โลก...จะเปลี่ยนอย่างไร ก็ "รู้" ..และแก้ไขแบบโลกๆไป
"ดูใจ"...สิ่งที่กระทบ ปัญหาทึ่เข้ามา
"ทุกข์"ได้ไม่ได้ห้าม แต่"ให้รู้ทันจิตที่ทุกข์"
ใช้"ปัญญา"แก้ปัญหา
และ"วางใจ"...เมื่อผลกระทบนั้น กระทบโลก กระทบจิต "อดทน"และ...ทำหน้าที่"ทางโลก"..."ทางจิต" ทุกวัน
แสงธรรมนำทาง
อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจ เช่น
ยึดมั่นถือมั่นใน เบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจรวมกันว่าเป็น"ตัวตน" และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ อันมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็น"ของตน"
หรือที่ละเอียดลงไปกว่านั้นก็คือยึดถือจิตส่วนหนึ่งว่าเป็น"ตัวเรา" แล้วยึดถือเอารูปร่างกาย ความรู้สึก ความจำ และความนึกคิด ๔ อย่างนี้ว่าเป็น"ของเรา"
อุปาทาน 4 อย่าง
กามุปาทาน ยึดติดในกาม
ทิฏฐุปาทาน ยึดถือในทิฏฐิ
สีลัพพัตตุปาทาน ติดยึดในศีลวัตรที่งมงาย
อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นในตัวเอง ของตัวเอง
พุทธภาษิตมีอยู่ว่า "เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั่นแหละเป็นตัวทุกข์"
ดังนั้น เบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้นหาเป็นทุกข์ไม่ ฉะนั้น คำว่าบริสุทธิ์หรือหลุดพ้นจึงหมายถึง การหลุดพ้นจากอุปาทานว่า"ตัวเรา" ว่า"ของเรา"นี้โดยตรง ดังมีพุทธภาษิตว่า "คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน"
Trader Hunter พบธรรม
แค่รู้สึกตัว ให้มาก ให้บ่อย เมื่อความรู้สึกตัวชัด จะทําให้จิตผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา เข้มแข็งขึ้นมาแล้ว จะรู้ทัน รู้ทัน จึงปล่อยได้ ที่ไหลไปตามความคิดอารมณ์ เพราะรู้ไม่ทันกับไม่รู้สึกตัว ถ้ารู้สึกตัว อารมณ์ความคิดขณะนั้น แว่บนั้น จะหายไป ความเชื่อมต่อไม่มี ขาดออกจากใจเรา ที่นี้พอขาดแล้ว หากใจเราเลิกไปวิตกวิจารณ์ให้ค่าความหมายกับมันอีกก็จบ แต่หากยังไม่เลิก ก็จะส่งใจออกไปอีก ตรงจุดนี้ การรักษาใจไว้กับกาย เช่น ลมหายใจ หากทําอยู่เสมอ จะเข้ามาช่วยได้ในตอนนี้ นี้คือกระบวนการแห่งจิตใจ ที่มันวิ่งเป็น ปฏิจสมุปบาทในใจเรานั้นเอง "สติปัฏฐาน เป็นตัวมาตัดตรงนี้ ด้วย สติกํากับใจ"
คำสอนใด ที่ฟังแล้วทำให้ชูปัญญา
▪แต่ได้มาซึ่งความมีอัตตามากขึ้น
▪จากอ่อนโยนเป็นแข็ง
▪จากอนัตตาเป็นอัตตา
แปลว่ามีอะไรผิดพลาดบางอย่าง (ผิดทาง)
คำสอนใด นำมาซึ่งประเทืองปัญญา (ถูกทาง)
▪ทำให้จิตใจอ่อนโยน
▪จากร้อนเป็นเย็น
▪จากแข็งเป็นอ่อน
▪จากร้ายเป็นดี
▪จากอัตตาเป็นอนัตตา (ความยึดมั่นในตัวตนจะเล็กลงๆ)
จงพิจารณาดูเถิด
เราพิจารณา ให้รู้ชัดเจน และปล่อยวางไว้ตามความจริงของมัน จะสุขก็ให้รู้ตามความจริงของมัน สุขเกิดขึ้น สุขดับไป สุขเป็นไตรลักษณ์ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ดับไป ทุกข์เป็นไตรลักษณ์ รูปเป็นไตรลักษณ์ สัญญาเป็นไตรลักษณ์ สังขารเป็นไตรลักษณ์ วิญญาณเป็น ไตรลักษณ์ ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นความจริงอันหนึ่งๆ รุ้แล้ว ถอนตัวเข้ามา อยู่เป็นอิสระ อย่าไปยุ่ง อย่าไปแบก ไปหาม นี่เรียกว่า "ปัญญาค้นดูให้เห็นชัดเจน"
