... เ มื่ อ ป ฏิ บั ติ เ ช่ น นี้ ..
อวิชชา โมหะ เป็นอันถูกละ
จิตหยุดปรุงแต่ง ภพชาติจึงดับไป ...
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ...
.. ถ้ า ไ ม่ ต้ อ ง ก า ร เ กิ ด อี ก
มีสติ ระวังรักษาศีลตลอดชีวิต
มีสติ ระวังไม่ทำชั่วทางกาย-ใจ
มีสติ ระวังถอนความยินดี และ ..
ความไม่ยินดี
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
( การถอนความยินดี คือ .. สักว่ารู้ ..
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ )
ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 4 มีนาคม 2563
ตอนที่ 62 **ผู้มีชัยชนะเหนือโลก 3 ขั้น**
+ +
ในเช้าของวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563 ณ บ้านไทยเจริญ บ้านเกิดพระยาธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามธรรม ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ลูกปรารถนาที่จะขอเฝ้าฟังธรรมถึงสภาวธรรมของบุคคลผู้ที่ชนะโลก 3 ขั้น พระพุทธเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมเรื่อง “ชนะโลก 3 ขั้น” ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้นก็จงตั้งใจฟังให้ดี ฟังแล้วก็จงน้อมไปพิจารณาตาม
เมื่อพิจารณาแล้ว ก็จะรู้ตาม เห็นตาม
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อลูกได้เข้าใจ ได้รู้ตาม เห็นตามแล้ว ลูกก็จะสามารถที่จะถ่ายทอดธรรมเหล่านี้ออกไปได้ดี ได้ถูกต้อง
ฉะนั้น จงตั้งใจฟัง ตั้งใจพิจารณา และถ่ายทอดธรรมเหล่านี้ไป ตามหน้าที่ ตามกิจที่ลูกนั้นควรจะดำเนินไป เผยแผ่ไปให้กว้างไกล
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่ชนะโลก ย่อมเป็นบุคคลผู้เป็นอิสระอยู่เหนือกฎกรรมกฎเกมส์ อยู่เหนือการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ย่อมถือว่าเป็นผู้ที่ดี ที่มีความสุขอย่างแท้จริง ถาวร มั่นคง
เป็นผู้ถึงซึ่งพระนิพพาน ถึงซึ่งความหลุดพ้น
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้หนึ่งที่จะสามารถชนะโลกได้ ย่อมต้องเป็นบุคคลผู้ที่สร้างสั่งสมความดีให้เต็ม
เมื่อความดีทั้ง 10 ประการได้เต็มแล้ว.. จิตนั้นก็จะรู้ตื่น ถอดถอนความยึดติด พัวพันมัวเมา ลุ่มหลงในสิ่งทั้งหลายได้
พระยาธรรมเอย.. จิตที่คลายความยึดติด ลุ่มหลงกับทุกสรรพสิ่ง จิตที่เป็นเช่นนี้.. ย่อมเป็นผู้ที่มีชัยชนะ ที่ชนะโลกชนะวัฏสงสารนี้ ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ..
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. การฝึกฝนอบรมตนให้ชนะโลกเป็นขั้นๆ เป็นลำดับไป จึงเป็นสิ่งที่ดี และก็จะพาให้เราสามารถที่จะอยู่เหนือโลก เหนือวัฏสงสารนี้ได้ในที่สุด
ฉะนั้น บุคคลทั้งหลายผู้ตั้งใจที่จะนำพาตนให้ชนะโลกนั้น จึงดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่ง *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา* จนเข้าใจ เข้าถึงในขั้นที่ 1 คือ “การเอาชนะกรรม”
*ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา* ช่วยค้ำหนุนให้มีสติตั้งมั่น มีพลังของจิตที่แข็งแกร่งพอ จนสามารถเอาชนะกรรม ซึ่งเป็นการกระทำของตนนั่นละลูก คือ เอาชนะการกระทำที่ตนนั้นจะต้องไปทำกรรมชั่ว - ก็บีบบังคับให้ทำกรรมดี แล้วก็ฝึกฝนตนจนอยู่เหนือกรรมดี ด้วย
พระยาธรรมเอ๋ย.. และก็ยังคงสามารถฝึกฝนจน *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา* ช่วยค้ำหนุนจิตดวงนั้นให้มีปัญญารู้ตื่น เข้าใจตามกรรมของตนที่ได้ก่อได้ทำเอาไว้ และส่งผลมา และสามารถยืนอยู่เหนือกรรมที่ตนได้ก่อได้ทำมา อย่างรู้ตื่น เข้าใจตามเหตุนั้น
คือ สามารถเอาชนะได้ทั้งกรรมเก่า เอาชนะได้ทั้งกรรมใหม่ควบคู่ไป
ทุกการกระทำ จึง เป็นเพียงแค่สักแต่ว่า...
กรรมเก่าจะส่งผลมา ก็ยอมรับ / กรรมใหม่จะส่งผลมา ก็เห็นเป็นธรรมดา
อดีตจะเป็นแบบไหน - แก้ไขไม่ได้ แต่น้อมเอามาทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
เรียกว่า เป็นผู้ชนะกรรม ทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ จึงถือเป็นผู้ชนะโลก ในขั้นที่ 1
พระยาธรรมเอย.. เมื่อเราควบคุมตัวของเราให้ทำแต่สิ่งที่ดีได้ และยอมรับผลที่ไม่ดี ตามกฎของธรรมชาติที่ส่งมา ยกระดับจิตของตนอยู่เหนือกรรมทั้งดีและไม่ดี ทั้งอดีตและปัจจุบันไม่ยึดติด เพียงแต่ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้มันดีๆ - ดีไปตามเหตุ ณ ปัจจุบัน มีอะไรก็ทำไป
ย่อมถือว่าเป็นผู้มีชัยชนะโลก ในขั้นที่ 1
ต่อไป เข้าสู่ขั้นที่ 2 - ขั้นที่ 2 ของผู้ชนะโลก ก็คือ การเรียนรู้ที่จะเอาชนะเชื้อแห่งกิเลสและตัณหา ความดีสั่งสมมาด้วย *ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา* ยอมรับสภาวะความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ด้วยจิตอันรู้ตื่นว่ากฎแห่งธรรมชาติเป็นเช่นนั้น อย่างนั้นเอง
จนเขานั้นคลายความยึดติดลุ่มหลงได้ทั้งหมด คือ สามารถชนะ อยู่เหนือความหลง - หลงในตัวในตน ในของของตน หลงทุกสิ่งหลงทุกอย่าง
-- คลายความลุ่มหลงเหล่านี้ทิ้งไป..
* ความรัก ก็จะไม่มี
* ความโลภ และความโกรธ ก็จะไม่มี
* ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ก็จะดับไปเช่นเดียวกัน
บุคคลผู้สามารถสร้างความดีจนสามารถชนะกิเลสตัณหาได้ ถือว่าเป็นบุคคลผู้ที่ชนะโลกได้ ในขั้นที่ 2 หรือเป็นสิ่งที่ 2 ที่บุคคลผู้ชนะโลกสามารถที่จะทำได้.. พระยาธรรมเอย
และต่อไป เข้าสู่ขั้นที่ 3 - บุคคลผู้ที่ชนะโลกในขั้นที่ 3 ก็จะต้องเป็นจิตที่รู้ตื่น สว่างไสว สามารถที่จะอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงแค่สิ่งสมมุติเท่านั้น แล้วก็สามารถที่จะอยู่เหนือโลกแห่งสมมุตินั้นได้อย่างแท้จริง
เห็นอะไร มีอะไร รู้อะไร ก็รู้เพียงแค่สักแต่ว่า..
ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเพียงแค่"สิ่งสมมุติ"
จิตตั้งมั่น สงบสุข อยู่เหนือโลกสมมุติ จิตสว่างไสว เข้าสู่โลกแห่งวิมุติหลุดพ้น
... จิตดวงนั้นแล จึงจะเป็นดวงจิตผู้ชนะโลก.. ลูกเอ๋ย
มี 3 ประการดังที่กล่าวไปนี่ละ.. พระยาธรรม
แต่ย่อมแน่นอนละลูก ว่าคนๆหนึ่ง กว่าจะเอาชนะกรรม กว่าจะเอาชนะกิเลสตัณหา กว่าจะรู้ตื่นรู้แจ้งว่า ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ.. จะต้องเป็นบุคคลผู้ที่มุ่งมั่นตั้งใจฝึกฝน ศึกษาเรียนรู้ ขัดเกลาจิตของตน จากการทำความดี ชำระล้างสิ่งมัวหมองเศร้าหมองทั้งหลาย แล้วจิตของลูกก็จะรู้ตื่นขึ้นเรื่อยๆ จนลูกนั้นสามารถที่จะเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย. จงตั้งใจบำเพ็ญเพียรสร้างความดี ฝึกฝนจิตของตน ให้จิตนั้นเข้าใจในกรรมเก่า ควบคุมในกรรมใหม่ อยู่เหนือกรรมทั้งหลาย อยู่เหนือกิเลสตัณหาทั้งหลาย แล้วจิตของลูกก็จะเข้าสู่โลกแห่งวิมุติหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกจะตั้งใจประพฤติปฏิบัติตาม จะตั้งใจฝึกฝนอบรมตน ให้เป็นผู้มีชัยชนะเหนือโลกเป็นขั้นๆไป
เช่นดังที่พระองค์ทรงเมตตาได้กล่าวมา พระพุทธเจ้าค่ะ…
สาธุ
เรื่องของพระมหาโมคคัลลานะผู้เลิศฤทธิ์
ใช้แค่หัวแม่เท้ากดเวชยันต์ปราสาทจนหวั่นไหว
เพื่อเตือนสติแก่ท้าวสักกะผู้หลงในกาม
(จูฬตัณหาสังขยสูตร เล่ม ๑๒ ข้อ ๔๓๓-๔๓๙)
พระศาสดาประทับ ณ บุพพาราม
ซึ่งนางวิสาขาสร้างถวาย ใกล้เมืองสาวัตถี
ท้าวสักกะจอมเทพชั้นดาวดึงส์เสด็จไปเฝ้า
ทูลถามว่า ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าใด
ภิกษุชื่อว่าน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา
เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์
พระศาสดาตรัสตอบว่า
“ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า
สิ่งทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
เธอย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่ง
กำหนดรู้ธรรมทั้งปวง
เมื่อได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นสุขหรือทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข
ย่อมพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งเวทนานั้น
.......
พิจารณาเห็นความเบื่อหน่าย
ความดับและการสละคืน
(คือเบื่อที่เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์)
จึงไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งไรๆ ในโลก
(ทั้งสุขและทุกข์)
เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่สะดุ้งหวาดหวั่น
สามารถดับกิเลสได้
ทราบชัดด้วยตนเองว่า
ความเกิดสิ้นแล้ว.
...ภพใหม่ไม่มีอีกต่อไป
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
ภิกษุนั้นชื่อว่า
น้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา
มีความสำเร็จอย่างยิ่ง
มีความปลอดโปร่งอย่างยิ่ง
เป็นพรหมจารีอย่างยิ่ง
เป็นผู้ประเสริฐกว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”
....
ท้าวสักกะ จอมเทพทรงพอพระทัย
ในพระดำรัสตอบแห่งพระศาสดา
ถวายบังคมลาแล้วทำประทักษิณ
(เวียนขวาแสดงความเคารพ)
แล้วอันตรธาน (หาย) ไป
.......
พระมหาโมคคัลลานะ
นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
เมื่อท้าวสักกะทูลลาจากไปแล้ว
ท่านคิดว่าท้าวสักกะชื่นชมยินดี
ต่อพระพุทธพจน์นั้นโดยที่รู้เรื่องเข้าใจดี
หรือว่าไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ
แต่แสดงความยินดี
ชื่นชมไปอย่างนั้นเอง
ท่านจึงหายไปจากบุพพาราม
ไปปรากฏตน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
.......
เวลานั้นท้าวสักกะและท้าวเวสสุวัณ
(เจ้าแห่งยักษ์ชั้นจาตุมหาราช)
กำลังฟังดนตรีอยู่ในสวนดอกบุณฑริก
เห็นพระมหาโมคคัลลานะมา
จึงรีบมาต้อนรับ
พระมหาโมคคัลลานะทูลถามว่า
ที่ฟังพระดำรัสตอบของ
พระผู้มีพระภาคนั้น
ใจความสำคัญว่าอย่างไร
ขอให้เล่าให้ฟังด้วย
ท้าวสักกะตรัสตอบว่า
พระองค์ทรงมีกิจมาก มีธุระมาก
ทรงลืมหมดแล้ว
..........
เพื่อเลี่ยงไปหาเรื่องอื่น
ท้าวสักกะจึงชวน
พระมหาโมคคัลลานะ
ไปชมเวชยันตปราสาท
ซึ่งสร้างอย่างวิจิตรสวยงามมีถึง ๑๐๐ ชั้น
มีเทพธิดามากมาย
ท้าวสักกะขอให้พระมหาโมคคัลลานะ
ชมเวชยันตปราสาทอันน่ารื่นรมย์
พระมหาโมคคัลลานะถวายพระพรว่า
เป็นสถานที่อันน่ารื่นรมย์จริง
แม้พวกมนุษย์เมื่อเห็นสถานที่ใดๆ
อันน่ารื่นรมย์ก็มักจะออกปากชมว่า
เหมือนสถานที่ของพวกเทพชั้นดาวดึงส์
ขณะนั้นพระมหาโมคคัลลานะดำริว่า
ท้าวสักกะนี้ประมาทอยู่
ด้วยทรัพย์สินสมบัติอันเป็นทิพย์
เพื่อจะให้ท้าวสักกะสังเวชสลดใจ
จึงเอาหัวแม่เท้าของท่าน
กดเวชยันตปราสาท
ทำให้เวชยันตปราสาทสั่นสะเทือนหวั่นไหว
ท้าวสักกะจึงสังเวชสลดใจ
เห็นพระมหาโมคคัลลานะ
เป็นผู้มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก
............
เมื่อเห็นว่าท้าวสักกะสังเวชสลดใจแล้ว
พระมหาโมคคัลลานะ
จึงถามถึงเรื่องที่พระศาสดาตรัส
ท้าวสักกะจึงเล่าถวายทุกประการ
พระมหาโมคคัลลานะชื่นชมยินดี
ต่อภาษิตของท้าวสักกะ
แล้วกลับจากดาวดึงส์
มาปรากฏตนที่บุพพาราม
เข้าเฝ้าพระศาสดาทูลถามเรื่องนั้นอีกครั้งหนึ่ง
.........
พระศาสดาตรัสเล่าให้ฟัง
เหมือนที่ท้าวสักกะเล่าถวายแล้ว
ท่านมหาโมคคัลลานะชื่นชม
ต่อพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างยิ่ง
....................
พระไตรปิฎกฉบับที่ทำให้ง่ายแล้ว
ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ
เพจอาจารย์วศิน อินทสระ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์