“หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ จิต นั่นแหละคือหลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้ว มันก็ไม่ใช่จิต จิต นั้นโดยตัวมันเอง ก็ไม่ใช่ "จิต" แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังไม่ใช่ "มิใช่จิต" การที่กล่าวว่า จิตนั้นมิใช่จิต ดังนี้นั้นแหละ ย่อมหมายถึงบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่จริง สิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้น เราอาจกล่าวว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว และพฤติของจิตก็ได้ถูกเพิกถอนโดยสิ้นเชิงแล้ว”
“พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งแล้ว มิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น และไม่อาจถูกทำลายได้เลย”
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
ประเด็นที่สําคัญที่สุด ให้รู้จักความรู้สึกตัวแท้ๆ ให้ได้ก่อนว่าเป็นอย่างไร เมื่อ รู้ได้ว่าอะไรเป็นความรู้สึกตัวแท้ๆแล้ว เพียงแค่หมั่นสังเกตุเห็นความรู้สึกตัว จะเห็นในอริยาบทใดก็ได้
" ความรู้สึกตัวแท้ๆ คือ ความรู้สึกที่เกิดแว๊บแรกเวลาเรา โดนสัมผัส เช่น โดนลมพัดผ่านกาย เรารู้สึกถึง ตรงที่รู้สึก นี้หล่ะคือความรู้สึกตัวแท้ๆ
การขยับกาย ช่วยให้เราเห็นความรู้สึกตัวได้ชัด แต่การขยับกายไม่ใช่ความรู้สึกตัว
การหายใจ แล้วเรา รู้สึกถึงลม ตรงที่รู้สึก เป็นการเจริญสติปัฏฐานสี่ หรือ อานาปานสติ แล้ว
" แค่ หมั่น รู้สึกตัว "
ลองหายใจดู แล้ว สังเกตุดูนะ รู้สึกไหม ตรงที่รู้สึกนี้หล่ะ คือความรู้สึกตัว
แค่ รู้สึก อย่าไปปรุงแต่ง ไม่ไปดักรู้ ไม่ไปกําหนดรู้ มันจะเป็นการไปปรุงแต่งความรู้สึกเทียมๆขึ้นมา กลายเป็นคิดรู้สึก
แค่ รู้สึก สบายๆ
อย่าไปให้ความหมายมันด้วย แค่รู้สึก มันจะไม่มีความหมาย ที่มีความหมายเป็นคําพูดขึ้นมา เช่น ร้อนเย็น ยาวสั้น ตรงนั้นไม่ใช่แล้ว
แค่ รู้สึก แว๊ปแรก มันไม่มีความหมาย ไม่มีคําพูด
อย่าไปพยายามจับอะไร
เราหายใจอยู่แล้ว เราแค่รู้สึก ที่เราหายใจ แค่นั้น สั้นๆ เบาๆ สบายๆ
ลมพัดโดนกาย รู้สึกไหม ตรงที่ลมโดนกาย รู้สึกตัว แค่นี้ แว๊บเดียว
ไม่มีความหมายใดๆ ถ้ามีความหมาย มันไปคิดปรุงแล้ว
แค่เริ่มคิด ก็ไม่ใช่ความรู้สึกตัวแล้ว
แค่ รู้สึก สบายๆ ไม่ไปปรุงแต่งอะไร นี้หล่ะ เจริญมรรคที่ใจ เพราะ มันง่ายแค่ไม่ต้องทําอะไร คนเลยมองข้าม เข้าไปทํา เข้าไปปรุง จนเลยจากการเห็นความจริงกันไปหมด มรรคเจริญที่ใจ ไม่ใช่สมอง เมื่อเริ่มปรุงความคิดขึ้น ก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว เรามาฝึกรู้สึกตัว ไม่ใช่ฝึกใช้ความคิด เราคิดมาตลอดชีวิตแล้ว มันไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้นจากทุกข์เลย เพราะกระบวนการคิดเป็นกระบวนการให้ค่า เริ่มให้ค่า เริ่มให้ความหมาย เกิด สัญญา สังขาร เกิดเป็นตัวตนเราขึ้นมา ตัวตนเราเกิดเมื่อไหร่ ทุกข์เกิดเมื่อนั้น
Trader Hunter พบธรรม
ความสงบนี้มีอยู่ ๒ ลักษณะคือ
๑. สงบแบบ รูป เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หายไป
ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
"เหลือแต่ตัวรู้ "ผู้รู้"... สักแต่ว่ารู้" อยู่ตัวเดียว
๒. รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ยังมีอยู่
"แต่ใจไม่สนใจ"
เสียงก็ได้ยิน เวทนาทางร่างกาย
ก็รับรู้ ว่าเจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้
แต่จะไม่รำคาญ ไม่วุ่นวาย
.
ไม่มีอารมณ์กับรูปเสียง
กลิ่นรสโผฏฐัพพะ "ปล่อยวางได้-ต่างฝ่ายต่างอยู่"
เขาก็อยู่ของเขา...เราก็อยู่ของเรา
เสียงจะมี ก็ปล่อยเขามีไป
ร่างกายจะเจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้...ก็ปล่อยเขาเจ็บไป
.
"ใจจะเป็นอุเบกขา" จะรับรู้เฉยๆ
ไม่คิดปรุงแต่งอยากจะให้ความเจ็บหายไป
อยากจะให้เสียงหายไป..จะไม่มี.
พอไม่มีความอยาก
"ก็จะไม่มีความทุกข์"
"ใจ"ก็จะ..อยู่อย่าง"สงบ".
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ถาม : ในเวลาที่กระแสอารมณ์และความคิดพรั่งพรูออกมา จะเฝ้าสังเกตมันอย่างมีอุเบกขาได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ : ไม่จำเป็นต้องไปเฝ้าสังเกตความคิดและอารมณ์ ขอเพียงแต่ยอมรับความจริงว่า ตอนนี้กำลังมีความปั่นป่วนอยู่ในใจ แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่มีความคิดหรืออารมณ์ใดเกิดขึ้นในใจได้โดยปราศจากเวทนาที่ร่างกาย เมื่อท่านเฝ้าสังเกตเวทนา เท่ากับท่านกำลังลงลึกถึงจิตในระดับรากเหง้า ท่านกำลังชำระจิตให้บริสุทธิ์ในระดับรากเหง้า ฉะนั้นจงอยู่กับเวทนา และเพียงแต่ยอมรับความจริงว่ากำลังมีสิ่งรบกวนหรืออารมณ์บางอย่างเกิดขึ้น เท่านั้นก็พอ อย่าลงไปในรายละเอียดของมัน
~ เอส เอ็น โกเอ็นก้า ~
ธรรมคีรี กันยายน 2555
จริง คือ อมตธรรม ไม่ใช่เรื่องโลก ๆ , ไม่มีอะไร , ไม่มีเรื่อง
..นิพพาน เท่านั้น จริง , อย่างอื่น ไม่
ตัวเราแท้ ๆ นั้น ไม่มีอะไรเลย , ไม่มีโลก เกิด ตาย
อย่างไรก็ตาม ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ..
พระพุทธองค์ ทรงสอนให้ภิกษุ .. " วางกังวลในขันธ์ ๕ " กาย ใจ ทั้งหมด คือ " วางกังวล" ใน "ทั้งหมด "
ถ้า " ยึดมั่น " อันใด ก็ยึด "ขันธ์ ๕" ทันที
เป็นโลก ... ทุกข์
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต
"นิพพาน" คือ "ไม่ปรุง" นั่นเอง!
"นิพพาน" ในพุทธศาสนานั้น เมื่อกล่าวสำหรับคนทั่วไปแล้ว พึงเข้าใจเถิดว่ามันตรงกันข้ามกับคำว่า "สังขาร" โดยบาลีว่า "สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา" สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง "นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ" นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ดังนั้น จึงได้ความว่า สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้น ก็คือไม่ปรุงนั่นเอง ( อสังขตธรรม, วิสังขาร )
ความปรุง คือ เวียนว่ายไปในสังสารวัฏฏ์ เป็นความทุกข์
ความไม่ปรุง คือ มีสติปัญญาสูงถึงขนาดที่ตัดผ่าวงกลมนี้ได้ขาดกระจายออกไป ไม่ให้หมุนได้อีกต่อไป คือ ไม่เป็นสังสารวัฏฏ์ ( วิวัฏฏะ ) อย่างนี้เรียกว่า ไม่ปรุง
เกิดมาเพื่อหยุดเสียซึ่งสังสารวัฏฏ์ ให้ถึงที่สุดของความทุกข์ คือไม่มีทุกข์เลย นี่เรียกว่า นิพพาน อย่างนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลึกลับมหัศจรรย์เหลือวิสัยของคน
#พุทธทาสภิกขุ
จะบอกหัวใจของพระพุทธศาสนา เหมือนกับพระองค์เล็กๆ แขวนไว้ได้ที่คอ คือคำว่า “ตถาตา” ถ้าไม่ชอบบาลี ก็ใช้คำว่า “เช่นนั้นเอง” ถ้าทุกคนแขวน เช่นนั้นเองไว้ที่คอก็เหมือนแขวนพระเครื่องอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าที่ไหนทั้งหมด ช่วยคุ้มครอง ป้องกันได้หมด และทำให้ก้าวหน้าสูงยิ่งๆ ขึ้นไป...
จะได้พิจารณากันต่อไปว่า คำว่า เช่นนั้นเอง จะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร
คำว่า ตถาตา เป็นบาลี แปลว่า เช่นนั้นเอง หรือ ความเป็นเช่นนั้น เป็นคำที่พระพุทธองค์ได้เคยตรัสไว้ว่า
“ตถาคตจะเกิด หรือจะไม่เกิดขึ้น ธรรมทาสนั้นก็มีอยู่แล้วว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา”
บางทีพระองค์ก็ตรัสว่า “ธรรมทาส" คือ ความที่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น”
และตรัส ปฏิจจสมุปปบาท ตั้งแต่ อวิชชา ปัชชญา สังขารา เป็นต้นไปจนจบ และสรุปความว่า นี้คือความเป็นอย่างนี้ คือ เป็นตถตา
อวิตถตา คือ ความไม่ผิดจากความเป็นอย่างนี้
อนัญญถตา คือ ไม่เป็นอย่างอื่นไปจากความเป็นอย่างนี้
ธรรมติถตา คือ เป็นความตั้งอยู่โดยธรรมดา
ธรรมนิญามตา คือ เป็นกฎตายตัวของธรรมดา
อิทัปปัตตยตา ปฏิจจสมุปปาโท เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ สิ่งนี้ จึงเกิดขึ้นเป็นการอาศัยซึ่งกันเกิดขึ้นดังนี้
คำพูดมีหลายคำแต่สรุปให้เหลือสั้นๆ คำเดียวก็คือคำว่า ตถาตา แปลว่า ความเป็นเช่นนั้น หรือ เช่นนั้นเอง
' ความเป็นเช่นนั้นเองแสดงไว้ในหลายแห่ง '
“เช่นนั้นเอง” นี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ด้วยพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็มี ทรงแสดงไว้ด้วย ปฏิจจสมุปปบาท ตลอดสายก็มี โดยท่านใช้คำว่า ตถาตา หรือ ตถตา แปลว่า ความเป็นเช่นนั้น...
ดูที่พระไตรลักษณ์ก่อนว่า สังขารไม่เที่ยง สังขารเป็นทุกข์ ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา
ความที่มันไม่เที่ยง คือ มันเป็นเช่นนั้น
ความที่มันเป็นทุกข์ มันเป็นเช่นนั้น
ความที่มันเป็นอนัตตา คือ เป็นเช่นนั้น
คือความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ถ้าผู้ใดเข้าใจก็จะเห็นว่า ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา นั่นแหละ คือ ความเป็นเช่นนั้น จำไว้ก่อนว่า เป็นเช่นนั้น คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ความเป็นเช่นนั้นเอง มันอยู่ตรงที่ว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูป นามรูปให้เกิดผัสสะ อายตน อายตนให้เกิดผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน
อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ชาติให้เกิดทุกข์ทั้งปวง นี่ความเป็นทุกข์ทั้งปวงมันร่ายติดกันไปยาวหน่อย แต่สรุปมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ฉะนั้น ปฏิจจสมุปปบาท ทั้งปวงนั้น สรุปได้เหลือเป็นคำเดียว ว่า เป็นเช่นนั้น หรือ ตถตา อีกเหมือนกัน
ดูที่อริยสัจ ๔ ความทุกข์เป็นอย่างนี้ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้ หนทางแห่งความดับไม่เหลือเป็นอย่างนี้ ก็ชี้ชัดลงไปอย่างนี้ๆ ก็หมายว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นเช่นนั้นเอง เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เหตุให้เกิดทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทางดับแห่งทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ มันจะเป็นแต่เช่นนี้ๆ อย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ฉะนั้น จึงเรียกอริยสัจ ๔ นี้ว่า ตถา หรือ ตถตา ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น คำว่า ตถตา จึงได้แก่ พระไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปปบาท อริยสัจ ๔ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทำไมจะไม่เรียกว่า นี่คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งสรุปเข้ามาเหลือเพียงคำเดียวว่า ตถาตา คือ ความเป็นเช่นนั้น
จงจำคำนี้ไว้ให้แม่นยำ ให้มันคล่องปาก คล่องใจ ให้อยู่กับเนื้อกับตัว หรือจะเอามาแขวนไว้ที่คออย่างพระเครื่อง ก็จะคุ้มครองทุกอย่าง จะส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าเป็นลำดับไป จนบรรลุถึง มรรค ผล นิพพาน
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายปีใหม่ เรื่อง ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง วันที่ ๓๑ ธ.ค. ๒๕๒๒
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา.สุภัทโท.
ความดีใจ..ความเสียใจ..มันก็เกิดจากพ่อแม่
เดียวกัน..คือตัณหา..ความลุ่มหลงนั่นเอง
ฉะนั้น..บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจก็ยังไม่สบาย
ไม่สงบ..ทั้งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว.
เช่นได้ลาภ.ได้ยศ..สรรเสริญ.ได้มาแล้วดีใจ
ก็จริง..แต่มันก็ยังไม่สงบจริงๆ..เพราะยังมี
ความเคลือบแคลงใจว่ามันจะสูญไป.กลัวมัน
จะหายไป.
ความกลัวนี่แหละเป็นต้นเหตุให้มันไม่สงบ
บางทีมันเกิดสูญเสียไปจริงๆ.ก็ยิ่งเป็นทุกข์
มาก..นี่หมายความว่าถึงจะสุขก็จริง.แต่ก็มี
ทุกข์ดองอยู่ในนั้นด้วย..แต่เราไม่รู้จัก.
เหมือนกันกับว่าเราจับงู..ถึงแม้ว่าเราจับหางมันก็จริง..ถ้าจับไม่วางมันก็หันกลับมากัดได้
ฉะนั้น.หัวงูก็ดี.หางงูก็ดี..บาปก็ดี.บุญก็ดี.อันนี้อยู่ในวัฏฏะ..
หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง.ดังนั้น
ความสุข.ความทุกข์.ความดี.ความชั่ว.ก็ไม่ใช่หนทาง.
ศีล สมาธิ ปัญญานั้น..ถ้าหากพูดกันตามลักษณะ
ตามความเป็นจริงแล้ว..ก็ยังไม่ใช่แก่นศาสนา
หรือตัวศาสนา..แต่เป็น"หนทาง"นำไปสู่ตัวศาสนา
ฉะนั้น.ท่านจึงเรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา..ทั้งสาม อย่างนี้ว่า " มรรค " อันแปลว่า " หนทาง ".
ตัวศาสนา คือ " ความสงบระงับ " อันเกิดจากความรู้เท่าในความจริง.ในธรรมชาติของความเป็นจริงที่เกิดอยู่เป็นอยู่..
ซึ่งถ้าได้นำมาพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว.ก็จะเห็นว่าความสงบนั้นไม่ใช่ทั้ง ความสุขและความทุกข์..
ฉะนั้น.สุขและทุกข์จึงไม่ใช่เป็นของจริง.
พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้ตัวเอง.ให้เห็นตัวเองให้พิจารณา.เพื่อให้เห็นจิตของตนเอง.
ความจริง" จิตเดิม " ของมนุษย์นั้นเป็นธรรมชาติที่ไม่หวั่นไหว.เป็นธรรมชาติที่ทรงอยู่แน่นอนอยู่อย่างนั้น
แต่ที่มีความดีใจเสียใจ..หรือความทุกข์ความสุขเกิดขึ้นนั้น..เพราะขณะนั้นมันไปหลงอยู่ในอารมณ์ จึงเป็นเหตุให้เคลื่อนไหวไปมา..แล้วก็เกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.
สมเด็จพระบรมศาสดาท่านตรัสสอนไว้แล้วทุกอย่าง.ในเรื่องการประะฤติปฏิบัติ..แต่พวกเราทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติกัน..หรือไม่ก็ปฏิบัติแต่ปากเท่า นั้น.
หลักของพระพุทธศาสนานั้น..ไม่ใช่การจะมาพูดกันเฉยๆ หรือด้วยการเดา..หรือคิดเอาเอง.หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ.."ความรู้เท่าความจริง" ตามความจริงนั่นเอง.
ถ้ารู้เท่าความเป็นจริงนี้แล้ว.การสอนก็ไม่จำเป็น
แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้.แม้จะฟังคำสอนเท่าใด.ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง.
พระพุทธองค์ตรัสว่า..พระองค์เป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้นแต่ไม่สามารถจะทำแทนหรือปฏิบัติแทนได้..
เพราะธรรมชาติทั้งหลายหรือความจริงอันนี้.เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาเอง.ปฏิบัติเอง.
"คำสอน"ต่างๆ เป็นเพียงแนวทางหรืออุปมาอุปไมย
เพื่อนำให้"เข้าถึงความรู้ตามความเป็นจริง"
.ถ้าไม่รู้เท่าตามความเป็นจริง..เราก็จะเป็นทุกข์.
🔆สัจธรรมของธรรมชาติ🔆
👩โยม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ
มีคำถามที่สงสัยเกิดขึ้นในใจเจ้าค่ะวันนี้ อยากรู้เพื่อความสิ้นสงสัยเจ้าค่ะ ขอหลวงตาอย่าถือสาหากคำใดที่หนูใช้ไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ
ในขณะที่กำลังอาบน้ำ สติก็อยู่กับการรู้ตัวว่าอาบน้ำ ชิว ๆ เจ้าค่ะ เกิดปรากฏเห็นรูปกายมันขยับท่านั้นท่านี้ ในขณะนั้นหนูไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวเองอาบน้ำเลยเจ้าค่ะหลวงตา
เหมือนดูกายมันเคลื่อนไหวของมันเอง
สงสัยเจ้าค่ะหลวงตาว่า ที่กายมันเคลื่อนไหวท่านั้นท่านี้เหมือน อัตโนมัติเองอย่างนั้น เพราะมันมีธาตุลม หรือความว่าง หรืออะไรที่มีเหตุปัจจัยให้มันทำเจ้าคะ??
กราบขออภัยที่ไม่มีความรู้ตรงนี้เลยเจ้าค่ะ กราบหลวงตาเมตตาชี้แนะเจ้าค่ะ
~~~~~~~~~~~~~~~
☀️หลวงตา : กายมันยังไม่ตาย มันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ มันก็ต้องเคลื่อนไหว เกิดดับ
จิตมันยังไม่ตาย (เพราะยังไม่ถึงอนุปาทิเสสนิพพาน) มันก็เป็นธรรมชาติที่เคลื่อนไหว เกิดดับ
แต่จิตบริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ (เพราะสิ้นอวิชชา) เป็นธรรมชาติที่ได้แต่รู้แต่ไม่ปรากฏอะไร ไม่ปรากฏความเคลื่อนไหว
มันเป็นธาตุชนิดหนึ่งเหมือนกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ (ความว่าง) แต่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ไม่มีความรู้ในตัวเอง ส่วนธาตุรู้บริสุทธิ์ มีความรู้ในตัวเอง ทั้งที่ไม่มีตัวตนไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ปรากฏกิริยาหรืออาการใด ไม่มีอะไรปรากฏ มันจะเป็นเหมือนความว่าง (ธาตุอากาศ)
ในตัวเรานี้ จึงมีสิ่งที่เคลื่อนไหวเกิดดับสองอย่าง คือ กาย และ จิตปรุงแต่ง ซึ่งเป็นสังขาร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ เป็นทุกข์ เพราะมีสภาพบีบคั้น เนื่องจากทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เกิดแล้วต้องดับ หรือ แก่เจ็บตาย
ส่วนจิตบริสุทธิ์ หรือใจบริสุทธิ์ หรือธาตุรู้บริสุทธิ์ เป็นวิสังขาร ไม่เคลื่อนไหว ไม่เกิดดับ ไม่ปรากฏอะไรเลย ได้แต่รู้ ส่วนนี้เป็นส่วนที่พ้นจากทุกข์
ดังนั้น ที่โยมเห็นกายเคลื่อนไหวเอง แต่ใจไม่เคลื่อนไหวไปตามกายนั้น ก็ถูกต้องตามธรรมชาติแล้ว แต่ถ้าให้ดียิ่งกว่านี้ โยมต้องเห็นจิตเขาเคลื่อนไหวเอง แต่ใจไม่เคลื่อนไหวไปตามจิตด้วย
ถ้าเห็นอย่างนี้ จึงจะรู้แจ้งแก่ใจตนเองในสัจธรรมความจริงของธรรมชาติว่า ..........
กาย (กายสังขาร) เคลื่อนไหวเอง ดับเอง ส่วนใจ (วิสังขาร) ไม่เคลื่อนไหว ใจไม่ปรากฏอะไร ได้แต่รู้
จิต (จิตตสังขาร) เคลื่อนไหว เกิดเองดับเอง ส่วนใจ (วิสังขาร) ไม่เคลื่อนไหว ไม่ปรากฏอะไร ได้แต่รู้
ส่วนใจ (วิสังขาร) เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรากฏอะไร ได้แต่รู้ เป็นส่วนที่พ้นทุกข์ (นิพพาน)
แต่ถ้ายังมีอวิชชา ก็จะมีตัณหา อุปาทาน คือ มีความรู้สึก หรือความคิดปรุงแต่งยึดถือกาย และ จิต ซึ่งเป็นสังขาร เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
จะเป็นส่วนที่เกินธรรมชาติปกติของสังขาร เพราะธรรมชาติปกติของสังขารเขาเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา (ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ) เขาไม่ได้เป็นตัวตนคงที่ ไม่ใช่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ส่วนวิสังขาร ก็เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏ จึงไม่มีอะไรที่จะยึดถือเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นของเราได้
แต่เพราะความไม่รู้ หรือ ความโง่ (อวิชชา) จึงฝืนธรรมชาติตามความเป็นจริง หลงยึดถือสังขาร หรือ วิสังขาร ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา หรือ มีตัวเราอยู่ในสังขารหรือวิสังขาร แล้วก็หลงยึดถือเอาสังขารหรือวิสังขารมาเป็นของเรา
ดังนั้น เมื่อยังโง่หรือยังมีอวิชชาอยู่ แม้พระพุทธเจ้า หรือ พระสาวก จะบอกความจริงอย่างไร ก็จะฝืนความจริง หลงยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร จนเป็นทุกข์ โศก เศร้า เสียใจ คับแค้นใจ หดหู่ เหี่ยวแห้งใจ
เมื่อยังหลงยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์อยู่ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้เป็นทุกข์ในภพชาติใหม่ ๆ อีกต่อ ๆ ไป
ขณะจิตใดรู้เห็นสัจธรรมความจริงในสังขาร และวิสังขารด้วยใจ ก็จะสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็จะพ้นทุกข์ (นิพพาน) จะสิ้นการเวียนว่ายตายเกิดให้เป็นทุกข์อีกต่อไป
~~~~~~~~~~~~~~~~
👩โยม : น้อมกราบแทบเท้าหลวงตาที่เคารพบูชาเจ้าค่ะ
หมดความสงสัยแล้วเจ้าค่ะ (เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว) เพราะมีสติแล้วจะเกิดปัญญาจริง ๆ ค่ะหลวงตา
เมื่อก่อนมันมองเห็นกายเป็นก้อนเป็นเราแบบแนบแน่น ไม่เคยคิด จะมีปัญญาได้เข้าใจขนาดนี้เจ้าค่ะ
เป็นบุญที่ตัวอยู่ไกล (ประเทศสวีเดน) แต่เหมือนอยู่ใกล้ ๆ ได้นั่งฟังหลวงตาเทศน์สอนเหมือนคนอื่นเลยเจ้าค่ะ
กราบสาธุเจ้าค่ะ
~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
“การเห็นธรรมชาติอันลึกซึ้ง
คือการเห็นความเป็น“เช่นนั้นเอง”
..................................................
.
“ตถตา” แปลว่า ความเป็นเช่นนั้นเอง เป็น“เช่นนั้นเอง”
.
“ตถตา” มีความหมายว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ มันเป็นอย่างนี้เอง
.
หรือว่ามันเป็น "อิทัปปัจจยตา" คือ เพราะมีสิ่งนี้ ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น เพราะไม่มีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงดับลง.
.
ทุกสิ่งแสดงความเป็น"เช่นนั้นเอง"อยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าใจ
.
"ตถตา" นี้สำคัญมาก ถ้าเห็นแล้วปุถุชนก็จะกลายเป็นพระอริยเจ้า เพราะถ้าเห็นแล้วก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆในโลก โดยความเป็นตัวตน หรือโดยความเป็น "ตัวกู-ของกู"
.
ก็เพราะเขาไม่เห็นความความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้นๆ เพราะเขาไม่รู้ หรือโง่เขลาต่อสิ่งนั้นๆ จึงไปยึดเอาเป็นสิ่งที่น่ารักมีความรัก และโกรธในสิ่งที่ชวนให้โกรธ เกลียดในสิ่งที่ชวนให้เกลียด กลัวในสิ่งที่ชวนให้กลัว แล้วก็เป็นทุกข์เอง.
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : เทปบันทึกคำปราศรัย เพื่อนำมาแสดงในงานฌาปนกิจศพ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๖
------------------------------------------
ตถตา ตถาตา ความเป็น“เช่นนั้นเอง”
.
“จะได้พิจารณากันดูต่อไปว่า คำว่า “เช่นนั้นเอง” นี้ จะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร คนที่รู้คำว่า "เช่นนั้นเอง" นั้น มาจากคำบาลีว่า "ตถาตา", ตถาตาก็แปลว่า เช่นนั้นเอง หรือ ความเป็นเช่นนั้น, นี้จะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอย่างไร
.
ถ้าเคยได้ยินได้ฟังมา ก็จะรู้ว่าเป็นคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า "ตถาคตจะเกิดหรือจะไม่เกิดขึ้น ธรรมธาตุนั้นก็มีอยู่แล้ว ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" อย่างนี้ก็มี.
.
บางทีพระองค์ก็ตรัสว่า ธรรมธาตุนั้น คือความที่มีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น, แล้วก็ตรัสปฏิจจสมุปบาท ตั้งแต่อวิชชาปัจจยาสังขารา เป็นต้นไป จนจบ แล้วก็ทรงสรุปความว่า "นี้คือ ความเป็นอย่างนี้ คือเป็นตถาตา, นี้เป็น อวิตตถา นี้คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนี้ หรือว่าอนัญญตา นี้ไม่เป็นอย่างอื่นไปจากความเป็นอย่างนี้, ธัมมัฏฺฐิตตา นี้เป็นความตั้งอยู่โดยธรรมดา, ธมฺมนิยามตา นี้เป็นกฎตายตัวของธรรมดา, หรือว่าอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เป็นการอาศัยซึ่งกันเกิดขึ้น ดังนี้ คำพูดมันหลายคำ แต่สรุปให้เหลือสั้นเข้ามาคำเดียว ก็คือคำว่า "ตถาตา" แปลว่า ความเป็นเช่นนั้น หรือจะเรียกว่าเช่นนั้นเอง.
.
"เช่นนั้นเอง"นี้ ทรงแสดงไว้ด้วยพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็มี ทรงแสดงไว้ด้วยปฏิจจสมุปบาทตลอดสาย ก็มี ทรงแสดงไว้ด้วยอริยสัจ ๔ ก็มี ที่ทรงแสดงไว้ด้วยอริยสัจ ๔ นั้น ท่านกลับจะเรียกสั้นเข้ามาอีกเพียงว่า "ตถา" ก็แปลว่า "เช่นนั้น" แสดงด้วยปฏิจจสมุปบาทท่านใช้คำว่า "ตถาตา" หรือ "ตถตา" แปลว่า "ความเป็นเช่นนั้น" ขาดไปพยางค์หนึ่งก็ไม่เป็นไร เนื้อความยังเท่าเดิมว่า "มันเป็นเช่นนั้น"
.
#พิจารณาดูความหมาย “เป็นเช่นนั้นเอง”
ที่นี้ ก็มาพิจารณาดูกันถึงความหมายของคำว่า "เป็นเช่นนั้น" ก็หมายความว่า มันไม่ผิดไปจากนั้น มันไม่เป็นอย่างอื่น จากนั้น เพราะว่ามันเป็นกฎตายตัวของธรรมดา มันเป็นการตั้งอยู่โดยธรรมดา คือความที่มันอาศัยสิ่งนี้สิ่งนี้แล้วจึงเกิดขึ้น.
.
ดูที่พระไตรลักษณ์ก่อน ว่าสังขารไม่เที่ยง สังขารเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา นี่ ความที่มันไม่เที่ยง คือมันเป็นเช่นนั้น, ความที่มันเป็นทุกข์ คือมันเป็นเช่นนั้น, ความที่มันเป็นอนัตตา คือความเป็นเช่นนั้น ; ฉะนั้น ความเป็นเช่นนั้นก็คือ ความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ถ้าผู้ใดเข้าใจ ผู้นั้นจะเห็นว่าความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา นั่นแหละคือ ความเป็นเช่นนั้น นี่จำไว้ทีหนึ่งก่อนว่า ที่ว่าเป็นเช่นนั้น ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา.
.
ทีนี้ ถ้าว่าจะพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท ความเป็นเช่นนั้นมันอยู่ตรงที่ว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร-สังขารให้เกิดวิญญาณ-วิญญาณให้เกิดนามรูป-นามรูปให้เกิดอายตนะ-อายตนะให้เกิดผัสสะ-ผัสสะให้เกิดเวทนา-เวทนาเกิดตัญหา-ตัณหาให้เกิดอุปาทาน-อุปาทานให้เกิดภพ-ภพให้เกิดชาติ-ชาติให้เกิดทุกข์ทั้งปวง. นี่ความเป็นเช่นนั้นเอง มันยาวหน่อยมันไล่ติดกันไปยาวหน่อย แต่สรุปความแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาททั้งปวงนั้น ก็สรุปเหลือได้เป็นเพียงคำคำเดียวว่า "เป็นเช่นนั้น" คือ "ตถตา" อีกเหมือนกัน.
.
แล้วไปดูที่อริยสัจจ์ ๔ ความทุกข์เป็นอย่างนี้, เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, หนทางให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, ก็ชี้ชัดลงไปอย่างนี้ๆ ก็หมายความว่า "มันเป็นเช่นนั้น" มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เหตุให้เกิดทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความดับทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ มันจะเป็นแต่เช่นนี้ๆ อย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ฉะนั้น จึงเรียกอริยสัจจ์ทั้งสี่นี้ว่า "ตถา" หรือ "ตถตา" ด้วยเหมือนกัน.
.
ฉะนั้น คำว่า "ตถาตา" จึงได้แก่พระไตรลักษณ์ ได้แก่ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่อริยสัจจ์ ๔ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำไมจะไม่เรียกว่า นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งสรุปเข้ามาเหลือเพียงคำคำเดียวว่า "ตถตา" คือความเป็นเช่นนั้น แม้จะใช้คำว่า "ตถาตา" ก็ยังเป็นคำที่มีความหมายอย่างเดียวกัน."
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : โอวาทแก่คณะนักศึกษารวมกันหลายคณะ เนื่องในวันสิ้นปี ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม ไชยา เมื่อ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒ เวลา ๑๙.๓๐ น.
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
กราบเป็น เห็น พระพุทธเจ้า
กราบไม่เป็น เห็นแต่ พระพุทธรูป
คุณยาย อุ่ม อายุ 73 ปี วันนี้ยังแข็งแรงสามารถปั่นจักรยานไปซื้อของที่ตลาดได้ แต่ที่เป็นความภาคภูมิใจของลูกหลานก็คือ
คุณยายเป็นผู้มั่นคงในศาสนา เข้าวัดฟังธรรม มาตั้งแต่อายุ 7- 8 ขวบ
มีพระรัตนตรัยแนบสนิทในหัวใจตลอดช่วงชีวิต แม้ฐานะความเป็นอยู่จะไม่หรูหราเหมือนชาวบ้านเขา แต่คุณยายก็มีอริยทรัพย์ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นเหตุปัจจัยทำให้หัวใจของคุณยายล้นปริ่มด้วยความสุขสงบ
หลวงปู่เจ้าอาวาสวัดป่า เคยเอ่ยถึง คุณยายอุ่ม ท่ามกลางญาติโยมที่ไปทำบุญว่า คุณยายคืออุบาสิกา
"ผู้จะไม่กลับมาเกิดอีก"
ช่วงเย็นของวันอาทิตย์ คุณยายพร้อมกับหลานชายวัย 16 และหลานสาววัย 14 ไปไหว้พระสวดมนต์ที่วัดซึ่งวัดป่าแห่งนั้นอยู่ห่างจากบ้านระยะทางหนึ่งกิโลเมตรพอดี ถนนลูกรังเส้นนี้ ยายกับหลานเดินกันจนชิน
5 โมงเย็น บนศาลาโรงธรรมเงียบกริบ ไร้ผู้คน จะมีก็แต่เสียงตุ๊กแกร้องเพรียกคู่อยู่บนซอกหลังคา
พระประธานหล่อจากทองเหลือง หน้าตักกว้าง 3 ศอก นั่งสงบบนฐานสูง หลังจุดเทียน จุดธูป ยายกับหลานสาวนั่งท่าเทพธิดา ส่วนหลานชายท่าเทพบุตร ก่อนจะไหว้พระสวดมนต์ คุณยายเอ่ยชื่อหลายสาวด้วยเสียงเรียบ ๆ
“ อั๋น ลองทบทวนให้ยายฟังหน่อย ที่ว่า กราบเป็น แล้วจะเห็นพระพุทธเจ้านั้น กราบยังไง นะ”
เด็กสาว อมยิ้ม ดวงตาฉายฉานอย่างมั่นใจ
“ ก้อ ขั้นแรก เราต้องตื่นรู้ ด้วยสัมปชัญญะก่อน
แล้วก็พนมมือขึ้นกลางหว่างอกทำอัญชลี แล้วยกขึ้นทำวันทา โดยนิ้วหัวแม่มือจรดหว่างคิ้ว จากนั้นจึงค่อย ๆ ก้มศีรษะลงทำอภิวาทโดยแบมือ สองข้างลงราบพื้น มือห่างกันเล็กน้อย พอที่จะให้หน้าผากแตะพื้นได้ ขณะที่ข้อศอกสองข้างแนบชิดกับขา ”
“พอแค่นั้นก่อนลูก” เสียงยายดังขึ้นขัดจังหวะ
“
ให้อ้น ช่วยอธิบายต่อว่า เห็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร “
“ ครับ พอเรามีสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม เราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า กาย วาจา ของเรา ไม่ได้เบียดเบียนใคร นั่นหมายถึง เรามี "ศีล" แล้ว
ขณะที่เราก้มลงกราบ จิตเราจดจ่อตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่ได้แส่ส่าย หรือ วอกแวกไปไหน
นั่นมี "สมาธิ" แล้ว เพราะสมาธิหมายถึง จิตที่ตั้งมั่นในอารมณ์เดียว
ขณะกำลังก้มศีรษะอยู่นั้น สติเข้ามาดูที่จิต เห็นจิตสะอาดไม่มีกิเลสใด จรเข้ามา ทำให้สกปรก เศร้าหมอง ขณะเดียวกัน จิตนั้นก็สว่างจ้าด้วยปัญญา รู้ว่าจิตว่าง จากอกุศลทั้งปวง การรู้ว่าจิตว่างนั่นแหละ คือปัญญา
และเมื่อบาปอกุศลไม่ปรุงแต่ง จิตก็สงบ
สรุปว่า ถ้าเราเข้าใจถูกต้องแล้ว ขณะกราบพระ เราสามารถจะมีได้ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา”
คุณยาย หันมามองหน้าหลานสาว เหมือนจะบอกว่าช่วยพูดต่อให้จบ
อั๋น เข้าใจการสื่อความหมายของยาย เธอ ทำหน้ายิ้ม ก่อนเอ่ยขึ้น
“ เมื่อเรามี ศีล สมาธิ ปัญญา จิตเราก็จะเข้าถึง ความสะอาด สว่าง สงบ เวลาใดจิต สะอาด สว่าง สงบ เราก็จะได้พบพระพุทธเจ้า” “นั่นแหละ ถูกต้องแล้ว”
คุณยายหันมาทางหลานทั้งสอง ก่อนจะกล่าวสรุป
” พระพุทธเจ้าที่แท้จริง เป็น สภาวธรรม
ไม่ใช่ตัวบุคคล ไม่ใช่ พระพุทธรูป แต่เป็นความสะอาด สว่าง สงบ ซึ่งเราจะพบได้ที่ ใจ
ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ที่ไหน แม้แต่ ขณะกราบพระ เราก็พบ พระพุทธเจ้า ได้
ถ้ากราบเป็น เราจะเห็น พระพุทธเจ้า
ถ้ากราบไม่เป็นเราก็จะเห็นแต่ พระพุทธรูป”
CR. K. Sukanda
ปรับใจให้เบาสบายก่อน สําคัญมาก
เมื่อวางใจได้เบาสบาย ใจที่เบาสบาย รู้สึกตัว สัมผัสความจริง ที่ใจเข้าไปเห็น ทําเพียงเท่านี้ ให้ใจเบาสบาย เข้ามาอยู่กับใจ แล้วดูใจเราเอง ดูแบบ สบายๆ (เมื่อใจเบาสบายแล้ว แค่เข้ามาเห็นใจ โดยไม่ทําอะไรอีก) จะเห็นธรรมจากใจ
รู้สึก รับรู้ด้วยใจ เชื่อมเข้าถึงใจ อยู่กับใจ สัมผัสความจริง เห็นของจริง
Trader Hunter พบธรรม
ลมหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก็เห็นทั้งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลมกลืนกันอยู่ด้วย ไม่ใช่อยู่คนละเป้า ไม่ใช่อยู่คนละขณะอีกด้วย เมื่อเห็นชัดอยู่อย่างนั้นแล้วกิเลสทั้งปวงที่เคยยึดมั่นว่า เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตนก็สลายไปในตัวอยู่ ณ ที่นั้นเอง ทางนี้เป็นทางพ้นทุกข์ง่ายดีกว่าจะเอานิมิตต่างๆ ไปอวดกัน...หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
“นิมนต์ตั้งใจฟังครับ
การฟัง เมื่อตั้งใจฟังแล้วเกิดประโยชน์ขึ้นแก่ตัวเรา
ถ้าหากฟังไม่เป็น ก็นำความทุกข์-ความเดือดร้อนมาให้แก่เรา
การฟังนั้นมีอยู่ ๒ อย่าง หรือ ๒ ความหมาย
* ความหมายหนึ่ง
ฟัง-ตั้งใจฟังแล้วเพื่อจะมาดัดแปลงแก้ไขตัวเอง
** การฟังอีกแบบหนึ่งนั้น
ฟังแล้วเก็บเอาเรื่องอันนั้น-อันนี้มาคิด
แล้วเลยเป็นความทุกข์ ไม่ได้แก้ไขตัวเอง
มันเป็นความทุกข์
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมนั้นมีอยู่หลายอย่าง
ที่ผมเคยทำมา (คือ) พุท-โธ
นั่งขัดสมาธิหลับตา ตั้งตัวตรงแล้วก็ภาวนา
หายใจเข้า ‘พุท’ หายใจออก ‘โธ’
อันนี้ก็ดี ผมทำมานาน
จากนั้นมาทำสัมมาอรหัง
ก็เหมือนกัน...นั่งสมาธิตั้งตัวตรง แล้วก็หลับตา
อันเดียวกันทั้งนั้น พองยุบ อานาปานสติ
นับหนึ่ง-สอง-สาม-ถึงสิบ หายใจเข้า-หายใจออก
นับแต่สิบลงมาถึงหนึ่ง อันเดียวกันหมดครับ
ผมทำมาเรื่องแบบนี้
แล้วก็นับตั้งแต่หนึ่งไปถึงยี่สิบ นับตั้งแต่ยี่สิบลงมาถึงหนึ่ง
เรียงตัวกันไปให้มันถูกกับลมหายใจ
ดีทั้งนั้น *มันได้ความสงบ
(แต่)มันไม่ได้เกิดปัญญา มันเลยไม่รู้ผิด-ไม่รู้ถูก*
รู้แต่ความสงบเท่านั้น
เมื่อออกไปข้างนอก มีคนมาพูดให้เรา
มันเกิดพอใจ-เสียใจ มันเป็นอย่างนั้น
*มันเลยแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้*
ผมแสวงหาการ*ปฏิบัติธรรม เพื่อมาแก้ปัญหาตัวเอง*ครับ
ไม่ใช่จะไปแก้ปัญหาผู้อื่น (แต่เพื่อ)แก้ปัญหาตัวเอง
*แก้ปัญหาครอบครัว-แก้ปัญหาสังคม ต้องแก้ตัวเองก่อนครับ*
เมื่อแก้ปัญหาตัวเอง(ได้)แล้ว ก็แก้ปัญหาครอบครัวได้
แก้ปัญหาสังคมได้
อย่างพระสงฆ์-องค์เณรก็เหมือนกัน
แก้ปัญหาตัวเอง(ได้)แล้ว ก็ต้องแก้ปัญหาพวกหมู่
แก้พวกหมู่ไม่สำคัญครับ สำคัญ(ต้อง)แก้ตัวเอง
เมื่อตัวเองแก้ปัญหา(ตัวเอง)ไม่ได้ จะไปแก้พวกหมู่ไม่ได้แท้ ๆ
เพราะมันเก็บเอาเรื่องของพวกหมู่มาแบก
มันเข้าเรื่องเขาว่า‘คนแบกโลก’ ยิ่งแบกก็ยิ่งหนัก
เมื่อมีคนทักว่า‘อย่าแบก มันหนัก’
มันเกิดว่า‘ตัวกู-ของกู’ เขาเล่าให้ฟัง
ขยับเข้า-ขยับเข้า…ผลที่สุดโลกทับหัวตาย
โลกทับดับชีวา ก็เลยตาย-ตายเพราะแบกโลก
แบกโลก
ไม่ใช่จะไปแบกให้มันหนักอย่างที่แบกดิน
หรือแบกต้นไม้-แบกอะไรต่าง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น
(แต่คือการ)‘แบกความคิด’
ความคิด...คนพูดอยู่ที่ไหน(ก็)เก็บมาแบกทั้งหมด
ท่านเรียก‘คนแบกโลก’ ไม่ดี-ผิด-ทุกข์
นำความทุกข์-ความเดือดร้อนมาให้แก่เรา
พอดีได้ยินเสียงเรื่องอะไรต่าง ๆ
(ให้)เราสลัดทิ้ง-สลัดทิ้ง ไม่เอามาแบก-ไม่เอามาคิด
แต่เราต้องรู้จักว่าเราทำดีหรือเราทำชั่ว
เราทำผิดหรือเราทำถูก
อันนี้สิเป็นการปฏิบัติธรรม
ถ้าเราทำดีแล้ว คนอื่นว่าชั่ว
มันไม่ใช่ชั่วกับคำพูด(คนอื่น) ชั่วอยู่กับตัวเรา
บัดนี้ถ้าเราทำชั่ว แล้วคนอื่นว่าดี
มันไม่ได้ดีกับคำพูด(คน)โน่น มันดีอยู่กับตัวเรา
ดังนั้นท่านจึงว่า ‘ให้แก้ตัวเราก่อน เรื่องคำพูดนั้นไม่สำคัญ’
เมื่อแก้ตัวเราแล้ว มันสบายแล้วตัวเรา
ท่านให้รู้จักแก้ตัวเรา มันเป็นอย่างนั้น...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
สมถะคือการทำความสงบให้เกิดขึ้นกับจิตใจ
เป็นการปรุงแต่งจิตอย่างหนึ่ง
โดยให้รู้อารมณ์เดียวอย่างต่อเนื่อง
จนจิตสามารถหน่วงเหนี่ยวไว้ได้กับอารมณ์นั้น
ไม่หนีไปที่อื่น ซึ่งการทำสมถะนั้นเอง
ถ้าทำถูกต้องก็มีความสำคัญมาก
ทีนี้เมื่อความคิดหรืออารมณ์ทั้งหลายสงบระงับไป
จนเหลือแต่จิตรู้ที่ตั้งมั่นเด่นขึ้นมา ก็เป็นโอกาสให้เรา
ได้เห็นสภาพธรรมต่างๆ ที่แสดงตัวอยู่ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อจิตตั้งมั่นย่อมรู้เห็นตามจริง ซึ่งก็คือวิปัสสนา
อันเป็นตัวถอดถอนความเห็นผิด ความยึดถือผิดๆ
ว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรา เพราะจะเห็นถึงความไม่เที่ยง
ความทนอยู่ในภาวะเดิมไม่ได้ ความไม่อยู่ในอำนาจจริง
ของทั้งร่างกายและจิตใจ นี่เป็นข้อสรุปสั้นๆ
ของผู้ที่จะเริ่มมาจากสมถะ เพื่อขึ้นสู่องค์แห่ง วิปัสสนา
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
" ความรู้โลกุตตระ
อันนี้ พูดให้ฟังไม่รู้เรื่อง
อกฺขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก
คือ พระพุทธเจ้าบอกให้ได้
แต่ว่า ทำให้ไม่ได้
เรื่องการประพฤติปฏิบัติ มันเป็นเช่นนั้น
ฉะนั้น...
อดทน แล้วก็เพียร
อดทน แล้วก็เพียร
สอบอารมณ์เรื่อย ๆ ไป
ถึงคราวเราทำความเพียร เรา ก็ทำไป
ทำสมาธิ
เรา ก็ทำไป ออกจากสมาธิ ก็พิจารณา
เห็นมด ก็พิจารณา เห็นสัตว์อะไร ก็พิจารณา
เห็นต้นไม้ พิจารณา ทุกอย่างเหมือนเรา
ทุกอย่างน้อมเข้ามาหาตัวเรา
เหมือนเราทั้งนั้น
อย่างใบไม้
มันจะหล่นลงไป ใบไม้ มันจะขึ้นมาใหม่
ต้นไม้ มันจะใหญ่ ต้นไม้ มันจะเล็ก
อะไรทั้งหลายเหล่านี้ มันล้วนแต่เกิดปัญญาทั้งนั้น
ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นอะไรมันทั้งหมด
เมื่อจิต...เรา รู้จักการปล่ยวาง เช่นนี้
แล้วมันก็จะเกิดความสงบ
ความสงบ...ไม่ใช่ สุข ไม่ใช่ ทุกข์
มัน"สงบ" เรียกว่า ได้ความพอดีเหมาะสม ด้วยความรู้สึกนึกคิด ของเรานั้น เรียกว่า...เป็นธรรม."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" ...ความสงบนี้ มีสองประการ
คือ ความสงบอย่างหยาบอย่างหนึ่ง และความสงบอย่างละเอียด อีกอย่างหนึ่ง
อย่างหยาบนั่นคือ เกิดจากสมาธิที่เมื่อ
สงบแล้ว ก็มีความสุขแล้วถือเอาความสุขเป็น
ความสงบ
อีกอย่างหนึ่งคือ ความสงบที่เกิดจาก-
ปัญญา นี้ไม่ได้ถือเอาความสุขเป็นความสงบ
แต่ ถือเอาจิตที่รู้จักพิจารณาสุข-ทุกข์ เป็น
ความสงบ
เพราะว่า...
ความสุข-ทุกข์นี้เป็นภพ เป็นชาติ เป็นอุปาทาน
(เป็นทุกข์) จะไม่พ้นจากวัฏฏสงสาร เพราะติด
สุข ติดทุกข์
ความสุขจึงไม่ใช่ ความสงบ
ความสงบจึงไม่ใช่ ความสุข
ฉะนั้น ความสงบที่เกิดจากปัญญานั้นจึงไม่
ใช่ความสุข แต่เป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริง ของความสุข-ความทุกข์แล้วไม่มีอุปาทานมั่นหมายในสุข-ทุกข์ ที่มันเกิดขึ้นมา
ทำจิตให้เหนือสุข เหนือทุกข์นั้น ท่านจึง
เรียกว่า...เป็นเป้าหมายของพุทธศาสนา อย่างแท้จริง"
________________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)