เมื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้รอบตัวหมดแล้ว มันไม่ไปไหน สติปัญญาจะหมุนติ้วเข้าไปสู่จิต ตัวลุ่มหลงที่กลมกลืนกับ "อวิชชา" นั่นแหละ นั่นแล บ่อแห่ง "อวิชชา"แท้ บ่อแห่งความเกิดแท้ บ่อแห่งความเปลี่ยนเสื้อ เปลียนแสง เปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติ เปลี่ยนอยู่ที่ตรง "จิต" นั่นแหละ
เอ้า สติปัญญา ค้นเข้าไป ทำลายมัน รังของ "อวิชชา" มันฝังอยู่ในจิตนี้ เมื่อแยกออกได้หมดแล้วด้วยสติปัญญา ทางฝ่ายขันธ์ก็ย้อนเข้าไปถึง "อวิชชา ปัจจะยา สังขารา" อวิชชา ปัจจะยา จริงๆ มันมาจากไหน ใครเป็นอวิชชา? ถ้าไม่ใช่ผู้ที่รู้ ซึ่งเต็มไปด้วยความหลงฝังอยู่ภายในตัวนั้น ปัญญาสอดแทรกเข้าไป พิจารณาเข้าไปให้เห็นธรรมชาตินี้ คือ อะไรกันแน่? มันก็ไตรลักษณ์ดีๆ นั่นเอง พวกกิเลสตัณหา อวิชชาจะเป็นอะไรไป ให้พิจารณาตรงนี้ ตอนนี้เรียกว่า พิจารณา "จิต" ให้เป็นไตรลักษณ์ เช่นเดียวกันไมผิด ถ้าเราาถือว่าเป็นตนแล้ว ก็เท่ากับเรากินปลาทั้งก้าง หรือกินไก่ทั้งกระดูก กินข้าวทั้งเปลือก โดยไม่เลือกเฟ้น จะเป็นอันตรายแก่ใครเล่า คิดให้ดีก่อนจะกลืนลงไป ไม่งั้นตาย เพราะก้างและกระดูกขวางคอ
ที่ว่าจิตเป็นไตรลักษณ์ตอนนี้ คือ จิตมีส่ิงที่เป็นไตรลักษณ์ครอบงำอยู่นั่นเอง เราจะถือว่าจิตเป็นตนขณะนั้นไมได้ ต้องพิจารณาตรงนั้น ให้เห็นความจริงของไตรลักษณ์ ซึ่งมีอยู่ภายในจิต
เราเห็นแต่ไตรลักษณ์ที่มีอยู่ตาม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่เราต้องการเห็นไตรลักษณ์อันละเอียดแห่ง "สมมุติ" ฝังอยู่ภายในจิต จึงต้องพิจารณา "จิต" เช่นเดียวกับพิจารณาอาการทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เป็นไตรลักษณ์ ดูให้เห็นจริงด้วยสติปัญญา สิ่งที่มันไม่อาจทนทานอยู่ได้ ด้วยอำนาจของปัญญาผู้ทำลาย มันจะสลายตัวลงไป คือจะแตกกระจายลงไป สิ่งที่เป็นความจริงโดยธรรมชาติของตัว สิ่งนั้นจะคงอยู่ เช่น "ผู้รู้"
เมือ่สิ่งจอมปลอมทั้งหลายสลายตัวลงไปแล้ว ผู้รู้นี้จะทรงตัวอยู่ กลายเป็นผู้รู้ที่บริสุทธิ์ขึ้นมา ผู้นี้ ไม่ฉิบหาย ผู้นี้ไม่เป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ก็หมดปัญหาในขณะที่กิเลสอาสวะทั้งหมดสิ้นสุดไปจากใจ คำว่า "ไตรลักษณ์" ภายในใจจึงหมดไป เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภายนอกก็ตาม ภายในก็ตาม รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ย่อมหมดปัญหาไป เมื่อ "อวิชชา" สิ้นไปจากใจโดยเด็ดขาดแล้ว
เมื่อจิตพ้นจาก "สมมุติ" แล้ว อะไรๆ ก็เป็นความจริงไปตามๆกัน ไม่มีอะไรเป็นปัญหาตอ่ไปอีก เพราะใจไม่สร้างปัญหาให้แก่ตัวเอง เนื่องจากสติปัญญารู้รอบขอบขัดแล้ว
