-พุทธทาสภิกขุ-
ฉะนั้น สรุปความแล้ว "ถ้าฟังถูก(ธรรม)" ก็เป็นการเพียงพอ
พอเกิด ตัวกู – ของกู ก็เป็นสังสารวัฏฏ์
พอว่าง จาก ตัวกู - ของกู ก็เป็นนิพพาน
แล้วมี"สติ"กั้นการเกิดแห่งสังสารวัฏฏ์ ปล่อยทางเกิดแห่งนิพพานไว้เรื่อย
ทางที่จะเป็นนิพพานไว้เรื่อย ปิดกั้นทางที่จะเกิดสังสารวัฏฏ์ไว้เรื่อย มันก็ได้นิพพาน
ระยะที่เป็นนิพพานก็มากขึ้นๆ ระยะที่เป็นสังสารวัฏฏ์ก็หดตัวไปเอง
หดตัวไปเองน้อยลงไปเอง เรียกว่า…ผอมตายในที่สุด.
ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 4 มีนาคม 2563
ตอนที่ 63 **อยู่เหนือกาย 3 ขั้น**
+ +
ในเช้าของวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563 ณ บ้านไทยเจริญ แดนเกิดพระยาธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน แล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามและขอฟังธรรม ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ลูกปรารถนาที่จะเฝ้าทูลถามถึงเรื่องของร่างกาย พระพุทธเจ้าค่ะ
โดยปรกติแล้ว คนเรานั้นก็จะรู้สึกกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับร่างกาย จนนึกว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา แต่นักประพฤติปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เขาก็จะสามารถที่จะค่อยๆฝึกฝน และถอดถอนความเป็นเรา เป็นของเราจากร่างกายได้ เป็นลำดับๆไป..
ทีนี้ ลูกจึงปรารถนาที่จะขอถึงพระพุทธองค์เป็นที่พึ่ง โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมเรื่อง “การอยู่เหนือกาย 3 ขั้น” ให้ลูกได้ฟัง และน้อมไปประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตามด้วย พระพุทธเจ้าค่ะ “
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. การฝึกฝนตนให้อยู่เหนือกายนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก *
และเป็นสิ่งที่ทุกคนที่ปรารถนาจะพ้นทุกข์จะต้องฝึกฝน และต้องฝึกให้ได้ ให้สำเร็จด้วย.. จึงจะสามารถที่จะไปสู่พระนิพพาน คือที่ที่หลุดพ้นทุกข์ได้ **
และโดยปรกติแล้ว จิตทั้งหลายผู้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ -- ก็ล้วนแล้วแต่มีความลุ่มหลง ยึดมั่นถือมั่นในกาย ไม่ว่าจะเป็นกายทิพย์ ไม่ว่าจะเป็นกายหยาบ กายของสัตว์เดรัจฉาน หรือว่ากายในภพภูมิใดๆก็ตาม.. ล้วนแล้วแต่จะยึดติด ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรา เป็นของของเรา
ฉะนั้น จิตทั้งหลาย.. จึงถูกกายนี้ควบคุม ครอบงำไว้ หลงนึกยึดว่าเป็นตน เป็นของตน..
จึงทุ่มเททำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้กายนี้ได้ดูดี อยู่ดี สุขสบาย
พระยาธรรมเอย.. จิตทั้งหลาย ผู้ไม่รู้ความเป็นจริง - จึงถูกปกปิด ปิดบังให้จมอยู่ในสภาวธรรมของการลุ่มหลง ยึดติดในกาย
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย - เป็นผู้ฝึกฝนตน จนสามารถเข้าถึงการรู้ตื่นรู้แจ้งแล้ว จิตจึงสามารที่จะถอดถอน คลายความยึดติดในกายเป็นขั้นๆ จนจิตนั้นหลุดลอยเหนือกาย จึงสามารถที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้
ฉะนั้น “กาย” เป็นสิ่งที่เกาะเกี่ยวยึดเหนี่ยวจิตทั้งหลายเอาไว้ เป็นสิ่งที่ครอบงำ ทำให้จิตทั้งหลายไม่เข้าใจตามความเป็นจริง
ฉะนั้น การที่ลูกปรารถนาที่จะเรียนรู้ฝึกฝน ตามลำดับ ตามขั้นตามตอน ให้ลูกทั้งหลายเป็นผู้อยู่เหนือกายได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดี.. พระยาธรรม
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่จะรู้จะเข้าใจได้ว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของของเรา
บุคคลผู้นั้น จำเป็นที่จะต้อง
- ฝึกฝนตนอยู่บนเส้นทางแห่ง *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
- ฝึกฝนทำคุณงามความดี จนจิตนั้นเลื่อนเข้าสู่ระดับภูมิจิตภูมิธรรมของอริยเจ้า ในระดับที่ 1
จึงจะค่อยเห็นความเป็นจริงว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
และจึงค่อยๆฝึกฝนถอดถอน ปล่อยวาง คลายความยึดติดยึดมั่นในระดับหนึ่ง ที่ไม่ถึงขั้นที่ว่าไปเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ถึงขนาดว่าจะต้องไปสร้างเวรสร้างกรรมที่ผิดศีลผิดธรรม ตามระดับของศีล 5
บุคคลผู้นั้น ก็จะค่อยๆฝึกฝนตนให้เลื่อนระดับขึ้น จนเข้าถึงพระอริยเจ้า ในระดับที่ 2 คือ พระสกิทาคามี - จึงค่อยๆ เห็นความไม่สวยไม่งามในร่างกาย ในกายตน ในกายผู้อื่น และจึงค่อยๆฝึกขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงระดับแห่งพระอริยเจ้า ในระดับที่ 3, ที่ 4 คือ เป็นองค์พระอรหันต์ จึงจะสามารถที่จะเห็นว่า
“ กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีอยู่ในกาย กายไม่มีอยู่ในเรา “
จึงจะเห็นเช่นนั้นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และสามารถปล่อยวาง คลายความยึดติดอยู่เหนือกายได้ ลูก
ฉะนั้น บุคคลผู้ที่จะอยู่เหนือกายได้ ในขั้นที่ 1- จะต้องเป็นบุคคลผู้ที่สามารถที่จะฝึกฝนตน จนเป็นพระอริยเจ้าในระดับต่างๆ และเข้าใจว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
และก็ยังคงฝึกฝนตนจนเลื่อนถึงสภาวะของการ
-- เห็นกายนี้เกิด ตั้งอยู่ และแตกดับไป
-- เห็นสภาวะของกาย ที่มันต้องดับไปในวันหนึ่ง
-- เห็นความไม่เที่ยงแท้ เกิดขึ้นในกายด้วย
นอกจากเขาไม่ใช่ของเรา เขาไม่มีอยู่ในเรา เราไม่มีอยู่ในเขาแล้ว.. เขาก็ยังมีความไม่จีรังยั่งยืน
มีอายุขัย การเป็นอยู่ของเขา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็จะต้องดับไปในวันหนึ่ง -- ยังเห็นความไม่เที่ยงแท้ในกาย จนคลายความยึดติด ไม่ยึดถือเอาไว้ สักแต่ว่าดำเนินไปๆตามเหตุเท่านั้น..
นี่คือ ระดับขั้นที่ 2 หรือสิ่งที่ 2 - ที่บุคคลผู้ที่สามารถอยู่เหนือกายเขาทำกัน และเห็นกันตามนี้ ลูก
เห็นความไม่เที่ยงแท้ของการตาย และฝึกฝนจนเห็นเป็นธรรมดา...
และต่อไป ขั้นที่ 3 - ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นว่า กายนี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่มีเราอยู่ในนั้น และสักวันหนึ่งมันต้องดับไป เสื่อมไป หายไป จนเขานั้นคลายความยึดติด
แต่ดวงจิตกลุ่มนั้น เขาก็ยังสามารถที่จะมีปัญญารู้ตื่น ด้วยการยังคงขับเคลื่อนกายนี้ไปตามเหตุ เพื่อประกอบหน้าที่บนโลกใบนี้ ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดแก่จิตของเขา
คือ ใช่ว่าไปยึดเอาตัวไม่ใช่ตน ใช่ของตน ยึดเอาตัวของความไม่เที่ยงแท้ แล้วก็ปล่อยไป ทิ้งไป...
สภาวธรรมที่สูงจริงๆ ถึงแม้ว่าจะรู้ เข้าใจ เห็นตามความเป็นจริง - แต่เขาก็จะประคองกายนี้ ต่อยอดทำความดี ดูแลตามเหตุ แล้วก็ทำสิ่งที่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ดวงจิตแห่งตน และยังคงคอยทำประโยชน์ให้แก่สังคมโลก ให้แก่ส่วนรวมด้วย
เช่นดังองค์พระอรหันต์หลายพระองค์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย และสามารถสร้างตำนานเอาไว้มากมายหลายตำนาน ทิ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดเอาไว้บนโลก เพื่อเป็นเชือกฉุดดึงดวงจิตทั้งหลายให้ออกจากที่นี่ไป คือ พระธรรมคำสอนต่างๆ รูปแบบแนวทางการประพฤติปฏิบัติตาม..
ยังคงทำประโยชน์ไว้แก่โลก
แม้อยู่เหนือกายนี้ แม้รู้ว่า มันต้องดับไป แม้รู้ว่ามันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของตน แต่ก็จะยังทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น ให้ได้สูงสุด มากที่สุดเท่าที่พอจะทำได้ ก่อนที่กายนี้จะแตกดับ
* จึงเป็นบุคคลผู้อยู่เหนือกาย
* จึงเป็นบุคคลผู้เข้าใจในกาย อย่างแท้จริง
* จึงเป็นบุคคลผู้ที่สามารถเข้าถึงความรู้ตื่น รู้แจ้งโลก อย่างไม่มีความลุ่มหลงเลย อย่างแท้จริงละ.. พระยาธรรมเอย
การที่เราคิดว่าเราอยู่เหนือกายแล้ว จะทิ้งกายทุกอย่างไป นั่นเป็นความคิดที่ลุ่มหลง !
เป็นการกระทำที่ไม่ใช่ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
พระอริยเจ้าทั้งหลายนั้น ท่านจะรู้ตื่นตามความเป็นจริงว่า ..กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีอยู่ในเขา เขาไม่มีอยู่ในเรา
-- แต่ถึงแม้จะรู้เช่นนี้.. ก็ยังดำเนินสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไป **
รู้ว่าสักวันหนึ่งมันต้องตายแน่ แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้มันตายไปก่อนกาลเวลาอันควร โดยไม่ดูแล
ก็ไม่ใช่เช่นนั้น ลูก..
ท่านก็ยังคงทำทุกอย่าง ดำเนินไปให้ดีที่สุด และทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์มากที่สุด..
เพียงแต่จิตที่เดินมาจนถึงจุดของการอยู่เหนือกายแล้วนั้น เขาจะทำทุกอย่างให้เกิดประโยชน์ แก่ตน แก่โลก แก่วัฏสงสาร อย่างรู้ตื่น
-- ด้วยการไม่มีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่เป็นของตน
-- สักแต่ว่าทำไปๆ
-- หลุดลอยเหนือความมีทั้งปวง
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย..
พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติ พิจารณาตาม และเผยแผ่ให้ทุกคนได้รู้ ได้เข้าใจตามด้วย
เพื่อดวงจิตทั้งหลาย จะได้ฝึกฝนถอดถอนจิตของตนให้อยู่เหนือกาย จะได้ไม่ถูกครอบงำอีกต่อไป
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ…
สาธุ
✨"ไม่ยึด - ไม่ผลักไส - แค่รู้"✨
อารมณ์ต่าง ๆ ที่มันเกิด...
ทั้ง หงุดหงิด น้อยใจ ดีใจ เสียใจ
ไม่ต้องพยายามลบอะไรออกไป
ยิ่งลบ ... ยิ่งเห็นร่องรอย
เพราะมัน มี "ตัวเรา" เข้าไปจัดการ
อย่าเข้าไปยึด และ อย่าผลักไส ในสิ่งต่าง ๆ
ให้ "แค่รู้" ไว้ ... เพียง "สักแต่ว่ารู้"
น้อมกราบหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย เมตตานินิมส่งการบ้าน
ธรรมะริมทะเล @รพ.สมเด็จฯ ณ ศรีราชา
ถ้าเราชนะตัวเอง ก็จะชนะทั้งตนเองและผู้อื่น
ชนะทั้งอารมณ์ ชนะทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ เป็นอันว่าชนะทั้งหมด
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
=>คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "ไปนิพพานตัดรูปอย่างเดียว"<=..
.. ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระพาหิยะว่า
"พาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูป"
การจะไปนิพพานตัดรูปตัวเดียว
ในขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ตัดตัวเดียวที่รูป
หรือที่ท่านสอนพระอีกองค์หนึ่งว่า
"อะจิรัง วตยัง กาโยฯ"
เธอจงคิดว่าชีวิตร่างกายนี้ไม่ช้าก็มี
วิญญาณไปปราศแล้ว ร่างกายเป็นของ
ที่ต้องทอดทิ้ง จะมีสภาพไม่ต่างกับท่อนไม้
ที่ไร้ประโยชน์ ให้ตัดสินใจว่าเราไม่ห่วง
ร่างกายเสีย เพียงแค่นี้พระองค์นั้นก็เป็น
พระอรหันต์แล้วก็นิพพาน
ฉะนั้น "การไปนิพพานก็ตัดเฉพาะที่
รูปอย่างเดียว" เอากันง่ายๆ นะถ้าใคร
อยากยากก็ยากไปเถอะ ทีนี้เวลาตัดเรา
ก็ต้องซ้อม ต้องค่อยๆ ตัด จะตัดแรงๆ
เอาทีเดียวขาด มันไม่ขาดหรอก ต้อง
พยายามซ้อมอารมณ์ให้ชิน
การตัดรูปก็ให้นึกถึงความตายเป็น
อารมณ์ คือคิดว่าร่างกายนี้ไม่ช้ามันก็ตาย
ถ้าร่างกายมันตายปราศจากลมหายใจ
เราไม่ยอมตายด้วย เราคือจิตใจหรือ
อทิสมานกายนี้มันไม่ยอมตาย
ถ้าอารมณ์ของเราชั่วเราก็ไปสู่ทุคติ
ถ้าอารมณ์ของเราดีก็ไปสู่สุคติ มีสวรรค์
เป็นต้น อารมณ์ถ้าความเข้มแข็งพอสมควร
ก็ไปพรหมโลก ถ้าอารมณ์บริสุทธิ์ผ่องใส
เราก็ไปนิพพาน
ทีนี้การไปนิพพานไปได้อย่างไร? ก็ให้
นึกถึงพระพาหิยะ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า
จงอย่าสนใจในรูป จะเป็นรูปคน
รูปสัตว์ รูปวัตถุต่างๆ ก็ตาม เราไม่สนใจ
ในมัน แต่ว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่เราต้องใช้ เรา
ต้องสนใจ เราจะคิดไว้เสมอว่าถ้าเราตาย
เมื่อไหร่ ขึ้นชื่อว่ารูปทั้งหมด รูปคนก็ดี
รูปสัตว์ก็ดี จะไม่เป็นของเรา เราไม่ต้องการ
มันอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายของเรา
การมีร่างกายคือมีรูปอย่างนี้เราไม่
ต้องการมันอีก ถ้าคิดเพียงเท่านี้บรรดา
ท่านพุทธบริษัท คิดไว้ให้ชิน อันดับแรก
นึกถึงความตายก่อน มันตัวเดียวกัน การ
ไม่ต้องการในรูปกับความตายนี่ตัวเดียว
กัน ถ้าเรานึกถึงว่าเราจะต้องตายเป็น
สมถภาวนา
ถ้าคิดว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่
ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มี
ในเรา อันนี้เป็นวิปัสสนาญาณ มันตัว
เดียวกัน ..
(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ที่มาจาก.. ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๔๒๖ หน้าที่ ๓๙-๔๐
สภาวะจิตที่ยังยึดติดกับการมี การตั้งอยู่
คือสภาวะจิตที่ยังไม่พ้นกาลเวลา
แต่ความบริสุทธิ์แท้จริงคือการเข้าใจถึง
การมี..ของการเกิดขึ้น การตั้งอยู่และการดับไป
เมื่อรู้ ดู เห็นและเข้าใจความเป็นจริงของสรรพสิ่ง
เราจะเข้าสู่เนื้อแท้ของความเป็นหนึ่งเดียว
....คือความว่างเปล่า
และเป็นความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ที่สุดด้วย
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
คือสัจธรรมความจริงที่อยู่ในกาลเวลาโลก
เกิดขึ้น ดับไป = เกิดดับ
คือสัจธรรมความจริงที่พ้นไปจากกาลเวลา