มีสติรู้เท่าทันความคิด.ไม่ใช่ไป"คิด"ห้ามไห้มันหยุดคิด"แค่รู้ว่ามันคิด".เพียงเท่านี้...#พระสิ้นคิด.🙏🏻ค่ะ
หลวงปู่กล่าวว่า
“เออ ท่านองค์ไหนมีภูมิธรรมแค่ไหน ก็อยู่กับภูมิธรรมนั้นเถอะ เราอยู่กับ “รู้ ”
ครั้งเมื่อพระเถระทั้ง 2 รูปได้ฟังคำพูดของหลวงปู่ว่า หลวงปู่ท่านอยู่กับ “รู้”
ต่างองค์ก็นิ่งสงบชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็เรียนถามหลวงปู่ต่อไปว่า
อาการที่ว่า...อยู่กับรู้ มีลักษณะเป็นอย่างไรฯ
หลวงปู่ตอบอธิบายว่า
“รู้ (อัญญา) เป็นปกติจิตที่ ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต
ไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง”
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
หลงความคิด...มีพิษกว่าสิ่งใด...
ผู้มีสติจะไม่ตกเป็นทาสของความคิดปรุงแต่ง...#พระสิ้นคิด.
สิ่งที่ปิดบัง “ไตรลักษณ์”
ทำให้คนเรามองไม่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
.
…...“ ทั้งที่ความเป็น อนิจจัง ทุกข์ และ อนัตตา นี้ เป็นลักษณะสามัญของสิ่งทั้งหลาย เป็นความจริงที่แสดงตัวของมันเองอยู่ตามธรรมดาตลอดทุกเวลา แต่คนทั่วไปก็มองไม่เห็น ทั้งนี้ เพราะเป็นเหมือนมีสิ่งปิดบังคอยซ่อนคลุมไว้ ถ้าไม่มนสิการ คือไม่ใส่ใจพิจารณาอย่างถูกต้อง ก็มองไม่เห็น
…...สิ่งที่เป็นเหมือนเครื่องปิดบังซ่อนคลุมเหล่านี้ คือ
.
๑. สันตติ บัง อนิจจลักษณะ
๒. อิริยาบถ บัง ทุกขลักษณะ
๓. ฆนะ บัง อนัตตลักษณะ
.
…...(๑) ท่านกล่าวว่า เพราะมิได้มนสิการความเกิดและความดับ หรือความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไป ก็ถูก“สันตติ” คือ ความสืบต่อหรือความเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ปิดบังไว้ อนิจจลักษณะจึงไม่ปรากฏ, สิ่งทั้งหลายที่เรารู้เราเห็นนั้น ล้วนแต่มีความเกิดขึ้นและความแตกสลายอยู่ภายในตลอดเวลา แต่ความเกิดดับนั้นเป็นไปอย่างหนุนเนื่องติดต่อกันรวดเร็วมาก คือ เกิด-ดับ-เกิด-ดับ-เกิด-ดับ ฯลฯ ความเป็นไปต่อเนื่องอย่างรวดเร็วยิ่งนั้น ทําให้เรามองเห็นเป็นว่า สิ่งนั้นคงที่ถาวร เป็นอย่างหนึ่งอย่างเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เหมือนอย่างตัวเราเองหรือคนใกล้เคียงอยู่ด้วยกัน มองเห็นกันเสมือนว่าเป็นอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน สังเกตดูหรือไม่เห็นกันนานๆ เมื่อพบกันอีกจึงรู้ว่าได้มีความเปลี่ยนแปลงไปแล้วจากเดิม แต่ตามความเป็นจริง ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทีละน้อยและต่อเนื่องจนไม่เห็นช่องว่าง
…...ตัวอย่างเปรียบเทียบพอให้เห็นง่ายขึ้น เช่น ใบพัดที่กําลังหมุนอยู่อย่างเร็วยิ่ง มองเห็นเป็นแผ่นกลมแผ่นเดียวนิ่ง เมื่อทําให้หมุนช้าลง ก็เห็นเป็นใบพัดกําลังเคลื่อนไหวแยกเป็นใบๆ เมื่อจับหยุดมองดู ก็เห็นชัดว่าเป็นใบพัดต่างหากกัน ๒ ใบ ๓ ใบ หรือ ๔ ใบ หรือเหมือนคนเอามือจับก้านธูปที่จุดไฟติดอยู่แล้วแกว่งหมุนอย่างรวดเร็ว เป็นรูปวงกลม มองดูเหมือนเป็นไฟรูปวงกลม แต่ความจริงเป็นเพียงธูปก้านเดียวที่ทําให้เกิดรูปต่อเนื่องติดเป็นพืดไป หรือเหมือนหลอดไฟฟ้าที่ติดไฟอยู่สว่างจ้า มองเห็นเป็นดวงไฟที่สว่างคงที่ แต่ความจริงเป็นกระแสไฟฟ้าที่เกิดดับไหลเนื่องผ่านไปอย่างรวดเร็ว หรือเหมือนมวลน้ำในแม่น้ำที่มองดูเป็นผืนหนึ่งผืนเดียว แต่ความจริงเป็นกระแสน้ำที่ไหลผ่านไปๆ เกิดจากน้ำหยดน้อยๆ มากมายมารวมกันและไหลเนื่อง สิ่งทั้งหลายเช่นดังตัวอย่างเหล่านี้ เมื่อใช้เครื่องมือหรือวิธีการที่ถูกต้องมากําหนดแยกมนสิการเห็นความเกิดขึ้น และความดับไป จึงจะประจักษ์ความไม่เที่ยงแท้ ไม่คงที่ เป็นอนิจจัง
.
…...(๒) ท่านกล่าวว่า เพราะมิได้มนสิการความบีบคั้นกดดันที่มีอยู่ตลอดเวลา ก็ถูก “อิริยาบถ” คือความยักย้ายเคลื่อนไหว ปิดบังไว้ ทุกขลักษณะจึงไม่ปรากฏ, ภาวะที่ทนอยู่มิได้ หรือภาวะที่คงสภาพเดิมอยู่มิได้ หรือภาวะที่ไม่อาจคงอยู่ในสภาพเดิมได้ ด้วยมีแรงบีบคั้นกดดันขัดแย้งเร้าอยู่ภายในส่วนประกอบต่างๆนั้น จะถึงระดับที่ปรากฏแก่สายตาหรือความรู้สึกของมนุษย์ มักจะต้องกินเวลาระยะหนึ่ง แต่ในระหว่างนั้น ถ้ามีการคืบเคลื่อนยักย้ายหรือทําให้แปรรูปเป็นอย่างอื่นไปเสียก่อน ก็ดี สิ่งที่ถูกสังเกตเคลื่อนย้ายพ้นจากผู้สังเกตไปเสียก่อน หรือผู้สังเกตแยกพรากจากสิ่งที่ถูกสังเกตไปเสียก่อน ก็ดี ภาวะที่บีบคั้นกดดันขัดแย้งนั้น ก็ไม่ทันปรากฏให้เห็น ปรากฏการณ์ส่วนใหญ่มักเป็นไปเช่นนี้ ทุกขลักษณะ จึงไม่ปรากฏ
…...ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ในร่างกายของมนุษย์นี้แหละไม่ต้องรอให้ถึงขั้นชีวิตแตกดับดอก แม้ในชีวิตประจําวันนี้เอง ความบีบคั้นกดดันขัดแย้งก็มีอยู่ตลอดเวลาทั่วองคาพยพ จนทําให้มนุษย์ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยในท่าเดียวได้ ถ้าเราอยู่หรือต้องอยู่ในท่าเดียวนานมากๆ เช่น ยืนอย่างเดียว นั่งอย่างเดียว เดินอย่างเดียว นอนอย่างเดียว ความบีบคั้นกดดัน ตามสภาวะจะค่อยๆเพิ่มมากขึ้นๆ จนถึงระดับที่เกิดเป็นความรู้สึกบีบคั้นกดดันที่คนทั่วไปเรียกว่าเป็นทุกข์ เช่น เจ็บปวดเมื่อย จนในที่สุดก็จะทนไม่ไหว และต้องยักย้ายเปลี่ยนไปสู่ท่าอื่นที่เรียกว่าอิริยาบถอื่น เมื่อความบีบคั้นกดดันอันเป็นทุกข์ตามสภาวะนั้นสิ้นสุดลง ความรู้สึกบีบคั้นกดดันที่เรียกว่า ความรู้สึกทุกข์ ทุกขเวทนา) ก็หายไปด้วย (ในตอนที่ความรู้สึกทุกข์หายไปนี้ มักจะมีความรู้สึกสบายที่เรียกว่าความสุขเกิดขึ้นมาแทนด้วย แต่อันนี้เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ว่าโดยสภาวะแล้ว มีแต่ความทุกข์หมดไปอย่างเดียว เข้าสู่ภาวะปราศจากทุกข์)
…...ในความเป็นอยู่ประจําวันนั้น เมื่อเราอยู่ในท่าหนึ่งหรืออิริยาบถหนึ่งนานๆ พอจะรู้สึกปวดเมื่อยเป็นทุกข์ เราก็ชิงเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปสู่ท่าอื่นหรืออิริยาบถอื่นเสีย หรือเรามักจะเคลื่อนไหวเปลี่ยนท่าเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอ จึงหนีรอดจากความรู้สึกทุกข์ไปได้ เมื่อไม่รู้สึกทุกข์ ก็เลยพลอยมองข้ามไม่เห็นความทุกข์ที่เป็นความจริงตามสภาวะไปเสียด้วย ท่านจึงว่าอิริยาบถบังทุกขลักษณะ
.
