รู้นอกเป็นสมุทัย รู้ในเป็นมรรค
ถ้าไปรู้นอก เป็นเหตุให้สร้างบาป สร้างกรรม
ถ้ารู้ในเป็นเหตุให้ละวาง
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
รู้อะไรก็ไม่สู้รู้ใจตนเอง
ถ้าเราพิจารณาธรรมะ ..เราพิจารณาที่ใจเรา
น้อมเข้ามาที่ใจ มารู้อยู่ที่ใจ
นึกแต่เพียงว่าสิ่งภายนอกเป็นเพียงอารมณ์
สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติเท่านั้น...
อย่าบังคับจิตให้หยุดนิ่ง
อย่าพยายามไปบังคับจิตให้หยุดคิด
หน้าที่ของเราคือทำสติตามรู้ความคิดไป
ทำสติตามรู้ไป ความคิดนั่นแหละ
คือเครื่องรู้ของจิตเครื่องระลึกของสติ
ความคิดเป็นฐานที่ตั้งอันมั่นคงของสติ
ตราบใดที่จิตยังมีความคิด สติยังมีความระลึก
สิ่งที่เราจะพึงได้จากการภาวนาคือความที่
สติมีพลังแก่กล้าขึ้นจนเป็นมหาสติ
เป็นสติที่มีฐานที่ตั้งอย่างมั่นคง
แล้วกลายเป็นสติพละ
เป็นสติที่มีพละกำลังอันเข้มแข็ง
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
สติเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
สติตัวเดียวเท่านั้นที่ทำให้เราได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อสติเข้มแข็ง จิตมั่นคง คือสมาธิ เพราะฉะนั้น เราปฏิบัตินี่ ใครจะได้สมาธิขั้นใดตอนใดก็ช่าง แต่ผลลัพท์ครั้งสุดท้ายก็คือสติตัวเดียว
“โพชฌังโค สติสังขาโต” สติเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เมื่อสติกำหนดจดจ้องดูสิ่งที่เกิด-ดับกับจิตตลอดเวลา “ธัมมานัง วิจโย ตถา” เป็นการสอดส่องธรรม “วิริยัมปีติปัสสัทธิ” เกิดความเพียร เกิดปีติ เกิดความสงบ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดความเป็นกลาง มันจะไปของมันตามลำดับอย่างนี้
เพราะฉะนั้น พอนั่งปั๊บลงไป จิตสงบนิดหน่อย จิตมันผุดขึ้น ผุดขึ้นๆๆๆ มันแสดงว่าเราจะได้ผลเลิศในทางปฏิบัติแล้ว ถ้าพอพุทโธๆๆๆ รู้สึกวูบๆๆๆ ละเอียดเข้าไปแล้ว บางทีมันจะช้าหน่อย แต่ถ้าพอสงบปั๊บลงไปแล้ว มันเกิดความรู้ผุดขึ้นๆ นี่เร็ว เพราะจิตมันสามารถหาอารมณ์มาป้อนให้ตัวเองได้ แบบสงบลงไปปุ๊บ ลงไปนิ่ง ว่าง สว่าง สบาย เรื่อยไป นี่มันเข้าฌานสมาบัติ
“สมาธิในฌานสมาบัติ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ เป็นเพียงที่พักจิต สร้างพลังจิต สร้างฤทธิ์อิทธิพล สร้างอำนาจ"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
(ธรรมบรรยาย : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เรื่อง
การทำสมาธิ ด้วยการอบรมสติทุกลมหายใจ)
----------------------------------------------------------------
" เมื่อ...ออกจากสมาธิแล้ว
แม้ ความรู้จะเกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดหย่อน
ผู้ภาวนา ที่มีภูมิถึงขนาดนี้จะไม่มีความรำคาญ
ยิ่งมีความคิด จิตก็ยิ่งผ่องใส
ยิ่งคิด จิตก็ยิ่งแจ่มใส
ยิ่งคิด จิตก็ยิ่งมีสติสัมปชัญญะ
ยิ่งคิด จิตก็ยิ่งบริสุทธิ์สะอาด
เพราะปัญญา คือ ความคิด
เป็นอุบายอบรมจิตให้มีความบริสุทธิ์สะอาด
ในขณะที่จิต คิดไม่หยุดนั้น
คือ การที่จิตพิจารณาสภาวธรรมเอง
โดย อัตโนมัติ
เมื่อจิตมีความคิดอยู่ไม่หยุดหย่อน
ผู้ภาวนา มีสติรู้ความคิดนั้นเอง
โดย อัตโนมัติ
โดย ธรรมชาติของจิตย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อ...สติสัมปชัญญะ ดีขึ้น
จิตจะสำคัญมั่นหมายในความเปลี่ยนแปลง
ของอารมณ์นั้นๆ
จะเกิดอนิจจาสัญญา มีความสำคัญว่า
อารมณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จิต...ก็รู้ภูมิแห่งวิปัสสนา
คือ...( รู้ )พระไตรลักษณ์."
___________________________________
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน)
สมาธิในฌานมันโง่ สมาธิในอริยะมรรคมันฉลาด !!
...
สมาธิในฌานจิตสงบนิ่งรู้อยู่ในสิ่ง สิ่งเดียว ความรู้อื่นความเห็นอื่นไม่ปรากฏขึ้น
เป็นสมาธิแบบอารัมณูปนิชฌาน เป็นสมาธิในฌานสมาบัติ
ที่นี่สมาธิในอริยมรรค มันฉลาด คือ จิตสงบนิ่งลงไปนิดนึง ความรู้ความคิดมันเกิดขึ้นมาฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้งขึ้นมายังกับน้ำพุ
ที่นี้ในเมื่อความรู้ความคิดมันเกิดขึ้นมาแล้ว
มันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร
ความคิด คือวิตกใช่ไหมล่ะ
สติที่รู้พร้อมอยู่ที่ในขณะที่จิตเกิดความคิด คือ วิจารใช่หรือเปล่า
ในเมื่อ จิตมีวิตก วิจาร ปีติและสุขมันก็ย่อมบังเกิดขึ้น
สมาธิใน วิปัสนา นี่อาศัย องค์ฌาน คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกคัตตาเหมือนกัน
เหมือนกันกับสมาธิในฌานสมาบัติ
แตกต่างกันโดยที่ว่า สมาธิในฌานสมาบัติไม่เกิดภูมิความรู้
เป็นแต่เพียงทำจิตให้ละเอียด ละเอียด ละเอียด
จนกระทั่ง เกือบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่
แต่สมาธิในอริยะมรรคนี้ พอจิตสงบนิ่งลงไปปั๊บ
บางทีก็รู้สึกแจ่มๆ แต่ความคิดมันผุดขึ้นมาผุดขึ้นมา
ผุดขึ้นมาแบบรั้งไม่อยู่
ซึ่งนักปฏิบัติบางท่านเข้าใจว่าจิตฟุ้งซ่าน .. อย่าไปเข้าใจผิด
บางทีพอจิตสว่างแล้วก็เกิดเห็นโน่นเห็นนี่ทางนิมิตขึ้นมา
เมื่อจิตเลิกรู้เห็นนิมิตแล้ว ก็มาเกิด ภูมิความรู้ ความคิด ขึ้นมายังกับน้ำพุอีกเหมือนกัน นี่เป็นสมาธิในอริยะมรรค
ซึ่งเรียกว่า สมาธิวิปัสนา
***
เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าใจถูกต้อง ในช่วงใดจิตต้องการสงบนิ่งปล่อยให้นิ่ง ช่วงใดจิตต้องการคิดปล่อยให้คิด
แต่มีสติกำหนดตามรู้
ทีนี่ถ้าหาก สมาธิ ถึงขนาดที่เกิด ภูมิความรู้ขึ้นมาเองเนี่ยะ
เราไม่ต้องไปกำหนดอะไรหรอกเขาจะเป็นไปเองของเขา
จิตของเราจะรู้...เฉยอยู่เท่านั้น
บางครั้งพอจิตสงบแล้วมันเกิดมีความคิดขึ้นมา ฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้งขึ้นมา
***
จิตอาจจะแบ่ง ออกเป็นแยกออกเป็น 3 มิติ
มิติหนึ่ง คิดอยู่ไม่หยุดยั้ง
อีกมิติหนึ่งเฝ้าดูงาน
อีกมิติหนึ่ง ถ้าร่างกายปรากฎ จะมาสงบนิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย
ตัวที่คิดอยู่ไม่หยุด เป็นจิตเหนือสำนึก
ตัวที่เฝ้าดูคือตัวผู้รู้ได้แก่ สติ
ตัวที่หยุดนิ่งคือจิตใต้สำนึกตัวคอยเก็บผลงาน
ลองไปปฏิบัติดูนะ จะเป็นไปได้มั๊ย อย่างที่ว่านี้ อันนี้เป็นโอวาทของหลวงปู่เทสก์
***
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เรื่อง "พลังฌาน พลังสติ"
(คติธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
จิต เวลามันจะคิด ปล่อยให้มันคิดไป จะไปไหนช่างมัน เราเอาสติตามรู้ๆๆๆ ไปอย่างเดียว หลักธรรมชาติของมันว่า จิต ถ้ามี สิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก เขาจะเพิ่มพลังงานมากขึ้นทุกที เพราะฉะนั้น ในเมื่อจิตว่าง ว่าง มันก็มีพลังอยู่ทางหนึ่ง เรียกว่า พลังฌาน แต่ถ้าจิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก มันจะมีพลังทางสติ
พลังฌาน มันไม่เป็นไปเพื่อให้หมดกิเลส
แต่พลังสติมันทำให้ คนเราหมดกิเลส
เราคิดๆๆๆ จิตที่มันคิดขึ้นมานั่นแหละ จิตที่คิดเอง
มันเป็นฉายาแห่งจิตใต้สำนึก
ในเมื่อเรามีสติกำหนดรู้ๆๆๆ เมื่อสติมีพลังเข้มแข็งขึ้นจิตใต้สำนึกมันก็ตื่นขึ้นมาทีละน้อยๆๆ
เราสามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆได้
เมื่อก่อนหลวงพ่อก็บังคับจิตให้มันอยู่กับพุทโธเหมือนกัน สามารถให้มันอยู่ได้เป็นหลายๆ ชั่วโมง บางทีมันไปจนกระทั่งรู้สึก ว่าร่างกายตัวตนหายหมด
แต่ภายหลังมันไม่เป็นอย่างนั้น พอพุทโธ พุทโธ ๒-๓ ครั้ง ความคิดมันฟุ้งๆ ภายหลังมานี่ เอ๊... ทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ จะพยายามบังคับให้มันหยุดนิ่งเหมือนอย่างเก่ามันไม่ยอมหยุดหนักๆ เข้ามันปวดหัวมัวเกล้าขึ้นมา มันเกิดเครียด ในที่สุดก็เลยตัดสิน เอ้า! แกจะปรุงจะแต่งจะคิดไปถึงไหน เชิญเลย จะบ้าก็บ้าไป ดีก็ดีไป พอปล่อยไปๆ ยิ่งคิดไปก็ยิ่งเบาไปๆๆๆ ลงผลสุดท้าย กายค่อยจางหายไป เหลือแต่จิตดวงเดียวนิ่งสว่างไสวอยู่ สภาวะที่เป็นความคิด ก็ปรากฏให้เรารู้เห็น เกิด-ดับ เกิด-ดับ เกิด-ดับ จึงมาได้ความ
หลวงพ่อก็ใช้เวลานานเหมือนกันนะ ตั้งแต่อายุ ๑๕ ปีย่าง จนกระทั่งผมเป็นสองสีถึงเข้าใจ ไม่ใช่ย่อยนะ หนังสือคัมภีร์ต่างๆ ที่เราเรียนมามันลืมหมด เพราะเราไปติดคำว่า “ ต้องทำจิตให้หยุดนิ่งเป็นสมาธิ สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ”
ถ้าเราปล่อยให้จิตอยู่ว่างๆ ถ้าหากว่ามันจะหดหู่หรือขี้เกียจ ก็เอาพุทโธมาท่องๆ กระตุ้นเตือนมันพุทโธๆ
ทีนี้ มันทิ้ง พุทโธ ปั๊บ มันเกิดความคิดขึ้นได้ ปล่อยไป หลักฐานในคัมภีร์นี่ ในเมื่อเหตุการณ์ผ่านมาแล้ว ไปค้นดู มีถมเถไป
สมาธิหรือฌาน มีอยู่ ๒ อย่าง
อารัมมณูปนิชฌาน จิตสงบนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ไปจนกระทั่งร่างกายตัวตนหาย แต่ไม่มีความรู้สึก อันนี้เรียกว่า " สมาธิในฌานสมาบัติ "
สมาธิอีกอันหนึ่ง พอจิตสงบพั้บลงไป ไปว่างอยู่นิดหนึ่ง บางครั้งมีความคิดโผล่ขึ้นมาๆ อันนี้เรียกว่า
" ลักขณูปนิชฌาน " (สมาธิใน อริยมรรค)
หลวงปู่เทสก์ท่านว่า สมาธิในฌานมันโง่ สมาธิในอริยมรรค มันฉลาด จิตสงบแล้วมันเกิดความรู้ความคิดขึ้นมา ท่านว่าสมาธิใน อริยมรรค แต่แท้ที่จริง มันก็คือสมาธิมีวิตก วิจาร
วิตก ก็คือความคิด
วิจาร ก็คือสติที่รู้พร้อม
เมื่อจิตสามารถดำรงตัวอยู่ในสภาพปกติ วิตกคิดไป สติรู้ไปๆ ความดูดดื่มมันก็เกิดขึ้น เกิดปีติ เกิดความสุข แล้วก็เกิดความเป็นหนึ่ง สมาธิแบบนี้ จิตเป็นหนึ่งนั่นแหละ รู้อยู่ที่จิตนั่นแหละ ความคิดมันจะผุดขึ้นๆ อย่าง กับน้ำพุ
เทศนาธรรม
ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
วัดคลองนา (วัดป่าชินรังสี) อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
FB : วิมุตติธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
จงพยายามหาที่พึ่งให้ตนเอง
คนที่หาพึ่งแต่คนอื่นจะพบแต่ความหลอกลวง
การฝึกจิตให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ คือ การฝึกสติ
การปฏิบัติธรรมตามแนวของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง
อยู่ที่การสร้างจิตของตัวเองให้มีพลังเข้มแข็ง
มีสติสัมปชัญญะรู้รอบอยู่ที่ตัวเอง
สามารถยืนหยัดอยู่ในความเป็นอิสระได้ตลอดกาล
ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยอะไร
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ความสงบของจิตมีอยู่ ๒ ขั้นตอน เหมือนกัน อย่างหนึ่งผู้ปฏิบัติน้อมจิตให้เกิดความสงบหรือน้อมจิตให้ผูกอยู่กับอารมณ์เดียว เพียงแต่จิตหยุดคิด หยุดความวุ่นวาย ไปรู้ในสิ่ง ๆ เดียว แต่หากว่าความตั้งใจที่จะควบคุมจิตให้รู้อยู่ในสิ่ง ๆ เดียวยังไม่หมดไป แต่สามารถทำจิตให้สงบได้ อันนี้ก็เป็นเพียงความสงบ ยังไม่ใช่สมาธิ สมาธิจะมีขึ้นได้ต่อเมื่อผ่านความสงบไปแล้ว เมื่อจิตเกิดมีความสงบ สมาธิดิ่งลงไป เกิดมีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง มีความสว่างไสว จิตปฏิวัติตัวไปตามขั้นตอนของสมาธิ จิตจะอยู่ในฌานที่ ๑ จะเป็นไปเอง จะก้าวขึ้นสู่ฌานที่ ๒ ก็เป็นไปเอง จะก้าวขึ้นสู่ฌานที่ ๓ ที่ ๔ หรือไปถึงสมาบัติ ๘ ก็เป็นไปเอง
ในเมื่อสมาธิตามธรรมชาติเกิดขึ้นมาแล้ว ผู้ปฏิบัติไม่มีสิทธิที่จะไปน้อมจิตให้มันเป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ ถ้ายังน้อมจิตน้อมใจ ยังตั้งใจได้อยู่ มันก็ไม่ใช่สมาธิโดยธรรมชาติ เป็นแต่เพียงว่าเราแต่งให้จิตสงบได้ แล้วก็น้อมไปนึกถึงขั้นของฌานนั้น ๆ ว่ามีลักษณะนั้น ๆ โดยเอาสัญญาความจำเข้าไปปรุงแต่งสมาธิและฌานของเราให้เป็นไปตามขั้นตอน แต่เป็นเพียงสมาธิหรือฌานที่เราตกแต่งเอา มันยังไม่ใช่ของ
จริง ในเมื่อเราภาวนาทำสมาธิที่ยังไม่ใช่ ไม่ถึงของจริง หรือไม่รู้ของจริง สมาธิยังไม่เป็นเองโดยธรรมชาติ เราจึงไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาจิตของเราให้ตกไปได้ บางทียิ่งทำสมาธิเก่งเท่าไรยิ่งทำให้เกิดทิฐิมานะมากขึ้นเท่านั้น อันนั้นมันยังใช้การไม่ได้ เพราะฉะนั้น หลวงปู่เสาร์ท่านจึงเตือนลูกศิษย์ลูกหาเสมอว่า ให้รีบเร่งภาวนาเข้า ให้มันถึงความเป็นเอง
คำว่า “ ถึงความเป็นเอง “ นี่ จิตจะสงบเป็นสมาธิก็เป็นไปเองโดยธรรมชาติ จิตจะเกิดภูมิความรู้ก็รู้ขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ จิตจะแยกตัวออกจากอารมณ์ ก็เป็นไปเองโดยธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าเราตั้งใจจะไปตกไปแต่งหรือไปแยกแยะเอาเอง ที่เราตั้งใจตกแต่งแยกแยะ มันเป็นแต่เพียงภาคปฏิบัติเท่านั้น ปฏิบัติเพื่อนำจิตเข้าไปสู่ความเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติทั้งหลายพึงสังเกต ให้รู้ความเป็นไปของจิตของตนเอง
สมาธินี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแต่ในขณะที่เรานั่งหลับตาเท่านั้น มันสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ทุกขณะ แม้ว่าเราปฏิบัติสมาธิวันนี้จิตไม่สงบเลย มีแต่ความเดือดร้อน ฟุ้งซ่าน รำคาญ แล้วเราก็เข้าใจว่าเราปฏิบัติไม่ได้ผลเพราะจิตไม่สงบ แต่เมื่อเราลงมือปฏิบัติแล้ว จิตจะสงบหรือไม่สงบก็ตาม จะไร้ผลหรือไม่มีผลซึ่งเกิดจากการปฏิบัตินั้นเป็นไปไม่ได้
เมื่อเราทำสมาธิภาวนาจิตไม่สงบ เราก็ได้ความรู้ว่าทำสมาธิวันนี้จิตไม่สงบ แม้ว่าจิตจะไม่สงบแต่เราจะได้พลังทางสติเพิ่มขึ้น ทั้ง ๆ ที่จิตไม่สงบนั่นแหละ มันจะสร้างพลังงานของมันไว้ทีละน้อย ๆ ในเมื่อมีพลังพร้อมขึ้นมาเมื่อไร เขาจะสงบเมื่อไร เขาก็จะเกิดความสงบขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้น ท่านอาจารย์เสาร์ ท่านจึงว่ารีบเร่งภาวนาให้มันถึงความเป็นเอง
สมาธิที่เป็นเองนั้นเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ในบางครั้งได้ยินเสียงเขาด่ามา พอได้ยินปั๊บ แทนที่มันจะไปยุ่งอยู่กับเรื่องเขาด่า มันจะวิ่งเข้าที่สงบของมัน อันนั้นหมายถึงสมาธิที่เป็นเองโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติทั้งหลายอย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าสมาธิเราต้องนั่งหลับตาแต่เพียงอย่างเดียว
แม้แต่ว่าเราฝึกสติให้รู้พร้อมอยู่กับการ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ ก็ได้ชื่อว่าเป็นการฝึกสมาธิ ปฏิบัติสมาธิอยู่ตลอดเวลา
ถ้าหากเราจะไปถือเอาเพียงแค่ว่าเวลานั่งสมาธิหลับตาจึงจะได้ชื่อว่าปฏิบัติสมาธิ เมื่อออกจากที่นั่งหลับตาสมาธิมาแล้ว เราไม่มีสติสำรวมระวังตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ มันก็ไม่คุ้มค่า เพราะวันหนึ่งเราอาจจะมีเวลานั่งสมาธิไม่ถึง ๔ ชั่วโมง นั่งกันเพียง ๓๐ นาที เพียงชั่วโมงเดียว ไปเอาความสงบแต่ในขณะนั่งแต่เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อออกมาแล้วปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นไปตามบุญตามกรรม ไม่มีการสำรวมสติสัมปชัญญะ มันก็ไม่คุ้มค่า ดังนั้น การฝึกสมาธิ ปฏิบัติสมาธินี่ เราจะอยู่ในอิริยาบถใด เมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตของเราอยู่ ได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติสมาธิทั้งนั้น อย่าไปเข้าใจในเรื่องของสมาธิอยู่ในวงแคบจนเกินไป
เทศนาธรรม
ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
วัดคลองนา (วัดป่าชินรังสี) อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
FB : วิมุตติธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย