แม่ทัพของกิเลสทั้งปวง
เอาละ ข้าพเจ้าได้แสดงการต่อสู้ในชีวิตของคนเราในโลกนี้มาพอควร ซึ่งทุกคนพอจะใช้ปัญญาของตนๆ พิจารณาตามได้ไม่ยากนัก ต่อไปนี้จะได้แสดงถึงการต่อสู้ในทางพระพุทธศาสนา เพื่อบรรลุตามเป้าหมายของตน
พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงสอนการต่อสู้กับศัตรู คือกิเลสอันมีภายในใจของตน แก่เหล่าพระสาวกของพระองค์เหมือนกัน กิเลสทั้งหลายมีราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ซึ่งมีประจำอยู่ในใจของแต่ละบุคคล ชื่อว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญของการที่จะบำเพ็ญความดีให้ลุล่วงไปได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าผู้มีปัญญาจึงสอนให้คนผู้มีตาดีใช้กลวิธีต่อสู้เพื่อเอาชนะกับราคะ โทสะ โมหะ
กิเลสแต่ละตัวทั้ง ๓ นี้ ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพของกิเลสทั้งปวง ซึ่งมันสะสมพลนิกรของมันอยู่ภายในใจของพวกเราทั้งหลายมาเป็นเวลาช้านานมาแล้ว มันทำความสนิทชิดชมแทรกซึมจนคนเราเห็นเป็นไม่ใช่ศัตรูไปเสียเลย สมัยใดมันจะใช้อำนาจ มันก็จะยั่วยุปลอบใจให้เห็นโทษเป็นคุณ ให้เห็นความสุขมีประมาณเล็กน้อย ว่าเป็นความสุขอันมหาศาล เห็นโทษเหลือประมาณว่าเป็นของนิดเดียว ดังเช่น
แม่ทัพ ราคะ
๑. ราคะ มันเข้ามาย้อมใจที่ใสอยู่แล้วให้ขุ่นมัว เห็นรูปที่ชั่วช้าสกปรกด้วยอสุภนานาประการตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่กลับเห็นเป็นสิ่งที่สวยงามสะอาด น่ารักน่าใคร่ น่าชม นี่ก็เพราะใจเป็นของเศร้าหมอง ขุ่นมัวด้วยราคะกิเลสเข้ามาย้อม ย่อมให้เห็นเป็นไป ตามอำนาจของมัน
สมัยใด ถ้าราคะกิเลสไม่เข้าไปย้อมใจให้เศร้าหมองขุ่นมัวแล้ว ถึงรูปเก่านั่นแหละที่ว่าสวยสะอาดน่ารักน่าใคร่ เห็นเข้าแล้วจะเป็นรูปธรรมดาๆ นี่เอง เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของราคะ ถึงแม้จะเห็นรูปนั้น เป็นของสวยสะอาดตามธรรมชาติ ของวิบากตกแต่งมาก็ตาม แต่ก็ไม่ถึงจะให้เข้าไปยึดเอาว่าเป็นของน่ารัก น่าใคร่ อันเป็นไฟสุมหัวใจให้เร่าร้อน ด้วยความอยากได้มาเป็นของตัว นี่ว่าถึงโทษของราคะที่เกิดจากทางรูปอย่างเดียวพอเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์ ส่วนที่เกิดทางเสียง กลิ่น รส สัมผัส ขอให้ผู้มีปัญญาพิจารณาโดยนัยเดียวกันนี้
ราคะ ท่านอุปมาเหมือนกระแสน้ำไหลลงไปสู่ที่ต่ำที่เลวทรามตลอดกาล ไม่มีเวลาหยุดอยู่คงที่ฉะนั้น
แม่ทัพ โทสะ
๒. โทสะ ก็เช่นเดียวกัน เบื้องต้นมันเอาความไม่พอใจเข้ามาหุ้มห่อหัวใจที่ผ่องใสอยู่แล้วให้ถือผิดปิดแสงสว่างของปัญญา แล้วก็รุมล้อมเข้ามาด้วยความประทุษร้าย หมายจะล้างผลาญบุคคลอื่นอย่างเดียว ไม่เลือกหน้า ไม่ว่าขี้ข้า ไพร่ ผู้ดี มีจน แม้แต่ผู้มีพระคุณหรือผู้ไม่เกี่ยวอะไรเลยก็ไม่เลือก
โทสะ เปลี่ยนสีขาวให้เป็นสีดำได้ในพริบตาเดียว ลูกรักคู่ชีวิต เมื่อยามปกติ อาจจะแหวกหัวอกให้เข้าไปนั่งอยู่บนหัวใจ ก็ยังไม่สมสาหาว่ายังอยู่ห่างไกล คราวเมื่อความโกรธมาครอบงำเข้า จะเห็นลูกรักคู่ชีวิตคนเก่านั้นแหละ กลายเป็นผักปลา อาจฆ่าแหวะเอาโลหิตในทรวงมาสังเวยความโกรธในขณะบัดเดียวนั้นก็ได้
โทสะ เมื่อเข้าไปแทรกซึมอยู่ในหัวใจของบุคคลใดแล้ว ย่อมทำการเปลี่ยนแปลงหัวใจของบุคคลนั้นให้เป็นไปตามอำนาจของตนอย่างหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว เสียงหวานกลับเป็นเสียงเปรี้ยว กลิ่นหอมกลับเป็นกลิ่นเหม็น รสหวานกลายเป็นรสขมขื่น สัมผัสที่นุ่มนวลกลายเป็นสัมผัสที่แข็งกระด้างหยาบ
โทสะ ท่านเปรียบเหมือนไฟป่าไหม้ไม่เลือก ไหม้ที่เกิด (คือใจของมัน) แล้วจึงไหม้รอบๆ ตัวจนเกลี้ยง
แม่ทัพ โมหะ
๓. โมหะ ความไม่ยอมตรึกตรองตามเหตุผลให้รู้ ให้เข้าใจตามเป็นจริง เข้าสิงหัวใจที่ผ่องใสอยู่แล้วให้มึนเมาซึมเซ่อ ไม่อยากคิดค้นตรึกตรองหาเหตุผลอันใด ความหลงลืมไม่ได้จัดเป็นโมหะในที่นี้
โมหะ รู้อยู่ ไม่ใช่ไม่มีความรู้อะไรเสียเลย แต่รู้ไม่ตรงตามความเป็นจริงหรือรู้ไม่ตลอดจนถอนรากแห่งความหลงเสียได้ หลงรักรูปเพราะไม่รู้ว่ารูปนั้นเป็นอสุภของน่าเกลียด รูปเป็นของแปรสภาพอยู่เสมอไม่คงที่ รูปนี้เป็นที่รองรับแห่งทุกข์ทั้งหลาย รูปเป็นของสูญจากแก่นสาร โมหะมีความไม่ยอมตรึกตรองให้เห็นโทษ แล้วจึงหลงเข้าไปในข่ายของรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ว่าเป็นของดีมีสาระ เข้าไปยึดเอามาเป็นตนเป็นตัว มาเป็นของตัว
เมื่อของเหล่านั้นมีอยู่ ก็ติดคิดวกเวียนไปมาในของเหล่านั้น เมื่อของเหล่านั้นเสื่อมสูญไป ก็อาลัยอาวรณ์ กินไม่ได้นอนไม่หลับเศร้าโศกเสียใจ
ท่านอุปมาโมหะ เหมือนข่ายคลุมไว้ ความคิดความเห็นของผู้มีโมหะเป็นเครื่องคลุม ก็เหมือนคนผู้อยู่ในข่ายฉะนั้น คิดนึกตรึกตรองอันใดก็วนเวียนอยู่ในความมัวเมา ลุ่มหลงในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เท่านั้น ไม่มีทางจะให้เห็นโทษ เบื่อหน่าย แล้วพยายามที่จะเอาตนรอดจากอารมณ์ทั้งห้านั้นเลย โมหะ หลงเข้าไปยึดเอากามคุณ ๕ มีรูปเป็นต้น เข้ามาเป็นตนเป็นตัวมาเป็นของตัว โดยมีความซึมเซ่อ ไม่ยอมตรึกตรองให้รู้แจ้งเห็นจริงตามเหตุผลมูลฐาน หากใช้ปัญญาดำเนินตามพระไตรลักษณญาณ จนเห็นประจักษ์แจ้งด้วยญาณทัสสนะวิธีในกามคุณทั้งห้านั้น โมหะเลยกลับกลายมาเป็นปัญญาตามทางแห่งพระอริยมรรค
ส่วนอวิชชา ปิดบังปัญญาลึกซึ้งละเอียดลงไปกว่านั้นอีก ไม่ใช่ไม่รู้แต่กามคุณทั้งห้าตามเป็นจริงเท่านั้น แต่ยังไม่รู้ต้นเหตุให้เกิด … ความตั้งอยู่ … พร้อมทั้งคุณและโทษ และวิธีที่จะทำให้กามคุณ ๕ นั้นดับไป ถ้าปัญญาอันกลับมาจากโมหะเป็นผู้เบิกช่องทางให้สว่างมองเห็นต้นทางอย่างนั้นแล้ว อวิชชาความไม่รู้แจ้งเห็นชัดตามเป็นจริงในสิ่งที่ไม่รู้ดังกล่าวมาแล้วนั้น ก็จะค่อยหายจางไป วิชชาก็จะอุทัยไขแสง สว่างแจ้งขับไล่ความมืดให้หมดสิ้นไปในที่สุด