…...(๓) ท่านกล่าวว่า เพราะมิได้มนสิการความแยกย่อยออกเป็นธาตุต่างๆ ก็ถูก “ฆนะ” คือความเป็นแท่งเป็นก้อนเป็นชิ้นเป็นอันเป็นมวลหรือเป็นหน่วยรวม ปิดบังไว้ อนัตตลักษณะ จึงไม่ปรากฏ
…...สิ่งทั้งหลายที่เรียกชื่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ล้วนเกิดจากเอาส่วนประกอบทั้งหลายมารวบรวมปรุงแต่งขึ้น เมื่อแยกย่อยส่วนประกอบเหล่านั้นออกไปแล้ว สิ่งที่เป็นหน่วยรวมซึ่งเรียกชื่อว่าอย่างนั้นๆ ก็ไม่มี โดยทั่วไปมนุษย์มองไม่เห็นความจริงนี้ เพราะถูก “ฆนสัญญา” คือความจําหมายหรือความสําคัญหมายเป็นหน่วยรวมคอยปิดบังไว้ เข้ากับคํากล่าวอย่างชาวบ้านว่า เห็นเสื้อแต่ไม่เห็นผ้า เห็นแต่ตุ๊กตามองไม่เห็นเนื้อยาง คือคนที่ไม่ได้คิดไม่ได้พิจารณา บางทีก็ถูกภาพตัวตนของเสื้อปิดบังตาหลอกไว้ ไม่ได้มองเห็นเนื้อผ้าที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นรูปเสื้อนั้น ซึ่งว่าที่จริง ผ้านั้นเองก็ไม่มี มีแต่เส้นด้ายมากมายที่มาเรียงกันเข้าตามระเบียบ ถ้าแยกด้ายทั้งหมดออกจากกัน ผ้านั้นเองก็ไม่มี หรือเด็กที่มองเห็นแต่รูปตุ๊กตา เพราะถูกภาพตัวตนของตุ๊กตาปิดบังหลอกตาไว้ ไม่ได้มองถึงเนื้อยาง ซึ่งเป็นสาระที่แท้จริงของตัวตุ๊กตานั้น เมื่อจับเอาแต่ตัวจริง ก็มีแต่เนื้อยาง หามีตุ๊กตาไม่ แม้เนื้อยางนั้นเองก็เกิดจากส่วนผสมต่างๆมาปรุงแต่งขึ้นต่อๆ กันมา
…… ฆนสัญญา ย่อมบัง อนัตตลักษณะ ไว้ในทํานองแห่งตัวอย่างง่ายๆ ที่ได้ยกมากล่าวไว้นี้ เมื่อใช้อุปกรณ์หรือวิธีการที่ถูกต้องมาวิเคราะห์มนสิการเห็นความแยกย่อยออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ จึงจะประจักษ์ในความมิใช่ตัวตน มองเห็นว่าเป็น “อนัตตา”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย” บทที่ ๓ ชีวิตเป็นอย่างไร ไตรลักษณ์ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อย่าง ของสิ่งทั้งปวง
ความว่าง ไร้ซึ่งอัตตา
เมื่อ จิต เข้าถึงความว่าง หรือความเป็นกลางโดยสมบูรณ์แล้ว จิตจะดำรงอยู่ในสภาวะดังกล่าว เว้นขาดจากการแสวงหา ความยึดมั่น ไม่มีตัวตน มีแต่กระแส รู้ แห่งความบริสุทธิ์ ในการที่จะรับรู้กับ สิ่งต่างๆ รอบข้างเป็นอย่างดี รู้แล้วปล่อยๆ ไม่เกาะเกี่ยว ปรุงต่อ...
Trader Hunter พบธรรม
หัวใจพระพุทธศาสนา
"การรู้นี่สำคัญ สิ่งที่ไปถูกรู้นี่ไม่สำคัญหรอก "
การภาวนาคือ พัฒนาจิตผู้รู้
ให้รู้มันชัด ไม่ใช่ให้อารมณ์มันชัด
ถ้าจิตรู้มันชัดกว่า อารมณ์มันก็เล็กลง
อันไหนชัดกว่า อันนั้นก็ยิ่งใหญ่ในใจเรา
ให้ขยันรู้ไปเถอะ
ให้รู้แบบปกติ อย่าไปรู้แบบจี้
มันเป็นการเพ่ง เครียด
รู้จี้ มันเป็นการเพ่ง
การวางใจให้รู้รอบๆ รู้เบาๆ แบบผ่อนคลาย
รู้รอบๆ มันจะรอบรู้
รู้ตัวทั่วพร้อม คือ พร้อมที่จะรู้
เช่น รู้ลงปัจจุบันว่ากายกำลังทำอะไร?
รู้ไปแค่นี้เรื่อยๆ
เป็นการพัฒนาจากสิ่งที่หยาบๆ ไปสู่สิ่งที่ละเอียด
เวลากายเคลื่อนไหว ใจก็รู้
เวลาจิตมันคิด มันก็รู้
ภาวนาคือ ขยันรู้ ไม่ใช่ขยันคิด
ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร
ความรู้สึกตัวเกิดขึ้นที่ไหน
เกิดขึ้นตอนที่รู้สึกตัว
แล้วแต่จิตมันจะผลิตสติขึ้นมา
หากหลงลืมบ้างอย่าไปเครียด
มันหลงแล้วก็แล้วไป
เดี๋ยวเราก็รู้ขึ้นใหม่
มันหลงได้ ก็รู้ได้
หลงแล้วรู้ใหม่ รู้ใหม่เรื่อยๆ
ชีวิตเราก็จะใหม่
การรู้แต่ละครั้งไม่ไร้ค่า
จิตเป็นกุศลทันที ดีกว่าเราไม่รู้เลย
อกุศลก็เกิดแทน ทุกครั้งที่เรารู้
จิตเป็นกุศลทันที
จิตปกติ ขาวรอบแล้ว
ณ ปัจจุบันนั้นทันที
นี่คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา"
อ.กำพล ทองบุญนุ่ม ชมรมเพื่อนคุณธรรม
“ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน”
หนึ่งในคำสอนของพระพุทธศาสนาที่เรามักจะได้ยินกันจนชินหู นั้นคือคำว่า “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” แต่จะมีใครเคยเอาถ้อยคำเหล่านี้มาขบคิดกันบ้าง ว่าการเป็นผู้รู้นั้น..รู้อะไร? การเป็นผู้ตื่นนั้น..ตื่นอย่างไร? และการเป็นผู้เบิกบานนั้นเบิกบานอย่างไร? โพสต์นี้ผมจึงมาชวนท่านขบคิดเกี่ยวกับ3สภาวะนี้ ดูว่าแท้ที่จริงมันเป็นอย่างไร
-สภาวะแรกคือ “การเป็นผู้รู้” ส่วนใหญ่เรามักจะคิดว่าการเป็นผู้รู้คือ การรู้ข้อธรรมะหรือ รู้สัจธรรม ฯลฯ ....แต่ที่จริงแล้วมันมีความรู้ที่สำคัญกว่านั้นและน่าจะถือว่าสำคัญที่สุดด้วย เรื่องที่ว่านี้คือ รู้ว่าตัวเองเป็นใคร, มาจากไหน, มาทำอะไร, ต้องไปไหนและสุดท้ายจะไปอย่างไร?
