การฝึกน้อมรับพลังพุทธบารมี มาไว้ที่ศูนย์กลางกาย จะมีพลังทำให้ปรับเปลี่ยนเลื่อนภูมิจิต
ทำให้มีกายภายในเป็นทิพย์ จึงจะสามารถยกจิตออกจากกายหยาบ
ไปเรียนรู้สภาวธรรมที่มีอยู่ในวัฏสงสาร จะได้เข้าใจความเป็นจริง
ของการเกิดเวียนวน จะได้ถอดถอนเหตุของความทุกข์ และดับการเกิด
พุทธโอวาทกึ่งพุทธกาล วันที่ 6 กันยายน 2559
ตอนที่ 59 การฝึกโยกจิต
...........................................................
พุทธโอวาท ในเช้าของวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559
ข้าพระพุทธเจ้า หลับตาลง ภาวนา น้อมพลังพุทธบารมีจากพระพุทธองค์ท่าน ลงมาสู่ศูนย์กลางกาย
พลังพุทธบารมี สีฟ้าใส.. สว่าง - ส่งพลังลงมาที่ศูนย์กลางกาย ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้รับพลังสีฟ้าใสเย็นเหล่านั้นไปเรื่อยๆ
หายใจเข้า หายใจออก อยู่กับแสงพลังสว่างที่ได้รับมานั้น…
ในเช้าของวันนี้ ให้ทุกๆท่าน ผู้ที่ได้รับฟังเสียงธรรมนี้ - น้อมจิตน้อมใจทำตามทุกๆคนนะจ๊ะ
จะได้พาทุกๆคน ไปนั่งอยู่ต่อหน้าองค์พระพุทธเจ้า ฟังธรรมพร้อมกันทุกๆคน
หลับตาลงแล้ว ตัดทุกสิ่ง ตัดทุกอย่างออกไป ภาวนาไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ..
รับพลังเย็นๆลงมาไว้ที่ศูนย์กลางกายของทุกคน จนเกิดแสงสว่าง.. สว่างไสว เกิดขึ้นในตัวของเราทุกคน
เมื่อกายของเราสว่างแล้ว ก็เห็นกายภายในของเรา ที่ซ้อนอยู่ในเราอีกทีหนึ่ง..
หนูเห็นตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ นั่งซ้อนอยู่ในกาย
ทุกคนก็ลองมองดูกายของทุกๆคน นะจ๊ะ..
จนไม่มีความรู้สึก เหมือนลอยอยู่ในกลางอากาศ ลอยอยู่ในที่ที่มี ที่มีพลังพลังอุ้มชูเราทุกคนเอาไว้
เราก็มีแสงสว่างระยิบระยับเล็กๆ ลอยรอบๆตัวของเรา มันคล้ายคลึงกันกับว่า เราไปอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง ที่สวยงาม ที่เบาสบาย
และแล้ว.. ก็เห็นองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านองค์ขนาดใหญ่ ใหญ่มาก ..
ใหญ่พอที่จะให้ตัวของเรา โลกสมมุติที่เราอยู่ เป็นโลกเล็กๆ เป็นตัวเล็กๆ.. ที่อยู่ในกายของพระองค์ท่าน
พระองค์ท่านองค์ใหญ่ๆ สว่าง.. มือของพระองค์ท่านก็ใหญ่มาก -เราอยู่ในศูนย์กลางกายของพระองค์ท่าน
เราก็รับพลังไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเรานั้นเงียบสงบกันทุกๆ คนแล้ว..
พระพุทธองค์ท่านจึงได้เมตตาสอนสั่งธรรม กับเราทั้งหลาย ดังนี้ว่า...
พระยาธรรมเอ๋ย.. วันนี้ ลูกทั้งหลายได้น้อมจิต น้อมกาย น้อมใจ ขึ้นมาในสถานที่ที่โยกจิตออกจากโลกสมมุติ
พระยาธรรมเอย.. การที่เรานั้น ฝึกฝนการโยกจิต ออกจากกาย ออกจากโลกสมมุติเหล่านั้นมา.. จะเกิดประโยชน์อะไรกับเราบ้าง ?
พระยาธรรมเอย ลูกจงฟัง และจำเอาไว้เช่นนี้เถิด..
ลูกเอ๋ย.. แท้ที่จริงแล้ว โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกนรก หรือว่าจะเป็นในที่ไหนๆ ก็ตาม..
ทุกที่ในจักรวาลวัฏสงสารนั้น แท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้น ก็ไม่มีอยู่จริง
เพียงแต่เมื่อเรายึดติด เมื่อเราไม่ยอมออกจากที่นั่นมา เราก็เลยไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า
แท้ที่จริงแล้ว..เราก็ยังมีที่อื่นๆ ที่เรายังต้องไปอีก
เราก็เลยคิดว่า นั่นคือ ตัวตนของเรา คือ ชีวิตของเรา ก็เลยเกิดการยึดติด
ลูกเอ๋ย.. หากว่าเราฝึกรับพลังพุทธบารมี เช่นนี้อยู่บ่อยๆ..
เมื่อรับพลังจนเต็มแล้ว เราก็โยกจิตออกจากกาย เพื่อไปสู่ดินแดน ความสงบสุข
ก็จะทำให้เรารู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว.
เราที่ซ้อนอยู่ในเรานั้น มีอยู่จริง
โลกที่ซ้อนอยู่ในโลกนั้น มีอยู่จริง
การเวียนว่ายตายเกิดนั้น มีอยู่จริง
วัฏสงสาร จักรวาลต่างๆ มีอยู่จริง
เมื่อเรารู้แล้ว ว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง เราก็จะเข้าใจการเวียนวน การเดินทางของดวงจิต.. ที่มันไม่รู้จักสิ้นสุดเสียที..
เมื่อเราเห็น และเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจน เราก็จะ..
- เข้าใจความทุกข์
- เข้าใจความยึดติด
- เข้าใจความลุ่มหลงต่างๆทั้งหลาย
เรานี้ก็จะค่อยๆผ่อนกาย ผ่อนจิตของเรา
- กายก็จะผ่อนออกจากจิต โดยไม่ยึดติดอะไรมันแล้ว
- จิตก็จะผ่อนออกจากกาย โดยที่ไม่ยึดติดมันแล้ว
- จิตก็จะค่อยๆถอยออกมาๆ
อย่างวันนี้ไงลูก ที่ลูกทั้งหลายเดินทางด้วยพลังพุทธบารมี มาจนถึงในที่แห่งนี้ ก็เพื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง
ลูกเอ๋ย.. จงหมั่นโยกจิตของตน ให้ไปอยู่ในดินแดนความสงบสุข ด้วยพลังพุทธบารมี เช่นนี้อยู่บ่อยๆ เถิดลูก
เพราะมันคือการฝึกฝน ให้ตนนี้ รู้ตามความเป็นจริงว่า มีอะไรที่ซ่อนอยู่ในชีวิต ชีวิตของตนซ่อนอะไรอยู่
และยังช่วยถอดถอนความลุ่มหลงยึดติดในตน ได้อีกด้วย…
พระยาธรรมเอย.. วันนี้ก็พากันมา จนถึงที่นี่แล้ว ก็จงทำความเข้าใจ ดังที่กล่าวมานั้นเถิด ..
พิจารณาตามเถิด ลูกเอ๋ย.. แล้วลูกทั้งหลายก็จะเห็น เข้าใจ ตามความเป็นจริง
สิ่งที่กล่าวมานี้ คือ ความจริง.. ลูกเอ๋ย
จงหายใจลึกๆ รับพลังพุทธบารมี ต่อไปเรื่อยๆ
ค่อยๆใช้พลังเหล่านั้น พิจารณาให้รู้ ให้เห็น ตามความเป็นจริงเถิด
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าข้า กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่เมตตาเจ้าค่ะ
แล้วที่นี้ พวกเราทุกคน ก็ให้ตั้งใจรับพลังพุทธบารมี แสงสว่างไสว เข้ามาไว้ในศูนย์กลางกายของเราต่อไปเรื่อยๆ นะจ๊ะ
** สัมมา สัมพุทธะ ปัจฉิมา สัมพุทธะ **
รับพลังไปเรื่อยๆ จนเห็นแสงสีขาว เกิดขึ้น ลอยเบาสบาย
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา
แล้วถ้าเกิดคนที่เขาทำไม่ได้ล่ะเจ้าคะ เพราะอะไร ?