สรุปแล้ว โมหะ หลงไม่เข้าใจตามความเป็นจริงในกามคุณทั้งห้า แก้ไขด้วยปัญญา เดินตามพระไตรลักษณญาณ แต่อวิชชาไม่รู้ลึกซึ้งลงไปกว่าโมหะ เพราะคนหนึ่งหลง(คือ เข้าใจผิด) คนหนึ่งไม่รู้ คือ ไม่รู้ตัวกามคุณ ๕ พร้อมทั้งที่เกิดที่ดับ คุณและโทษ ความตั้งอยู่ และเหตุที่จะทำให้กามคุณ ๕ นั้นดับไป แต่เมื่อจะแก้ไขก็ต้องอาศัยปัญญา อันแปรสภาพมาจากโมหะนั้น เป็นผู้เบิกช่องทางให้ก่อน แล้ววิชชาจึงจะได้โอกาสดำเนินตามความสามารถของตนเอง จนอวิชชาดับไป ยังเหลือแต่วิชชาอย่างเดียว
โมหะ กับอวิชชา มีลักษณะผิดแผกกันดังแสดงมานี้ แต่ในที่ทั่วไปมักแสดงเป็นคู่กัน เช่น โมหะ อวิชชา ปิดหุ้มห่อปัญญาไว้ ไม่ให้เห็นสัจจะของจริงดังนี้ เป็นต้น
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
มีสังสารวัฏ เพราะชอบส่งจิตออกนอก
หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้การที่หวังพึ่งอารมณ์ภายนอกนะ อารมณ์ภายนอกเป็นของแปรปรวน เป็นของบังคับไม่ได้ เป็นของเลือกไม่ได้ กรรมมันเลือกให้เรา เพราะฉะนั้นจิตเนี่ย เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ พอมีความสุขเกิดขึ้น ก็หลงเพลิดเพลินพอใจ นั่นคือราคะแทรก อารมณ์นี้นำความสุขมาให้ ก็เลยหลงรักใคร่อารมณ์นั้น ราคะแทรก อารมณ์นี้นำความทุกข์มาให้ โทสะก็แทรก เกลียดอารมณ์อันนี้ ในใจก็กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง เดี๋ยวฟูเดี๋ยวแฟ่บ เดี๋ยวฟูเดี๋ยวแฟ่บ ไปเรื่อยๆ
วัฎฎะนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเลย (วัฏฏะในที่นี้คือ สังสารวัฎฎ์ หรือ ไตรวัฎฎ์ ได้แก่ วงจรของ กิเลส กรรม วิบาก – ผู้ถอด) เพราะว่า เมื่อเพลิดเพลินตามอารมณ์ หรือปฏิเสธอารมณ์นะ (อารมณ์ คือ สิ่งใดๆที่จิตไปรู้เข้า – ผู้ถอด) จิตก็เกิดการกระทำกรรมขึ้นมา เกิดความดิ้นรนทางใจขึ้นมา ดิ้นรนไปในทางดีบ้าง ทางชั่วบ้าง มันก็สะสมวิบากต่อไปอีก เพราะอย่างนั้น วัฎฎะเนี่ย จึงได้หมุนไปเรื่อยต่อไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด มันมาจากการที่พวกเราชอบส่งจิตออกนอก
นี่ถ้าหากว่าเราเคยได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรู้ว่าโอปนยิโก น้อมกลับเข้ามา มาเรียนรู้ตัวเอง ไม่ใช่ว่าไปสนใจรูปแล้วลืมลูกตา ไม่ใช่สนใจเสียงแล้วลืมหู สนใจกลิ่นแล้วลืมจมูก สนใจรสแล้วลืมลิ้น สนใจสิ่งที่มากระทบกับร่างกายแล้วลืมร่างกาย สนใจสิ่งที่มากระทบทางใจแล้วก็ลืมใจของตัวเอง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
#ก้าวผ่านทุกข์ด้วย_๗_คำสอน
ความคิดปรุงแต่งเป็นมายา เกิด-ดับ ตลอดเวลาไม่มีอยู่จริง
หลงความคิด คือ หลงมายาจิตตน นั่นแหละ แค่ไม่รู้ "รู้แท้จริง"....."ไม่เคยเกิด...จึงไม่เคยดับ"
แต่...มีอยู่จริงตลอดกาล
ขอให้เข้าใจ โดยสังเขป ว่า..
