรงอารมณ์ เสวยผลแห่งการเข้าถึงนิพพาน
8.สัพพะโลเก อะนะภิระตะสัญญา
อุปายะ และ อุปาทาน อันนอนเนื่องในอนุสัยจิต
》โดยอาการเจริญสติ ปัญญา โดยการงดเว้น และ ไม่ถือมั่น
9.สัพพะสังขาเรสุ อะนิฏฐะสัญญา
สังขารทั้งปวง
》โดยอาการเจริญสติ ปัญญา โดยความรู้สึกอึดอัด ระอา เกลียดชัง แต่ สังขารทั้งปวง
10.อานาปานัสสะติ
1.เป็นผู้มีสติ หายใจเข้า และ หายใจออก
2.หายใจเข้ายาว หายใจออกยาว ก็มีสติรู้ชัด ว่า หายใจเข้ายาว หายใจออกยาว
3.หายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น ก็มีสติรู้ชัด ว่า หายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น
4.ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้กาย ทั้งปวง หายใจเข้า และ หายใจออก
5.ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขาร ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
6.ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้ปีติ ทั้งหายใจเข้า หายใจออก
7.ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตตสังขาร ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
8.ย่อมศึกษาว่า จักระงับ จิตตสังขาร ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
9.ย่อมศึกษาว่า จักกำหนด รู้จิต ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
10.ย่อมศึกษาว่า จักยังจิตให้บันเทิง ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
11.ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตให้มั่น ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
12.ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิต ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
13.ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็น โดยความเป็นของไม่เที่ยง ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
14.ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็น โดยความคลายกำหนัด ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
15.ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็น โดยความดับสนิท ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
16.ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็น โดยความสลัดคืน ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก
บันทึกการเข้า
》ปัจจุบันสำคัญที่สุด อดีตก็ช่างมัน อนาคตก็ช่างมัน ถ้าเราทำปัจจุบันไว้ดี
อ่านเพิ่มเติม...http://rattana5.blogspot.com/2016/04/blog-post_17.html?m=1
< ทางหลุดพ้น 5 ประการ >
พระสาวกทั้งหลายที่ได้บรรลุธรรมในสมัยพุทธกาลนั้นมี 5 สาเหตุนี้
ทางหลุดพ้นจากทุกข์ในชีวิตของสัตว์โลกมี 5 ทาง
(พระสาวกทั้งหลายที่ได้บรรลุธรรมในพุทธกาลนั้นมี 5 สาเหตุนี้)
1.ได้ฟังธรรมจากพระศาสดาหรือจากภิกษุก็ตาม ได้รู้เข้าใจชัดในธรรม เกิดปิติ เกิดความสุข เกิดความตั้งมั่น เกิดปัญญาหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง
2.ได้ฟังธรรมแล้วยังไม่หลุด แต่เมื่อจดจำธรรมได้แล้ว ไปแสดงธรรมให้ผู้อื่นฟัง เราพูดแสดงธรรมก็รู้แจ้งชัดในธรรมะ จนเกิดปิติ เกิดความสุข เกิดความตั้งมั่นแห่งจิต เกิดปัญญาหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง
3. หากแสดงธรรมให้ผู้อื่นฟังแล้วตัวเองก็ไม่บรรลุ ให้นำธรรมที่จดจำนั้นมาใคร่ครวญพิจารณาในใจ จนเข้าใจแจ่มแจ้งเกิดปิติ เกิดความสุข เกิดจิตตั้งมั่น เกิดปัญญาหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง
4.หากใคร่ครวญธรรมในใจแล้วยังไม่หลุดพ้น บางท่านนำธรรมที่จำมาแล้ว มาสวดสาธยายออกเสียง แล้วรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งในธรรมจนเกิดปิติ เกิดความสุข เกิดจิตตั้งมั่น เกิดปัญญาแล้วหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง
5. หากทำทั้ง 4 ข้อแรกแล้วยังไม่หลุดพ้น แสดงว่าจิตใจอ่อนแอมาก จิตขาดกำลังสติ สมาธิ ท่านให้ทำสมาธิเพื่อรวบรวมความสงบให้เกิดขึ้นกับใจ เมื่อจิตมีกำลังสมาธิขึ้นแล้วจึงพิจารณาในธรรมที่ได้จดจำมา จนเกิดปิติ เกิดความสุข เกิดความตั้งมั่น เกิดปัญญาหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง
(อธิบายขยายความจากวิมุตตายนสูตร ทางหลุดพ้น 5 ประการ)
ความเคยชิน หรือ #อนุสัย
ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า สันดาน...
อนุสัย หรือความเคยชิน นี้ มีอยู่สามประเภท
ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย
1. ราคานุสัย คือความเคยชินจากราคะ
2.ปฏิฆานุสัย คือความเคยชินจากโทสะ
3.อวิชชานุสัย คือความเคยชินจาก โมหะ
อนุสัย หรือความเคนชิน เกิดมาจากไหน ?
*ก็มาจาก การที่จิตไปมี ราคะ โทสะ โมหะ แล้วกระทำไปตามราคะ โทสะ โมหะ ครั้งหนึ่ง มันก็สะสม สันดานนั้นๆไว้หน่วยหนึ่ง เหมือนการตักน้ำใส่ตุ่ม
*และตุ่มน้ำใบนี้ มีรูรั่วที่ด้านล่างของตุ่ม
-น้ำในตุ่มมีไม่มากนัก น้ำที่จะรั่วออกมานั้นก็ไม่มากไม่รุนแรง
*แต่ถ้าน้ำในตุ่มนั้นมีมากจนเกือบเต็ม น้ำที่จะรั่วออกมาก็มากและรุนแรง ตามแรงดันที่มีมาก
**น้ำในตุ่มคือ กิเลสสามที่สะสมไว้
**น้ำที่ไหลออกมาจากตุ่ม คือ สิ่งที่เรียกว่า นิวรณ์ทั้งห้า
**และแรงดันน้ำคือ กำลังของกิเลสที่สะสมไว้
**ส่วนน้ำที่ยังอยู่ในตุ่มคือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ เป็นอนุสัย ที่พร้อมจะไหลออกมา
ดังนั้น คำว่า สันดาน จึงแบ่งเป็น สองชนิด
สันดานชั่ว ก็เรียก #อนุสัย
สันดานดี ก็เรียกว่า #อุปนิสัย
*จึงให้ สะสมสิ่งที่เป็น อุปนิสัย ให้มากกว่า อนุสัย
ธรรมทานจากศิษย์ อตุโล
ฝึกจิตให้ถึงที่ของมัน
มันปล่อยได้ มันวางได้ มันทิ้งได้
มันไม่ยึด...แม้กระทั่งตัวจิตนี้ด้วย
ไม่ยึดกายแล้วก็ไม่ยึดจิต
เพราะจิตมันเป็นนามธรรม ไม่ได้มีตัวตน
เป็นนามธรรม แต่คนอดยึดจิตไม่ได้
เพราะต้องใช้จิตทำงาน ใช้ความคิดทำงาน
แต่ถ้าเราฝึกให้ถึงที่ รู้แจ้งความจริงแล้ว
ขันธ์ห้ามันเป็นธรรมชาติ มันเป็นแค่เครื่องใช้
.
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
วัดป่าภูไม้ฮาว จ.มุกดาหาร