ขอพระองค์ได้โปรดเมตตาอธิบายด้วยเถิดเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอย.. คนที่ยังทำไม่ได้ ก็แปลว่า..
ยังมีเชื้อกิเลส และตัณหา - ปกคลุมจิตไว้หนาอยู่
ยังมีวิบากกรรมเก่า - คอยกีดขวางอยู่
มีความลังเลสงสัย ห่วงหน้าพะวงหลัง - คอยกีดขวางอยู่
ฉะนั้น.. ให้ฝึกตนให้มาก ปล่อยวางกับทุกสิ่งทุกอย่าง
วางทุกอย่างที่จะทำให้ตนนั้น ไปไม่ถึงความสงบสุข..
อย่ามัวแต่คิดเลย ลูกเอ๋ย..
คิดเรื่องในอดีต เรื่องในอนาคต ไม่เกิดประโยชน์อะไร !
เรื่องของปัจจุบัน ก็ควรจะวางเสีย
อย่าลังเลสงสัยอะไรเลย...
ทำจิตใจให้ว่างๆ - แล้วก็จะได้รับพลังเช่นเดียวกัน
หากยังทำไม่ได้อีก -- ก็ให้จงหมั่นรักษาศีล
รักษาศีล 5 - ให้บริสุทธิ์
ศีล 8 -ให้บริสุทธิ์
คือ ศีลในระดับต่างๆที่ตนตั้งจิตอธิษฐานจะรักษานั้น - จงทำให้บริสุทธิ์
หมั่นทำความดี ชำระล้างกิเลสตัณหา
ตั้งใจเอาไว้ ว่าจะต้องน้อมรับพลังพุทธบารมีให้ได้
เดี๋ยวก็ทำได้ ลูก..
พระยาธรรม ::พระพุทธองค์เจ้าขา แล้วคนที่ไม่ตั้งใจทำ หรือไม่มีความศรัทธาที่จะทำ..
แต่ตนกลับไปว่าคนที่เขาทำได้ ว่า เขานั้น.. คิดไปเองบ้างเอย โอ้อวดบ้างเอย หล่ะเจ้าคะ
คนเหล่านี้ เขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง.. แล้วควรกระทำเช่นนั้นหรือไม่เจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. แท้ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็ซ่อนอยู่ด้วยกัน " ดี กับไม่ดี " ก็ปะปนกันทั้งนั้น
เป็นธรรมดาลูก ที่บางคนอาจจะไม่เข้าใจสภาวธรรม ด้วยเหตุผลของเขาที่มีอยู่ คือ...
กิเลสยังหนา // ตัณหายังหนัก // ทิฐิยังมาก
ก็เลยปิดกั้นเขา ทำให้มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้
ก็เลยกลายเป็นพวกของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่คิดว่าไม่จริง
ปรามาสต่อการฝึกฝน ปรามาสต่อการทำความดีของบุคคลผู้อื่น
ไม่เป็นไรหรอกลูก เราก็ตั้งใจทำไปเรื่อยๆ อย่าไปคล้อยตามเขาเหล่านั้น ก็แล้วกัน
เราทำดีของเราแหละ ก็ดีแล้ว
ส่วนบุคคลเหล่านั้น เขาจะทำกรรมอันใดไว้ -- กรรมอันนั้นก็จะส่งผลกลับคืนไปที่ตัวของเขา
พระพุทธองค์ :: พระยาธรรมเอย.. วันนี้ ก็พากันมานั่งภาวนาในที่นี้ -- เพื่อน้อมรับพลังพุทธบารมี
เบาตัวกันแล้วหรือยังลูก
ได้รับความสุข ความสบายกันแล้วหรือยัง ?
พระยาธรรม :: เจ้าค่ะ วันนี้ลูกก็ได้รับพลังความเบาสบายแล้ว เจ้าค่ะ
สภาวธรรม ความเบาสบายในที่นี้ คล้ายคลึงกันกับพระนิพพานหรือเปล่าเจ้าคะ ?
- ไร้อดีต
- ไร้อนาคต
- ไม่มีปัจจุบัน
- ไม่มีความยึดติด ลุ่มหลง
- ไม่มีความทุกข์ใดๆ...
... แบบนี้คล้ายคลึงกันกับกับสภาวธรรมในพระนิพพาน หรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. ความสุขเช่นนี้แหละลูก ที่เรียกว่า " ความสุขที่แท้จริง " --
ความสุขที่ปราศจากเชื้อกิเลสตัณหา ความห่วงหน้าพะวงหลัง
ปราศจากทิฐิ อัตตาตัวตน ปราศจากอดีต และอนาคต -- ไม่มีอะไรอีกต่อไป..
นี่แหละลูก คือ " สภาวธรรมความสุข ในดินแดนนิพพาน "
บุคคล เมื่อถึงนิพพานแล้ว ดวงจิตดวงนั้น ก็จะถึงซึ่งความสุขเช่นนี้ อยู่ตลอดไป..
พระยาธรรม :: พระพุทธองค์เจ้าขา แล้วถ้าเกิดว่าเราเข้ามาในที่นี้ เราเจอความสุขแบบนี้ เรากลับไป ก็เจอความทุกข์อีก
เราจะมาอยู่ที่นี่ตลอดได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. ดวงจิตที่จะสามารถมีสภาวธรรมเช่นนี้ ตลอดไปได้ ต้องเป็นดวงจิตที่ดับกิเลสตัณหาลงจากตนเองได้เสียแล้ว
ลูกเอ๋ย.. ไม่ใช่การหลบมาอยู่ที่นี่ลูก !
แต่เป็นการฝึกฝนจนตนนั้นมีสภาวธรรมเช่นนี้.. อยู่ในทุกที่ ทุกแห่งหน
นิพพาน จะอยู่กับตน อยู่ในใจตน อยู่ในดวงจิตของตน
สิ่งนั้นต่างหากลูก คือสิ่งที่ควรฝึกฝน - และจะได้รับความสุขที่แท้จริง
การมาที่นี่ ก็มาเพียงเพื่อแค่ เพื่อฝึกฝนตนเท่านั้น.. ลูก
จงฝึกต่อไปเรื่อยๆ จนเป็นเช่นนี้ อยู่ในทุกที่ ทุกสถานการณ์เถิด..
แล้วลูกจึงจะพบนิพพานตลอดไป จึงจะเป็นสุขอย่างนี้ ..ตลอดไป
พระยาธรรม :: พระพุทธองค์เจ้าขา จะมีหลายคนมั้ยหละ เจ้าค่ะ ที่จะสามารถทำได้ ?
พระพุทธองค์ :: พระยาธรรมเอย.. บุคคลมากมายในโลก ที่ได้สร้างสั่งสมบารมี ไว้ " รอรอบ "
ฉะนั้น.. ก็จะมีคนหลายคนเลยทีเดียว..ที่จะทำได้
เพียงแต่เขาเหล่านั้น จะค่อยๆรู้เรื่องนี้ไปเรื่อยๆ -- และจะมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าข้า ฯ กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่เมตตา เจ้าค่ะ
แล้วลูกจะขอพลังจากพระพุทธองค์ ให้ส่งพลังพุทธบารมี ไปในทุกที่ ทุกแห่งหน
ที่มีใครได้ยินได้ฟังเสียงธรรมนี้แล้ว และปรารถนาได้รับ * พลังพุทธบารมี *
ลูกขอให้เขาเหล่านั้น ได้รับพลังนี้ด้วย นะเจ้าคะ
พระพุทธองค์ จงเป็นเช่นนั้นเถิด พระยาธรรมเอ๋ย..
ขอเพียงให้ตั้งใจ
- ตั้งใจ - แบบไม่ได้ใช้ความอยาก
- ตั้งใจ - แบบไม่ได้ยึดติด
… ปล่อยวาง ทั้งความตั้งใจนั้นด้วย
-- วางทุกสิ่งและวางทุกอย่าง ก็จะได้รับพลังเหล่านี้
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่เมตตาเจ้าค่ะ
สาธุ ..