พระพุทธองค์ทรงตรัส
๑. ตถาคตพิจารณาจิตในจิต แต่ไม่ติดในจิต
๒. ตถาคตพิจารณาในการกระทำ ที่ไม่มีการกระทำ
๓. ตถาคตพูดในการพูด ที่ไม่มีการพูด
๔. ตถาคตแสดงอริยสัจ ผู้รู้ในความหมายก็จะแจ่มแจ้ง ในความหมายที่ไม่สามารถใช้คำพูดมาอธิบายได้
... สัมผัส (ผัสสะ) ด้วย "วิชชา"
สัมผัส ด้วย ... สติ
" ... คำว่า "สติ" นั้นน่ะ
มันประกอบอยู่ด้วยปัญญาเสมอ
คำว่า "สติ" นั้น
ต้องประกอบด้วยปัญญาอยู่เสมอ
สติ คือ ระลึกได้ ระลึก ก็คือ ระลึกความจริงของความจริงว่า .. เป็นอย่างไร นั้นคือ ปัญญา
สติขนเอาปัญญามาทันเวลา ที่มีการกระทบทางอายตนะนี้, มันก็รู้ว่าควรทำอย่างไร มันก็เลยทำไปในทางที่ไม่เกิดทุกข์ ..
ไม่เกิด ความรัก
ไม่เกิด ความโกรธ
ไม่เกิด ความเกลียด
ไม่เกิด ความกลัว
ไม่เกิด ความอิจฉาริษยา
ไม่เกิด ความหึงความหวง
ไม่เกิด ความอาลัยอาวรณ์
ไม่เกิด อะไรต่างๆที่เป็นที่ตั้งแห่งความทนทุกข์ทรมาน นี่เรียกว่า มีสติ ...
เรามีหลักว่า ..
ในขณะที่สัมผัส สัมผัสหรือกระทบต้องมีสติ เมื่ออะไรมากระทบจิต ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ต้องมี ..สติ ให้เป็นการสัมผัสสิ่งนั้นๆด้วย ..สติ
ก็เรียกว่า สัมผัสด้วยวิชชา, สัมผัสด้วยปัญญา มีความลืมหูลืมตา ก็กระทำไปอย่างถูกต้อง ไม่ผิดพลาดใดๆ ไม่อาจจะเกิดทุกข์ได้
นี่เรียกว่า เราสัมผัสโลกด้วยสติปัญญาอยู่ทุกวันๆ ทุกวันๆ ทุกวันๆ สัมผัสโลก คือ สิ่งทั้งปวงที่มากระทบ ด้วยสติด้วยปัญญาอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เกิดความทุกข์ ...
นี่จำไว้ว่า ..
ถ้าว่าทำผิดเมื่อผัสสะ คือเป็นสัมผัสด้วยความโง่ ด้วยอวิชชา แล้วก็เกิดทุกข์
ถ้าสัมผัสด้วยวิชชา รู้จริงตามที่เป็นจริงอย่างไร เรียกว่า เป็นสัมผัสด้วยวิชชา แล้วก็ไม่เกิดทุกข์
ฉะนั้น ..
อย่าได้มีการสัมผัสด้วย .. ความโง่,
อย่าได้มีการกระทบหรือรับอารมณ์ใดๆด้วย .. ความโง่
แต่.. ให้รับหรือรู้สึกอารมณ์นั้นๆด้วยสติ ด้วยปัญญา และให้ฝึกฝนอยู่เป็นประจำ
เรื่องนี้ พูดมันก็พูดได้และพูดง่าย; แต่พอถึงคราวที่จะทำมันไม่ง่ายนัก มันอาจจะพลั้งเผลอหรือทำไม่ได้ ต้องมีความทุกข์กันเสียก่อนตั้งหลายครั้งหลายหน แล้วจึงค่อยๆทำได้ จึงค่อยๆทำได้ นี่มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ ค่อยๆทำได้
ฉะนั้น ..
จะต้องฝึกฝนอยู่ให้ดีที่สุด เหมือนที่เขาฝึกฝนอะไรๆที่เขาพอใจ อย่างพวกที่เล่นกีฬาเล่นศิลปะหาเงินหาทอง เขาฝึกเหลือประมาณ เช่นว่า จะเตะตะกร้อลอดบ่วงได้ อย่างนี้ต้องฝึกเหลือประมาณ
นี้ก็เหมือนกันแหละ เราก็ฝึกเหลือประมาณ ฝึกที่จะให้มีสติ ทุกครั้งที่ผัสสะ, แล้วถ้ามันล้มเหลว เผลอไป ก็ละอายๆ ละอายแก่ตัวเอง
ว่าไม่สมควรแก่เราเลย ที่เป็นผู้ไม่มีสติ ขาดสติ พลั้งเผลอจนเกิดความทุกข์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ แล้วทำไมจึงมากลายเป็นมาเกิดเพื่อความทุกข์อย่างนี้
ก็เสียใจอย่างยิ่ง ละอายอย่างยิ่ง ทุกๆ คราวที่พลั้งพลาดเผลอไป จนเกิดความทุกข์ ไม่เท่าไรมันก็จะไม่เผลอ ก็จะเผลอน้อยเข้าจนไม่เผลอ
อุปมาสมมติเหมือนอย่างว่า มันเดินตกร่อง ตกร่องที่นอกชาน หรือตกร่องที่ไหนก็ตาม มันเดินไม่ดี ไม่ดูให้ดี แล้วมันตกร่อง เดินตกร่องนั้นมันทั้งเจ็บด้วย แล้วมันทั้งน่าละอายด้วย
ใครเห็นก็ละอายเขา ถ้าคอยสังวรอยู่ว่า มันเจ็บด้วย มันละอาย มันน่าละอายอย่างยิ่งด้วย ก็จะระวังดีขึ้น เมื่อระวังดีขึ้น มันก็ไม่ตกร่องอีกต่อไป
นี่แหละการที่จะมีสติอย่างดีที่สุด ต่อสิ่งที่เรียกว่า "ผัสสะ" นั้น ต้องตั้งใจอย่างนี้ ต้องอธิษฐานจิตอย่างดียิ่งที่จะไม่พลั้งเผลอและกลัวว่ามันเป็นทุกข์และละอาย ว่ามันเป็นสิ่งที่น่าละอาย
เดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกกันเสียทั้ง ๒ อย่าง หรือ ทั้งทุกอย่าง กลัวก็ไม่กลัว ละอายก็ไม่ละอาย มันก็เลยมีได้มากแล้วเป็นทุกข์อยู่ข้างใน;
ก็เพราะว่าไม่มีใครรู้, แม้ว่าไม่มีใครรู้ แต่มันเป็นทุกข์อยู่ข้างใน ก็ขอให้กลัวและให้ละอายอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าที่มันมาข้างนอก จนคนอื่นเขารู้หรือเขาหัวเราะเยาะ
นี่ผู้ที่มีธรรมะแล้วก็จะต้องมีความกลัวและความละอายอย่างยิ่งอยู่ประจำตัว มีหิริ มีโอตตัปปะ ในธรรมะที่เป็นภายในอย่างนี้แหละ มีประโยชน์ดียิ่งกว่าที่เป็นภายนอก เป็นเรื่องภายนอก
หมายความว่า .. ที่ใครๆเขารู้เขาเห็นก็ยังไม่สำคัญเท่าที่ไม่มีใครรู้เห็น เรารู้เห็นของเราแต่คนเดียวนี่มันสำคัญมาก มันเสียหายมาก มันเป็นสิ่งที่จะยอมให้มีขึ้นมาไม่ได้
นี่ขอให้สนใจ มีสติเท่านั้นแหละ มันก็รอดจากความทุกข์ในทุกกรณี มันไม่สร้างความทุกข์ขึ้นมาได้ เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ ไม่ต้องไปโทษผีสางเทวดา ซึ่งเป็นความโง่อย่างยิ่ง
เพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง มันโง่จนปล่อยให้ความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว นี้มันก็โง่หนึ่งแล้ว ทีนี้มันก็ไปโทษผีสางเทวดา มันก็เป็นอีกโง่หนึ่ง มัน ๒ โง่ ๓ โง่ ซ้ำเข้าไป แล้วมันก็น่าละอายสักเท่าไร ขอให้คิดดู
ความสุขและความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราทำผิดหรือทำถูกเมื่อมีผัสสะ ที่เรียกว่า ตามกฏอิทัปปัจจยตา, มีพระบาลี(พระไตรปิฎก)ตรัสไว้
ซึ่งควรจะนึกถึงด้วยเหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาจากพระเป็นเจ้า, สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาจากกรรมเก่า, และสุขทุกข์ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุ สุขทุกข์ก็มีเหตุ
เหตุนั้นก็คือ ทำผิดหรือทำถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา ถ้าทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตาก็เกิดทุกข์ ถ้าทำไม่ผิดก็ไม่เกิดทุกข์ ทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตา ก็ทำเมื่อมีอารมณ์มากระทบนั่นเอง เมื่อมีผัสสะนั่นเอง,
เป็นเวลาสำคัญที่สุด ที่จะต้องประพฤติให้ถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา แล้วมันก็ไม่เกิดความทุกข์
นี่ ถ้าทำสติได้อย่างนี้ ..
แม้บวชอยู่ที่บ้านก็ดีกว่าพวกที่บวชอยู่ที่วัดเป็นไหนๆ นี่พูดอย่างนี้มันชอบกลเหมือนกัน แล้วมันก็เสี่ยงอยู่ว่าจะอันตราย แต่ขอยืนยันว่า
ถ้าบวชอยู่ที่บ้าน แล้วทำได้อย่างนี้ ดีกว่าพวกที่บวชอยู่ที่วัดโดยมากที่ไม่ทำอย่างนี้ ที่ไม่ได้ทำอย่างนี้ บวชละเมอๆ อยู่ ... "
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง "การบวชอยู่ที่บ้าน" จากหนังสือ "บวชทำไม"
หากมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมและทําถูก จะต้องก้าวหน้าเห็นผลชัดเจน หากไม่เกิดความก้าวหน้าทางปัญญา แสดงว่าติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดอื่นก็ผิดไปหมด ให้พิจารณาดูว่า " รู้สึกตัว " ถูกหรือไม่
.
ที่ผิดพลาดกันคือ " ไปคิดรู้สึกตัว " การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การไปห้ามความคิด แต่ไม่ใช่การใช้ความคิด
.
" มิจฉาสมาธิ " บังเกิดเมื่อปฏิบัติผิด = ไปคิดรู้สึกตัว รู้สึกตัวผิด = การไปเพ่ง = การไปพยายามมาก = การไปตามรู้แบบยึด = การมีมานะ = การเกิดอัตตา = การหลงเพลินแช่ = ก็ล้วนเป็นการหลงในความคิดไม่จบ คิดเรื่องเดียวหรือหลายเรื่อง ก็คือความคิด = จิตผู้รู้โดนปกคลุมด้วยความคิด = จิตผู้รู้อ่อนแอ อยู่ในโลกความคิด ไม่อาจสําแดงการรู้ อย่างอิสระ = จิตไม่ตั้งมั่นไหลไป = ปัญญาญาณไม่เกิด มีแต่ปัญญาความคิด = สักว่าคิดเอาแต่คิด = ที่เข้าใจว่าปฏิบัติมานาน แล้วก้าวหน้า เกิดสภาวะธรรมแปลก ล้วนเป็นเพียงการหลงอยู่ในความคิดระดับสูงขึ้นไป หลงในสภาวะแห่งจิต จนกลายเป็นนิมิตต่างๆ สภาวะต่างๆมากมาย ติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดอื่นก็ผิด " เข้าใจว่าการนั่งคิด คือการปฏิบัติ " แตกความคิดออกมามากมาย ไม่รู้จบ
.
" สัมมาสมาธิ " บังเกิดเมื่อปฏิบัติได้ถูกต้อง = รู้สึกตัวให้ถูกต้อง = รู้แต่ไม่รู้อะไรเลย = จิตตั้งมั่น = จิตผู้รู้ อิสระ = จิตผู้รู้เด่น เข้มแข็ง = ว่างแบบรับรู้อารมณ์ความคิด = รู้ทันอารมณ์ความคิด = เกิดปัญญาญาณ = เจริญวิปัสสนา = ไม่เข้าไปยึดความคิด = ไม่เพ่ง ไม่ฟุ้ง รู้ตัว = ไม่หลงอยู่กับความคิด = ไม่เกิดปัญหาจากการคิด ตามมามากมาย = สักว่ารู้ว่าเห็น
.
หาก " รู้สึกตัว " ให้ถูกต้อง ติดกระดุมเม็ดแรกถูก รู้สึกตัว ไม่เข้าไปยึดถือความคิด รู้ทันความคิด รู้สึกตัว เกิด สัมมาสติ เกิด สัมมาสมาธิ มรรคย่อมเจริญเองอัตโนมัติ เส้นทางเดินนี้ ใจเราเองเป็นผู้นําทาง
"ศีล" คือ ปรกติจิต ที่อยู่ปราศจากโทษ เป็นจิตที่มีเกราะบังป้องกันการกระทำชั่วทุกอย่าง
"สมาธิ" ผลสืบเนื่อง จากการรักษาศีล คือจิตที่มีความมั่นคง มีความสงบ เป็นพลังที่จะส่งต่อไปอีก
"ปัญญา" ผู้รู้ คือ จิตที่ว่าง เบาสบาย รู้แจ้งแทงตลอด ตามความเป็นจริงอย่างไร
"วิมุตติ" คือ จิตที่เข้าถึงความว่าง จากความว่าง คือละความสบาย เหลือแต่ ความไม่มี ไม่เป็น ไม่มีความคิดเหลืออยู่เลย
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"
หลักธรรม ๓ ประการอย่าลืม จักทำอะไร คิดอะไร
พูดอะไรก็แล้วแต่ หมั่นทบทวนใคร่ครวญอยู่เสมอว่า
ผิดไปจากศีล-สมาธิ-ปัญญาหรือไม่ ผิดไปจาก
หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ คือ
ละจากความชั่ว ทำแต่ความดี มีจิตผ่องใสหรือไม่
เพียงมีอารมณ์จิตเศร้าหมองหดหู่ ก็จงคิดว่าเราผิด
ไปจากคำสั่งของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์แล้ว
ไม่ควรยังจิตให้เป็นเช่นนั้น จงรีบหาทางแก้ไข
อารมณ์นั้นให้หมดไปจากจิตเป็นการด่วน ละเสีย
จากความเศร้าหมองโดยเร็ว
ปฏิบัติบูชา ควรที่จักใคร่ครวญ หลักธรรม ๓ ประการ
นี้อยู่เนือง ๆ ตื่นเช้ามาก็ควรจัดตั้งอารมณ์ไว้เลย
เราจักไม่ละเมิดศีล-สมาธิ-ปัญญา เราจักไม่ละเมิด
หลักธรรมที่เป็นพระโอวาทปาฏิโมกข์ ของ
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ (ละชั่ว-ทำดี-ทำจิต
ให้ผ่องใสอยู่เสมอ) แล้วหมั่นพิจารณาอยู่เยี่ยงนั้น
ตลอดทั้งวันจนกว่าจะหลับ
ธรรมารมณ์ใด ๆ มากระทบ ก็ดูอารมณ์จิตให้ทรง
อยู่ในหลักธรรม ๓ ประการนี้อย่างมั่นคง ใหม่ ๆ
ก็จักเผลอหลงลืมไปบ้าง แต่ควรจักทำให้บ่อย ๆ ศีล-สมาธิ-ปัญญาก็จักทรงตัว ยังจิตให้ละชั่ว-ทำดี
ยังจิตให้ผ่องใสตามลำดับ
จากหนังสือธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
การคิด การพูด การกระทำ
รวมทั้งสภาวะธรรมที่ปรากฏแล้วดับไป
รวมทั้งความรู้สึกว่าง
ก็เปลี่ยนไปทุกขณะปัจจุบัน เป็นขันธ์ห้า
เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง
เป็นทุกขัง เป็นที่ขังทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้
ต้องแก่เจ็บตาย จึงเป็น "อนัตตา "
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
อย่าไปหลงยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา
เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา
หรือมีตัวเราอยู่ในร่างกายเนื้อนี้
ส่วน "รู้" เป็นวิญญาณธาตุหรือ "ธาตุรู้"
ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่อาจมีกริยาหรืออาการใดได้
จึงไม่มีการเกิดดับ และไม่ใช่ขันธ์ห้า
ได้แต่รู้ขันธ์ห้าตามความเป็นจริง
ไม่อาจคิดปรุงแต่ง ยึดถือ แทรกแซง มีความดิ้นรนทะยานอยาก หาถูกหาผิด หาเหตุหาผลได้
ธรรมชาติของเขาคงได้แต่แค่สักแต่ว่ารู้เท่านั้น
เมื่อไม่ยึดถือจึงไม่มีกิเลสและความทุกข์
ความไม่ยึดถือ คือ อุเบกขา
แต่ถ้ายึดถือความไม่ยึดถือ หรือยึดถืออุเบกขา ไม่ใช่อุเบกขา
**************
🌼หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย 🌼
บันทึกเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2560
จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบทเว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิตจงดูจิตเคลื่อนไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละครด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต
จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตน แต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวจิต อย่ากลัวอารมณ์เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต
หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร
เวลาที่ลูกหลานมีความทุกข์ใจ-ทุกข์กาย. นั่นแล คือ นาทีทองของชีวิต. เพราะจักเป็นทางให้เราเข้าถึงธรรม ใช้ธรรมแก้ไขปัญหา นำพาสู่ความพ้นทุกข์ แล้วทุกข์ชนิดนั้นจะกลับมาหาเราน้อยลง มีอิทธิพลต่อเราน้อยลง เพราะเรามีภูมิคุ้มกัน+ภูมิต้านทาน.
ครั้นได้บำเพ็ญบุญบารมีสืบเนื่องต่อไป เราก็จักพ้นทุกข์สิ้นเชิงได้ในที่สุด.
แต่ใครที่นึกถึงธรรมไม่ทัน นึกถึงธรรมแล้วปัญหาก็ยังไม่คลี่คลาย ด้วยไม่เคยศึกษาธรรมมาอย่างมากพอ ให้น้อมจิตนึกถึง........
- พุทธะ คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์. นึกถึงสังฆะ พระอรหันต์สาวกอันประเสริฐด้วยบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์.
- นึกถึงหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร พระอรหันต์ผู้ทรงทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์สามารถเชื่อมโยงทุกพลังศักดิ์สิทธิ์จากทุกมหาจักรวาล และเหนือภพภูมิ มาสู่ลูกหลานได้. เพราะหลวงปู่ใหญ่คือผู้ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อสืบพระพุทธศาสนาห้าพันปี
จักมีพิธีกรรมหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญที่จิต.. นะลูกหลานเอ๊ย ๚
จิตที่น้อมรำลึกหลวงปู่ใหญ่อยู่ตลอดเวลาในฐานะพระอรหันต์ผู้ประเสริฐสูงยิ่ง ด้วยเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์สูงสุดในการธำรงหลักพระสัทธรรมและสืบทอดพระพุทธศาสนาห้าพันปี ดังกล่าวมา นั่นแล ๚
ขอให้ลูกหลานจงน้อมรำลึกไว้มั่นคง ธำรงจิตในมหากุศล เป็นความรู้-ตื่น-เบิกบาน เป็นความสะอาด-สว่าง-สงบ อย่างไม่เสื่อมคลาย
ภัยร้าย ทุกข์เข็ญ ทุกประการ แม้มากล้ำกราย ก็หาได้ระคายแก่ลูกหลานไม่. และโดยส่วนใหญ่แล้วย่อมแคล้วคลาดปลอดภัย ทุกประการ.
แม้นหากบาปกรรมเก่ามาบั่นทอนมากยิ่งนัก ถึงอย่างไร ๆ ก็จักผ่อนคลาย ร้ายจักเคลื่อนคล้อยกลายเป็นดี
แต่ถ้าหากมิอาจฝืนได้ กรรมร้ายมารอน ก็ย่อมเป็นการหมดกรรมหมดเวรเสียในชาตินี้ มิต้องต่อกรรมสืบเวรไปชาติหน้าอีกแล้ว
เมื่ออธิษฐานผ่อนกรรมผ่อนเวรเป็น ด้วยใจสำนึกผิด สัตย์ซื่อ พลังแห่งเจ้ากรรมนายเวรย่อมอ่อนละมุนลง.
เมื่อรำลึกหลวงปู่ใหญ่ให้เป็นตัวกลางในการเจรจาผ่อนกรรม ก็ย่อมประสิทธิผล ซึ่งเน้นย้ำสำคัญคือลูกหลานต้องสัตย์ซื่อ ไม่หลบเลี่ยงเกี่ยงงอนกรรม ยอมรับใช้ ผ่อนหนี้กรรมตามที่ตกลงปลงใจไว้
การเชื่อมกระแสบุญกับหลวงปู่ใหญ่ เชื่อมด้วยใจศรัทธายิ่งใหญ่ก่อนในเบื้องต้น. ต่อมาให้บำเพ็ญเพียรทาน-ศีล-ภาวนาอย่างละเอียดลออลึกซึ้งขึ้นไป
นี่แล.. จะเป็นทางพ้นทุกข์ ทางจำเริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ไม่ตกต่ำลงไปอีกเลย ของลูกหลานหลวงปู่ใหญ่ทุกรูปทุกนาม
๏ นะโมพุทธายะ ประสิทธิพรอุดมมงคล ดาลดลศุภผลประเสริฐ ล้ำเลิศทุกประการ.. นะลูกหลานเอ๊ย ๛
------------------------
" คำสอนสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี "
" กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้
กรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง
จงจำไว้ลูกเอ๋ย ...
กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ว่าดีหรือชั่ว
ย่อมมีผลต่อผู้กระทำทั้งสิ้น
ไม่มีพรหมเทพองค์ใด
จะช่วยเจ้าลบล้างกรรมนั้นได้
เจ้าจะต้องช่วยเหลือตนเอง
ด้วยการสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา
ผลแห่งบุญอันเป็นกรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง "
" มนุษย์รู้จักอาบน้ำชำระร่างกายวันละหลายๆ ครั้ง ทุกวัน ...
เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งสกปรกโสโครกที่ติดเกาะเรือนร่างตน ...
แต่มนุษย์ไม่เคยที่จะคิดชำระล้างจิตใจให้สะอาดแม้เพียงหนึ่งนาที ...
ด้วยเหตุนี้จิตใจของมนุษย์จึงมีแต่ ความโลภ โกรธ หลง อันเป็นตัณหาเพิ่มพูนตลอดเวลา ...
ถ้ามนุษย์รู้จักการชำระล้างจิตใจ ด้วยการมีทาน ศีล ภาวนา ทุกๆ วัน ...
ความโลภ โกรธ หลง ก็จะค่อยหมดไปเอง
ถ้าละได้ทั้งสุขและทุกข์ เมื่อนั้นเราก็จะไม่สุขไม่ทุกข์
จิตก็จะเป็นอรหันต์ ... "สาธุ
19 พฤษภาคม 2562 : 己亥年 四月 十五日 (聞法日)
วันธรรมสวนะกลางเดือน (วันพระจีน) ตามปฏิทินทางจันทรคติ
บทที่ ๑๕
พระพุทธองค์ทรงตรัส
๑. ตถาคตพิจารณาจิตในจิต แต่ไม่ติดในจิต
๒. ตถาคตพิจารณาในการกระทำ ที่ไม่มีการ
กระทำ
๓. ตถาคตพูดในการพูด ที่ไม่มีการพูด
๔. ตถาคตแสดงอริยสัจ ผู้รู้ในความหมายก็จะแจ่มแจ้ง ในความหมายที่ไม่สามารถใช้คำพูดมาอธิบายได้
พระสูตรพุทธวจนะ ๔๒ บท
เรียบเรียงโดย พระกาศยปมาตังคะ และ พระธรรมรักษ์ (สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก)
แปลไทยโดย สุเมธ โพธิอภิญาณวิสุทธิ์(เย็นอิม)
" จิต...
ถ้ายังไม่เป็น...สมาธิ
เมื่อสติเป็นเครื่องรักษาจิตอยู่เสมอแล้ว
จะต้องเป็นสมาธิ
คือ ความมั่นคงของจิต ความสงบของจิต
จะเคยฟุ้งซ่านรำคาญมาขนาดไหนก็เถอะ
ขอให้มีสติเป็นเครื่องรักษาจิต
ก็เป็นการบังคับความคิด ทั้งหลาย
ไม่ให้เกิดขึ้นไปในตัว นั่นแล
คิด...
ขึ้นเรื่องใด ให้มีปัญญาติดตาม
เรื่องเหตุผลกลไกอันใดจึงต้องคิดไปอย่างนั้น
รักสิ่งนั้น ชังสิ่งนี้ เพื่อประโยชน์อะไร
ความรัก ความชัง เป็นเรื่องของกิเลส ทั้งนั้น
ความรู้รอบในความคิดความปรุงแต่ง ของตน
และ ความรู้เท่าทันในความรัก ความชัง
ทั้งหลายนั้น เป็นปัญญา
เมื่อ...ปัญญามีกำลัง
ก็สามารถถอดถอนได้
เพราะ ถึงความจริงเป็นขั้น ๆไป
นี่ การปฏิบัติพากันทำความเข้าใจ อย่างนี้
ขณะที่จะใช้สติกำหนดให้จิตสงบก็ให้มีเท่านั้น
โลกนี้ทำเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
เหลือแต่ความรู้ กับอารมณ์ เท่านั้น มีเท่านั้น
อย่าเสียดายความคิดความปรุงแต่ง ซึ่งผลักดัน
ออกมาอยู่เรื่อย ๆ
มันผลักดันออกมาจากจุดแห่ง...ความรู้
เรา...มีสติ
จะทราบขณะที่จิตกระเพื่อมออกมา
เป็นความปรุง ความคิด ทำไมจะไม่ทราบ
พอปรุงขึ้นมาปั๊บ มันก็ดับไปพร้อม
ถ้า...มีสติ
ถ้า...ไม่มีสติ
ก็มีความเกี่ยวโยงออกไปข้างนอกเรื่อย ๆ
แล้วเราก็ตะครุบเงาไปเรื่อย
ทีนี้เงา เมื่อคนวิ่งมันก็วิ่ง ตามมันไม่ทัน
กิเลส เป็นเช่นนั้น เหมือนกับเงาอย่าไปตะครุบ
เอาให้แน่วอยู่ในหัวใจ ในขณะที่ทำความสงบ
ให้มีความมุ่งมั่น ต่ออารมณ์นั้น
ไม่ต้องคิดคาด คิดหมาย ถึงมรรค ถึงผล
จะเกิดขึ้นประการใดบ้าง
อันนั้น เป็นเรื่องเหลวไหล
ให้มีความสืบต่อด้วยสติ...อยู่กับวงงาน
ที่ตนกำลังพิจารณา หรือกำลังบริกรรม
เช่น พุทโธ
หรือ อานาปานสติ
ให้มีสติจดจ่อ อยู่ที่ตรงนั้น
โดยถ่ายเดียว เท่านั้น."
_____________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
การปฏิบัติธรรม เป็นการทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนเรื่องกาย วาจา จิต มิได้สอนเรื่องอื่น ทรงสอนให้ปฎิบัติฝึกหัดจิตใจ ให้เอาจิตพิจารณากาย เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หัดสติให้มากในการค้นคว้า เรียกว่า ธัมมวิจยะ พิจารณาให้พอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเป็นสติสัมโพชฌงค์ จิตจึงจะเป็นสมาธิรวมลงเอง
การประกอบความพากเพียรทำจิตให้ยิ่ง เป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
"สมถะวิปัสสนาสองหน้า"
หลวงพ่อชา สุภัทโท
บางคนปัญญาน้อย นั่งสมาธิได้ง่าย สงบ สงบเร็วที่สุด ไว แต่ไม่ค่อยมีปัญญา ไม่ทันกิเลสทั้งหลาย ไม่รู้เรื่องกิเลสทั้งหลาย แก้ปัญหาไม่ค่อยได้ พระโยคาวจรเจ้าผู้ปฏิบัติมีสองหน้าอย่างนี้ ก็คู่กันเรื่อยไป แต่ปัญญาหรือวิปัสสนากับสมถะมันก็ทิ้งกันไม่ได้ คาบเกี่ยวกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้
ทีนี้ถ้ามันขัดแย้งในความสงบ เมื่อมีอารมณ์มาผ่าน มีนิมิตขึ้นมาผ่านก็ไม่ได้สงสัยว่า “เคลิ้มไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?” “หลงไปหรือเปล่าเมื่อกี้นี้?” “ลืมไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?” “หลับไปหรือเปล่าเมื่อกี้นี้?” จิตขณะนี้สงสัย “หลับก็ไม่ใช่ ตื่นก็ไม่ใช่” นี่มันคลุมเครือ เรียกว่า มันมั่วสุมอยู่กับอารมณ์
ไม่แจ่มใสเหมือนกันกับพระจันทร์เข้าก้อนเมฆ มองเห็นอยู่แล้ว แต่ไม่แจ่มแจ้ง มัวๆ ไม่เหมือนกับพระจันทร์ออกจากก้อนเมฆ นั้นแจ่มใสสะอาด จิตเราสงบมีสติสัมปชัญญะรอบคอบสมบูรณ์แล้ว
จึงไม่สงสัยในอาการทั้งหลายที่เกิดขึ้น จะหมดจากนิวรณ์จริงๆ รู้ว่าอันใดเกิดขึ้นมาเป็นอันใดหมดทุกอย่าง รู้แจ้ง รู้เรื่องตามเป็นจริงไม่ได้สงสัย อันนั้นเป็นดวงจิตที่ใสสะอาด สมาธิถึงขีดแล้วเป็นเช่นนั้น
ระยะหลังๆ มาก็เป็นไปในรูปอย่างนี้ทำนองนี้ เป็นเรื่องธรรมดาของมัน ถ้าจิตแจ่มแจ้งผ่องใสแล้ว ไม่ต้องไปถามว่าง่วงหรือไม่ง่วง ใช่หรือไม่ใช่ ทั้งหลายเหล่านี้ มันก็ไม่มีอะไร
ถ้ามันชัดเจน ก็เหมือนเรานั่งธรรมดาอย่างนี้เอง นั่งเห็นธรรมดา หลับตาก็เหมือนลืมตา เห็นในขณะหลับตาก็เหมือนลืมตามาเห็น ทุกอย่างสารพัดไม่มีความสงสัย
เพียงแต่เกิดอัศจรรย์ขึ้นในดวงจิตของเราว่า “เอ๊ะ! สิ่งเหล่านี้มันก็เป็นของมันไปได้ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ มันก็เป็นของมันได้” อันนี้จะวิพากษ์วิจารณ์มันเองไปเรื่อยๆ
ทั้งมีปีติ ทั้งมีความสุขใจ มีความอิ่มใจ มีความสงบ เป็นเช่นนั้น ต่อนั้นไปจิตมันจะละเอียดไปยิ่งกว่านั้น มันก็จะทิ้งอารมณ์ของมันไปด้วย วิตกยกเรื่องขึ้นมาก็จะไม่มี และเรื่องวิจารณ์มันก็จะหมด จะเหลือแต่ความอิ่มใจ อิ่มไม่รู้ว่าอิ่มอะไร แต่มันอิ่ม
เกิดความสุขกับอารมณ์เดียว นี่มันทิ้งไป วิตกวิจารณ์มันทิ้งไป ทิ้งไปไหน? ไม่ใช่เรื่องทิ้ง จิตเราหดตัวเข้ามา คือมันสงบ เรื่องวิตกวิจารณ์มันเป็นของหยาบไปแล้ว
มันเข้ามาอยู่ในที่นี้ไม่ได้ก็เรียกว่า ทิ้งวิตก ทิ้งวิจารณ์ ทีนี้จะไม่มีความวิตก ความยกขึ้น วิจารณ์ ความพิจารณาไม่มี มีแต่ความอิ่ม มีความสุข และมีอารมณ์เดียวเสวยอยู่อย่างนั้น
ที่เขาเรียกว่า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เราไม่ได้ว่าอย่างนั้น เราพูดถึงแต่ความสงบ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา ต่อไปนี้ก็ทิ้งวิตก วิจารณ์ เกิดขึ้นมาแล้วก็ทิ้งไป เหลือแต่ปีติกับสุข เอกัคคตา ต่อไปก็ทิ้งปีติ เหลือแต่สุขกับเอกัคคตา ต่อไปก็มีเอกัคคตากับอุเบกขา มันไม่มีอะไรแล้ว มันทิ้งไป
เรียกว่าจิตมันสงบๆๆๆ จนไปถึงอารมณ์มันน้อยที่สุด ยังเหลืออยู่แต่โน้น…..ถึงปลายมัน เหลือแต่เอกัคคตากับอุเบกขา เฉยอย่างนี้ อันนี้มันสงบแล้วมันจึงเป็น นี่เรียกว่ากำลังของจิต อาการของจิตที่ได้รับความสงบแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนี้มันไม่ง่วง ความง่วงเหงาหาวนอนมันเข้าไม่ได้ นิวรณ์ทั้งห้ามันหนีหมด วิจิกิฉา ความสงสัยลังเล อิจฉา พยาบาท ฟุ้งซ่าน รำคาญหนี เหล่านี้ไม่มีแล้ว นี่มันค่อยเลื่อนไปเป็นระยะอย่างนั้น นี่อาศัยการกระทำให้มากเจริญให้มาก
......................................................
สัมมาสมาธิ
"สัมมาสมาธิที่ถูกต้อง ถึงแม้จะมีความสงบไปถึงแค่ไหน ก็มีความรู้อยู่ตลอดกาลตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บริบูรณ์รู้ตลอดกาลตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บริบูรณ์รู้ตลอดกาล นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ"
สมาธิทั้งหลายเหล่านี้ แบ่งเป็นมิจฉาสมาธิอย่างหนึ่ง คือเป็นสมาธิในทางที่ผิด และสัมมาสมาธิอย่างหนึ่ง คือสมาธิในทางที่ถูกต้อง นี้ให้สังเกตให้ดี มิจฉาสมาธิคือ ความที่จิตเข้าสู่สมาธิเงียบ...หมด...ไม่รู้อะไรเลย ปราศจากความรู้ นั่งอยู่สองชั่วโมงก็ได้ กระทั่งวันก็ได้ แต่จิตไม่รู้ว่ามันไปถึงไหนมันเป็นอย่างไร ไม่รู้เรื่อง นี่สมาธิอันนี้เป็นมิจฉาสมาธิ มันก็เหมือนมีดที่ลับให้คมดีแล้วแต่เก็บไว้เฉยๆ ไม่เอาไปใช้มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรอย่างนั้น ความสงบอันนั้นเป็นความสงบที่หลง คือว่าไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว เห็นว่าถึงที่สุดแล้วก็ไม่ค้นคว้าอะไรอีกต่อไป จึงเป็นอันตราย เป็นข้าศึกในขั้นนั้น อันนี้เป็นอันตรายห้ามปัญญาไม่ให้เกิด ปัญญาเกิดไม่ได้เพราะขาดความรู้สึกรับผิดชอบ
ส่วนสัมมาสมาธิที่ถูกต้อง ถึงแม้จะมีความสงบไปถึงแค่ไหน ก็มีความรู้อยู่ตลอดกาลตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บริบูรณ์รู้ตลอดกาลตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บริบูรณ์รู้ตลอดกาล นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่ไม่หลงไปในทางอื่นได้นี้ก็ให้นักปฏิบัติเข้าใจให้ดี จะทิ้งความรู้นั้นไม่ได้ จะต้องรู้แต่ต้นจนปลายทีเดียว จึงจะเป็นสมาธิที่ถูกต้อง ขอให้สังเกตให้มาก สมาธิชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายเมื่อเราเจริญสมาธิที่ถูกต้องแล้ว อาจจะสงสัยว่ามันจะได้ผลที่ตรงไหน มันจะเกิดปัญญาที่ตรงไหน เพราะท่านตรัสว่าสมาธิเป็นเหตุให้เกิดปัญญาวิปัสสนา สมาธิที่ถูกต้องเมื่อเจริญแล้ว มันจะมีกำลังให้เกิดปัญญาทุกขณะ ในเมื่อตาเห็นรูปก็ดี หูฟังเสียงก็ดี จมูกดมกลิ่นก็ดี ลิ้นลิ้มรสก็ดี กายถูกต้องโผฏฐัพพะก็ดี ธรรมาภรณ์เกิดกับจิตก็ดี อิริยาบถยืนก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี จิตก็จะไม่เป็นไปตามอารมณ์ แต่จะเป็นไปด้วยความรู้ตามเป็นจริงของธรรมะ
ฉะนั้นการปฏิบัตินี้เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ไม่เลือกสถานที่ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็ตาม จิตมันเกิดปัญญาแล้ว เมื่อมีสุขเกิดขึ้นมาก็รู้เท่า เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้เท่า สุขก็สักแต่ว่าสุข ทุกข์ก็สักแต่ว่าทุกข์เท่านั้น แล้วก็ปล่อยทั้งสุขและทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
เมื่อสมาธิถูกต้องแล้ว มันทำจิตให้เกิดปัญญา อย่างนี้เรียกว่า วิปัสสนา มันก็เกิดความรู้ตามความเป็นจริง