//...ก่อน.ลงธรรมทาน..ในเฟส.//
-ข้าพเจ้าจะอธิษฐานในใจทุกครั้งว่า
“ลูกนาม............ขอนำคำสอน ของผู้รู้ หลวงปู่ครูอาจารย์ และสิ่งดีงาม
เพื่อเป็นธรรมทาน แก่สรรพสัตว์ทั้ง๓ โลก ให้มีสติปัญญา
นำพาตนเองออกจากกองทุกข์กองอวิชชา โดยเร็วพลัน
ลูกขอน้อมถวายบุญกุศลนี้ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
เพื่อสืบทอดพุทธศาสนา เพื่อดวงตาเห็นธรรม
และขออุทิศส่วนกุศลนี้ จึงถึงแก่บิดามารดา ครูอาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงโมทนายินดี มีความสุข พ้นจากทุกข์ ด้วยเทอญ..”
มโนธาตุ โพธิญาณ
ผู้ประพฤติปฏิบัติเจริญสตินั่นก็ ละกันเป็นขณะ ๆ เขาเรียกว่า ตทังคปหาน การประหารกิเลสเป็นขณะ ๆ ปฏิบัติไปแล้วเดี๋ยวมันก็ยังเกิดได้อีก
ยังโกรธอีก ยังหลงอีก ยังเผลออีก ยังง่วงอีก ยังท้อถอยอีก ยังฟุ้งอีก ก็ให้เข้าใจว่ามันยังไม่ได้เด็ดขาด มันก็ต้องเกิดขึ้น ขณะใดสติสัมปชัญญะอ่อน ความเพียรอ่อน ไม่พยายาม กิเลสก็มีกำลังเข้ามาแทรกแซงสลับ
เมื่อรู้ทันละได้ รู้ทันละได้ ก็เบาบาง แต่มันก็ยังเกิดอีกเพราะมันยังไม่เด็ดขาด แต่การละเป็นขณะ ๆ ด้วยปัญญาที่รู้เป็นขณะ รู้รูป รู้นาม รู้สภาวะ เห็นความเกิดดับหมดสิ้นไปทุกขณะ ๆ อันนี้แหละคือเหตุปัจจัยที่จะส่งไปสู่การละโดยเด็ดขาด
การละโดยเด็ดขาดไม่ใช่เกิดขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้พยายามฝึกหัดขัดเกลาทีละเล็กละน้อยอย่างนี้ ไม่ใช่มันอยู่ดี ๆ มันจะทำแล้วก็เด็ดขาดไปเลย มันไม่ได้ มันต้องอาศัยการละเป็นขณะ ๆ
สะสมกำลังของสติเรื่อย ๆ เรื่อยไป เพราะฉะนั้นจึงต้องพากเพียรพยายามไม่ท้อถอย ซึ่งการลงทุนลงแรงด้วยความพากเพียรด้วยความอดทนนี่มันคุ้มค่า
เพราะสิ่งที่จะได้รับมันประเสริฐสูงสุด มันดับทุกข์ให้เราได้ มันเป็นสิ่งที่ควรเพียร ควรพยายาม ควรทำ เรียกว่ามันมีสาระ มันเป็นสาระที่สุด
พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรังสี)
< ปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติ >
สิ่งที่เป็นตัวตัดสินว่า ในขณะหนึ่งๆ นั้นเป็นขณะของการปฏิบัติธรรมหรือไม่ สิ่งนั้นคือตัว "สติ"
การทำความเพียรใดๆ ความพยายามใดๆ การฝึกเพ่ง ฝึกข่ม ฝึกทรมานตนใดๆ รวมทั้งการอ่านหนังสือธรรมะต่างๆ ถ้าหากไม่มีสติแล้ว ก็ไม่เรียกว่าเป็นความเพียรชอบ และไม่ใช่การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง
ความหมายของการฝึกปฏิบัติธรรมในขั้นต้น จึงอาจจะสรุปได้สั้นๆคือเป็นการเจริญสติ นั่นเอง
การเจริญสติ ฝึกให้เรารู้การทำงานของจิต คอยตามรู้การกระทบต่างๆ ตามดูการคิดที่คอยคิดปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ เฝ้าสังเกตดูอยู่ ให้รู้เท่าทันอย่างสบายๆเป็นธรรมชาติ โดยไม่เข้าไปกำหนดเชิงบังคับ หรือเข้าไปแทรกแซง
ทุกครั้งที่เรารู้ทัน หรือแม้แต่ตามรู้ทันทีหลังอยู่ใกล้ๆกัน สิ่งที่พัฒนาขึ้นในจิตใจของเราคือ "สติ" เจริญสตินั่นเอง
》การบ้านชิ้นแรกที่ไม่ยากไม่ง่าย สำหรับนักปฏิบัติธรรมมือใหม่ ก็คือ "การฝึกเจริญสติ" ให้มีสติบ่อยๆ มากขึ้นๆ และต้องเป็นการฝึกให้เกิดมีขึ้นให้ได้ในแทบทุกขณะของอริยาบท ในทุกขณะของการทำงานในชีวิตประจำวันของเรา
การปลีกแยกตัวไปหาที่สงัด หรือที่ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมในการฝึกสติในเบื้องต้นนั้นอาจจะมีความจำเป็นในขั้นเริ่มต้นแรกๆ แต่สุดท้ายแล้ว เราต้องฝึกให้มีสติให้ได้ในทุกๆที่ แม้แต่ในที่ที่มีสิ่งกระทบกวนใจเราอยู่มากมายที่เราต้องเผชิญอยู่เสมอๆเป็นปกติในแต่ละวัน
"..เข้าใจเสียว่า มันจะเป็น"จิต"ก็ช่างมันเถอะ
เมื่อมัน"นิ่งอยู่อย่างนี้" ก็คือ"ปกติของมัน"
ถ้าว่ามันเคลื่อนปุ๊บ ก็เป็น"สังขาร"แล้ว
มันจะเกิดยินดีก็เป็นสังขาร มันจะเกิดยินร้ายก็เป็นสังขาร
มันอยากจะไปโน่น ไปนี่ ก็เป็นสังขาร
ถ้าไม่รู้เท่าสังขาร ก็วิ่งตามมันไป เป็นไปตามมัน
เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใด ก็เป็นสมมติสังขารเมื่อนั้น
ท่านจึงให้พิจารณาสังขาร คือจิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง
เมื่อมันเคลื่อนออกไปก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ท่านให้พิจารณาอันนี้.."
.
หลวงปู่ชา สุภทฺโท
ปฏิบัติแนวนั่งสมาธิใช้คําบริกรรม แล้วยังไม่ได้จิตผู้รู้เลย ช่วยแนะนําด้วยครับ ?
ตอบ
วางใจให้สงบกับคําบริกรรม การรู้ลมหายใจ ให้ รู้สึกกับลม ตรงที่รู้สึกกับลม คือตัววิญญาณหรือจิตผู้รู้ เข้ามารับรู้
ให้เห็นความรู้สึกที่ปรากฏขึ้น จากลมหายใจ การที่เรารู้สึกสัมผัสตรงนี้ไปเรื่อยๆ บ่อยๆ เป็นการยํ้าอยู่กับจิตผู้รู้ ทําอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จิตผู้รู้จะเข้มแข็งขึ้นมีกําลัง ตั้งมั่นขึ้นมา ใจจะรับรู้ได้เอง ว่า จิตผู้รู้ตั้งมั่นขึ้นมา เมื่อจิตตั้งมั่นขึ้นมาจะวางคําบริกรรมลง ก็ไม่ต้องไปดึงคําบริกรรมกลับมาอีก จิตจะสงบตั้งมั่นขึ้นเรื่อยๆ กายเบาใจเบา จนเข้าสู่ความว่าง ให้สังเกตุดูว่าใครเป็นผู้รู้ความว่าง นั้นหล่ะคือจิตผู้รู้ อยู่กับจิตผู้รู้ รับรู้สิ่งต่างๆที่ปรากฏขึ้นมา เพียงแค่รู้ ไม่ตามไป
ให้หมั่นรู้สึกกับลมหายใจ ในชีวิตประจําวัน ทําตรงนี้บ่อยๆ ตลอดเวลาที่นึกได้ เป็นการเสริมกําลังสติ ตรงที่ รู้สึก นี้หล่ะ รู้สึกโดยไม่มีความหมายไม่มีภาษา รู้สึกสบายๆเบาๆ ไม่ไปปรุงแต่งใจ
รู้สึกบ่อยๆ จะรู้สึกกับอะไรก็ได้ อยู่กับความรู้สึกตัว คือการเข้าไปรู้อยู่กับจิตผู้รู้แล้ว ทําบ่อยๆ จิตผู้รู้จะเข้มแข็งมีกําลัง
สายสมาธิ จะนั่งสมาธิ รู้สึกกับลมหายใจ โดยใช้คําบริกรรมเป็นเครื่องผูกให้ใจสงบ รู้สึกกับลมหายใจ ด้วยทางสายกลาง คือพอเหมาะพอดีกับใจ จิตผู้รู้จะเด่นตั้งมั่นขึ้นมาเอง
สายเจริญสติ จะ รู้สึกตัว รู้ไปกับ การดูกาย การดูใจหรือดูจิต สุดท้าย การระลึกรู้ หรือรู้สึกกับกายกับใจ ก็เป็นการเข้าไปอยู่กับจิตผู้รู้เช่นกัน ทําบ่อยๆ จิตผู้รู้จะเด่นตั้งมั่นขึ้นมาเอง
สุดท้ายไม่ว่าสายไหน ก็เข้ามาอยู่กับจิตผู้รู้ เพื่อจะเจริญวิปัสสนา การปฏิบัติธรรมคือ การเข้าถึงใจ ด้วยการทําให้บ่อย จนใจชิน ใจชินที่จะอยู่กับความรู้สึก หรืออยู่กับจิตผู้รู้
🎈ความรู้ทั้งหมดเพื่อปล่อยวาง🎈
ความรู้ทั้งหมด เอามาใช้เพื่อ
"การปล่อยวาง" เพียงอย่างเดียว
หรือ "ไม่ยึดถืออะไรเลย"
ไม่ใช่ "รู้" เพื่อเอามา "แบก"
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
แล้ว จิต ก็จะ เพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิต ไปเรื่อยๆจนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิก “รูปปรมาณู” “ วิญญาณที่เล็กที่สุด” ภายในจิตได้
คำว่า “ แยกรูปถอด” นั้น หมายความถึง “แยกรูปวิญญาณ” นั่นเอง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า “จิต” กับ “กาย” อยู่คนละส่วนได้แล้ว
ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไร หลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่
พยายามใช้"สติ" สังเกตดูที่"จิต" ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติแห่งจิต ได้อย่างละเอียดลออตามขั้นตอน
เข้าใจในความ เป็นเหตุเป็นผลกันว่า “เกิดจากความคิด” นั่นเอง และ “ความคิด” มัน “ออกไปจากจิต” นี่เอง ไปหาปรุง หาแต่ง หาก่อ หาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด
มันเป็น “มายาหลอกลวง” ให้ "คนหลง"
“การเข้าใจความเป็นจิตของตนอย่างไร จึงจะถือว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง”
เมื่อพระพุทธองค์ทรงค้นพบสัจธรรมความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งชัดว่า ธาตุทั้งสี่ ขันธ์ทั้งห้า แท้ที่จริง มันหามีตัวตนแห่งขันธ์ธาตุทั้งหลายไม่ โดยธรรมชาติมันย่อมเป็นความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตนอยู่อย่างนั้น
และรู้แจ้งชัดว่าจิตนี้โดยธรรมชาติ มันคือความบริสุทธิ์โดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าหากปรุงแต่งเป็นปรากฏการณ์แห่งจิตต่างๆที่เกิดขึ้น จิตเหล่านี้ก็เป็นความไม่บริสุทธิ์โดยเนื้อหามันเองอีกเช่นกัน...
จิตที่บริสุทธิ์พอใจในการกระทำความดี โดยทำไปแบบนั้นตามธรรมชาติของจิต
แต่จิตที่ไม่บริสุทธิ์ก็ถูกปรุงแต่งขึ้น ตามอำนาจแห่งอวิชชา ตัณหา อุปาทาน แห่งการทำ"ความดีและการทำชั่ว"
บุคคลที่มิได้รับผลกระทบใดๆจากอำนาจแห่งจิตชั่ว คือผู้ที่เป็นอิสระแล้วในความเป็นธรรมชาติแห่งเขาเหล่านั้น
บุคคลเหล่านี้ย่อมอยู่ในความทุกข์และในสุขอันยั่งยืน โดยปราศจากความแปรผัน ด้วยความหมดเหตุปัจจัยในการปรุงแต่ง เป็นความสุข ในความเป็นธรรมชาติแห่งการหลุดพ้นนั้น
ส่วนปุถุชนผู้มืดบอดย่อมถูกบีบคั้นด้วยจิตสกปรก และยุ่งเหยิงซับซ้อนด้วยกรรมต่างๆนานาแห่งตน เพราะจิตสกปรกแปดเปื้อนมลทิน ไปด้วยการปรุงแต่งในลักษณะหลากหลาย ย่อมปิดบังธรรมชาติที่แท้จริงแห่งความเป็นเขาเหล่านั้น ด้วยอำนาจแห่งการปรุงแต่งจึงพาเขาต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ในภพทั้งสามอยู่อย่างนั้น
ในพระสูตรได้กล่าวว่า “ในความเป็นปุถุชน ก็มีความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะที่ไม่อาจทำลายมันลงไปได้ เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่แสงของมันได้สาดส่องไปทั่ว แต่เมื่อใดมันถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกอันหนาทึบ ด้วยเงาของขันธ์ทั้งห้า มันก็เหมือนแสงที่อ่อนแสงด้วยการถูกบดบังนั้น”
และในพระสูตรยังกล่าวอีกว่า “ปุถุชนย่อมมีธรรมชาติแห่งพุทธะ แต่มันถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจมืดแห่งอวิชชา
ความเป็นพุทธะก็คือธรรมชาติแห่งความเป็นจริง ที่มันว่างเปล่าโดยความเป็นมันเองอยู่อย่างนั้น การรู้ชัดแจ้งในความเป็นธรรมชาตินี้ คือความหลุดพ้น”
การประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรมชาติแห่งจิตตน จึงเป็นรากฐานอันคือรากของต้นไม้ที่หาอาหารเลี้ยงบำรุงลำต้น จึงก่อให้เกิดต้นไม้แห่งธรรมและผลิตผลออกมาเป็นนิพพาน
การเข้าใจจิตของตน ด้วยความหมายแห่งความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ จึงเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง อันคือ สัมมาทิฐินั่นเอง
ท่านโพธิธรรม 🙏🏻ค่ะ
คำว่าว่า “สติปัฏฐาน” แปลว่า ความตั้งทั่วแห่งสติ ซึ่งความจริงก็คือ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีอาตาปี ตั้งอยู่ที่กายที่จิต ชื่อว่า สติปัฏฐาน
.
สติปัฏฐาน มีอย่างเดียวแต่รู้อารมณ์ ๔ อย่าง จึงชื่อว่า สติปัฏฐาน ๔ คือ
๑. รู้ตามความขยับเขยื่อนเคลื่อนไหว หรือนิ่งอยู่ของกาย อย่างชัดเจน ชื่อว่า”กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน”
๒. รู้ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของเวทนาอย่างชัดแจ้ง ชื่อว่า“เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน”
๓. รู้ตามเห็นตาม ซึ่งจิตมีความยินดีในกามารมณ์ หรือจิตไม่มีความยินดีในกามารมณ์ก็รู้ชัด ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า”จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน”
๔. รู้ตามเห็นตาม ซึ่งธรรมทังหลาย อันมีนิวรณ์๕ เป็นต้น ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ที่กายทีจิตอย่างชัดแจ้งเนืองๆอยู่ ชื่อว่า “ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน”
.
ในโพธิปักขิยธรรม อันมีสติปัฏฐาน๔ เป็นต้นนี้ จะเกิดขึ้นได้เพราะอํานาจของสัมมาสมาธิของผู้มีศีลบริสุทธิ สัมมาสมาธิ นั้นเป็นเสาหลักสําคัญ เพราะสัมมาสมาธิเป็นองค์มรรคที่๘
พระอริยสงฆ์เจ้า หลวงปู่เจือ สุภโร
/คณะผู้จัดทำ สานุศิษย์หลวงปู่เจือ สุภโร
< เจริญสติไปทำไม? >
จุดมุ่งหมายเบื้องต้นของการเจริญสตินั้น
(1) เพื่อให้เราได้รู้จักกับคุณภาพของจิตของเราในขณะนี้
ถ้าหากเรายังไม่รู้ว่าในขณะนี้จิตใจของเราเป็นอย่างไร มีระดับของกุศลจิตและอกุศลจิตอยู่มากน้อยเพียงใด มีระดับของความคิดเห็นที่ถูกที่ควรหรือมีปัญญาอยู่เพียงใด
... เราก็จะตกอยู่ในสภาพของคนหรือสภาพของชีวิตที่ยังไม่รู้จักตัวเอง ยังไม่รู้จักแม้แต่ในขั้นเบื้องต้นที่จำเป็นและเพียงพอ
... เมื่อยังไม่รู้จักตัวเราดี ไม่รู้สภาวะจิตใจของเรา ก็ป่วยการที่เราจะไปสนใจไปทำอะไรอื่นๆให้เกิดผลดีได้
... เมื่อไม่รู้ ชีวิตและจิตใจก็จะถูกปล่อยให้ดำเนินไปตามความไม่รู้ เป็นไปตามกิเลสหรืออกุศลจิตเดิมๆที่เราเก็บสั่งสมไว้
(2) เพื่อให้ได้เครื่องมือชิ้นที่ 1 ที่สำคัญที่สุดในขั้นแรกของการปฏิบัติธรรม
ทำไมจึงกล่าวว่า "สติ" เป็นเครื่องมือชิ้นที่ 1 ที่สำคัญที่สุดในขั้นแรกของการปฏิบัติธรรม ก็เพราะว่า "สติ" คือ หัวใจของ "ศีล" นั่นเอง บุคคลที่ขาดสติอยู่บ่อยๆ จะมีศีล จะรักษาศีลไว้ไม่ได้เลย การมีสติ รู้ทันการกระทบของจิต รู้ทันอารมณ์ รู้ว่ากุศลจิต หรืออกุศลจิตกำลังจะเกิดขึ้น นั่นคือขณะแห่งการรักษาศีลที่สมบูรณ์
》การบ้านชิ้นที่ 2 ต่อเนื่องจากการได้ฝึกเจริญสติ จนเราเริ่มคุ้นเคยกับการมีสติบ่อยๆ หรือจนเราเริ่มรู้ได้ว่า จิตเราเริ่มที่จะเจริญขึ้น มีคุณภาพมากขึ้นในเรื่องของ "การมีสติ"
... ที่สำคัญคือ เราจะเริ่มสังเกตได้ว่า จิตของเราเริ่มจะมีธรรมชาติของการมีสติมากขึ้น จิตเลือกที่จะมีสติเองอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเราจะเริ่มสังเกตเห็นได้
... เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะรู้ว่าเราได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมในขั้นเบื้องต้นแล้ว
อย่าลืมว่า จิตนั้นเราจะไปบังคับเขาไม่ได้ เราจะสั่งให้เขามีสติไม่ได้ แต่การคอยเฝ้าดูอาการของจิต การเกิดขึ้นของอารมณ์ ความรู้สึก และการนึกคิดต่างๆ
... เฝ้าสังเกต ให้รู้ทันอยู่ใกล้ๆ เรื่อยๆ บ่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ และทำต่อเนื่องกันเช่นนี้ ทำเหตุเช่นนี้ ด้วยฉันทะ ด้วยความตั้งใจและความขยัน (อย่างสบายๆ)
... ผลที่ได้คือ จิตจะเริ่มคุ้นเคยกับการมีสติ และเลือกที่จะมีสติเอง
... กล่าวคือ จิตมีคุณภาพในเรื่องสติดีขึ้นนั่นเอง
การฝึกในขั้นต่อไป ก็ให้ทำเหมือนเดิม ผลที่ถูกต้องที่เกิดขึ้น จากการทำเหตุที่ถูกต้อง จะเกิดขึ้นเอง และเราจะรู้ได้เอง ซึ่งจะเป็นตัวตรวจสอบ เป็นพยานหรือเป็นเครื่องยืนยันหลักวิธีการปฏิบัติในการเจริญสติของเรา ในขั้นนี้เราจะเริ่มได้รู้จักกับสภาวะที่ไม่เคยรู้ เราจะได้รู้จักกับสภาวะของการมีสติอยู่บ่อยๆ สภาวะของการมีสติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดขึ้นจากจิตของเราอย่างเป็นธรรมชาติ
... ให้เราเพียงแต่รู้ ตามรู้อย่างที่เคยปฏิบัติ ถ้าเกิดอาการผ่อนคลาย อาการถอดถอน อาการสงบระงับ หรือเกิดสมาธิขึ้น ก็เพียงแต่ตามรู้ ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง อาจจะเกิดความปิติ ความยินดี ก็ให้รู้ว่าปิติยินดี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสภาวะธรรมทั้งนั้น อาจจะปรากฏอยู่สักครู่สั้นๆ แล้วก็จะดับหายไป เมื่อเกิดก็ให้รู้ คงอยู่ชั่วขณะก็ให้รู้ และดับไปก็ให้รู้
... อย่าเผลอตัว เผลอสติไปอาลัยอาวรณ์ อย่าไปเผลอคิดอยากให้สภาวะเหล่านี้คงอยู่นานๆ
... ถึงแม้จะเป็นสภาวะธรรมฝ่ายกุศล เขาก็ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจบังคับของเรา เขาเกิดขึ้นจากเหตุ อยู่ได้ด้วยเหตุ และดับไปตามเหตุ
... ให้เราเพียงแต่ตามรู้ มีสติรู้สภาวะความเป็นไปเหล่านี้เท่านั้น
... ไม่ต้องไปติดใจ ไปอยากให้เขาเกิดขึ้น
... เพราะเขาจะไม่เกิดขึ้นเพราะความอยาก
... เมื่อมีสติ รู้ และเห็นตามเช่นนี้ได้
... ก็จะเกิดการพัฒนาของจิตที่เรียกว่า "เจริญปัญญา"
เมื่อ "เจริญสติ" ได้ถูกต้อง จนถึงขั้นหนึ่งแล้ว ก็จะถูกส่งต่อไปยังขั้นของการ "เจริญปัญญา" เองโดยอัตโนมัติ
รู้กาย รู้ใจ
"พระนิพพาน" อยู่ใกล้ที่สุด ไม่ไกล อย่าไปหาไกล "หนัง" มันห่อไว้ กระดูกมันห่อไว้ ทำลายมันออกให้หมด
"จิต" อันนี้มันก็ปิดบังมรรคผลนิพพานไว้ ทำลายจิตลงไปอีก จิตแตกสลายออกไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน ทำลายให้เป็นของว่าง
ยึด "ผู้รู้" ว่า "เป็นเรา" ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น "จิตสักแต่ว่าจิต" "ธรรมสักแต่ว่าธรรม" ไม่ให้มันไปไหน ให้มันอยู่ใน "กาย เวทนา จิต ธรรม"
ของ "สมมุติแท้ๆ" ก็มี "ของจริง" อยู่ในสมมุตินั้น "จิต" เป็นตัว "สมุทัย" เป็น "ตัวอริยะสัจ" มี "สติ" แล้ว "ศีล สมาธิ ปัญญา" ก็สมบูรณ์
ศูนย์รวมของธรรม อยู่ที่ใจ กิเลสตัณหาอยู่ในจิตเท่านั้น ไม่ได้อยู่ใน รูป เสียง....."ธรรม" ทั้งหลายเกิดจาก "จิต" ของเรา อยู่ที่ "จิต" เวทนาไม่มีตัวไม่มีตน
"จิต" ของเราก็เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก แต่ "มันอยู่" ใน "จิตอันนี้" หวงหนังห่อขี้ หนังห่อมูตรห่อคูต
หลวงปู่ แบน ธนากโร.
วัดดอยธรรมเจดีย์ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ สกลนคร
“…สำหรับอาตมา มีประสบการณ์ว่า
การเจริญสติ…ไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา
หลวงพ่อเคยทำวิธีหลับตามาแล้ว…แต่ไม่เกิดปัญญา
พอมาทำวิธีใหม่ วิธีของหลวงพ่อนี้…มันเกิดปัญญา
ทำให้รู้สึกว่าถูกต้องกับตำรับตำราของคนสมัยใหม่
วิธีของหลวงพ่อนี้…บางคนอาจจะคิดว่าเป็นของใหม่ก็ได้
เพราะยังไม่เคยได้ยิน
แต่ความจริงแล้วเป็นของเก่าตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าสอนนั่นแหละ
การเจริญสติที่อาตมาทำมา และกำลังเล่าให้ฟังอยู่นี้ทำดังนี้ :
สมมติว่า เรากำลังนั่งพับเพียบ หรือ กำลังนั่งเก้าอี้
หรือ กำลังนอน หรือ ยืนก็ได้
ให้เอาสติมาจับความเคลื่อนไหวของมือ
พลิกมือขึ้น-คว่ำมือลง ยกมือขึ้น-เอามือลง
ให้มีสติรู้ทุกอิริยาบถ
ทำอย่างนี้บ่อย ๆ นี่เป็นการเจริญสติอย่างหยาบ ๆ
พูดง่าย ๆ คือ ให้มีสติอยู่ทุกอิริยาบถ
ไม่ว่าจะนั่ง-นอน-ยืน-เดิน ‘จะทำอะไรอยู่ก็ตาม…ให้รู้สึก’
การทำวิธีใคร ๆ ก็ทำได้
จะนับถือศาสนาอะไร…ก็นำเอาไปทำได้ทั้งนั้น
ไม่ว่าชนชาติใดก็ทำได้…เพราะทุกคนมีกายกับใจด้วยกันทั้งนั้น
ทุกศาสนาก็สอนเหมือนกันหมด คือ ให้ละความชั่ว ทำความดี
เมื่อเจริญสติจนชำนาญแล้ว
ให้เอาสติเข้าไปจับความรู้สึกของจิตใจ
คือ รู้ตามอารมณ์ ไม่ว่าจะคิดอะไร…ก็ให้รู้ ให้เห็น
ให้คอยจับดูความคิดของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
คือ ดูจิตดูใจของตัวเองตลอดเวลา…ไม่ว่าจะทำอะไร
จะอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ขุดดิน ฟันหญ้า อาบน้ำ
ทำอะไรก็ตาม…ให้คอยเฝ้าดูจิตดูใจของตัวเองตลอดเวลา
ว่าเกิดความรู้สึกอย่างไรขึ้น
พอใจ ไม่พอใจ กังวล สงสัย…ซึ่งเป็นความคิด เป็นอารมณ์
ก็ให้เราเฝ้าดูความคิด ดูอารมณ์นั้น…แล้วเราจะเห็นความคิดต่าง ๆ
เช่น ความดีใจ เสียใจ อยากได้ อยากไม่ได้ โกรธ เกลียด
มันไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา
มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป…เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
กล่าวคือ เราไม่ได้ดีใจ หรือเสียใจอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
การเปลี่ยนแปลง นี่แหละ…ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
เป็น อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา
ฉะนั้น เราอย่าไปตามอารมณ์
ถ้าเราไปตามอารมณ์…เราก็จะเกิดทุกข์
เราเพียงแต่คอยดูมัน
พอคิดอะไรวูบขึ้นมา…ก็ให้รู้ ให้เห็น
พอเรารู้…มันจะหยุด
‘การหยุด’ ก็เท่ากับว่า ‘เราได้ทำลายกิเลสนั่นเอง’…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
“ทุกวันนี้ผมก็ใช้แบบนี้คือ ถ้าหากว่าเรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบันแต่ไม่ติดปัจจุบัน บรรดาความทุกข์ทั้งหลายมันก็จะหลุดหายไปจากใจทันทีเลย
ทุกวันนี้ผมก็ใช้อันนี้เป็นประจำ ทุกข์อะไรก็ไม่เกิดขึ้นเมื่ออยู่กับปัจจุบัน อันนี้สำคัญ หลายคนที่มีปัญหาเรื่องการภาวนา ก็จะมาขอคำแนะนำ shot สั้นๆ เผื่อว่าจะไม่ได้เจอผมอีกต่อไป เราก็ยินดี
การปฏิบัติการเจริญสติ เรื่องความรู้สึกตัวนี่ หลวงพ่อคำเขียน ท่านบอกว่า รู้ซื่อๆ อันนั้นเป็นหลักใหญ่ ของผมนี่บอก รู้เบาๆ รู้สึกตัวอะไรก็ได้ จะซื่อๆอย่างไรก็ตาม แต่ว่าให้มันเบาๆ ไม่กด ไม่ยึดน่ะ ให้รู้เบาๆ นี่ รู้แบบหลวมๆ มันปล่อยไปเลยไม่ได้หรอก มันจะไม่รู้เลย ต้องรู้แบบแตะเบาๆ ดูเบาๆ
เบาแต่ละครั้งนี่ ต้องให้มันติดต่อกันนานๆ และความรู้เบาๆ นี่แหละ มันจะมีน้ำหนักขึ้นมา พอเกิดการมีน้ำหนักขึ้นมา ต้องระวังอีกข้อหนึ่งคือ อย่าไปมุ่งเอาผลของการปฏิบัติทั้งหมด มันจะเป็นการทำไปเพื่อความยึดมั่นถือมั่น
ถ้ามุ่งไม่เอาผลอะไรเลยนี่ มันจะทำไปวางไป มันก็จบตรงที่วางได้ ผมก็บอก นักภาวนาก็เอาตรงนี้แหละไปฝึกมาให้ได้ ถ้าไม่เชื่อก็ลองทำดูสิ! แล้วจะเห็นผลทั้งการอยู่กับปัจจุบันและการรู้เบาๆ
ทุกวันนี้ผมภาวนากับตัวเองก็อยู่อย่างนี้ รู้เบาๆ รู้แล้วผ่านๆ รู้แล้ววางๆ แตะเบาๆ รู้แบบทิ้งๆ รู้แล้วก็มาทำใจได้ในระยะสุดท้ายของชีวิต ในเรื่องของการปล่อยวาง มันก็มาเห็นตรงที่ว่า เออ ...กายกับจิตนี่มันไม่ใช่ของเราจริงๆ หรอก มันเป็นของธรรมชาติที่เราขอยืมมาใช้ชั่วคราว สุดท้ายแล้วเราก็ต้องส่งคืนเขาไป ทุกอย่างเอามาใช้ชั่วคราวทั้งนั้น แล้วก็ส่งคืนเขาไป
เหมือนเราไปพักโรงแรมใดโรงแรมหนึ่ง พอ check in เข้าไป ชั่วคืนหนึ่ง เช้าเราก็ต้อง check out แล้ว ถ้าเราเข้าใจ คิดได้ตรงนี้ มันก็สบายใจ จะไปเมื่อไหร่ก็ได้ ก็สบายใจ ส่งคืนเรียบร้อยแล้ว
ขออภัยพระคุณเจ้า ผมไม่ได้สอน มันเป็นการแนะนำบางอย่างที่ผมก็เคยพูดธรรมะ ในการแนะนำธรรมะบางอย่างนี่ ถ้าเราทำด้วยจิตใจที่เป็นอิสระ งานทุกอย่างสำนึกบนหน้าที่และทำด้วยใจอิสระนี่ ความสุขจะเกิดขึ้นทันที ไม่มีความกังวลเลย
คนหลายคนทำงานแบบไม่อิสระ ทำเพราะว่า กลัวว่าจะไม่ดี ทำด้วยความไม่ชอบใจ มันก็ไม่อิสระ ทำด้วยความกังวลหรือกลัวอะไรบางอย่าง มันจะไม่มีความสุขจากการทำ แม้เราสำนึกหน้าที่ตรงนั้นแล้ว ใจก็ไม่มีความสุข ถ้าใจอิสระ ความสุขจะเกิดขึ้นทันที"
อ.กำพล ทองบุญนุ่ม
ชมรมเพื่อนคุณธรรม
การเจริญสติปัฎฐาน4 กาย เวทนา จิต ธรรม
กายกับเวทนาทางใจจะอยู่ในขั้นต้น ที่ผู้ปฏิบัติเริ่มต้นจะรู้ได้
จิตกับธรรม ในขั้นระดับกลางถึงละเอียด ที่จิตมีกำลังสมาธิแล้วตามลำดับ
ดูกายจนมีกำลังสมาธิมากก็จะเห็นจิต
ดูจิตจนมีกำลังลังสมาธิมากก็จะเห็นธรรม
เวทนา มีทางกาย กับทางใจ ทางกายต้องใช้กำลังสมาธิมาก ธรรมถึงจะแยกเองให้เห็น ตามความเป็นจริง
ส่วนเวทนาทางใจคือการรู้อารมณ์ที่เกิด มีสติรู้ไม่ปรุงต่อ เวลาปฏิบัติจริง จิตที่เริ่มละเอียดจะเห็นธรรมที่เกิดขึ้น
ไม่ว่ากาย เวทนา จิต ธรรม คนที่ปฏิบัติถึงความละเอียดแล้ว "อะไรมา"ก็ "ดู" อันนั้น ตามความเป็นจริง ไม่แทรกแซง สติ"รู้" ตามความเป็นจริง