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"จงพยายามเปลี่ยนเสื้อให้ทันสมัยก่อนตาย"
"ขันธ์ทั้งหลายไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์
ท่านให้พิจารณาให้รู้เท่า รู้เท่าอย่างนี้แล้ว เห็นชัดอยู่ที่จิตแล้ว จิตมันจะไม่ยึดถือ มันจะปล่อยวาง มีความคลายกำหนัด ไม่ถือว่าเราว่าเขา ไม่ยึดในอุปาทานขันธ์ ปล่อยวางอุปาทานขันธ์ สิ่งทั้งปวงนั่นน่ะ
ก็เพราะว่าจิตนั่นแหละไปยึดไปถือเอาทุกสิ่งทุกอย่าง
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันถือเอาเป็นของเราหมดทั้งนั้น ให้รู้เท่าว่าเป็นของอสุภะอสุภัง ของไม่สวยไม่วาม เป็นของปฏิกูลเน่า เกลียด แล้วจิตมันจะมีความเบื่อหน่ายรู้เท่าทัน
พิจารณาให้มันเห็นลงไป"
.... หลวงปู่ขาว อนาลโย
มหาธรรมนาวา
อาจารย์ผู้บัญญัติพุทธธรรม รวมทั้งกำลังสอนในนิกายธฺยานะ นี้ด้วย อาจเปรียบได้กับดวงอาทิตย์ ซึ่งกำลังแผดแสงจ้า อยู่ ณ กึ่งกลางนภากาศ บุคคลเช่นนี้จะไม่สอนอะไร นอกจากธรรมะเพื่อให้"เห็นแจ้งจิตเดิมแท้"อย่างเดียว และความมุ่งหมายในการที่ท่านมาสู่โลกนี้ ก็เพื่อขจัดพรรคมิจฉาทิฏฐิฯ
เราจะแบ่งแยกธรรมปฏิบัติ ออกเป็นชนิด “ฉับพลัน” และชนิด “เชื่องช้า” โดยยากก็จริง แต่ก็ยังมีคนบางพวก ที่จะรู้แจ้งได้เร็วกว่าพวกอื่นมากฯ ตัวอย่างเช่นธรรมปฏิบัติระบอบนี้ ที่สอนมุ่งให้เห็นแจ้ง"จิตเดิมแท้" เป็นระบอบที่คนโฉดเขลา เข้าใจไม่ได้ฯ
เราอาจจะอธิบายหลักธรรมระบอบนี้ได้โดยวิธีต่างๆตั้ง ๑๐,๐๐๐ วิธี แต่ว่าคำอธิบายทั้งหมดนั้น อาจจะลากให้หวนกลับมาสู่หลักดุจเดียวกันได้ฯ การที่จะจุดไฟให้สว่างขึ้น ในดวงหทัยอันมืดมัว เพราะเกรอะกรังไปด้วยกิเลสนั้น
เราจักต้องดำรงแสงสว่างแห่งปรัชญา ไว้เนืองนิจฯ
มิจฉาทิฏฐิ ย่อมทำเราให้ติดจมอยู่ในห้วงกิเลสฯ
ส่วนสัมมาทิฏฐิ ย่อมเปลื้องเราออกจากกองกิเลสนั้นๆ
แต่เมื่อใด เราอยู่ในฐานะที่เหนือไปกว่าทิฏฐิทั้งสองอย่างนี้ เมื่อนั้น เราย่อมบริสุทธิ์โดยเด็ดขาดฯ
โพธิ เป็นสิ่งที่มีประจำอยู่แล้วภายใน จิตเดิมแท้ ของเรา การพยายามหาโพธิจากที่อื่นนั้นเป็นความเขลาฯ
"จิตที่บริสุทธิ์"นั้น จะหาพบได้ภายใน"จิตอันไม่บริสุทธิ์"
ของเรา นั่นเอง
ในทันใด ที่เราดำรงจิตถูกต้อง เราย่อมเป็นอิสระจากสิ่งที่บดบัง ๓ ประการ (คือ กิเลส บาปกรรม และการต้องทนใช้บาปอยู่ในนรก)ฯ
ถ้าเราเดินอยู่ในมรรคาแห่งการตรัสรู้ เราก็เดินไถลออกไปนอกหนทางที่ถูกไม่ได้ฯ เพราะเหตุที่ชีวิตทุกๆแบบ ย่อมมีวิถีทางแห่งความรอดพ้นแฉพาะของมันเอง ทุกแบบ ฉะนั้น ชีวิตทั้งหลายจะไม่ก้าวก่าย หรือกระทบกระทั่งซึ่งกันและกันฯ
แต่ถ้าเราผละจากทางชนิดที่เป็นของเรา ไปแสวงหาทางอื่นเพื่อรอดพ้น เราจะไม่พบความรอดพ้นเลย แม้ว่าจะหาเรื่อยไป จนกระทั่งความตายมาถึงเราก็ดี ในที่สุด เราจะพบแต่ความรู้สึกเสียใจภายหลังว่า เราทำพลาดไปแล้วฯ
ถ้าท่านปรารถนาจะค้นหาทางที่ถูกต้อง การทำให้ถูกวิธีจริงๆเท่านั้น ที่จะนำท่านดิ่งไปถึงได้ แต่ถ้าท่านไม่มีการดิ้นรนเพื่อถึงพุทธภูมิ ท่านก็มัวคลำคว้าอยู่ในที่มืด และไม่มีโอกาสพบเลยฯ ผู้ที่ด่วนเดินมุ่งแน่วไปตามทางที่ถูกต้องนั้น ย่อมไม่มองเห็นความผิดต่างๆในโลกนี้ ถ้าเราพบความผิดในบุคคลอื่น เราเองก็ตกอยู่ในความผิดนั้นด้วยเหมือนกันฯ เมื่อเห็นผู้อื่นทำผิด เราไม่จำต้องเอาใจใส่ เพราะมันจะเกิดความผิดขึ้นแก่เราเอง ในการที่จะไปรื้อหาความผิดฯ โดยการสลัดนิสัยที่ชอบค้นความผิดของคนอื่นออกไปเสียจากสันดาน เราย่อมตัดวิถีทางการมาของกิเลส ได้เป็นอย่างดีฯ เมื่อใดความชัง (คนเกลียด) และความรัก (คนรัก) ไม่กล้ำกรายใจของเรา เราหลับสบายฯ
บุคคลใดตั้งใจจะเป็นครูสอนคนอื่น เขาเองควรจะมีความคล่องแคล่วในวิธีที่เหมาะสมนานาประการที่จะนำผู้อื่นเข้าถึงความสว่างฯ เมื่อศิษย์พ้นจากความสงสัยสนเท่ห์ โดยประการทั้งปวง มันย่อมแสดงว่า เขาได้พบ จิตเดิมแท้ ของเขาแล้วฯ
จักวรรดิของพระพุทธเจ้า อยู่ในโลกนี้ ซึ่งเราจะพบความสว่างไสว ในที่อื่นจากโลกนี้ การเสาะแสวงหาความสว่างไสว ในที่อื่นจากโลกนี้ เป็นความพิลึกกึกกือ เหมือนการเที่ยวหาเขากระต่ายฯ
สัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่ถูกขนานนามว่า “เลิศเหนือโลก” มิจฉาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่ถูกขนานนามว่า “ข้องอยู่ในโลก” เมื่อใดทิฏฐิทั้งสองอย่าง ไม่ว่าสัมมาหรือมิจฉา ถูกสลัดพ้นออกไป เมื่อนั้น โพธิแท้ ย่อมปรากฏฯ
โศลกนี้ ยังถูกขนานนามว่า “มหาธรรมนาวา” (เพื่อแล่นข้ามฝั่งสังสารวัฏ) กัลป์แล้วกัลป์เล่า คงตกอยู่ภายใต้ความมืดบอด แต่ครั้นถึงคราวตรัสรู้ มันกินเวลาแวบเดียวเท่านั้น เขาก็เข้าถึงพุทธภูมิฯ
___________________
แสดงโดย: สังฆปรินายกองค์ที่ ๖ แห่งนิกายธฺยานะ (เว่ยหล่าง) ณ วิหารไทฟัน
หนังสือ: สูตรของเว่ยหล่าง หมวดที่ ๒ ว่าด้วยปรัชญา
“การเข้าใจความเป็นจิตของตนอย่างไร จึงจะถือว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง”
เมื่อพระพุทธองค์ทรงค้นพบสัจธรรมความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งชัดว่า ธาตุทั้งสี่ ขันธ์ทั้งห้า แท้ที่จริงมันหามีตัวตนแห่งขันธ์ ธาตุทั้งหลายไม่ โดยธรรมชาติมันย่อมเป็นความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตนอยู่อย่างนั้น
และรู้แจ้งชัดว่า"จิต" นี้โดยธรรมชาติ มันคือ"ความบริสุทธิ์โดยตัวมันเอง"อยู่อย่างนั้น
แต่ถ้าหากปรุงแต่งเป็นปรากฏการณ์แห่งจิตต่างๆที่เกิดขึ้น จิตเหล่านี้ก็เป็นความไม่บริสุทธิ์โดยเนื้อหามันเองอีกเช่นกัน...
จิตที่บริสุทธิ์ พอใจในการกระทำความดี โดยทำไปแบบนั้นตามธรรมชาติของจิต
แต่จิตที่ไม่บริสุทธิ์ก็ถูกปรุงแต่งขึ้น ตามอำนาจแห่งอวิชชา ตัณหา อุปาทาน แห่งการทำความดีและการทำชั่ว
บุคคลที่มิได้รับผลกระทบใดๆจากอำนาจแห่งจิตชั่ว คือผู้ที่เป็นอิสระแล้วในความเป็นธรรมชาติแห่งเขาเหล่านั้น
บุคคลเหล่านี้ย่อมอยู่ในความทุกข์และในสุขอันยั่งยืน โดยปราศจากความแปรผันด้วยความหมดเหตุปัจจัยในการปรุงแต่ง เป็นความสุขในความเป็นธรรมชาติแห่งการหลุดพ้นนั้น
