ความหลง เรียกว่า โมหะ
เป็นกิเลสเหมือนว่าจะไม่มีพิษอะไรเลย
ดักอยู่ในเบื้องหลัง คอยสั่งการ
ไม่ค่อยโผล่หน้าออกมาข้างนอก
ความจริงแล้วมีพิษมากมายทีเดียว
ยากที่จะบอกให้ทราบได้
ถ้าหากมันได้เกลี้ยกล่อมกัดกินหัวใจใครแล้ว
ไม่ยอมละวางหรือถอยออกจากใครง่ายๆ
ความโกรธ ความโลภ ละได้ง่าย หายเร็ว
แต่มันจะกำเริบอีกเมื่อไรก็ได้ถ้าไม่คอยระวังรักษามัน
แต่เจ้าความหลง ตัวโมหะนี้ ละได้ยากมาก
ถ้าหากปิดหู ปิดตา ปิดใจของใครแล้วแก้ไม่ตก
เหมือนสอนปลาให้ว่ายน้ำบนบก สอนไก่ให้ดำน้ำ
กิเลส คือ โมหะ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
มันมีอิทธิพลโดยเราไม่รู้สึกตัวเลย
คือมันสามารถเข้าไปจับยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ ใจ
เมื่อมันจับ "นายใจ" หรือ "พญาจิตราช" ได้แล้ว
สิ่งทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามคำบังคับบัญชาของมัน
เช่น ยกตัวอย่าง รูปัง อนิจจัง รูปทั้งหมดไม่เที่ยง
แต่โมหะมันบอกใหม่ว่า รูปทั้งหมดเที่ยงแท้
พระบอกว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
มันจะบอกคนโง่ว่า สังขารเป็นสุขอย่างยิ่ง
___________________________
หลวงปู่ขาว อนาลโย
จงทำจิตให้“ว่าง”จาก“ความยึดถือ”
“ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา และ ไม่ควรยึดมั่น นี้เป็นหลักที่ตายตัวแล้วในพระพุทธศาสนา (ส่วน)ศีล สมาธิ ปัญญา หรือที่เรียกว่าไตรสิกขานี้ เป็นเพียงยานพาหนะ มีไว้อาศัยเดินทาง ไม่ใช่สำหรับยึดถือหรือหาบหามเอาไว้ด้วยความหวงแหน.
จงทำจิตให้ว่างจากความยึดถืออย่างเดียวเถิด หน้าที่ทั้งปวงก็จะหมดลงทันที ไม่ต้องมีใครเป็น(ตัวตน)ผู้ลุถึงนิพพาน นอกไปจาก..“จิตซึ่งหมดความยึดถือว่าตัวมันเองเป็นตัวตน” อย่างเด็ดขาดแล้ว.
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวเป็นหลักไว้ว่า “การลุถึงนิพพานมีได้โดยไม่ต้องมีตัวใคร(ตัวตน)เป็นผู้บรรลุ. การเดินทางไปจนถึงที่สุดทุกข์ก็มีได้แล้ว โดยไม่ต้องมีตัว(ตัวตน)ผู้เดิน” ซึ่งเป็นคำที่ฟังยากๆอยู่สักหน่อย แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีๆก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า มีแต่ “จิต” ซึ่งบัดนี้หมดความสำคัญผิดยึดถือตัวเองว่าเป็น“ตัวตน”นั่นเอง, ที่เคยเป็นตัวประธานยืนโรงอยู่ตลอดเวลา.