แท้ที่จริงความรู้ทั้งหมดนี้มันเป็น “ความรู้” ที่พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะต้องรู้ เริ่มจากข้อแรกคือ เราเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า “เราเป็นใคร” ความรู้ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงรูปธรรมทางกายภาพนะ เพราะพวกเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าเราชื่ออะไร เป็นลูกใครหรือเกิดที่ไหน แต่คำว่า “เราเป็นใคร” ในที่นี้จะหมายถึง ความรู้สึกหรือเครื่องบ่งชี้ว่า “เรา”เป็น “เรา” เราจะไม่รู้สึกว่าเราเป็นคนอื่น เพราะว่าเรามีจิตสำนึกที่เป็นของเรา ดังนั้นเราจึงสามารถแน่ใจได้ว่ามี “เรา” อยู่ตรงนี้จริง
ตามหลักการแล้วคำว่า “เรา” คือ “ผลผลิต” ของกระบวนการๆหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วย5กระบวนการ ที่ผมใช้คำว่า“กระบวนการ”เพราะมันประกอบกันขึ้นมาเป็นขั้นตอนที่ส่งผลซึ่งกันและกัน และไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ส่วนประกอบหลักๆมีดังนี้
1.) กระบวนการแรกคือ “การรับรู้” ข้อมูลจากทั้ง5ช่องทาง คือ การรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตามที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว เมื่อมีช่องทางการรับรู้ มันจึงเกิดกระบวนการถัดมาคือ
2.) เกิดเป็น “ความรู้” ความรู้ตรงนี้คืออาการที่แจ้งออกมาว่าอะไรเป็นอะไร เช่น ร้อน หนาว เค็ม หวาน เปรี้ยวเป็นต้น และเมื่อมีความรู้เกิดขึ้นกระบวนการถัดมาจึงเกิดคือ
3.) เกิดการ “การประมวล” ส่วนใหญ่กระบวนการนี้ก็มักจะมีข้อมูลสืบเนื่องมาจากประสบการณ์เดิมๆที่เคยได้รับ ซึ่งมักจะถูกนำมาประเมินว่าเราจะมีปฏิกิริยากับสิ่งที่ได้เจอใหม่นี้ว่าอย่างไร เช่น “ร้อน” หากคนๆนั้นเคยมีประสบการณ์อยู่ในเมืองร้อนมาก่อน เขาจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร จึงก่อให้เกิดกระบวนการถัดไปคือ
4.) เกิดการ “ตัดสิน” จากที่แต่เดิมไม่มีอะไร มันกลายเป็นมีอะไรขึ้นมา เช่น “ตัดสิน”ว่าฉันไม่ชอบฉันก็ไม่อยากเอา ฉันจึงปฏิเสธและผลักใส, หรืออันนี้ฉันชอบฉันจึงต้องการที่จะได้มาและเก็บมันไว้ และเมื่อมีการตัดสินกระบวนการถัดมาจึงเกิดคือ
5.) เกิดเป็นความ “แบ่งแยก” ขึ้นมา กระบวนการมันเริ่มมีเครื่องบ่งชี้ที่แสดงความมีตัวเราเช่น สิ่งนี้เป็นของเรา อันนี้เป็นของเขา การแบ่งแยกนี้คืออุปกรณ์ที่ใช้ระบุตำแหน่งของความเป็น “ตัวเรา”ทำให้มันเกิดเป็นความ “มีตัวตน” ขึ้นมา
สรุปแล้วเราเป็นใครกันแน่...? การจะสรุปเรื่องนี้เราอาจจะต้องเริ่มต้นจากการตั้งคำถามก่อนว่า... แล้วก่อนหน้าที่จะเกิดกระบวนการ5ข้อที่กล่าวมาข้างต้น เดิมเรามีคุณสมบัติอย่างไร คำตอบง่ายๆคือก่อนที่เราจะมีความแบ่งแยก เรามีความเป็นหนึ่งเดียวอยู่ก่อนใช่ไหม... ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ความคิดแบ่งแยกทำให้เรามี “ตัวตน” และความเป็นหนึ่งเดียวทำให้เรา “ไร้ความมีตัวตน” มาถึงตรงนี้ผมจะขออนุญาตเทียบเคียงกับแนวความคิดของศาสนาทางฝั่งตะวันตกสักหน่อย โดยเฉพาะศาสนาที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง ศาสนาคริสต์และอิสลาม ซึ่งบังเอิญว่าทั้งสองศาสนานี้ได้ให้คำตอบของคำถามนี้ไว้ค่อนข้างคล้ายคลึงกันคือ
“แต่เดิมเราคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราเกิดจากพระเจ้าหรือเรียกอีกอย่างว่าเราคือพระบุตร” จากข้อความตรงนี้มีความสอดคล้องกับที่เรากำลังพูดถึงคือ จิตวิญญาณของเราแต่เดิมมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และน่าจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ซึ่งเราต้องยอมรับความมีอยู่ของพระเจ้าด้วยเพราะว่าพระองค์เปรียบเสมือนเป็นต้นกำหนดของจิตวิญญาณของเรา หลายท่านอาจจะคลางแคลงใจเกี่ยวกับเรื่องของ “พระเจ้า” ผมขอให้ท่านฟังตรงนี้ก่อน พระพุทธเจ้าถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ได้พูดถึงพระเจ้าแบบตรงๆแต่พระองค์ก็พูดในเชิงทฤษฎี กล่าวคือพระองค์พูดว่า “ทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัย” หากท่านเชื่อในพระองค์ท่านก็ต้องเชื่อว่า จิตวิญญาณของเราไม่ได้อยู่ดีๆก็มีขึ้นเฉยๆ มันจะต้องมีที่มา และที่มาของจิตวิญญาณของเราก็คือ จิตวิญญาณดวงใหญ่ หรือจิตที่เป็นต้นกำเนิดของเราหรือ“พระเจ้า”หรือ “พระบิดา”นั่นเอง
จากที่อธิบายมาทั้งหมดนี้ท่านคงพอที่จะ“รู้” คร่าวๆแล้วใช่ไหมว่า “เรานั้นเป็นใคร” ซึ่งอาจจะรวมถึงรู้ว่า “เรามาจากไหน” ด้วย คำถามถัดมาคือ “เรามาทำอะไร” ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างยาวและละเอียด ผมได้เขียนมันไว้เป็นอรรถาธิบายเชิงเปรียบเทียบ ออกมาเป็นนวนิยายที่มีชื่อเรื่องว่า “อารียา เมตายา” ท่านสามารถเข้าไปอ่านได้ตามลงค์ที่แนบนี้ (ขออภัยที่ผมไม่สามารถอธิบายแบบสั้นๆไว้ในโพสต์นี้)
https://writer.dek-d.com/thatree/story/view.php?id=1530988
ส่วนคำถามถัดมาที่ว่าเรา “ต้องไปที่ไหน” คำถามนี้ถือว่าเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถือว่าเป็นเรื่องที่เหล่าบรมศาสดาทุกๆพระองค์ในอดีตต่างเสาะแสวงหากันแบบยอมตายถวายชีวิตกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเราศึกษาที่เนื้อแท้หรือแก่นแท้กันลึกๆแล้ว เราจะพบว่าทุกศาสนามีเป้าหมายที่คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อเช่น พรามห์ฮินดูมีเป้าหมายสูงสุดคือเข้าถึงความเป็น “อาตมัน” (อาตมัน คือสภาวะไร้ตัวตน) ศาสนาคริสต์มีเป้าหมายไปสู่สรวงสวรรค์ดินแดนที่มีชีวิตเป็นนิรันดร์(นิรันดร์คืออยู่อย่างนั้นตลอดไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง) อิสลามมีเป้าหมายการไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า(พระเจ้ามีสภาวะไร้ตัวตัวตนและเป็นนิรันดร์) ศาสนาพุทธมีเป้าหมายให้เข้าสู่สภาวะนิพพาน (นิพพานคือ ไร้ตัวตน ไม่เกิดอีกซึ่งแปลว่าเป็นนิรันดร์ด้วย)ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้นเราสามารถสรุปความรู้ตรงนี้ ได้ว่าเป้าหมายที่ “ต้องไปที่ไหน” ของทุกคนบนโลก คือการเข้าไปสู่สภาวะหนึ่งที่ “ไร้ตัวตน” ซึ่งก็หมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับอะไรสักอย่าง ที่ตอนนี้เราน่าจะพอเดาได้ว่าสิ่งนี้จะมีความบริสุทธื์สมบูรณ์แบบที่สุดถึงที่สุดนั่นเอง
....และคำถามสุดท้ายที่ว่าเราจะ “ไปที่นั่นได้อย่างไร” เรื่องนี้ผมได้เคยอธิบายไว้แล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้และในนิยายเรื่อง “อารียา เมตายา” เช่นกัน เพราะเรื่องนี้ก็ค่อนข้างยาว หากท่านสนใจสามารถตามไปอ่านได้ ส่วนในโพสต์นี้ผมขออธิบายเฉพาะเรื่องของ3สภาวะที่เป็นหัวข้อของโพสต์นี้เท่านั้น
- สภาวะที่สอง “การเป็นผู้ตื่น” หมายถึง การนำเอาความรู้เกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิตทั้งหมด(สภาวะที่หนึ่ง)มาตระหนักหรือสนับสนุนในทุกๆการดำเนินชีวิตของเรา “การเป็นผู้ตื่น”หลายท่านเข้าใจแบบง่ายๆว่ามันคือการทำสมาธิ แบบกำหนดรู้ตัวรู้ตนอะไรทำนองนั้น เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปถามครูผู้สอนหรือผู้ที่ทำกรรมวิธีแบบนี้ว่า มีความประสงค์สำหรับการทำสิ่งนี้เพื่ออะไร ถ้าทำเพื่อความสุข ความสบาย ความสงบ รวมถึงทำเพื่อให้ได้บุญได้ขึ้นสวรรค์อะไรทำนองนั้น เราจะถือว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ได้สนับสนุนให้เราเข้าใกล้เป้าหมาย เพราะว่าการกระทำเหล่านั้นไม่ได้แตกต่างอะไรกับคนทั่วไป ที่กำลังแสวงหาความสุขที่ได้จากวัตถุสิ่งของหรือสิ่งเสพติดเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่มันเป็นการเสพติดความสงบเท่านั้นเอง
แต่ถ้าการทำสมาธินี้ทำเพื่อกำหนดรู้สภาวะจิตว่า ณ ขณะนี้กำลังรู้สึกอย่างไรและจะต้องปฎิบัติต่อสถานะการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร ซึ่งที่จริงการกำหนดรู้แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเราไม่ออกไปเผชิญกับเงื่อนไขในชีวิตประจำวัน เพราะการนั่งสมาธิหลับตาอยู่เฉยๆโดยไม่มีใครมารบกวนนั้นเราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเราทำได้ดีหรือถูกต้องแค่ไหน เราสามารถทำการกำหนดรู้นี้ได้ในทุกขณะจิต และถ้าถามต่อว่าการกำหนดรู้แบบนี้ทำเพื่ออะไร คำตอบคือทำเพื่อแสดงออกต่อเงื่อนไขและบทบาทในชีวิตประจำวันให้ถูกต้องดีงามปราศจากผลกรรม ปราศจากการผูกอาฆาตพยาบาท ปราศจากอารมณ์ด้านลบใดๆ และนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่สนับสนุนต่อเป้าหมายของเรา นั้นคือการ “ไร้ตัวตน” ซึ่งการไร้ตัวตนนี้จะนำเราไปสู่การ “ไร้ความรู้สึกและอารมณ์” ซึ่งมันก็จะนำเราไปสู่การ “ไม่สร้างผลกรรม” ที่จะมาผูกติดอยู่กับดวงจิตวิญญาณของเรา เราจะบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เมื่อจิตวิญญาณบริสุทธิ์ไร้ภาระกรรมใดๆ แน่นอนเราก็มีโอกาสที่จะเข้าสู่สภาวะที่เราเรียกว่าการหลุดพ้นได้
- สภาวะที่สาม “การเป็นผู้เบิกบาน” หากคิดแบบผิวเผินเราจะคิดว่ามันหมายถึง สภาวะอารมณ์ที่สดใสร่าเริง ความไม่เครียดฯลฯ แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งมันจะหมายถึง สภาวะที่เกิดจากการสัมฤิทธ์ผลในกระบวนทั้งสองที่กล่าวมาข้างต้น ที่มันได้ปรากฏขึ้นกับเราอย่างแท้จริง มันคือการที่เราได้ “รู้”ความรู้อย่างแท้จริง มันคือการที่เราเชื่อมั่นแบบไม่ลังเลสงสัยว่าความรู้นั้นถูกต้อง เรา“รู้”แล้วว่านี่คือเป้าหมายสูงสุดของเรา และเราก็สามารถ “ทำ” หรือ “ตื่น” ได้อย่างแท้จริง เราสามารถควบคุมการกระทำของเราได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เราสามารถสอบผ่านบททดสอบต่างๆในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างสง่างาม และแน่นอนเมื่อสภาวะการ “รู้” สำเร็จ สภาวะการ “ทำ” สำเร็จ มันก็ย่อมสามารถเข้าสู่สภาวะการ “เป็น” ได้สำเร็จโดยอัตโนมัติเช่นกัน จิตของเราจะเข้าสู่สภาวะหนึ่งที่เป็นความอิ่มเอม เป็นความภาคภูมิ ซึ่งท้ายที่สุดมันก็จะกลายไปเป็นความเบิกบาน ความชื่นบาน แบบถาวร ซึ่งมันจะไม่เหมือนกับอารมณ์เบิกบานแบบชั่วคราวที่เกิดจากการได้สิ่งต่างๆ เช่นการได้มี,ได้ทำ,ได้เป็นแบบหยาบๆที่เราได้กันอยู่ในปัจจุบัน เพราะความเบิกบานชนิดนั้นมันจะไม่มั่นคง มันจะจางหายไปในเวลาไม่นานหลังจากที่เราได้มันมา
ขออวยพรให้ทุกท่านประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
ด้วยรักจากหัวใจ
อารียา เมตายา
ตัวผู้รู้คืออะไร...?
ก็คือ...จิตที่อยู่กับสติ
จิตที่มันมีสติอยู่นั่นแหละ
มันมีสติ มีสัมปชัญญะ
มันเกิดร่วมกับจิต
ทำงานร่วมกันอยู่
เป็นผู้รู้สภาวะอยู่
ยกตัวอย่างเช่นว่า
กายเคลื่อนไหวแล้ว
ก็มีผู้รู้ไปดูการเคลื่อนไหว
มีผู้รู้กำลังไปรู้ถึงเคลื่อนไหว
นี่เท่ากับว่าความไหวก็อันหนึ่ง
ผู้รู้ก็อันหนึ่ง
จะต้องระลึกรู้ทั้งสองอันนี้
คือรู้ความไหวและรู้ตัวผู้รู้ด้วย
ในขณะนั้นๆ ต้องฝึกหัดรู้
ความไหวด้วย รู้ตัวผู้รู้ด้วย
ผู้รู้นั้นกำลังรู้อะไร
กำลังรู้...ความไหว
เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง
สติที่เกิดขึ้นมาทีหลัง
มันก็เป็นผู้รู้เหมือนกัน
แต่มันไปรู้ผู้รู้
ขณะหนึ่งมันไปรู้ความไหว
ขณะหนึ่งมารู้ผู้รู้
ก็เหมือนกับมันรู้ตัวมันเอง
แต่มันคนละขณะกัน
ผู้รู้อันใหม่มารู้ ผู้รู้อันเมื่อครู่นี้หยกๆ
นี่คือตัวอย่างอันหนึ่ง
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
ฐานที่เล็กกับฐานที่ใหญ่
อันไหนมีความมั่นคงกว่ากัน ?
.
ระหว่างการฝึกเพ่งจดจ่อที่จุดใดจุดหนึ่ง กับ
การขยายการรับรู้ให้แผ่กว้างทั้งตัว
.
#สติปัฏฐาน รู้กายทั้งกาย
แม้กระทั่ง #อานาปานาสติ
จากตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น
หายใจเข้ายาว ออกยาว
หายใจเข้าสั้น ออกสั้น
รู้กองลมทั้งปวง
จากนั้นก็จะเข้าสู่ที่เรียกว่า #รู้กายทั้งกาย
จากนั้นก็จะเข้าสู่อาการรู้ปีติ คือ #รู้สึกทั้งตัว
.
ในพระสูตรเราจะพบว่า
สมาธิแบบพระพุทธเจ้า
จะต้องประกอบไปด้วย#สติ #สัมปชัญญะ
.
ถ้ากำหนดโฟกัสที่จุดใดจุดหนึ่ง
จะขาดสัมปชัญญะ จะขาด #ความรู้สึกตัว
.
และสัมปชัญญะหรือความรู้สึกตัวนี่แหละ
ที่จะทำให้ไม่หลงไปในอารมณ์ต่างๆ
จิตจะไม่เกิดการส่งออก
จิตจะเกิดความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
ไม่ต้องเป็นเพ่งที่จุดใดจุดหนึ่ง
จิตก็มีความตั้งมั่นด้วยตัวของจิตเอง
.
และเมื่อปฏิบัติได้ดี
จิตจะสลายคลายตัวลงไป
ที่เรียกว่าวิญญาณขันธ์สลายคลายตัวลงไป
นั่นคือการเข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
.
เมื่อใดที่วิญญาณขันธ์สลายตัวไป
เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละ
คือสิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า #สุญญตา
ความว่าง"จากตัวตน"... "จากความยึดมั่นถือมั่น"
อัตตาความเป็นตัวเป็นตนจะหายไป #อุปาทานจะหายไป
.
แต่เมื่อใดที่เราอยู่ในความเป็นจิต
ความเป็นตัวตนจะเกิดขึ้น
เป็นเราคิด เราพูด เราคุย เรากระทำ
ทุกอย่างเป็นตัวเราทั้งหมด
เพราะว่าตัวจิตคือตัวอุปาทาน เกิดมาจาก #อวิชชา
.
แต่เมื่อใดที่เริ่มเข้าถึงฝั่งสภาวะรู้ จะเหลือแต่เพียงกิริยา
การคิด การพูด การคุย การกระทำ
#เดินจิต โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
วางจิตไว้กับสภาวะแห่ง “ รู้ ”
จิตหลุดพ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง มีอิสระไม่หลงยึด อยู่กับธาตุรู้
สิ่งที่ตามหลัง “ รู้ ” ไม่ว่าจะ ดี-ชั่ว, เย็น-ร้อน, สุข-ทุกข์, ไม่อาจจะมีอิทธิพลเหนือจิตได้อีกต่อไป..
..................
สมาธิยิ้ม "
เวลาทําสมาธิให้ยิ้มน้อย ด้วยใจที่เบาสบาย
เป็นเพียงผู้ดู...ผู้รู้ ...
ธรรมแท้ๆเพียงแค่รู้...แค่ดู ... ให้ผู้รู้เด่นขึ้นมา
Trader Hunter พบธรรม
อะไรก็ตามที่เกิดมาจากความว่าง
เมื่อขึ้นสู่สุดยอดแล้ว จะตกกลับมายังความว่างนั้นอีก
และนี่คือความครบถ้วนสมบูรณ์
เมื่อเราเริ่มเห็นสังขารทั้งหลายมีลักษณะเกิดดับ
เกิดดับ อยู่เช่นนั้น
เราก็จะตั้งต้นก้าวไปสู่สภาพที่ปราศจากการปรุงแต่ง
คือ ความสงบแห่งจิต และความเงียบ
เราจะเริ่มสัมผัสกับ "สุญญตา "หรือความว่าง
ซึ่งมิได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย
แต่เป็นความใสสว่าง และความเงียบที่ก้องกังวาน
แทนที่จะหันไปสู่สภาพที่เกิดจากการปรุงแต่งของลมหายใจ และจิตเราจะหันไปสู่ความว่าง
เราจะมองเห็นซึ้งถึงสภาวะเหล่านั้น และจะไม่ตามืดหลงไปมีปฏิกิริยาตอบโต้กับมันอีกต่อไป
มันมีอยู่อย่างนี้ คือสภาพที่เกิดจากการปรุงแต่ง
สภาพที่ปราศจากการปรุงแต่ง และความรู้แจ้ง
ที่ว่าความรู้แจ้งนั้นคืออะไร เป็นความทรงจำใช่ไหม
เป็นความรู้สึกตัวใช่ไหม หรือว่าเป็นเรา
อาตมาหาคำตอบให้ไม่ได้ แต่อาตมารู้จักได้
ในการปฏิบัติจิตภาวนาทางพุทธศาสนานั้น
เราอยู่กับความรู้อันนี้ รู้อยู่ ตื่นอยู่ เบิกบานอยู่
เป็น "พุทธะ" อยู่ในปัจจุบันนั้น รู้ว่ามีเกิดก็มีดับ ไม่มีตัวตน
เรานำความรู้แจ้งนี้มาใช้กับทุก ๆ สิ่ง
ทั้งที่เกิดจากการปรุงแต่ง และที่ไม่มีการปรุงแต่ง
มันเป็นเรื่องนอกเหตุเหนือผล เหนือพ้นความเข้าใจ
เราตื่นอยู่ ไม่หลีกหนีไปไหน
และทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญนี่เอง
เรามีอิริยาบถสี่ คือ นั่ง ยืน เดิน นอน ไม่ต้องไปใช้ท่าเอาก้นชี้ฟ้า หรือหกคะเมนตีลังกา เราใช้อิริยาบถทั้งสี่นี้กับลมหายใจเข้าออกธรรมดานี่เอง เพราะเรากำลังเคลื่อนไปสู่สิ่งที่เป็นธรรมดาสามัญ ไม่มีการปรุงแต่ง สภาพที่เกิดจากการปรุงแต่งมันผิดธรรมดา มันพิเศษออกไป
แต่ความสงบแห่งจิตนั้นไม่มีการปรุงแต่ง
เป็นของธรรมดาๆ จนคนไม่อาจสังเกตได้ มันมีของมันอยู่แล้วตลอดเวลา
ที่เราไม่อาจสังเกตได้ ก็เพราะเราไปเกาะเกี่ยวเหนี่ยวหน่วงอยู่กับสิ่งที่ลึกลับและน่าตื่นเต้นเร้าใจ
บัดนี้ด้วยความรู้แจ้งเช่นนั้น เรากลับไปสู่จุดเดิมในจิตภาวนา คือ ความสงบระงับ
**เราเข้าใจได้ว่า โลกนี้มันก็เป็นของมันอย่างนั้น
เราจะไม่ถูกหลอกให้หลงอีกต่อไป ความประจักษ์แจ้งในสังสารวัฏ นำไปสู่ความเห็นแจ้ง ในนิพพาน**
ความรู้แจ้งของพระพุทธเจ้ามีอยู่สองอย่าง
คือ รู้แจ้งในสภาพที่เกิดจากการปรุงแต่ง
และที่ปราศจากการปรุงแต่ง
รู้ถึงความเป็นไปของสรรพสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง
ปราศจากอุปาทาน ในขณะนี้เองเรารู้สภาพของจิต
รู้สึกขณะเราได้เห็น ได้ยิน ได้รู้รส ได้กลิ่น และได้นึกคิด ตลอดจนรับรู้ความว่างแห่งจิต
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคำสอนที่ตรง
การฝึกปฏิบัติของเรามิได้มีความมุ่งหมาย
ที่จะให้สำเร็จบรรลุมรรคผลอันใด
แต่เพื่อให้รู้แจ้งในปัจจุบันขณะเท่านั้น
................................
ที่มา : ส่วนหนึ่งจาก "อานาปานสติ" พระสุเมธาจารย์ (สุเมโธภิกขุ)
< พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ โปรดโยมมารดา >
พระอาจารย์จวนโปรดโยมมารดาว่าให้ภาวนา โยมมารดาของท่าน ได้ตั้งอกตั้งใจภาวนาเป็นอย่างดี และต่อมาได้เล่าเรื่องภาวนาให้ฟังว่า
" โยมได้ภาวนา บริกรรมว่า พุทโธ – พุทโธ อยู่แต่ในใจ บางวันจิตจะรวมลงไปใสบริสุทธิ์ อยู่เฉพาะแต่จิตล้วน ๆ ไม่มีทุกขเวทนาเลย แสนที่จะสบายยิ่งนักเมื่อเป็นเช่นนี้มันเป็นอย่างไร "
โยมมารดาถามข้าพเจ้าก็ตอบว่า
" จิตมันรวม มันวางธาตุ มันอยู่เฉพาะจิต มันก็สบายน่ะซิ ให้มันรวมอยู่เสมอ แต่ให้มีสติรู้ว่าจิตของเรารวม อย่าไปรบกวนจิต อย่าไปบังคับจิตให้รวม ให้รวมเอง เมื่อจิตรวมเอง เมื่อจิตรวมก็ให้มีสติ เมื่อจิตถอนก็ให้มีสติมาพิจารณากายของตนและอย่าบังคับจิตให้ถอน จะถอนให้ถอนเอง "
ได้แนะนำโยมมารดาแต่เพียงแค่นี้ ตามแนวอุบายคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่นที่เคยให้แก่ข้าพเจ้านั่นเอง และโยมมารดาก็ไปภาวนาปฏิบัติตามแนวนี้
วันต่อมาโยมก็มาเล่าให้ฟังว่า
"จิตมันรวมบ่อยสามชั่วโมงก็มี ตั้งแต่ย่ำค่ำจนถึงย่ำรุ่งก็มี"
และโยมมารดาพูดว่า
" ไม่มีใครตาย มีแต่ผู้รู้.... รู้อยู่ ไม่มีผู้ตาย ที่ว่าตาย ตายนั้น เพราะคนไม่รู้สมมติ เพราะร่างกายธาตุขันธ์อันนี้เป็นแต่สมมติ....มันไม่ตาย มันตายไม่เป็น ธาตุทั้งหลาย ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นของมีอยู่นั้นเป็นธรรมดา เป็นประจำอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรตายเลย ส่วนผู้รู้ก็ไม่ตาย"
โยมเล่า ความรู้เห็นตามภาวนาให้ฟังและกลับสงสัยว่า
"จะให้เอาอะไร จะให้เอาผู้รู้นี่หรือ"
เมื่อโยมมารดาถามเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็เลยตอบว่า
"พระพุทธเจ้าท่านสอน เบื้องต้นให้กำหนดให้รู้ตามเป็นจริง เมื่อรู้แล้วละวาง ปล่อยสละ สลัดตัดขาด
ถ้าเรารู้ ไปเอาความรู้ ก็ชื่อว่า เราละไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านว่า เมื่อเป็นผู้กำหนดรู้เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาแล้ว ยาวะ เทวะ ญาณมัตตายะ ญาณคือความรู้ ก็สักแต่ว่ารู้
ปติสสติ มัตตายะ สติ ความอาศัยระลึกรู้ ก็สักแต่ว่าอาศัยระลึกรู้ เมื่อเธอเป็นผู้กำหนดรู้เห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริงแล้ว
อนิสสิโต จะ วิหระติ เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย
นะจะ กิญจิ โลเก อุปาทิยติ ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ แม้แต่นิดหนึ่ง น้อยหนึ่งมิได้มีอยู่ในโลก