ส่วนปุถุชนผู้มืดบอดย่อมถูกบีบคั้นด้วยจิตสกปรก และยุ่งเหยิงซับซ้อนด้วยกรรมต่างๆนานาแห่งตน เพราะจิตสกปรกแปดเปื้อนมลทิน ไปด้วยการปรุงแต่งในลักษณะหลากหลาย ย่อมปิดบังธรรมชาติที่แท้จริงแห่งความเป็นเขาเหล่านั้น ด้วยอำนาจแห่งการปรุงแต่งจึงพาเขาต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ในภพทั้งสามอยู่อย่างนั้น
ในพระสูตรได้กล่าวว่า “ในความเป็นปุถุชน ก็มีความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะที่ไม่อาจทำลายมันลงไปได้ เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่แสงของมันได้สาดส่องไปทั่ว แต่เมื่อใดมันถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกอันหนาทึบ ด้วยเงาของขันธ์ทั้งห้า มันก็เหมือนแสงที่อ่อนแสงด้วยการถูกบดบังนั้น”
และในพระสูตรยังกล่าวอีกว่า “ปุถุชนย่อมมีธรรมชาติแห่งพุทธะ แต่มันถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจมืดแห่งอวิชชา ความเป็นพุทธะก็คือธรรมชาติแห่งความเป็นจริง ที่มันว่างเปล่าโดยความเป็นมันเองอยู่อย่างนั้น การรู้ชัดแจ้งในความเป็นธรรมชาตินี้ คือความหลุดพ้น” การประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรมชาติแห่งจิตตน จึงเป็นรากฐานอันคือรากของต้นไม้ที่หาอาหารเลี้ยงบำรุงลำต้น จึงก่อให้เกิดต้นไม้แห่งธรรมและผลิตผลออกมาเป็นนิพพาน การเข้าใจจิตของตน ด้วยความหมายแห่งความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ จึงเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง อันคือ สัมมาทิฐินั่นเอง
ท่านโพธิธรรม 🙏🏻ค่ะ
"จิต"นี้ ไม่ใช่จิตซึ่งเป็น"ความคิดปรุงแต่ง" มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับ"รูปธรรม"โดยสิ้นเชิง
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกจาก"ความคิดปรุงแต่ง"เท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตคือพุทธะ
การเรียนการสอนของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา แบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกัน
ส่วนแรก ก็คือ"การเรียนเป็นกลุ่ม" เรียนตามทฤษฎี ได้มีการสอน การทำแบบฝึกหัด การเรียนรู้ธรรมะ คือกฏธรรมชาติ และเรียนรู้เรื่องระบบ ที่เป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีควบคู่กันไป โดยมีคลื่นจากต่างดาวเป็นผู้ควบคุมการฝึกอย่างใกล้ชิด
มีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความทุกข์ และ
มีการสอนให้ดับทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้น โดยการปล่อยวาง โดยการไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5
มีแบบฝึก มีการประเมินผล มีการทดสอบ ภายในกลุ่มผู้ฝึกฯ ตลอดเวลาซึ่งการฝึกแบบเข้มข้นนี้ ผู้ที่จะผ่านการฝึกได้ย่อมต้องผ่านความทุกข์ในขั้นเข้มข้นมาแล้วทั้งสิ้น
อีกส่วนหนึ่ง ก็คือ"ผู้ที่ฝึกเดี่ยว" คือมีการสอนตัวต่อตัว ครูหนึ่งนักเรียนหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่าเราคิดอะไร ทำไมมนุษย์ต่างดาวจึงรู้ การเรียนแบบเดี่ยวนี้ ก็ต้องเผชิญความทุกข์ตามสถานการณ์ที่ครูจัดให้ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแต่ความทุกข์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เหมือนกับว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวจะมีการถูกกำกับโดยบางสิ่งบางอย่าง มีการบังเอิญที่บ่อยเกินไป และเหมือนมีการทดสอบ ประเมินผล โดยบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา และหากถึงคราววิกฤต เราก็จะมีทางออก มีทางแก้ไขได้เสมอไป เหมือนเป็นการจัดฉากขึ้นมาเพื่อทดสอบให้ก้าวข้ามความทุกข์นั้น ๆ ให้ได้นั่นเอง เพราะสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวได้บอกไว้ก็คือ ความทุกข์(จากระบบ) มีค่ามากกว่าทอง
ดังนั้น การสอนจึงเน้นให้เจอแต่ทุกข์ และสอนวิธีการดับทุกข์ นั้น ถ้าเจอแต่สุขก็จะไม่ขนขวายที่จะปฏิบัติธรรม ถ้าเจอแต่ทุกข์ ก็ย่อมหาทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์นั่นเอง วิธีการเดียวกัน แต่อาจเป็นคนละรูปแบบกัน และผลที่ได้พ้นทุกข์เหมือนกัน
มนุษย์ต่างดาว ได้เคยกล่าวไว้นานแล้วว่า งานนี้คนเยอะ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนทำงานในโครงการนี้ แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลามาพบเจอ บุคคลต่าง ๆ นั้นก็ต้องฝึกลำพังไปก่อน ถ้าท่านลองสังเกตุว่า บางครั้งเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างคอยมากำกับเราอยู่ คอยมาดูแลสถานการณ์ต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเราตลอดเวลา เหมือนการบังเอิญที่บ่อยเกินไป คิดอะไร แล้วก็เจอสิ่งนั้นเสมอ กลัวอะไรจะได้อย่างที่กลัวเสมอ เหมือนมีการเข้ามารู้ในใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และก็จะจัดแบบทดสอบมาให้ เพื่อให้ผ่านไปแต่ละลำดับขั้น และผู้ที่ถูกฝึกเดี่ยวนี้ ภายในใจจะเหมือนกำลังเสาะหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ ยังไม่ลงตัว สิ่งที่เจอยังไม่ใช่สิ่งที่ค้นหา แต่ไม่รู้ว่ากำลังค้นหาอะไร แต่เมื่อมาพบเจอข้อมูลเหล่านี้ ก็จะสามารถเข้าใจได้เลยอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เวลามากนัก เพราะเป็นการฝึกในแบบเดียวกันนี้มาก่อน
ถ้าฝึกเสร็จแล้ว มีการเข้ามาร่วมงานกันแล้ว แม้จะฝึกกันคนละที่ คนละเวลา แต่ทุกหน้าที่สำคัญหมด เมื่อถึงเวลาทำงาน ก็ต้องเชื่อมต่อกัน เหมือนการต่อแผ่นจิ๊กซอนั่นเอง
กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้