พวกที่หลงโลก ก็มีหลงอยู่ ๔ ประการ
๑. หลงของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง
คือหนังหุ้มอยู่โดยรอบที่สมมติว่าเป็นเราๆ นี้
๒. หลงของเป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
คือหนังหุ้มอยู่โดยรอบนี้อีกล่ะ
๓. หลงของไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน
เอาจริงๆ จังๆ จนแกะไม่ได้ คลายไม่ออก
๔. หลงหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
อันเป็นของบูดเปื่อยเน่า ว่าเป็นของสวยงาม
ถ้าเราไม่หลงสิ่งเหล่านี้แล้ว
ภพชาติของเราก็จบ ใน ณ ที่นี้เอง
จะภาวนาหรือไม่ภาวนามันก็จบอยู่ในตัวแล้ว
แม้จะภาวนา ๗ วัน ๗ คืนไม่กินอาหารก็ตาม
ถ้าหากว่าหลงของ ๔ ประการดังกล่าวมาแล้วนี้
ก็ยังข้ามภาพข้ามชาติไม่ได้
การข้ามภพชาติ ก็เอาสติปัญญาเท่านั้นข้าม
จะข้ามด้วยเครื่องบินหรือจรวดอะไรๆ
ข้ามตั้งล้านๆ ปี ก็ข้ามไม่ได้ หวังว่าคงเข้าใจ
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดป่าภูจ้อก้อ มุกดาหาร
จิตใจนี้ ก็เหมือนกัน ที่มันผลิต ที่มันสร้างปัญหา
เป็นทุกข์เป็นโทษเป็นภัยขึ้นมานี่มันมาจาก
กิเลสนั่นแหละ มันก็สร้างให้ผลิต ความหลง ความโลภ ความโกรธ ความไม่รู้ ความยึดมั่นถือมั่น ทำให้เกิดการปรุงแต่ง
ปรุงแต่งก็คือมันตรึกนึกมันผลิต จะเรียกว่ามันผลิต
ถ้าเป็นการสร้างวัตถุสิ่งของเขาเรียกผลิต
แต่ว่าในจิตใจท่านใช้ คำว่าปรุงแต่ง
ปรุงแต่งเหมือน กับเราทำอาหาร
เราก็ต้องปรุงแต่ง ปรุงแต่งรสชาติ
เราปรุงแต่งยังไง ก็ต้องเอาสิ่งโน้นใส่สิ่งนี้ใส่ กวนไปกวนมา ปรุงแต่งทั้งหมด มันจึงได้รสชาติอาหารไปต่าง ๆ
เป็นแกงส้ม แกงเขียวหวาน เป็นแกงอะไรต่ออะไร
แล้วแต่ว่าจะเอาอะไรมาปรุง มันจึงเกิดเป็นอาหารต่าง ๆ
จิตนี้ก็เหมือนกัน มันเกิดทุกข์
เกิดโทษเกิดภัยเกิดความเดือดร้อน
ราคะ โทสะ โมหะ อะไรขึ้นมา
มันก็เกิดจากความปรุงแต่งขึ้นในจิตใจ
มันตรึกมันนึกมันสร้างสรรค์มันผลิต
ถ้าหากไปดูทัน ไปรู้ตรงเข้าไปถึงจุดของจิตใจ
ที่กำลังปรุงแต่งอยู่ สลายได้ ความปรุงแต่งก็จะสลายตัว
พอจะผลิต พอจะปรุงขึ้นมา รู้ทัน รู้ทัน
สลายไป เมื่อสลายไป มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
หรือว่าที่มันเกิดอยู่แล้ว เหตุปัจจัยที่จะทำให้มันเกิด
สืบสายต่อเนื่องยืดยาวมันก็ตัดขาดลง อาการที่มันเป็นอยู่ก็จึงคลายตัวลงไป หรือว่าแสดงอาการดับวูบลงไปให้เห็น
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ ที่คมกล้าจริงๆ มันก็สามารถจะแสดงความดับทันที ให้เห็นก็ได้ มันจะรู้สึกว่ามัน หวูบลงไป สลายลงไปหรือเบาลงมาก็เห็นมันจางลง ความโกรธก็ดี ความกลัวก็ดี ราคะก็ดีมันจางลงๆ ก็ยังรู้อยู่ รู้อยู่จนกระทั่งมันหายไป สลายไป ใจก็ว่างเปล่า แต่มันก็ไม่หยุดยั้งนะ
จิตนี้มันก็คอยจะปรุงอีก
.............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
#หลวงปู่ขาวอนาลโย
"หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นพระภิกษุ คณะ
ธรรมยุตินิกาย ที่ได้รับความเคารพนับถือ
จากพุทธศาสนิกชนในฐานะพระนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สายของพระอาจารย์
มั่น ภูริทัตโต แม้ท่านจะละสังขารไปกว่า ๓๐
ปีแล้ว หากแต่ คำสอนหลวงปู่ขาว ยังคงอยู่
ในความทรงจำ สร้างศรัทธาในหมู่ชาวพุทธ
รุ่นแล้วรุ่นเล่าและเป็นความจริงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย.. "
๑. ถ้าต้องการความเจริญก้าวหน้า อย่าอิจฉาคนอื่น
๒. อุปสรรคเป็นสัญลักษณ์ประการหนึ่ง ที่ช่วยผลักดันคนธรรมดาให้เป็นมหาบุรุษได้
๓. จงยินดีในวิเวก จงยินดีในความเพียร จงยินดีละกิเลส ชื่อว่าได้ปฏิบัติตามมัชฌิมาปฏิปทา
๔. ถ้าเราเว้นทำบาป ก็จะไม่มีความเดือดร้อน ใครจะว่าอย่างก็ตาม เราไม่ว่าเขา เขาติฉินนินทา เขาก็ว่าใส่ตัวเขาเอง ปากของเขาก็อยู่ที่เขา หูของเขาก็อยู่ที่เขา
๕. บางคนทำบุญทำทานกันใหญ่โตมโหฬาร แต่เสียเพราะความโกรธ ความมีโทสะ ความโกรธไหม้กุศลผลบุญจนหมดสิ้น เมื่อหมดบุญหมดกุศล บาปก็พลอยทวีคูณขึ้น ผลทานก็หนี ผลศีลก็ไม่มี ผลภาวนาก็หนีเข้าป่าไปหมด
๖. สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมดีกรรมชั่วที่ตนทำไว้ คนดีถึงจะทำตัวเป็นใบ้ใครก็รู้ ถึงจะหลบหลีกปลีกตัวอยู่ถ้ำ ภูเขาถึงแม้มนุษย์ไม่รู้ เทวดาก็บอกเองกลิ่นของศีลย่อมฟุ้งขจรขจายไปทั่วทิศ เป็นนิมิตหมายของคนดี
๗.คนเกิดมาไม่เหมือนกัน เพราะมีความประพฤติที่ต่างกัน ผู้ที่เขาประพฤติดี รักษาศีลมีการให้ทาน มีการสดับรับฟังพระธรรม เขาจึงมีปัญญาดี มีการศึกษาเล่าเรียนดี การจำแนกสัตว์ให้ดีให้ชั่วต่างๆ กัน มันเป็นเพราะกรรม ถ้ามันยังทำกรรมอยู่ ก็ต้องได้รับผลกรรมทั้งกรรมดีกรรมชั่ว มันต้องได้รับผลตอบแทน
#ที่มาจาก_หนังสืออนาลโยวาท_พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ขาว_อนาลโย
ระวังความหมายรู้ล่วงหน้าไปก่อน
จะเป็นการมักง่ายเกินไป จะเสียทางปัญญา
เรื่องอารมณ์ อดีต อนาคตไม่ควรโน้มน้าว มาสู่ใจที่บริสุทธิ์อยู่ในปัจจุบัน จะทำจิตซึ่งตั้งอยู่ในปัจจุบันอันบริสุทธิ์ให้ขุ่นมัว
อดีตอนาคตไม่ใช่ตัวกิเลส และบาปธรรม
ไม่ใช่ตัวนรก สวรรค์ และนิพพาน
ดวงจิตที่รู้อยู่ในปัจจุบันนี้เองจะเป็นดีเป็นชั่ว
ในเมื่อเราปล่อยไปคว้าอารมณ์ทำให้เป็นอดีต อนาคตขึ้น ตัวปัจจุบันเลยหลงหลักที่ถูก
ที่แท้จิตซึ่งรู้อยู่ในปัจจุบัน
ไม่ได้ไปทำเสียหายชั่วร้ายอะไร มีแต่การชำระตนอยู่ด้วยปัญญา
แม้ว่าท่านพระอริยเจ้า ในคราวท่านหลงท่านก็ทำบาป แต่เมื่อรู้ตัวแล้วท่านพยายามละโดยปัจจุบัน ก็หลุดพ้นได้อย่างทันตา
ภพก่อนเราจะเคยทำดีทำชั่ว แต่เราจำไม่ได้ ก็ไม่เดือดร้อน
ตกลงคนเราร้อนก็เพราะสัญญาความจำของตนเอง หากว่าขณะใดเราลืม มิได้เอาใจใส่ ที่เราเคยเดือดร้อน ขณะนั้นเราก็สบายเป็นธรรมดาของจิตไปเสีย
ที่เล่ามานี้คือโทษของอดีตที่เราไม่สำรวม แล้วปล่อยให้คิดตามอำเภอใจ ดังนั้น ความผิด หรือถูกมีทุกคน
แต่เวลานี้เราไม่ทำและไม่ตั้งใจจะสั่งสมเก็บเอาไว้
เราตั้งใจจะบำเพ็ญหรือสั่งสมเก็บเอาไว้เฉพาะธรรมที่เป็นปัจจุบัน อันสัมปยุตด้วยปัญญาเครื่องแก้ไขกิเลสและบาปธรรม อันเป็นทางพ้นทุกข์เท่านั้น
ดังนั้น สิ่งใดที่เกิดขึ้นในจิตใจซึ่งเป็นฝ่ายนิวรณ์
เราพึงทราบด้วยปัญญาทันทีว่า สิ่งนั้นคือมายาของจิตเอง
ไม่ใช่บาปกรรมมาจากอื่นที่ไหนเลย
การอบรมจิตจึงต้องรู้มายาของจิต
ไม่อย่างนั้นจะหลงกลมายาของจิต
หาความบริสุทธิ์ไม่ได้เลย
เมื่อเรารู้มายาของจิตที่หลอกลวงเราทุกอย่างด้วยปัญญาแล้ว จิตจะไปหามายามาจากไหนอีก
เหมือนเรารู้กลอุบายของคนที่จะมาหลอกลวงเรา
เราไม่เชื่อเขาแล้ว เขาจะต้มเราได้ที่ไหน
อันนี้ก็ฉันนั้น เมื่อกำลังสติปัญญารู้ทันความปรุง ความคิด หรือความหมายอยู่แล้ว อาการเหล่านี้ก็ค่อยหมดมายาไปเอง
จิตเมื่อได้สติกับปัญญาเป็นพี่เลี้ยง คอยสอดส่องความชั่วร้ายหมายโทษมิให้เกิดขึ้นได้ จิตก็จะนับวันผ่องใสบริสุทธิ์ไปเอง
นี่แหละคุณทั้งสอง อุบายเครื่องแก้ทุกข์ให้พ้นได้ในปัจจุบัน ไม่ต้องไปคำนึงคำนวณถึงอำนาจวาสนาที่ไหน การชำระใจให้บริสุทธิ์อยู่ทุกเมื่อ ด้วยสติปัญญามิได้ขาดวันขาดคืน ห้วงน้ำในมหาสมุทรก็นับวันจะตื้นขึ้นทุกที
ความดีนับวันมากล้น ก็พ้นได้ตามใจหวัง เอวํ โปรดได้พิจารณาด้วยปัญญา
ขอให้พากันสนใจ สมบัติใหญ่ได้แล้วกินไม่รู้จักหมดสิ้น แม้แผ่นดินหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์จะหมดไป สมบัติใหญ่เรายังคงที่ไม่แปรผัน
เป็นของอัศจรรย์เหนือโลก
โชคเรามีจึงได้เกิดมาพบศาสนา มีศรัทธา
ได้หว่านพืชอย่าได้จืดจาง
จงพยายามปล่อยวางด้วยปัญญา
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน