"ผลกำไรของชีวิตที่เกิดมานี้ อยู่ที่ได้ศึกษา-ค้นคว้า และปฏิบัติธรรม ตาม
คำสอนของพระพุทธองค์ การให้ทาน
รักษาศีล ร้อยครั้ง พันครั้ง ไม่เท่ากับ
การนั่งภาวนาหนเดียว.."
"นั่งภาวนาร้อยครั้ง พันครั้ง กุศล
ที่ได้ไม่เท่ากุศลจิตที่สงบ เป็นสมาธิ
เกิดปัญญา เพียงครั้งเดียว.. "
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ปัญจมาเร ชิโน นาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ ธัมมะจักกัง ปะวัตตะยิ เอเตนะ สัจจะวัตเชนะ โหตุเม ชะยะมังคะลัง นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา ภูริทัตโต มะหาเถโร อะหังวันทามิ สัพพะทา
คำแปล
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชนะมารทั้งห้า ทรงตรัสรู้พระอริยะสัจสี่อันประเสริฐ ได้ด้วยพระองค์เอง ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ เพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ ด้วยอำนาจสัจจะวาจาอันประเสริฐนี้ ขอชัยมงคลคือความชนะต่อสิ่งไม่ดีทั้งปวงและความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระธรรม อันเป็นเครื่องให้ตรัสรู้ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตมหาเถระด้วยความเคารพ
👏👏👏ขอนอบน้อมกราบบูชาคุณ บูชาธรรม
พระอาจารย์ใหญ่พระกรรมฐาน
ในวันครบรอบ ๑๕๐ ปี ชาตกาล
องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ด้วยเศียรเกล้า...เจ้าค่ะ
ขอเทิดทูนองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม..เจ้าค่ะ
#fbพุทธสาวิกา หัวใจใฝ่ธรรม
#fbปูชิตา เมตาตา
วันนี้(20ม.ค.63) รวมคนทั่วโลกนั่งสมาธิพร้อมกันช่วงเวลา18.15-18.30 น ช่องทบ.5 ถ่ายทอดสด
๕ เหตุผล ยูเนสโก ยกย่องหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สาขาสันติภาพ
๑. "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" เป็นพระอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน และเป็นพระมหาเถระที่คนไทยทั้งประเทศเคารพนับถือมากที่สุด
๒. เพราะ ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และ ละสังขารขันธ์ไปแล้ว คุณความดีที่ท่านได้มีคุณูปการต่อทั้งสถาบันศาสนา ชาติ และพระมหากษัตริย์
๓. "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ได้ปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนพระศาสดาอย่างเคร่งครัด และยึดถือธุดงควัตรด้วยจริยวัตรปฏิปทางดงาม จนได้รับการยกย่องจากผู้ศรัทธาทั้งหลายว่าเป็นพระผู้เลิศทางธุดงควัตร
๔. "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" วางแนวทางในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าให้แก่สมณะประชาชนอย่างกว้างขวาง จนมีพระสงฆ์และฆราวาสเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก แนวคำสอนของท่านเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า “คำสอนพระป่า”
๕. หลังจากท่านมรณภาพลง ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ยังคงมีพระสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านสืบต่อแนวปฏิปทาธรรมปฏิบัติของท่านสืบมา โดยลูกศิษย์เรียกว่า พระกรรมฐานสายวัดป่า หรือพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น
การประชุมสมัยสามัญของยูเนสโกครั้งที่ ๔๐ ได้ประกาศยกย่องให้หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นบุคคลสำคัญของโลกประจำวาระปี ๒๕๖๓ - ๒๕๖๔ ถือเป็นพระสงฆ์รูปที่ ๓ ของประเทศ
โวหารของท่านอาจารยมั่น
พ.ศ. ๘๓ หลุย โนนนิเวศน์
๒๘-๗-๘๓ (ตรงกับวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ - ผู้เขียน)
- ปัญญากับสติให้รู้เท่าทันกัน
- พิจารณากายจิต ความไม่เที่ยงของสังขารเป็นธรรมะส่อให้เห็นเรื่อยๆ ทำความรู้ในนั้น เห็นในนั้น
- ในโลกนี้เป็นธาตุทั้งนั้นให้รู้เท่าทันกับธาตุ อย่าหลงตามธาตุ
- มหาสติเรียนกายจิตให้มากๆ
- ให้เห็นจริง ธรรมะจริง สมมติ อย่าหลงรูป เสียง กลิ่น รส ของอันนี้เต็มโลกอยู่เช่นนั้น
- ให้เห็นปัจจุบันธรรม อย่าส่งจิตอนาคตและอดีต
- ธาตุ ๘๔,๐๐๐ ธาตุออกมาจากจิตหมด
- นิโรธเป็นของดับเพราะรู้เท่าแล้ว จิตไม่เกิดยินดียินร้าย ดับไปเช่นนี้ ชื่อว่านิโรธ
- แสดงฌานเป็นที่พักชั่วคราวแล้วเจริญจิตต่อๆ ไป
- ให้เอากายวาจาใจนี้ยกขึ้นพิจารณา อย่าเพิ่ม อย่าเอาออก ให้เห็นเป็นปรกติ
- มรรค ๘ นั้น สมาธิมรรคเป็นองค์ ๑ นอกนั้นเป็นปริยาย
- ให้รู้ธรรมะและอาการของธรรมถึงชั้นละเอียดแล้วก็จะรู้เองเห็นเอง
- แสดงตนดูถูกท่านว่าท่านเป็นคนโกรธ เพราะผู้ฟังไม่เห็นตามความเป็นจริง เพราะยุ่งแต่จิตของตัวเท่านั้น
- เกิดตายเกิดแล้วตาย ชมแต่หนังของเก่า ไม่หันไปหาที่จะพ้นทุกข์
- ทำจิตให้เสมอ อย่าขึ้นอย่าลง อย่าไปอย่ามา ให้รู้เฉพาะปรกติของจิต
- แสดงฐานของธรรมะเป็นบ่อเกิดอริยสัจของจริง
- เกิดความรู้อย่างวิเศษแล้วย่อมหาอานิสงส์ประมาณไม่ได้
- อัตตาหิ ฯลฯ เป็นของลึกลับเหลือที่สุด
- ถ้าส่งจิตรู้เห็นนอกกายเป็นมิจฉาทิฐิ ให้รู้เห็นอยู่ในกายกับจิตนั้นเป็นสัมมาทิฐิ
- นักปฏิบัติใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่สุดจึงจะรู้ธรรมเห็นธรรม
- ให้รู้ธาตุเห็นธาตุ จิตจึงไม่ติดทางราคะ
- คนเราจะดีจะชั่วต้องเกิดวิบิตเสียก่อน
- ท่านบอกว่าท่านเป็นคนราคะโทสะจริต แรงทางราคะ ทางโทสะ กัดติดดังควาย นิสัยใจคอเด็ดเดี่ยวมาก
- แสดงแก้ตำราพราหมณ์ดีนัก หนังสือล้วนๆ ไม่มีบาลีอ้าง
- นิสัยของท่านอาจารย์มั่นเป็นคนใจคอเด็ดเดี่ยวดี มุ่งต่อมรรคผลจริง โวหารโปราณ ข้อวัตรหมดจดดี เป็นคนไม่มีอคติ พูดธรรมะถึงอริยสัจถึงพริกถึงขิงดี ไม่อนุโลมตามบุคคล เป็นคนที่ใคร่ต่อความสันโดษดี ข้อวัตรเรียบร้อยหมดจดดี เป็นอาชาไนยดี รู้จริตของคนอื่นดี ท่านไม่พูดไปแล้ว ท่านไม่ถือ ธรรมของท่าน ท่านสงเคราะห์เข้าปัจจุบันดี เป็นคนไม่เห็นแก่หน้าบุคคล โลกไม่เอียงไปทางกาม และทางโทสะ โมหะ ไปตามความรู้ความเห็นที่เกิดจากปฏิปทาของท่าน อ้างอิงของจริงเสมอ เป็นคนที่วางเฉยได้ ไม่ส่งจิตออกนอกกาย ท่านบริบูรณ์ทั้งมหาสติ มหาปัญญา ไม่เพ่งลาภยศ สรรเสริญ อาชีพ บริสุทธิ์ด้วยสมาธิ ปัญญา ข้ามศีลไปเสียแล้ว จิตของท่านปรกติดี ไม่ลำเอียงไปด้วยคติ กาย วาจา ใจ เป็นอาชาไนย พระอริยเจ้าเป็นผู้เลิศเป็นผู้วิเศษหาประมาณมิได้ ท่านอาจารย์มั่นเป็นผู้ขวนขวายน้อย เป็นผู้ที่เลี้ยงง่าย สันโดษ ชอบสงัด เป็นผู้ทรมานตนเสมอ เป็นผู้ที่ไม่ละกาล จิตของท่านใหม่อยู่ในธรรมเสมอไม่เบื่อ ไม่ติดตระกูล ไม่ติดที่อยู่ ไม่ติดลาภและยศ อ้างธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นของจริงและของเที่ยง นิสัยท่านอาจารย์มั่น ถูกกับนิสัยเราเสียโดยมาก
- ท่านแสดงไม่อ้างสวรรค์ นิพพาน ไม่อ้างทุคติ อ้างความเป็นไปทางปัจจุบันอย่างเดียว เพราะชั่วดีก็ปัจจุบันที่ยังเป็นชาติมนุษย์
- ความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นอนันตนัย มากมายยิ่งกว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นอุบายที่จะทรมานสัตว์ พ้นวิสัยของสาวกที่จะรู้ตามเห็นตามได้ สาวกกำหนดรู้แต่เพียง ๘๔,๐๐๐ เท่านี้ก็เป็นอัศจรรย์
- ท่านกำชับว่าอย่าให้จิตเพ่งนอก ให้รู้ในตัวเห็นในตัว เมื่อรู้ในตัวแล้วรู้ทั่วไป เพราะตัวเป็นต้นเหตุ
- ปฏิภาคนั้นอาศัยผู้ที่มีวาสนาจึงจะบังเกิดขึ้นได้ อุคหนิมิตนั้นเป็นของที่ไม่ถาวร พิจารณาให้ชำนาญแล้ว เป็นปฏิภาคนิมิต ชำนาญทางปฏิภาคแล้วทวนเข้ามาเป็นตน ปฏิภาคนั้นเป็นส่วนวิปัสสนา
- ให้แก้ปัจจุบัน เมื่อแก้ปัจจุบันได้แล้ว ภพ ๓ นั้นหลุดหมดไม่ต้องส่งอดีต อนาคต ให้ลบอารมณ์ภายนอกให้หมด จึงจะเข้าอารมณ์ภายในได้ เพ่งนอกเป็นตัวสมุทัย เป็นทุกข์ และเป็นตัวมิจฉาทิฏฐิ เพ่งในเป็นตัวสัมมาทิฐิ เพ่งในตัวเป็นสัมมาทิฐิ
- เล่นนิมิตก็ดี ยินดียินร้ายก็ดี เรียกว่าคุ้มเงาตน เชื่อนิมิตเป็นบ้า
นั่นเป็นตัวอย่างที่หลวงปู่บันทึกข้อธรรมไว้ไนวันหนึ่ง ที่โนนนิเวศน์ โดยรวมทั้งการวิจารณ์ลักษณะนิสัยของครูบาอาจารย์ของท่านด้วย ซึ่งเป็นการ “ม้างกาย” ของท่านอย่างหนึ่ง
สำหรับลักษณะอุปนิสัยของท่านพระอาจารย์มั่นนั้น หลวงปู่ได้บันทึกต่อมาอีกหลายครั้งด้วยความชื่นชมและศรัทธายิ่ง
“ท่านภาวนาสถานที่เป็นมงคล มีเทวดามานมัสการ ตั้งหมื่น ท่านรู้ได้ด้วยภาวนาขั้นละเอียดฯ อมนุษย์ท่านก็รู้ได้”
“ท่านอาจารย์มั่น ท่านเป็นคนเด็ดเดี่ยวสละชีวิตถึงตาย สลบไป ๓ คราว และท่านต้องการคนใจเด็ดเป็นสานุศิษย์ฯ”
“ท่านทำตัวของท่านใหม่อยู่ในตระกลทั้งหลาย ไม่ทำตัวของท่านให้คุ้นเคยในตระกูลเลย การไปมาของท่าน ไปโดยสะดวก มาโดยสะดวกไม่ขัดข้องในตระกูล”
“เป็นคนมักน้อยชอบใช้บริขารของเก่าๆ ถึงได้ใหม่บริจาคทานให้คนอื่น ข้อวัตรหมดจดดี สติตั้งอยู่ในสติปัฏฐานเสมอ เป็นผู้ไม่ละกาล วาจาพูดก็ดี เทศน์ก็ดีไม่อิงอามิสลาภ สรรเสริญวาจาตรงตามอริยสัจ ตามความรู้ความเห็น อ้างอริยสัจเป็นหลักฐานเสมอ กาย วาจา ใจเป็นอาชาไนยล้วน”
“ท่านประพฤติตนเป็นคนขวนขวายน้อยอามิส หมดจดในข้อวัตรและหมดจดในธรรมะ พ้นวิสัยเทวดาและมนุษย์ที่จะติเตียนได้ ไม่เป็นข้อล่อแหลมในศาสนา ท่านได้วัตถุสิ่งใดมา ท่านสละทันที สงเคราะห์หมู่พรหมจรรย์ฯ”
“สิ่งของอันใดท่านอยู่ที่ไหน เขาถวาย ท่านก็เอาไว้ให้พระเณรใช้ ณ ที่นั้น ท่านไม่ได้เอาไปด้วยฯ”
“มีคนไปหาท่านอาจารย์มั่น ท่านไม่ดูคน ท่านดูจิตของท่านเสียก่อนจึงแสดงออกไปต้อนรับแขกผู้มาถึงถิ่น อนึ่ง ท่านหันข้างและหันหลังใส่แขก ท่านพิจารณาจิตของท่านก่อน แล้วพิจารณานิสัยของผู้อื่น นี้เป็นข้อลี้ลับมาก ต่อนั้นถ้าจะเอาจริงจังต้องประชันต่อหน้ากันจึงเห็นความจริงฯ”
“จิตของท่านผ่าอันตรายลงไปถึงฐานของธรรมะนี้มีราคามาก บ่งความเห็นว่าเป็นอาชาไนยโดยแท้”
“ปฏิบัติธรรมท่านพูดทรมานใครแล้วย่อมได้ดีทุกๆ คน ถ้าหมิ่นประมาทแล้วย่อมเกิดวิบัติใหญ่โต”
“ท่านมีนิสัยปลอบโยนเพื่อคัดเลือกคนดีหรือไม่ดี ในขณะท่านพูดเช่นนั้น ท่านหันกลับเอาความจริง เพราะกลัวศิษย์จะเพลิน”
“นิสัยท่านเป็นคนใจเดียว ไม่เห็นแก่หน้าบุคคล ในเวลาถึงคราวเด็ดเดี่ยวต่อธรรมะวินัยจริงๆ ฯ”
“บุคคลใจเด็ดจึงอยู่กับท่านได้ เพราะนิสัยของท่านเป็นเช่นนั้น เป็นคนทำจริงเอาจริงฯ”
“ท่านเป็นคนไม่อวดรู้ แต่ธรรมะของท่านบอกเหตุผลไปต่างหาก นี้เป็นข้อพึงวินิจฉัย”
“หาบุคคลที่จะดูจริตของท่านรู้ได้ยาก เพราะท่านเป็นคนนิสัยลึกลับ จะรู้นิสัยได้ต่อเมื่อบุคคลที่มีภูมิจิตส่วนเดียวฯ”
“ท่านผู้มีอำนาจในทางธรรมะ ทำอะไรได้ไม่ครั่นคร้าม ชี้เด็ดขาดลงไป ไม่มีใครคัดค้าน นี่เป็นอัศจรรย์มากฯ”
“ท่านถือข้างใน ปฏิปทาความรู้ความเห็นของท่านเกิดจากสันตุฏฐี ความสันโดษของท่าน ท่านนิสัยไม่เป็นคนเกียจคร้าน ขยันตามสมณกิจวิสัย หวังประโยชน์ใหญ่ในศาสนาฯ”
“ท่านอาจารย์มั่นเป็นผู้ที่สะอาด ไตรจีวรและเครื่องอุปโภคของท่าน ไม่ให้มีกลิ่นเลย ถูย้อมบ่อยๆ”
“ท่านบวชในสำนักพระอรหันต์ ๓ องค์ แต่เมื่อชาติก่อนๆ โน้น”
“ท่านไม่ใคร่พยากรณ์ใครๆ เหมือนแต่ก่อน ท่านพูดแต่ปัจจุบันอย่างเดียว นิสัยท่านชอบเก็บเอาเครื่องบริขารของเก่าไว้ใช้ เพราะมันภาวนาดี เช่นจีวรเก่า เป็นต้นฯ”
“ท่านไม่ติดอามิส ติดบุคคล ติดลาภ ยศ สรรเสริญ ท่านถือธรรมะเป็นใหญ่ ไปตามธรรมะ อยู่ตามธรรมะฯ”
“ท่านพูดธรรมะไม่เกรงใจใคร ท่านกล้าหาญท่านรับรองความรู้ของท่าน ฉะนั้นท่านจึงพูดถึงพริกถึงขิง ตรงอริยสัจ พูดดังด้วย พูดมีปาฏิหาริย์ด้วย เป็นวาจาที่บุคคลจะให้สิ้นทุกข์ได้จริงๆ เป็นวาจาที่สมถะวิปัสสนาพอ ไม่บกพร่องกำหนดรู้ตามในขณะกาย วาจา จิตวิกาลตรงกับไตรทวารสามัคคีเป็นวาจาที่เด็ดเดี่ยวขลังดีเข้มแข็งดี เป็นอาชาไนยล้วนวาจาไม่มีโลกธรรมติด เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ พระเณรอยู่ในอาวาสท่านได้สติมาก เพราะบารมีของท่านเสื่อม ถ้าขืนประมาทท่านเกิดวิบัติฯ”
“ท่านอาจารย์มั่น เทวดาและอมนุษย์ไปนมัสการท่าน เท่าไรพันหรือหมื่นท่านกำหนดได้”
“ท่านรักษาระวังเทวดามนุษย์ประมาทท่าน เช่นเยี่ยงท่านก็มีระเบียบ แม้กิจเล็กๆ น้อยๆ เป็นระเบียบหมดฯ”
“ท่านอาจารย์ท่านพูดโน้น คำนี้อยู่เสมอเพื่อจะให้สานุศิษย์หลง เพื่อละอุปาทานถือในสิ่งนั้นๆ ท่านทำสิ่งที่บุคคลไม่ดำริไว้ สิ่งใดดำริไว้ท่านไม่ทำ นี้ส่อให้เห็นท่านไม่ทำตามตัณหาของบุคคลที่ดำริไว้ฯ”
“จิตของท่านอาจารย์มั่นผ่าอันตรายลงไปตั้งอยู่ด้วยอมตธรรม บริบูรณ์ด้วยมหาสติ มหาปัญญา มีไตรทวารรู้รอบ มิได้กระทำความชั่วในที่ลับและที่แจ้ง และมีญาณแจ่มแจ้ง รู้ทั้งเหตุผลพร้อมกัน เพราะฉะนั้นแสวงธรรมมีน้ำหนักมาก พ้นวิสัยคนที่จะรู้ตามเห็นตาม เว้นแต่บุคคลบริบูรณ์ด้วยศีลและสมาธิมาแล้ว อาจที่ฟังเทศน์ท่านเข้าใจแจ่มแจ้งดีและบุคคลนั้นทำปัญญาสืบสมาธิต่อ”
“จิตท่านอาจารย์มั่นตื่นเต้นอยู่ด้วยความรู้ ไม่หยุดนิ่งได้ มีสติรอบเสมอ ไม่เผลอทั้งกายและวาจา เป็นผู้มีอริยธรรมฝังมั่นอยู่ในสันดานไม่หวั่นไหว ตอนนี้ไม่มีใครที่จะค้านธรรมเทศนาของท่านได้ เพราะวาจาเป็นอาชาไนย และมีไหวพริบแก้ปฤษณาธรรมกายได้ฯ”
“ธาตุของท่านอาจารย์เป็นธาตุนักรู้เป็นชาติที่ตื่นเต้นในทางธรรมะเป็นผู้ที่รู้ยิ่งเห็นจริงในอริยสัจธรรม ท่านดัดแปลงนิสัยให้เป็นบรรพชิต ไม่ให้มีนิสัยหินเพศติดสันดาน ท่านประพฤติตนของท่านให้เทวดาและมนุษย์เคารพ และท่านไม่ประมาทในข้อวัตรน้อยใหญ่ฯ”
“ท่านไม่ให้จิตของท่านนอนนิ่งอยู่อารมณ์อันเดียว ท่านกระตุกจิต จิตของท่าน ค้นคว้าหาเหตุหาผลของธรรมะอยู่เสมอ ท่านหัดสติให้รอบรู้ ในอารมณ์และสังขารทั้งปวงฯ”
“ท่านว่าท่านอาจารย์เสาร์หนักอยู่ในสมาธิและพรหมวิหารธรรม และท่านขาดการตรวจกายสังขารฯ”
“นิสัยท่านอาจารย์เสาร์ อนุโลมตามนิสัยบุคคลเสียโดยมาก และท่านรู้รับว่าดีอยู่เสมอ ดีเฉพาะกิเลสของผู้ศึกษา แต่ไม่ดีธรรมะ ที่จะให้สิ้นทุกข์ เฉพาะตัวของท่านอาจารย์มั่น หัดฝืนธรรมดา เพื่อดัดแปลงนิสัย ไม่อนุโลมไปตามกิเลส”
อีกวันหนึ่ง ท่านบันทึกถึงท่านพระอาจารย์มั่นอย่างอัศจรรย์ใจในอัจฉริยภาพของท่านต่อไปว่า
“ท่านอาจารย์มั่นท่านเก่งทางวิปัสสนา ท่านเทศน์ให้บริษัทฟัง สัญญา มานะเขาลด เจตสิก เขาไม่เกาะ เมื่อไม่เกาะเช่นนั้น ยิ่งทำความรู้เท่าเฉพาะในจิต ตรวจตราในดวงจิตขณะที่นั่งฟัง ต่อนั้นจะเห็นอานิสงส์ทีเดียว ไม่ทำเช่นนั้นหาอานิสงส์การฟังธรรมมิได้ ถ้าประมาทแล้ว จะเกิดวิบัติเพราะคามานะทิฐิของตน วินิจฉัยธรรมมิได้”
“ท่านเทศน์อ้างอิงตำราและแก้ไขตำราดุจของจริงทีเดียว เพราะท่านบริบูรณ์วิปัสสนาและสมถะพอ และท่านยกบาลีเป็นตัวเหตุผลแจ่มแจ้ง”
“ท่านอาจารย์มั่นอุบายจิตของท่านพอทุกอย่างไม่บกพร่อง คือพอทั้งสมถะ พอทั้งวิปัสสนาทุกอย่าง เพราะฉะนั้นท่านเทศนาจิตของผู้ฟังหดและสงบ และกลัวอำนาจ เพราะนิสัยคนอื่นไม่มีปัญญาที่จะชอนเข็มโต้ถามได้ ตรงกับคำว่าพอทั้งปัญญา พอทั้งสติ ทุกอย่างเป็นอาชาไนยล้วน รวบรัดจิตเจตสิกของคนอื่นๆ มิอาจจะโต้แย้งได้”
“ท่านว่า แต่ก่อนท่านเป็นคน โกง คน ซน คน มานะกล้า แต่ท่านมีธุดงค์ข้อวัตรทุกอย่างเป็นยอด ทำความรู้เท่าทันกิเลสเหล่านั้น เดี๋ยวนี้นิสัย ก่อนนั้นกลายเป็นธรรมล้วน เช่น โกงสติ ซนสติ มานะสติ เป็นคุณสมบัติสำหรับตัวของท่าน”
“ความรู้ความฉลาดของท่านไปตามธรรมคืออริยสัจ ใช้ไหวพริบทุกอย่างตรงตามอริยสัจ ตรงกับคำว่าใช้ธรรมเป็นอำนาจ คณาจารย์บางองค์ถืออริยสัจก็จริง แต่มีโกงนอกอริยสัจ เป็นอำนาจบ้างแฝง แฝงอริยสัจ ตรงกับคำที่ว่าใช้อำนาจเป็นธรรมแฝงกับความจริง”
“ท่านอาจารย์เป็นนักปราชญ์แปดเหลี่ยมคม คมยิ่งนัก ธรรมชาติจิตของท่านที่บริสุทธิ์นั้นกลิ้งไปได้ทุกอย่างและไม่ติดในสิ่งนั้นด้วย ดุจน้ำอยู่ในใบบัว กลิ้งไปไม่ติดกับสิ่งอื่นๆ เพราะฉะนั้นจิตของท่านถึงผลที่สุดแล้ว มิอาจจะกระทำความชั่วในที่ลับและที่แจ้ง เพราะสติกับปัญญารัดจิตบริสุทธิ์ให้มั่นคง ใช้ไหวพริบเป็นอาชาไนยอยู่เนืองนิตย์”
เล่าเรื่อง คืนบรรลุอรหันต์ "หลวงปู่มั่น" เมื่อประตูพระนิพพานเปิดออก จากบันทึก"หลวงตาทองคำ" และ "หลวงตามหาบัว" (รายละเอียด)
ประสบการณ์ขั้นสุดท้ายในห้วงเวลาแห่งการประจักษ์แจ้งสภาวะแห่ง “นิพพาน” นั้น ต้องกล่าวว่าเป็นความอัศจรรย์ที่ยิ่งกว่า
อย่าว่าแต่คนธรรมดาอย่างเราเลย ขนาดพระสงฆ์ผู้มีภูมิธรรมสูงอย่างหลวงตามหาบัวซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับฟังเรื่องราวจากหลวงปู่มั่นด้วยตัวท่านเองก็ยังถึงกับกล่าวว่า ประสบการณ์การเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมะของหลวงปู่มั่นนั้นเป็นความอัศจรรย์อย่างถึงขีดสุด ประดุจการเปิดออกของประตูพระนิพพานอันยิ่งใหญ่ ให้ผู้ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นต้องประสบกับความความตะลึงงัน
“ท่านเล่าถึงความเพียรตอนนี้ ผู้ฟังทั้งหลายต่างนั่งตัวแข็งเหมือนไม่มีลมหายใจไปตามๆ กัน เพราะเกิดความอัศจรรย์ในธรรมของท่านอย่างสุดขีด เหมือนท่านเปิดประตูพระนิพพานออกให้ดูทั้งที่ไม่เคยรู้ว่าพระนิพพานเป็นเช่นไรเลย
แม้องค์ท่านเองก็ปรากฏว่ากำลังเร่งฝีเท้าคือความเพียรเพื่อบรรลุพระนิพพานอย่างรีบด่วนอยู่เช่นกันในขณะนั้น หากแต่ธรรมที่ท่านเล่าเพียงขั้นกำลังดำเนินนั้นเป็นธรรมที่ผู้ไม่เคยได้ยินมาก่อนจะทรงตัวอยู่ไม่ได้ จำต้องไหวตามด้วยความอัศจรรย์”[i]
เหตุการณ์ “บรรลุธรรมครั้งสุดท้าย” ของหลวงปู่มั่นอันนำไปสู่ความเป็น “พระอรหันต์” นั้น หลวงตามหาบัวมิได้ระบุชัดเจนว่าเป็นสถานที่ใด เพียงแต่กล่าวอย่างกว้างๆ ว่าเป็นช่วงเวลาหลังจากที่หลวงปู่มั่นเดินทางไปบำเพ็ญเพียรที่เชียงใหม่แล้ว
ขณะที่หลวงตาทองคำเล่าว่า การบรรลุอรหันต์ของหลวงปู่มั่นเกิดขึ้น ณ ถ้ำไผ่ขวาง (หรือถ้ำสิงโต) เขาพระงาม จังหวัดลพบุรี
แต่กระนั้น คำบอกเล่าถึง “ลำดับขั้นแห่งจิต” ก่อนการหลุดพ้น ในเรื่องที่หลวงปู่มั่นได้เพ่งพินิจพิจารณาธรรมะที่เรียกว่า “ปัจจยาการ” ตามที่ทั้งสองท่านได้ทรงจำมาจากหลวงปู่มั่นนั้น กลับมีความสอดคล้องกันอย่างยิ่ง
ในสำนวนของหลวงตามหาบัวกล่าวว่า ...
“... นับแต่ตอนเย็นไปตลอดจนถึงยามดึกสงัดของคืนวันนั้น ท่านว่าใจมีความสัมผัสรับรู้อยู่กับ ‘ปัจจยาการ’ คือ ‘อวิชชา ปัจจยา สังขารา’ เป็นต้น เพียงอย่างเดียว ทั้งเวลาเดินจงกรมตอนหัวค่ำ ทั้งเวลานั่งเข้าที่ภาวนา จึงทำให้ท่านสนใจพิจารณาในจุดนั้นโดยมิได้สนใจกับหมวดธรรมอื่นใด ตั้งหน้าพิจารณาอวิชชาอย่างเดียวแต่แรกเริ่มนั่งสมาธิภาวนา โดยอนุโลมปฏิโลมกลับไปมาอยู่ภายในอันเป็นที่รวมแห่งภพชาติ กิเลสตัณหา มีอวิชชาเป็นตัวการ ...
ประมาณเวลาราวตี ๓ ผลปรากฏว่า ฝ่ายกษัตริย์วัฏจักรถูกสังหาร ทำลายบัลลังก์ลงอย่างพินาศขาดสูญ ปราศจากการต่อสู้และหลบหลีกใดๆ ทั้งสิ้น ...
กษัตริย์อวิชชาดับ ชาติภพขาดลงไปแล้ว เพราะอาวุธสายฟ้าอันสง่าแหลมคมของท่านสังหาร ...”[ii]
ขณะที่สำนวนของหลวงตาทองคำกล่าวว่า ...
“... ในปัจฉิมยาม คือยามภายหลังแห่งค่ำคืนวันนั้น พอจิตพักได้กำลังแล้วก็ถอยออกมาสู่ปฐมฌานอันเป็นบาทฐานแห่งวิปัสสนาญาณ จิตก็พิจารณา ‘ปัจจยาการ’ คือ อาการของปัจจัย เกิดมีคำใหม่เพิ่มขึ้นอีกว่า ฐิติภูตัง อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา ฯลฯ จนถึงโทมนัสสะ อุปายาสา สัมภวันติ
ได้ความว่า ‘ฐิติภูตัง’ คือ จิตดวงเดิมของสรรพสัตว์ทั้งมวลที่ยังมิได้อบรมศีล สมาธิ ปัญญา ตามแนวทางแห่งพระสัพพัญญุตญาณนั้น ก่อให้เกิดอวิชชา ...
ท่านพระอาจารย์ว่า เมื่อจิตได้อริยมรรคญาณแล้ว จิตดวงเดิมคือฐิติภูตังเป็นฐิติญาณ เป็นเครื่องตัดขาดจากอวิชชา ... เมื่ออวิชชาดับ สังขารก็ดับ สังขารดับ วิญญาณก็ดับ ฯลฯ ตลอดจนถึงตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ก็ดับหมด ...
พอมาถึงตอนนี้ จิตก็วางการพิจารณา แล้วจิตก็รวมใหญ่ รวมคราวนี้จิตไม่พักเหมือนข้างต้น เกิดมีญาณตัดสินขึ้นมาว่า
ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้อยู่จบแล้ว กิจอันเราควรทำ เราได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ควรทำไม่มีอีกแล้ว
ญาณชนิดนี้เรียกว่า ‘อาสวักขยญาณ’ คือ ความรู้ในความสิ้นไปแห่งอาสวะ พร้อมกับอวิชชาก็หายไป ไม่ก่อนไม่หลังตะวันขึ้นมาและเดือนก็ตกไป รวมความว่า ญาณเกิดขึ้น อวิชชาหายไป ...”[iii]
[i] ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ, หน้า ๑๒๐.
[ii] ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ, หน้า ๑๒๓.
[iii] รำลึกวันวานฯ, หน้า ๒๗.
รายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นไปของจิตก่อนการหยั่งถึงสภาวะแห่งพระนิพพานของหลวงปู่มั่นนอกจากจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของช่วงเวลาและสถานที่แล้ว เหตุการณ์ก่อนและหลังการบรรลุอรหันต์ของท่านตามที่หลวงตามหาบัวและหลวงตาทองคำได้นำมาบอกเล่าก็ยังมีความแตกต่างที่น่าสนใจอยู่ด้วยเช่นกัน
ประการแรก เหตุการณ์ก่อนการบรรลุอรหันต์ในส่วนที่เป็นความทรงจำของหลวงตาทองคำนั้น ท่านได้กล่าวถึงการที่หลวงปู่มั่นเกิดความรู้เห็นในชาติภพที่เรียกว่า “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” ความตอนนี้มีว่า ...
“ท่านว่า จิตถอนออกมาอีก คราวนี้เวทนา วิตก จางลงไปมาก แต่ยังไม่หมด ท่านกำหนดพิจารณาอีก จิตก็รวมลงไป ปรากฏว่าฝนตกน้ำนอง ชุ่มชื่นขึ้นมา มีกำลังปีติซาบซ่านไปทั่ว มีความสุข และจิตเข้าถึงเอกัคคตาญาณ ...
เกิดความรู้ชนิดหนึ่งขึ้นมา คือ รู้เห็นชาติภพในกาลก่อน ที่เรียกว่า ‘ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ’ เป็นตัววิปัสสนาญาณขึ้นมาว่า ปัจจุบันเราเป็นอย่างนี้ ในอดีตชาติเราเกิดอยู่บ้านเมืองนั้น ประเทศนั้น มีอาหารอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีสุขอย่างนั้น มีทุกข์อย่างนั้น เป็นลำดับไป จนถึงครั้งเป็นเสนาบดี นั่งฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเฉพาะพระพักตร์... เป็นเวลาผ่านมาประมาณ ๔๐๐ - ๕๐๐ ชาติ ...”[i]
นอกจากเรื่องการระลึกชาติของหลวงปู่มั่นในช่วงก่อนการบรรลุอรหันต์ตามที่หลวงตาทองคำได้เล่าไว้จะไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนเล่าของหลวงตามหาบัวแล้ว (หลวงตามหาบัวพูดถึงการรู้อดีตชาติของหลวงปู่มั่นว่าท่านเล่าไว้ในที่อื่น แต่มิได้กล่าวไว้ในช่วงของการบรรลุธรรม) ก็ยังปรากฏว่า หลวงตาทองคำได้กล่าวถึงรายละเอียดในเรื่องนี้เพิ่มเติมว่า บางครั้งหลวงปู่มั่นได้บอกเล่าถึงกำเนิดในชาติภพก่อน รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องผูกพันกันมาอีกด้วย
อาทิ ชาติหนึ่งหลวงปู่มั่นเกิดในตระกูลขายผ้าขาว ณ มณฑลยูนนาน มีน้องสาวคนหนึ่งซึ่งเคยช่วยเหลือกันมา ซึ่งในชาตินี้ น้องสาวคนนั้นได้มาเกิดเป็นนางนุ่ม ชุวานนท์ อุบาสิกาชาวสกลนครผู้สร้างวัดป่าสุทธาวาสให้
อีกชาติหนึ่ง ท่านเกิดในตระกูลช่างทำเสื่อลำแพน ณ โยนกประเทศ ซึ่งอยู่บริเวณเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า โดยมีพระอาจารย์เสาร์เป็นนายช่างใหญ่ หลวงปู่มั่นเป็นผู้จัดการ ส่วนพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นคนเดินตลาด
อีกชาติหนึ่ง หลวงปู่มั่นเกิดที่ลังกาทวีป (ประเทศศรีลังกา) ท่านบวชเป็นพระและได้เข้าร่วมการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๔ พร้อมกับพระภิกษุจำนวนนับหมื่น และยังได้พักอยู่ในเสนาสนะเดียวกับพระรูปหนึ่งซึ่งเป็นมิตรสหายกันมาจวบจนชาติปัจจุบัน คือ ท่านวิริยังค์ สิรินธโร
หรืออีกชาติหนึ่ง ท่านเกิดเป็นเสนาบดีที่แคว้นกุรุรัฐ ชมพูทวีป โดยเป็นน้องชายของพระปทุมราชา ผู้ปกครองแคว้น ซึ่งในชาตินี้ก็คือเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ในชาติเดียวกันนี้ ท่านยังมีหลานชายหัวดื้อคนหนึ่งซึ่งพี่ชายมอบให้ท่านดูแล ซึ่งในชาตินี้ก็คือ “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี” นั่นเอง ที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านยังได้ฟังธรรมเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งตั้งจิตปรารถนาขอเป็นพระพุทธเจ้าอีกด้วย[ii]
จะอย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลวงตาทองคำจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่หลวงปู่มั่นเกิดความรู้ที่เรียกว่า “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” ในช่วงก่อนการบรรลุอรหันต์ ซึ่งไม่ปรากฏในสำนวนเล่าของหลวงตามหาบัว แต่ก็ดูเหมือนว่าในสำนวนเล่าของหลวงตาทองคำจะกล่าวถึงเหตุการณ์หลังจากที่หลวงปู่มั่นบรรลุอรหันต์ไว้ค่อนข้างสั้นและกระชับ
“พอผ่านไป ๔ วัน โยมอุปัฏฐากพร้อมทั้งบุตรสาวนำภัตตาหารมาถวาย พูดวิงวอนว่า ‘พระคุณเจ้าอดมาหลายวันแล้ว จะหิว จะลำบาก ขอนิมนต์ฉันเจ้าข้า’ ท่านก็ลองฉัน พอฉันเสร็จ โยมกลับไป มาพิจารณาก็เกิดไม่คล่องแคล่ว อืดอาด แต่ทำได้อยู่ นี้มันอะไร เพราะเสียสัจจะ ท่านเลยงดฉันภัตตาหารต่ออีก ๓ วัน ครบแล้วจึงฉัน ก็คล่องแคล่วอีก ทุกอย่างก็ละเอียดอ่อนไปหมด
นี่คือมรรคผลคุณวิเศษในพระพุทธศาสนานี้”[iii]
ในขณะที่หลวงตาทองคำเล่าถึงเหตุการณ์หลังจากที่หลวงปู่มั่นบรรลุอรหันต์ไว้อย่างสั้นและกระชับ สำนวนเล่าของหลวงตามหาบัวได้ให้รายละเอียดมากมายเกี่ยวกับ “สภาวะจิต” ของหลวงปู่มั่นในช่วงที่กำลังจะข้ามพ้นไปสู่ภูมิแห่ง “โลกุตตระ” รวมทั้งเหตุการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาหลังจากค่ำคืนแห่งการรู้แจ้ง
[i] รำลึกวันวานฯ, หน้า ๒๕.
[ii] เรื่องการตั้งจิตปรารถนาใน “พุทธภูมิ” ของหลวงปู่มั่นนี้ หลวงตามหาบัวเล่าว่า มาในชาติสุดท้าย หลวงปู่มั่นได้เปลี่ยนความปรารถนาเสียใหม่ให้กลายเป็น “สาวกภูมิ” ในช่วงที่ออกธุดงค์ร่วมกับหลวงปู่เสาร์ เพราะพิจารณาเห็นว่า กว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายกัปหลายกัลป์ ซึ่งจะยิ่งทำให้ความหลุดพ้นล่าช้าออกไป.
[iii] รำลึกวันวานฯ, หน้า ๒๘.
“ท่านพระอาจารย์มั่นมีนิสัยผาดโผนมาดั้งเดิมนับแต่เริ่มปฏิบัติใหม่ๆ แม้ขณะจิตจะเข้าถึงจุดอันเป็นวาระสุดท้ายก็ยังแสดงลวดลายให้องค์ท่านเองระลึกอยู่ไม่ลืม ถึงกับได้นำมาเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ฟังพอเป็นขวัญใจ คือ พอจิตพลิกคว่ำวัฏจักรออกจากใจโดยสิ้นเชิงแล้ว ยังแสดงขณะเป็นลักษณะฉวัดเฉวียนเวียนรอบตัว วิวัฏฏจิตถึงสามรอบ
รอบที่หนึ่งสิ้นสุดลง แสดงบทบาลีขึ้นมาว่า ‘โลโป’ บอกความหมายขึ้นมาพร้อมว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้นคือการลบสมมุติทั้งสิ้นออกจากใจ
รอบที่สองสิ้นสุดลง แสดงคำบาลีขึ้นมาว่า ‘วิมุตติ’ บอกความหมายว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้นคือความหลุดพ้นอย่างตายตัว
รอบที่สามสิ้นสุดลง แสดงคำบาลีขึ้นมาว่า ‘อนาลโย’ บอกความหมายขึ้นมาว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้นคือการตัดความอาลัยอาวรณ์โดยสิ้นเชิง
... นี่คือธรรมที่แสดงในจิตท่านขณะแสดงลวดลายเป็นขณะสามรอบจบลง อันเป็นวาระสุดท้ายแห่งสมมุติกับวิมุตติทำหน้าที่ต่อกัน และแยกทางกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ...”[i]
เมื่อหลวงปู่มั่นทำลายสังสารวัฏลงได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ท่านก็ยังเล่าต่อไปอีกว่า ขณะนั้นเหมือนโลกธาตุทั้งมวลบังเกิดความเลื่อนลั่นหวั่นไหว
เทวบุตรและเทวธิดาทั่วทั้งหมดนั้นต่างก็ประกาศก้องสาธุการ เสียงสะเทือนสะท้านไปทั่วทั้งจักรวาล ทั้งในคืนนั้นและคืนถัดมา เหล่าเทพทั้งหลายต่างก็มาปรากฏกายเพื่อขอเยี่ยมคารวะและฟังธรรมเทศนา
“... ในคืนวันนั้น ชาวเทพทั้งหลายทั้งเบื้องบนชั้นต่างๆ ทั้งเบื้องล่างทุกสารทิศทุกทาง หลังจากพร้อมกันให้สาธุการประสานเสียงสำเนียงไพเราะเสนาะโสตจนสะเทือนโลกธาตุเพื่อประกาศอนุโมทนากับท่านแล้ว ยังพร้อมกันมาเยี่ยมฟังธรรมจากท่านอีกวาระหนึ่ง แต่ท่านไม่มีเวลารับแขก เพราะภารกิจเกี่ยวกับธรรมขั้นสูงสุดยังไม่ยุติลงเป็นปกติ ...
... ในคืนต่อมา ชาวเทพทั้งหลายที่มีความหิวกระหายในธรรมได้พากันมาเยี่ยมท่านเป็นพวกๆ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างแทบทุกทิศทาง
ต่างพวกก็มาเล่าความอัศจรรย์แห่งรัศมีและอานุภาพแห่งธรรมของคืนวันนั้นให้ท่านฟังว่า เหมือนสวรรค์วิมาน พิภพ ครุฑ นาค เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ทุกชั้นภูมิในแดนโลกธาตุสะเทือนสะท้านหวั่นไหวไปตามๆ กัน พร้อมกับความอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนส่งแสงสว่างไปทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรปิดบัง เพราะความสว่างไสวแห่งธรรมที่พุ่งออกมาจากกายจากใจของพระคุณเจ้ายิ่งกว่าความสว่างของดวงอาทิตย์ร้อยดวงพันดวงเป็นไหนๆ ...”[ii]
หลังจากเหตุการณ์ที่เทพทั้งหลายแวะเวียนกันเข้ามาเปล่งสาธุการและขอฟังธรรมเทศนาจากหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงตามหาบัวก็ยังเล่าถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งเป็นกรณีพิเศษด้วย[iii] เหตุการณ์ที่ว่านี้ก็คือ ผู้ที่เป็น “คู่บารมี” ของหลวงปู่มั่นทุกภพทุกชาติได้เดินทางมาพบท่านหลังจากที่บรรลุธรรมแล้ว
หลวงปู่มั่นเล่าให้หลวงตามหาบัวฟังถึง “คู่บารมี” ท่านนี้ว่า ตั้งแต่สมัยที่ภูมิธรรมของท่านยังไม่ถึงระดับพระอรหันต์ “คู่บารมี” นี้ได้แวะมาเยี่ยมท่านทางสมาธิภาวนาเสมอ แต่ก็มาในรูปของ “ดวงวิญญาณ” ไม่ปรากฏร่างกายให้เห็นเหมือนกับที่ภพภูมิอื่นๆ เขาเป็นกัน
เมื่อหลวงปู่มั่นถาม ดวงวิญญาณนั้นก็ตอบว่า ที่ยังไม่ได้ไปเกิดในภพภูมิที่เป็นหลักแหล่ง เช่น โลกมนุษย์หรือแดนสวรรค์ แต่ยังคงวนเวียนอยู่ใน “ภพย่อย” ที่ละเอียดภพหนึ่งในระหว่างภพทั้งหลาย ก็เพราะว่ายังเป็นห่วงและอาลัยในตัวหลวงปู่มั่นอยู่
อีกทั้งยังกลัวว่าท่านจะหลงลืมความสัมพันธ์แต่หนหลังและความปรารถนา “พุทธภูมิ” ที่เคยตั้งไว้ร่วมกัน ประหนึ่งเป็น “คำสัญญา” ที่เคยมีต่อกันมานานแสนนานในสังสารวัฏอันไกลโพ้นนี้ (ซึ่งหลวงปู่มั่นก็บอกว่า บัดนี้ท่านได้ของดความปรารถนาในพุทธภูมิแล้ว และขอมุ่งมั่นปฏิบัติตนเพื่อพ้นทุกข์ให้ได้ในชาตินี้)
หลวงปู่มั่นเล่าว่า ยามใดที่ดวงวิญญาณนี้มาพบ ท่านก็แสดงธรรมให้พอสมควร แล้วก็สั่งให้กลับไป และยังบอกอีกว่าอย่ามาบ่อย แม้ว่าไม่อยู่ในวิสัยที่จะสร้างความเสียหายต่อกันได้แล้ว แต่ก็อาจเป็นเหตุให้การปฏิบัติล่าช้าได้ ซึ่งในครั้งสุดท้ายที่ดวงวิญญาณนี้มาพบเกิดขึ้นหลังจากที่หลวงปู่มั่นบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นเอง
ดวงวิญญาณกล่าวกับหลวงปู่มั่นในวันนั้นว่า ในคืนที่ท่านตัดขาดภพชาติและทุกข์ทั้งปวงจนรู้กันไปทั่วทุกแห่งหนในโลกธาตุ แต่แทนที่จะชื่นชมยินดีและ อนุโมทนาสาธุการ ตนกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าท่านทิ้งตนโดยไม่เหลียวแล
หลวงปู่มั่นจึงสนทนาโต้ตอบกับดวงวิญญาณนั้นด้วยความเมตตา กระทั่งดวงวิญญาณเกิดความเข้าใจจนสามารถสลัดตนให้หลุดจากความห่วงหาอาลัย และลาจากไปในที่สุด
หลังจากนั้นไม่นาน ดวงวิญญาณนั้นได้กลับมาพบหลวงปู่มั่นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการกลับมาในร่างของเทวดาผู้งามสง่าที่มาพร้อมกับความสำนึกซาบซึ้งในพระคุณของหลวงปู่มั่นว่า เหตุที่ตนได้เสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นล้วนเป็นผลมาจากการที่หลวงปู่มั่นมักจะชักชวนให้สร้างบุญสร้างกุศลตลอดระยะเวลาที่ได้ครองคู่อยู่ร่วมภพชาติกันนั่นเอง