การปล่อยวางเป็นสุข การยึดเป็นทุกข์ โลกนี้ทั้งโลกในที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ โลกะหรือโลก พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แปลว่า มีอันฉิบหายไปในที่สุด หรืออนัตตานั่นเอง ดังนั้นทุกสิ่ง-ทุกอย่างในโลกนี้จึงยึด-ถืออะไรไม่ได้เลยและไม่มีใครสามารถจะเอาสมบัติของโลกไปได้ สมบัติของโลกที่เรารักที่สุดก็คือ ร่างกายที่จิตเราอาศัยอยู่ชั่วคราว เราก็เอาไปไม่ได้ หากเรามีกำลังใจเต็ม วางอุปาทานขันธ์ ๕ หรือวางร่างกายนี้ได้อย่างเดียว สิ่งอื่นๆ ก็จะหลุดไปเอง คนฉลาด-มีปัญญาดี จึงตรัสสอนให้ตัดขันธ์ ๕ หรือร่างกายอย่างเดียวก็จบกิจในพระพุทธศาสนาได้
จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๖ รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
ขันธ์ 5 หรือ เบญจขันธ์ กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมห้าหมวดที่ประชุมกันเข้าเป็นชีวิต
ขันธ์ 5 หรือ เบญจขันธ์
กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมห้าหมวดที่ประชุมกันเข้าเป็นชีวิต
รูปขันธ์ กองรูป , ส่วนที่เป็นรูป , ร่างกาย , พฤติกรรม และคุณสมบัติต่างๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย , ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด , สิ่งที่เป็นร่างพร้อมทั้งคุณและอาการ
เวทนาขันธ์ กองเวทนา , ส่วนที่เป็นการเสวยรสอารมณ์ , ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ
สัญญาขันธ์ กองสัญญา , ส่วนที่เป็นความกำหนดหมายให้จำอารมณ์นั้นๆได้ , ความกำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์ 6 เช่นว่า ขาว เขียว ดำ แดง เป็นต้น
สังขารขันธ์ กองสังขาร , ส่วนที่เป็นความปรุงแต่ง , สภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ , คุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิต ให้เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ , ส่วนที่เป็นความรู้แจ้งอารมณ์ , ความรู้อารมณ์ทางอายตนะทั้ง 6 มีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ได้แก่ วิญญาณ 6
ขันธ์ 5 นี้ ย่อมลงมาเป็น 2 คือ นาม และ รูป ; รูปขันธ์จัดเป็นรูป , 4 ขันธ์นอกจากเป็นนามอีกอย่างหนึ่ง จัดเข้าในปรมัตถธรรม 4 : วิญญาณขันธ์เป็นจิต , เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ เป็น เจตสิก , รูปขันธ์ เป็น รูป , ส่วน นิพพาน เป็นขันธ์วินิมุต คือ พ้นจากขันธ์ 5
เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงแล้ว จิตก็หมดพันธะกับเรื่องโศก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งนั้น
แล้วจิตที่ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด
เมื่อเข้าใจผิด ก็หลงอยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจ
อันโทษทัณฑ์ทางกาย อาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง ส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรึงรัดไว้นั้น ต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง
"พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นแล้วจากโทษทั้งสองทางความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล