วันอาสาฬหบูชา..เป็นวันสำคัญยังไงเล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นวันที่มีปฐมเทศนาเจ้าค่ะ มีพระรัตนตรัยครบ ๓ ประการเจ้าค่ะ) เป็นวันที่เกิดพระรัตนตรัยเหรอจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เจ้าค่ะ) แล้วถ้าเป็นพุทธมามกะพุทธบริษัท..ควรทำยังไงเล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : นึกถึงคุณพระรัตนตรัย) คุณพระรัตนตรัย คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีคุณประมาณยังไงบ้าง ผู้ที่ได้รับได้ฟังธรรมนั้น ธรรมนั้นท่านว่าอย่างไรบ้างจ๊ะ มีหัวใจสำคัญอย่างไรบ้าง..
จึงทำให้วงล้อแห่งธรรมจักรหรือธรรมนั้นมันเคลื่อน เรียกว่าเป็นการประกาศธรรมให้บังเกิดขึ้น ธรรมนั้นมีใจความว่าอย่างไรบ้างเล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : อริยสัจ ๔ คือมรรคมีองค์ ๘ คือให้เจริญในทาน ศีล ภาวนาเจ้าค่ะ) แล้วสิ่งที่ท่านห้าม ที่ควรละควรเว้น..ท่านห้ามว่ายังไงบ้าง (ลูกศิษย์ : ละความชั่ว กระทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสเจ้าค่ะ)
สิ่งไหนบ้างที่ไม่ควรทำ ควรละควรหลีกเว้น (ลูกศิษย์ : ความโลภ ความโกรธ ความหลงเจ้าค่ะ) ความผูกพันในกาม ความเพลิน การเบียดเบียนทรมานกายตน สิ่งนี้ไม่ควรทำ ทางที่ควรดำเนินคือทางสายกลาง คือมรรค คือทางเดิน ด้วยการเจริญทาน ศีล ภาวนา อย่างนี้เค้าเรียกทางสายกลาง
ถ้าวันที่เป็นวันสำคัญในวันอาสาฬหบูชาก็ดี ให้พุทธบริษัท พุทธมามกะ สมณชีพราหมณ์ทั้งหลายได้มาน้อมระลึกในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในคุณที่ท่านได้เปิดธรรมไว้ให้เหล่าพุทธบริษัท สมณชีพราหมณ์ได้มาพิจารณาอบรมบ่มจิต ได้มาเจริญรอยตาม ในเมื่อเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย เหล่าสมณชีพราหมณ์ยังประพฤติปฏิบัติในหลักธรรมของพระองค์ท่านอยู่นั้น กงล้อทั้งหลายที่ท่านได้ประกาศมาแล้ว ผ่านกาลเวลามายาวนาน แต่ยังมีบุคคลยังเดินตามอยู่ กงล้อนั้นก็ยังไม่ได้หยุดหมุน เข้าใจมั้ยจ๊ะ จนกว่าจะครบ ๕,๐๐๐ วัสสา
อย่างนี้เรียกว่าเรา..หรือพุทธมามกะ สมณชีพราหมณ์เหล่านั้นถือได้ว่าเป็นการจรรโลงศาสนาไว้ ถือเป็นผู้มีอุปการคุณต่อพระศาสนาก็ดี นั้นวันนี้จึงเป็นวันสำคัญควรค่าแก่การ..ผู้ที่มีการที่นอบน้อม มีความศรัทธาความเชื่อในพระรัตนตรัย ของคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ได้มานอบน้อมทำอาจาริยบูชาต่อพระคุณของพระรัตนตรัย ได้มาจุดประทีปโคมไฟอธิษฐานดวงประทีปบูชาถวายในการเดินทักษิณาวัตรอย่างนี้
ทักษิณาวัตรนี่เค้าให้เวียนขวาหรือเวียนซ้ายจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เวียนขวาเจ้าค่ะ) ดังนั้นแล้วจึงเป็นประเพณีเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อๆกันมา อันว่าประเพณีวัฒนธรรมแปลว่าความดี เป็นจารีตที่ควรทำเพื่อให้คงยังอยู่ ดังนั้นแล้วเมื่อเราทำได้อย่างนี้ ต่อไปชนผู้รุ่นหลังก็ดีเค้าได้เห็นบรรพชน บิดามารดา ผู้มีคุณ..เป็นผู้นำแล้วในคุณงามความดีนี้ ต่อไปเค้าจะได้สืบสานในวัฒนธรรมจารีตประเพณีอย่างนี้เพื่อรักษาสืบไป..
แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับว่า..ได้แค่กระทำเป็นอามิสบูชา แต่การจะบูชาท่านอย่างแท้จริงนั้น ก็คือมาประพฤติปฏิบัติบูชา หยั่งลึกลงไปด้วยการค้นหาเข้าไปที่จิต ด้วยการเอาตัวของเรานี้แลลงทุนเป็นต้นทุนลงไป เมื่อท่านบอกทางชี้ทางไว้ในทางเดินสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ ในทาน ศีล ภาวนา
มรรคนั้นเค้าเรียกมีอะไรบ้าง ก็ต้องมีการดำริชอบเห็นชอบอย่างนี้ อยู่ในทางเดินสายกลาง เมื่อเราประพฤติได้อย่างนี้ ผู้ใดที่เดินสายกลางในทางเดินแห่งมรรคอยู่นี้แล เป็นผู้ที่ว่าผู้มีอุปการคุณมากต่อพระพุทธศาสนา เป็นผู้จรรโลงพระศาสนา เป็นผู้สืบศาสนา เป็นผู้ไม่ทำลายวงศ์ตระกูล เป็นผู้ที่มีตระกูลที่สูง
แต่ผู้ใดที่ว่าไม่ได้จรรโลงศาสนา ไม่เจริญจารีตประเพณี ไม่ปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรมอยู่ในมรรคในทางเดินแล้ว ผู้นั้นเรียกว่านอกรีตนอกศาสนา หรืออลัชชี เป็นชนตระกูลที่ต่ำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่ายักษ์นอกศาสนาอย่างนี้ ต่อไปมันก็จะรบราฆ่าฟันกัน หรือลัทธิผู้นำต่างๆมากมาย เรียกว่ามีการบิดเบือนพระสัทธรรมคำสอน
ก็เรียกว่าถ้าทางใดแล้วไม่ได้ประพฤติปฏิบัติในทางเดินแห่งมรรค ในทาน ศีล ภาวนา ในการอบรมบ่มจิตเพื่อการสลัดคลายความยึดมั่นถือมั่นในทางกำหนัดของกามคุณ ในความเพลินก็ดี ในราคะทั้งหลายอย่างนี้..ก็ชื่อว่าเป็นทางที่เสื่อม เป็นไปในทางที่หาที่จุดหมายปลายทางไม่ได้ ไม่ได้อยู่ในทางเดินแห่งมรรคเลย เหล่านี้ผู้มีปัญญาแล้วก็ย่อมพิจารณาได้
แต่ถ้าผู้มีปัญญาทั้งหลายเมื่อสดับรับฟังธรรมกันมา แต่ไม่ได้ลงมือประพฤติปฏิบัติเลย เมื่อไปเจอผู้นำที่เค้ามีความรู้ความสามารถ มีปฏิภาณไหวพริบในการพูดให้คล้อยอ่อนโยนตามไปแล้วไซร้อย่างนี้ ก็เรียกว่าจะขาดจากปัญญา มีแต่ความเชื่อความหลงได้โดยง่าย
ดังนั้นเมื่อบุคคลใดถ้าประพฤติอยู่ในทาน ศีล ภาวนา ได้ประพฤติปฏิบัติอยู่ให้เกิดปัญญาให้เกิดแสงสว่าง มีความเชื่อมั่นถือมั่นในพระรัตนตรัยแล้ว เข้าถึงกระแสพระธรรมชั้นต้นได้อย่างนี้ ก็เรียกว่าแม้กายตายชีวิตก็ยอมสละ เพื่ออุทิศถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาได้ อย่างนี้แลย่อมไม่หลงมัวเมาต่อพวกนอกลัทธิศาสนาได้
ดังนั้นผู้รู้ธรรมก็มีมากเกลื่อนพื้นปฐพีไปหมด แต่ผู้มีธรรมที่จะเอาธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติ ไปอบรมบ่มจิต ไปพัฒนาจิตให้สูงๆยิ่งขึ้นไปจึงมีน้อย ทำไมถึงมีน้อย..เพราะว่าพอมีแล้วก็จะไม่ไปอวดตัวอวดตน แต่ผู้รู้ธรรมนี้มักจะอวดตัวอวดตนมาก เพื่อหาความศรัทธาหาสมุนบริวารอย่างนี้..
ดังนั้นแล้วผู้นักปฏิบัติที่จะตั้งมั่นมั่นคงในพระรัตนตรัยแล้ว ต้องมีศรัทธาความเชื่อด้วยปัญญา ถ้ามีความเชื่อและศรัทธาที่ขาดจากปัญญาแล้ว นี่ก็จะเป็นความเชื่อศรัทธาด้วยความงมงาย ย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่มีความคิดละโมบไปในทางที่มิจฉาทิฏฐิ
ดังนั้นการที่บุคคลใดได้ประพฤติปฏิบัติในแนวทางแห่งมรรค ด้วยทาน ศีล ภาวนาเพื่ออบรมบ่มจิต ให้จิตนั้นเข้าถึงหัวใจของกรรมฐานคือการละดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ ก็ดี เป็นผู้ฝึกจิตแล้วก็ดี อย่างนี้เพื่อให้ตนนั้นเข้าถึงสภาวะหลุดพ้น เข้าถึงวิมุติ เข้าถึงญาณหยั่งรู้ ให้เข้าถึงในไตรลักษณ์ ให้เข้าถึงในอริยสัจ นั่นก็คือความจริงแห่งทุกข์ทั้งปวงที่เกิดขึ้น..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
< ของฝากช่วงเข้าพรรษา >
1.การปฏิบัติธรรม ต้องเป็นผู้รู้จัก ไหว้พระสวดมนต์ รู้จักรักษาศีล 5 เป็นพื้นฐาน ต้องมีสติ สำรวมระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (สํารวมอินทรีย์)
2. จิตหลง ไปได้ทั้ง 6 ทาง คือทางตา (หลงดู) ทางหู (หลงฟัง) ทางจมูก (หลงดมกลิ่น) ทางลิ้น (หลงรส) ทางกาย (หลงการกระทบสัมผัส) ทั้งใจ (หลงคิดนึกไปในเรื่องราวต่างๆ) ส่วนใหญ่เรามักจะหลงคิด หลงดูและหลงฟัง มากกว่าทางทวารอื่นๆ
3. การปฏิบัติวิปัสสนา นั้น ไม่ใช่การทำใจ แต่เป็นการรู้เท่าทันใจ และไม่หลงไปยินดี ยินร้าย ไม่หน่วงเหนี่ยวยึดเอาไว้ ถ้าหลงยินดี ยินร้าย ก็ให้มีสติรู้เท่าทัน
4. คำสอนใดอยู่ในกรอบของอริยสัจ 4 อยู่ในหลักการเจริญสติปัฏฐาน 4 คำสอนอันพึงเชื่อถือได้ คำสอนใดขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนนั้นไม่ควรเชื่อถือ และจงอย่าได้เสียเวลากับสิ่งนั้นเลย
5. การเจริญวิปัสสนา คือการเรียนรู้ มิใช่เรียนทำ เรียนรู้ว่าอะไรคือทุกข์ ความทุกข์เกิดได้อย่างไร ความทุกข์ดับได้อย่างไร เมื่อรู้จักแจ่มแจ้งกายใจตามความเป็นจริงแล้ว จงยอมรับความจริงนั้นเสีย แล้วจิตก็จะปล่อยวางเอง
6. เราเรียนธรรมะ ด้วยการฟัง เราเรียนธรรมะด้วยการคิด แต่เราไม่ค่อยได้เรียนธรรมะด้วยการรู้ (แจ้งแทงตลอด)
7. นั่งดูแบบคุณนาย แค่รู้แค่ดูตามที่มันเป็น แต่อย่าทำตัวแบบ ยัยแจ๋ว เพราะทั้งทำทั้งเพ่ง ทั้งกดข่มบังคับ แต่ก็อย่าทำตัวแบบ ยัยเพลิน คือ เอาแต่เผลอเพลิน
8. มักหลง มักมาก มักอยาก มักง่าย นั่นไม่ใช่หนทางแห่งอริยมรรค มีองค์ 8
9. ชีวิตมีทุกข์ เพราะจิตไม่รู้จักคำว่า พอ เวลาทุกข์ ก็ไม่พอใจ เพราะว่าทุกข์มันอยู่กับเรานานไป เวลาสุขก็ไม่พอใจ เพราะสุขมันอยู่กับเราสั้นไป นี่คือใจมนุษย์ที่เต็มไปด้วย ความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น
10. ชีวิตหนีไม่พ้น ที่ต้องคบคนพาล เพียงแต่เรา อย่าไปคบ คนพาลก็แล้วกัน พบเห็นกันได้ แต่ไม่ได้ คบค้าสมาคม ร่วมกิจกรรมด้วย
11. กลัวความทุกข์ แต่ไม่กลัวความสุข จึงหลงรักสุขเกลียดทุกข์
12. มนุษย์ปกติ รักสุขเกลียดทุกข์ แต่มนุษย์ ชอบทุกข์ล่วงหน้า และ เสียดายทุกข์ คิดให้ทุกข์ล่วงหน้าไปเสียก่อน ทั้งๆที่ทุกยังมาไม่ถึง และมักเสียดายทุกข์ ทุกข์แล้วมักแบกมันเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยวางทุกข์เสียที
13. อย่านึกว่าชีวิตยังอยู่อีกนาน เพราะคนเกิดเมื่อวานได้ตายไปแล้ว
14. ปฏิบัติธรรมให้มี ฉันทะ ไม่ใช่ให้มีตัณหา
ฉันทะ = มุ่งที่สร้างเหตุ มุ่งทำเหตุบ่อยๆ
ตัณหา = มุ่งที่หวังผล มุ่งอยากได้ผลเร็วๆ
15. เรียนรู้วิชาชีพแล้ว อย่าลืมเรียนรู้ วิชาชีวิต
วิชาชีพ มีไว้เลี้ยง กาย มีสอนในสถาบันการศึกษา
วิชาชีวิต มีไว้เลี้ยง ใจ มีสอนในพระศาสนาเท่านั้น
16. ความรักของคนทั่วไป มักต้องการเห็นคนรักของตนมีความสุข
ความรักของพระพุทธองค์ มุ่งตรงให้คนนั้น พ้นทุกข์
17. ชาวพุทธชอบอธิษฐาน ขอเอา จงฝึกให้เป็นผู้อธิษฐาน ขอทำ เสียบ้าง
18. วิปัสสนา เริ่มต้น ที่ไม่คิด
การมีตัวตน เกิดจาก การคิด
ขณะที่ไม่คิด ก็ปราศจาก ตัวตน
กิเลส เล่นงานเรา ตอนที่ เผลอคิด
19. ศรัทธา ต้องประกอบด้วย ปัญญา ถ้า ศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ศรัทธานั้น ก็พร้อมจะกลับกลายเป็นความงมงายได้โดยง่าย
20. คนส่วนใหญ่ มักต้องการให้คนอื่น เข้าใจตน ทั้งๆที่ ตนเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตนเองดีพอ แล้วไฉนต้องร้องขอให้ใคร เขามาเข้าใจตน
โดย ธีรยุทธ เวชเจริญยิ่ง