ดังนี้ คือ โอวาทคำสั่งสอนตักเตือนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำว่า "ไม่ติดอยู่ด้วย " คือ ความรู้ก็ไม่ติด
คำว่า " ไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลก “ คือ ความรู้ตามเป็นจริง – รู้โลกนั่นเอง คือ โลกวิทู....รู้แจ้งโลก เมื่อรู้แจ้งโลกแล้วก็ละวาง สละ สลัด ตัดขาดกันเท่านั้น "
เป็นการเตือนให้โยมมารดาไปพิจารณาเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้
เมื่อโยมมารดาได้รับการตักเตือนอย่างนี้ ก็ไปภาวนาต่อไป ภายหลังจึงมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
"บัดนี้ โยมรู้แล้ว คุณลูกจะไปที่ไหนก็ไปเถอะ อย่าเป็นห่วงโยมเลย"
เมื่อโยมมารดาบวชเป็นชีอายุได้ 75 - 76 ปีแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นท่านคงจะพิจารณารู้การณ์ข้างหน้า ท่านจึงแต่งให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษากับมารดาท่านว่า
" ท่านจวนเอามารดามาบวชแล้ว......ไม่ได้ ต้องไปอบรมสั่งสอนผู้เฒ่านะ"
แล้วท่านก็แนะนำวิธีให้ว่า
"อบรมผู้เฒ่านั้น อย่าไปอบรมมาก ๆ ลึกซึ่งอะไร ผู้เฒ่าจำไม่ได้หรอก เอาแต่สั้น ๆ พอให้ทำได้แล้ว จึงค่อยแนะขั้นต่อไปเป็นลำดับ"
ท่านบอกอุบายให้แล้วก็เตือนข้าพเจ้า ออกพรรษาแล้ว ให้รีบไปหาท่าน เพราะประเดี๋ยวจะไม่ทันท่าน..ดังที่ข้าพเจ้าเคยเล่าไว้แล้ว เมื่อมาจำพรรษากับโยมมารดา
ข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติแนะนำท่านตามที่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านแนะวิธีมา โดยเริ่มสอนให้ท่องเพียง " พุทโธ " ให้มีสติกำกับใจอยู่กับพุทโธ อยู่กับอารมณ์พุทโธ ให้พุทโธอยู่กับใจ อย่าพลั้งเผลอ อย่าขาดจากกัน บอกเพียงแค่นั้น โยมก็ไปปฏิบัติและมาบอกผลของการภาวนาเป็นลำดับ ๆ และข้าพเจ้าก็แนะนำต่อไปเป็นลำดับ ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องการพิจารณากาย
กระทั่งวันหนึ่งโยมมารดาก็เล่าว่าท่านพิจารณากาย จนเห็นชัดและมันเปื่อย ผุพังลงไป
"แม่นแล้วมันไม่ใช่ของเราจริง ๆ เห็นหมดเลยทุกส่วน ยังเหลือแต่ลำไส้อยู่ส่วนเดียวในกาย ยังมืดตื้ออยู่ เห็นไม่ชัด ละลายยังไม่ได้
" ข้าพเจ้าก็ว่า ให้ละลายมันให้ได้ ทำให้ได้ ภาวนาให้มันได้ซีโยม"
โยมมารดาก็ภาวนาต่อไป สุดท้ายพอจะออกพรรษาท่านก็ออกอุทานว่า
" โอย คุณลูกโยมรู้แล้ว รู้จักทางแล้ว คุณลูกจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่าเป็นห่วงโยมเลย มันบ่มีผู้ตายหรอก จิตมันก็ตายไม่เป็นหรอก มันละ ใสบริสุทธิ์มีแต่ผู้รู้ ไม่มีผู้ตาย ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรานะ เป็น ดินน้ำ ลมไฟ นะคุณลูก"
เมื่อข้าพเจ้ากลับมาพยาบาลท่าน ตอนโยมมารดาเจ็บหนักนี้ ท่านก็บอกว่า ท่านจะอยู่ไม่ได้นาน อีกสามวันก็จะไปละ เพราะมารดาเกิดวันพฤหัสบดี จะตายวันนั้น โยมมารดาบอกวันตายด้วย แล้วก็บอกเวลาอีก ว่าเวลาตีหนึ่ง จะลาละ อย่ารีบไปไหน
พอถึงวันพฤหัสบดี ลูกหลานทุกคนก็มาเฝ้ากันหมดพร้อมหน้า ข้าพเจ้าก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ คอยเฝ้าผู้เฒ่าอยู่ถามโยมมารดาว่า
"มีห่วง มีอะไรสงสัยไหม"
ท่านก็ว่า มีอยู่อย่างหนึ่ง ท่านสงสัยเรื่องกรรมคือท่านเอาหมากถั่ว ( ถั่วฝักยาว ) ที่ไร่ของหลาน ไร่นั้นเขาทิ้งร้างแล้ว โยมเก็บมาประกอบเป็นอาหารถวายพระ กลัวว่าการกระทำนี้จะเป็นบาปเป็นกรรมเพราะไม่ได้บอกหลานเขา ข้าพเจ้าก็เลยบอกโยมมารดาว่าไม่เป็นไรหรอก เป็นไร่ของหลานเราเอง และไร่นั้นเขาก็ทิ้งร้างแล้ว
ท่านบอกว่า ท่านมีสงสัยเพียงแค่นั้น พอถึงเวลาตีหนึ่ง ท่านก็ดับไปจริง ๆ โดยหลับตา สิ้นลมไปอย่างสบาย สงบที่สุด...
เมื่อมีโอกาสที่จำพรรษากับหลวงปู่ขาว อนาลโยในภายหลัง ข้าพเจ้าได้กราบเรียนเล่าเรื่องการภาวนาของโยมมารดาถวายให้หลวงปู่ขาวฟังท่านพิจารณาอยู่ 3 วัน แล้วก็เล่าให้ข้าพจ้าฟัง
" โอ....โยมมารดาของท่านไปสูงเลย ไปถึงสุทธาวาส พรหมโลก ได้สำเร็จอนาคามีทีเดียว "
หลวงปู่ขาวว่าอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็สาธุ อนุโมทนาด้วยโยม ส่วนเรื่องผู้รู้ – ตายไม่ตายนั้น ฟังแล้ว โปรดพิจารณากันเอาเอง
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
มองเผินๆ
ประตูทั้ง 6
อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น (สัมผัสทาง)กาย ใจ
เสมือนจะเป็นช่องทางเข้าของ "กิเลส" เท่านั้น
ทว่า...เมื่อพิจารณาละเอียดลงไป
ตา หู จมูก ลิ้น (สัมผัสทาง)กาย ใจ
ก็เป็นช่องทางเข้าของ"ธรรม" ได้เช่นกัน
ขึ้นกับว่า...จะให้ผ่านไปเฉยๆ อย่างที่คุ้นชินมานานแสนนาน หรือ ขณะผ่านมีการสังเกตเพิ่มขึ้นมา
"ผู้สังเกต" ที่เพิ่มขึ้นมานี่หล่ะ...สำคัญนัก
"ผู้สังเกต" มีอยู่ในทุกคน แต่มักจะหลับไหลอยู่
ทว่า...สามารถถูกสะกิดให้ตื่นขึ้นมาได้ โดยการฝึกเจริญสติสัมปชัญญะ
"สัมปชัญญะ"...เป็นต้นทางของการพัฒนาสภาวะ "เห็น"
และ...เป็นต้นทางของการสะกิด "ผู้ดู" หรือ"ผู้สังเกต" อันมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ให้ฟื้นขึ้นมา หลังจากหลับไหลมานาน
"สัมปชัญญะ" สามารถฝึกควบคู่ไปกับการฝึกเจริญสติ จึงเรียกรวมๆกันว่า "การเจริญสติสัมปชัญญะ" เช่น...
ฝึกเจริญสติสัมปชัญญะในรูปแบบ ของการเดิน โดยเดินสบายๆนี่หล่ะ แต่มีสติสัมปชัญญะรู้การกระทบของฝ่าเท้าในขณะเดิน
ฝ่าเท้าซ้ายกระทบพื้น.....รู้สึก...
(ไม่มีความคิดอะไรต่อจากนั้น...มีเพียงรู้สึกถึงการกระทบนั้น ในปัจจุบันขณะ)
ฝ่าเท้าขวากระทบพื้น.....รู้สึก...
ฝ่าเท้าซ้ายกระทบพื้น.....รู้สึก...
ฝ่าเท้าขวากระทบพื้น.....รู้สึก...
ฝ่าเท้าซ้ายกระทบพื้น.....รู้สึก...
ฝ่าเท้าขวากระทบพื้น.....รู้สึก...
ทำไปให้ต่อเนื่อง....
ทำชำนาญๆอาจจะรู้ถึงการกระทบได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น
ฝึก...ดูแบบแยกๆไว้ คือ มี "ผู้ดู" ดูการกระทบลงไปที่ฐานกาย(ในที่นี้คือฝ่าเท้าซ้ายและฝ่าเท้าขวา เป็น "สิ่งถูกดู" เป็นต้น)
ถือเป็น "กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน" ชนิดหนึ่ง
หากไม่ลด ละ เลิก ความเพียรไปเสียก่อน เมื่อสะสม"เหตุ"
มากพอ นานพอ ต่อเนื่องพอ และต่อเนื่องนานพอ
จะเกิด"ผล" คือ "สัมมาสมาธิ" หรือ "สมาธิแบบจิตตั้งมั่น"
อันเป็นฐานกำลังที่สำคัญในการพิจารณาหลักความจริงในธรรมชาติ สืบไป
ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา
และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ
นฤมล สุมะโน 🙏🏻ค่ะ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
.
ถาม: การแยกจิตผู้คิด กับจิตผู้รู้ออกจากกันทำยังไงคะ เวลานั้นยังคงเป็นจิตดวงเดียวกันหรือเปล่าคะ
.
ตอบ: เรื่อง "จิตคิด" กับ "จิตรู้"ที่จริงถ้าเราแยกนามธรรมได้ชำนาญ เราจะไม่กล่าวถึง "จิตคิด" กับ "จิตรู้"เพราะจิตนั้น มันมีคุณสมบัติหลายอย่าง ตั้งแต่ รู้สึก จำ คิด รับรู้ และเสพอารมณ์หากเราแยกนามได้ชำนาญ
เราจะพบว่า คุณสมบัติแต่ละอย่างของจิต นั้นก็คือนามขันธ์ แต่ละตัวนั่นเองคือ
ความรู้สึกสุข ทุกข์ ก็คือเวทนา ไม่ใช่จิต
ความจำก็คือสัญญา ไม่ใช่จิต
ความคิดนึกปรุงแต่งก็คือสังขาร ไม่ใช่จิต
ความรับรู้ก็คือวิญญาณ ไม่ใช่จิต
เอาเข้าจริง สิ่งที่เราเรียกว่าจิต ก็ไม่ใช่จิต แต่เพราะเราไม่รู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้ขันธ์แต่ละขันธ์เขาทำหน้าที่ของเขา จึงไปยึดเอานามธรรมว่าเป็นจิตเรา แล้วให้มันร่วมมือกันทำงานจนหลอกเราได้ เช่น
.
-พอรู้ว่ามีความสุข ก็ยึดเอาว่า จิตสุข หรือเราสุข ไม่ได้เห็นว่าความสุข ก็เป็นสิ่งภายนอก เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา
-พอมีความจำได้หมายรู้ ก็ยึดว่าเราจำได้หมายรู้ ไม่เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา
-พอมีความคิดนึกปรุงแต่ง ทั้งที่เป็นอกุศล กุศล และเป็นกลางก็ว่าจิตเราดี จิตเราชั่ว จิตเราเป็นกลาง ไม่เห็นว่าความคิดนึกปรุงแต่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา
-พอมีความรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ว่าจิตเรารับรู้ ไม่เห็นว่าความรับรู้เป็นสภาพธรรมที่เป็นอิสระ อยู่นอกเหนือการบังคับบัญชาของเรา
.
จิตนั้นอาศัย "จิตตสังขาร" คือเวทนา สัญญา และสังขาร จึงรู้สึกว่าเป็นจิต ขอเพียงปล่อยวางนามขันธ์เสียให้หมด ไม่เห็นว่าเป็นเรา ธรรมชาติรับรู้ล้วนๆ ก็จะปรากฏขึ้น
และธรรมชาติอันนั้น จะไม่มีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่า เป็นตัวเรา หรือจิตเราอย่าไปสำคัญว่า นี่คือจิตรู้ จิตคิด จิตจำ จิตเห็น สิ่งเหล่านั้น เป็นการประกอบกันขึ้นของนามขันธ์เท่านั้นเองครับ
รักษาสติ สัมปชัญญะไว้ให้แจ่มใสต่อเนื่อง รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง รูป และนาม เขาจะทำหน้าที่ของเขาไปตามเหตุปัจจัย ให้ดูต่อหน้าต่อตาทีเดียว
.
ถาม: ธรรมชาติรับรู้คืออะไรคะ ไม่ใช่จิตแล้วเป็นอะไร
.
ตอบ: ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ก็คือจิตนั่นแหละครับ เพียงแต่ เมื่อจิตไม่ถูกปรุงแต่งด้วยความคิดนึกปรุงแต่ง (สังขารขันธ์)จิตจะไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่า มันคือจิต ที่มันคิดว่า อันนี้คือจิต และเป็นเรา ก็เพราะสังขารหรือความคิดนึกปรุงแต่งนั่นเองท่านจึงสอนว่า "สังขารทั้งหลาย สงบเสียได้ เป็นสุข"คือจิตที่พ้นจากความปรุงแต่งนั้น มันเป็นสุข เป็นอิสระโดยไม่ต้องอิงอาศัยอารมณ์ภายนอกเลย
.
ถาม: การรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง หมายถึง เรารู้สิ่งที่กำลังเกิดตอนนั้นว่า เกิดจากเหตุปัจจัยอะไร แล้วไม่เข้าไปยึดมั่นหมายมั่น ใช่รึเปล่า
.
ตอบ: เราเพียงรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจรู้อย่างเดียวก็พอครับ ไม่จำเป็นต้องไปใช้ความคิดว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนี้เกิดจากอะไรเพราะขณะที่หลงคิดนั้น เราไม่ได้รับรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้นแล้ว แต่หลงไปในโลกของความคิดเสียแล้ว
ก่อนที่เราจะรู้สภาพธรรม หรืออารมณ์ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้นั้น จิตจะต้องมีสัมมาสมาธิเสียก่อนคือ จิตจะต้องตั้งมั่นไม่วอกแวก รู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏด้วยความเป็นกลาง และไม่มีความยินดียินร้ายต่ออารมณ์นั้น จิตจึงจะเห็นสภาพที่แท้จริงของอารมณ์หรือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริงได้
แต่ ถ้าระหว่างที่รู้อารมณ์อยู่นั้น จิตเกิดความยินดียินร้ายขึ้นแล้วเกิดแรงผลักดันให้เข้าไปยึดถือ หรือให้มีพฤติกรรมต่างๆ ก็ให้รู้ทันจิตใจตนเองที่กำลังถูกผลักดันด้วยกระแสตัณหา ไม่ใช่ไปกดข่มไม่ให้จิตยินดียินร้ายนะครับ
.
ถาม: เคยฝึกให้สมองตัวเองว่างโดยการคิดว่า ตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ฉะนั้น พอลองมองดูจิต ผมก็เลยไปมองดูว่า ตอนนี้คิดอะไรอยู่ ไม่ทราบถูกหรือเปล่าแล้วก็กลายเป็นว่า หาอะไรไม่เจอครับ ทั้งความคิด ทั้งอารมณ์ ขณะนั้นไม่ทราบว่า ต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไรครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งผมจะรู้ได้ยังไงว่า ตัวรู้ผมอยู่ตรงไหนครับแล้วตัวรู้มันออกอาการยังไงบ้างครับ ผมแยกไม่ออกครับ ระหว่างความคิด กับตัวรู้ครับ
.
ถาม: เรื่องตัวรู้นั้น มันไม่มีตัว มีตน หรือมีจุด มีดวง อะไรหรอกครับเอาเข้าจริงในการปฏิบัตินั้น ก็มีแต่เรื่อง จิต กับ อารมณ์
"จิต" เป็นผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึก ส่วน "อารมณ์" เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ (สิ่งที่รู้ได้ทางใจ)
เวลาที่คุณเกิด "ความสงสัย"ถ้ามีสติระลึกรู้เข้าไปที่ความรู้สึกสงสัยนั้น (ไม่ใช่รู้ "เรื่อง" ที่สงสัย นะครับ แต่รู้ที่ "ความรู้สึก" สงสัย) จะเห็นชัดว่า ความสงสัยเป็นสิ่งที่ถูกรู้ในร่างกายและจิตใจเรานั้น มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่เป็นผู้ไปรู้ความสงสัยนั้นเข้า อันนี้แหละครับที่สมมุติเรียกไปก่อนว่าผู้รู้
เอาเข้าจริง ผู้รู้ ก็คือจิตที่ประกอบด้วยสติ สัมปชัญญะ อุเบกขา เอกัคตาหรือจิตที่ประกอบด้วยสัมมาสมาธินั่นเอง คือเป็นจิตที่เป็นผู้รู้ ที่มีความเป็นกลางและตั้งมั่น ไม่หลง"ไหล" ไปตามอารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า (ผมจงใจใช้คำว่า หลง"ไหล" ไม่ได้ใช้คำว่า หลงใหล)
ในขั้นแรก อย่าพยายามไปค้นหาจิตผู้รู้ เพราะหาอย่างไรก็หาไม่พบ เนื่องจากจิตกำลังหลงอยู่กับอาการเที่ยวค้นหาผู้รู้ แต่ให้พยายามรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏไปก่อนเช่น สงสัย ก็รู้ว่าสงสัย เห็นชัดว่าความสงสัยไม่เที่ยง คือมีระดับความรุนแรงของความสงสัย ที่ไม่คงที่เดี๋ยวก็สงสัยมาก เดี๋ยวก็สงสัยน้อย เดี๋ยวก็ดับหายไปจิตก็จะว่างๆ อยู่ ต่อมาความคิดเกิดขึ้นอันนี้อย่าไปเพ่งใส่ความคิดนะครับ มันจะดับไปเฉยๆ ควรปล่อยให้จิตมันคิดของมันไป
เมื่อจิตทำงานอยู่อย่างนั้น ไม่นานก็จะเห็นกิเลสตัณหาต่างๆ เกิดขึ้นอีกหรืออาจเกิดเวทนา เช่น รู้สึกเป็นสุขสบาย หรืออึดอัดขัดข้องใจ ก็ให้รู้สภาวธรรมทั้งปวงที่ปรากฏขึ้นนั้น ในลักษณะเดียวกับที่รู้ความสงสัยนั่นเอง คือให้รู้มัน ในฐานะที่มันถูกรู้ แล้วมีผู้รู้เป็นคนดูอยู่ต่างหาก
หัดทำอย่างนี้ไม่นาน ก็จะเข้าใจได้ว่า อะไรคือจิต (ผู้รู้) อะไรคืออารมณ์ (ที่ถูกรู้) และเห็นสิ่งที่ถูกรู้ แสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเห็นด้วยว่า เมื่อใดจิตเกิดความยินดียินร้ายต่ออารมณ์ จิตเข้าไปยึดอารมณ์ จิตจะเกิดทุกข์ พอรู้ทันอย่างนั้น จิตจะกลับมาตั้งมั่น เป็นกลาง และรู้อารมณ์ต่อไปอีกจิตเพียง "รู้สักว่ารู้" จะเห็นอารมณ์เกิดดับไปเรื่อยๆ โดยจิตเป็นกลาง ไม่เข้าไปแทรกแซงอารมณ์ก็ให้เพียรปฏิบัติไปมากๆ ครับ
.
ถาม: ในพาหิยสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่ได้กล่าวถึง การบรรลุอรหัตตผลของท่านพาหิยะ เมื่อได้อ่านครั้งแรกผมก็มีความรู้สึกว่า "เป็นไปได้" แต่ผมไม่รู้ว่า "เป็นไปได้อย่างไร"เพียงคำว่า "สักแต่ว่าๆ " ไม่น่าจะทำให้คนๆ หนึ่ง สามารถบรรลุอรหัตตผลได้เลย ไม่มีเหตุผลกลใดเลย ที่จะทำให้เราคิดออกว่า จะเป็นไปได้ด้วยเหตุผลกลใดผมไม่สงสัยในความเป็นไปได้ แต่ผมสงสัยว่า "เป็นไปได้อย่างไร"
.
ตอบ: ถ้าสติปัญญาทำงานทันผัสสะจริงๆจึงจะ "สักแต่ว่า" ได้ครับคือ จิตไม่ปรุงแต่งต่อไป รู้แล้ววางอยู่แค่นั้นเลย หรือแม้ว่า จิตจะปรุงแต่งต่อไปอีกถ้าจิตไม่หลงยึดถือไปตามความปรุงแต่งนั้น อันนี้ก็ยังถือว่า "สักแต่ว่า" ได้เหมือนกัน
เมื่อวานซืน ยืมลูกคุณหมอท่านหนึ่งมาเป็นอุปกรณ์ทางการศึกษาคือชี้ให้ดูว่า สิ่งที่เห็นเป็นเด็กนั้น ที่จริงคือสีที่ตัดกันเท่านั้น แล้วตาก็ไม่รู้หรอกว่า นี่สีอะไร รวมกันแล้วเป็นรูปอะไร อาศัยสัญญา จึงรู้ว่า นี้เป็นรูปที่บัญญัติเรียกว่าอะไรเมื่อจิตรู้ว่า นี้คือลูกแล้ว สังขารคือความคิดนึกปรุงแต่งก็ทำงานต่อ มีความรักเกิดขึ้นปกติจิตของเราทำงานเร็วมากในทางทฤษฎี ถ้าตาเห็นสีแล้วหยุดอยู่เพียงนั้น ก็เรียกว่า สักแต่ว่าเห็นแต่ในความเป็นจริง ช่วงต่อระหว่างที่ตาเห็นสี กับสัญญาแปลความหมายนั้นสั้นมาก พอเห็นปุ๊บ ก็สรุปว่านี้คือ ลูกเรา เสียแล้วแล้วสังขารก็ทำงานต่ออย่างรวดเร็วปรุงเป็นความรักใคร่หวงแหนห่วงใยขึ้นมาแล้ว
นักปฏิบัติที่ยึดตำรามากเกินไป ที่บอกว่าทำสติรู้ สี อย่างเดียวนั้น เอาเข้าจริงจึงเป็นการหลอกตัวเอง เพราะพอเกิดผัสสะทางตาแล้ว วับเดียวก็เกิดผัสสะทางใจตามมาแล้ว ถ้าเมื่ออารมณ์ทางใจเกิดขึ้น แล้วทำเป็นไม่รับรู้เพราะ "อยาก" รู้สีกอย่างเดียว เพื่อให้เป็นปัจจุบันและต่อเนื่อง มันจึงไม่ใช่ปัจจุบัน เพราะ ปัจจุบันมันย้ายไปเป็นอารมณ์ทางใจเสียแล้ว
เมื่ออารมณ์ทางใจปรากฏเด่นชัด ก็ควรรู้มัน ไม่ใช่ปฏิเสธมัน เพราะจะเอาแต่รู้อารมณ์ทางตาอย่างเดียว แต่การรู้อารมณ์ทางใจนั้น ก็ให้ "สักแต่ว่ารู้"คือรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่หลงปล่อยให้เกิดตัณหาผลักดันจิต ให้ทะยานเข้าไปยึดอารมณ์แบบไม่รู้ทัน รวมความแล้ว สักแต่ว่า ก็ต้องอาศัย สติ รู้อารมณ์ตามที่มันเป็นตามที่คุณถามไว้นั่นเอง
แม้ตอนแรกจะรู้อารมณ์ทางตา ขณะต่อมารู้อารมณ์ทางใจก็สามารถ สักแต่ว่ารู้ ได้ทั้งนั้น ทั้งที่ตาและที่ใจหากไม่สักแต่ว่ารู้ อะไรจะเกิดขึ้น?สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือปฏิจจสมุปบาทจาก ผัสสะ เวทนาตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ จนถึงทุกข์ นั่นเองหากสักแต่ว่ารู้ แม้มันจะก้าวกระโดดจากการรู้สีด้วยตา ไปรู้ธรรมารมณ์ทางใจก็ตาม จิตที่ไม่หลงยินดีไปกับธรรมารมณ์ ก็จะไม่ปรุงแต่งจนเกิดความทุกข์ขึ้นมา
คำว่า "สักแต่ว่า" จึงเป็นสิ่งที่จะตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาทให้ขาดตอนลงไม่เกิดตัณหา อุปาทาน ขึ้นหรือแม้เกิดตัณหา ก็ไม่ หลง "ไหล" ตามตัณหาไปจนเป็นอุปาทาน
ท่านพระพาหิยะ ฟังธรรมแค่ สักแต่ว่า สักแต่ว่า เพียง ๑-๒ คำท่านเข้าใจ และตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทขาด และท่านก็เข้าใจปฏิจจสมุปบาท หรืออริยสัจจ์ตลอดสายคือ "รู้" ว่าทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่เกิดขึ้นได้อย่างไรอวิชชา ความ "ไม่รู้" ก็ขาดออกจากจิตของท่านในขณะนั้น
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ผู้รู้ คือ รู้ถึงเหตุแห่งทุกข์ที่มีในใจตนเอง
ผู้ตื่น คือ ความตื่นรู้ในเหตุแห่งการหลงยึดมั่นว่าเป็นตัว เป็นตน เป็นของของตน และไม่สร้างเหตุแห่งทุกข์นั้นขึ้นอีก
ผู้เบิกบาน คือ ความเป็นอิสระของจิตจากการยึดมั่นในสุขทุกข์ ในบุญบาป ในดีชั่ว ในธรรมคู่ที่เป็นสมมติต่างๆ ของโลก
ความเป็นสุขทุกข์ ผ่านรับรู้สัมผัสได้ที่จิต
การพ้นทุกข์ คือ การที่จิตสามารถหลุดพ้นโดยคลายออกจากความหลงยึดมั่นถือมั่น และสละคืนความมีกลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้
วิมุตติธรรม