เราจงมีความกล้าพอ “ที่จะปรารถนาความมีจิตชนิดนี้” ด้วยการถอนตัวเรา(ความยึดถือว่าเป็นตัวตนเรา)ออกเสีย ให้ยังคงเหลือแต่จิตทำนองนั้นล้วนๆเถิด”
#หมายเหตุ : คำในวงเล็บผู้โพสต์ได้เพิ่มเติมเข้าไปเอง เพื่อให้สามารถเข้าใจข้อความได้ง่ายขึ้น เพราะผู้ที่ไม่ได้อ่านหรือฟังเนื้อหาทั้งหมด อาจทำความเข้าใจในข้อความที่ยกมาบางส่วนนี้ได้ยาก
ที่มา : ปาฐกถาธรรม หัวข้อเรื่อง “ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม” เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๙๑ ณ “พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย”
" มิจฉาสมาธิ
คือ ความที่จิตเข้าสู่สมาธิ เงียบ...หมด
ไม่รู้อะไรเลย ปราศจากความรู้
นั่งอยู่...สองชั่วโมงก็ได้ กระทั่งวันก็ได้
แต่...จิตไม่รู้ว่ามันจะไปถึงไหน
มันเป็นอย่างไร ไม่รู้เรื่อง
นี่สมาธิอันนี้ เป็นมิจฉาสมาธิ
มันก็เหมือนมีด ที่เราลับให้คมดีแล้ว
แต่เก็บไว้เฉย ๆ ไม่เอาไปใช้มันก็ไม่เกิด-
ประโยชน์อะไร อย่างนั้น
ความสงบอันนั้น เป็นความสงบที่ หลง
คือว่า ไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว
เห็นว่าถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่ค้นคว้าอะไรอีกต่อไป
จึงเป็นอันตราย
เป็นข้าศึกในขั้นนั้น อันนี้เป็นอันตราย
ห้าม ปัญญาไม่ให้เกิด
ปัญญา เกิดไม่ได้
เพราะขาดความรู้สึกรับผิดชอบ
ส่วนสัมมาสมาธิ ที่ถูกต้อง
ถึงแม้จะมีความสงบ ไปถึงแค่ไหน
ก็มีความรู้อยู่ตลอดกาล ตลอดเวลา
มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บริบูรณ์
รู้...ตลอดกาล
นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ
เป็นสมาธิที่ไม่ให้หลงไป ในทางอื่นได้
นี่ก็ ให้นักปฏิบัติเข้าใจไว้ให้ดี
จะทิ้งความรู้อันนั้น ไม่ได้
จะต้องรู้แต่ต้น จนปลายทีเดียว
จึงจะเป็นสมาธิ...ที่ถูกต้อง
ขอให้สังเกต ให้มาก
สมาธิชนิดนี้ ไม่เป็นอันตราย
เมื่อ...เราเจริญสมาธิที่ถูกต้องแล้ว
อาจจะสงสัยว่า มันได้ผลที่ตรงไหน
มันจะเกิดปัญญา ที่ตรงไหน
เพราะท่านตรัสว่า สมาธิเป็นเหตุ
ให้เกิดปัญญาวิปัสสนา
สมาธิที่ถูกต้อง เมื่อเจริญแล้วมันจะมี
กำลังให้เกิดปัญญา ทุกขณะ
ในเมื่อตา เห็นรูปก็ดี หู ฟังเสียงก็ดี
จมูก ดมกลิ่นก็ดี ลิ้น ลิ้มรสก็ดี
กาย ถูกต้องโผฏฐัพพะก็ดี
ธรรมารมณ์เกิด กับ จิตก็ดี
อิริยาบถยืน ก็ดี นั่ง ก็ดี นอน ก็ดี
จิต จะไม่เป็นไปตามอารมณ์
แต่...จะเป็นไปด้วยความรู้
ตามเป็นจริงของ ธรรมะ
ฉะนั้น การปฏิบัตินี้ เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
ก็ไม่เลือก สถานที่
จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็ตาม
จิตมันเกิดปัญญาแล้ว
เมื่อมีสุขเกิดขึ้นมา ก็รู้เท่า
มีทุกข์เกิดขึ้นมา ก็รู้เท่า
สุข ก็สักว่า สุข ทุกข์ ก็สักว่า ทุกข์เท่านั้น
แล้วก็ปล่อยทั้งสุข และ ทุกข์
ไม่ยึดมั่น ถือมั่น
เมื่อสมาธิถูกต้องแล้ว มันทำให้จิตเกิดปัญญา
อย่างนี้เรียกว่า...วิปัสสนา
มันก็เกิดความรู้เห็น ตามเป็นจริง
นี้เรียกว่า...สัมมาปฏิบัติ
เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง
มีอิริยาบถสม่ำเสมอกัน
คำว่า อิริยาบถสม่ำเสมอกันนี้
ท่านไม่ได้หมายเอา อิริยาบถภายนอก
ที่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน แต่ท่านหมายเอาทาง
จิต ที่มีสติสัมปชัญญะ อยู่นั่นเอง
แล้วก็รู้เห็นตามเป็นจริง ทุกขณะ
คือ...มันไม่หลง."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
เหตุแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน
คือรู้เท่าทันความฟุ้งซ่าน
เราอยู่ในโลกที่มีแต่ความสับสน
มีสิ่งดึงจิตให้ออกนอกมากมาย
ไม่ใช่มัวแต่จะดึง
หรือกดดันจิตให้เกิดความสงบ
แต่ต้องรู้เท่าความฟุ้ง เห็นความฟุ้ง
รู้เท่าความชอบไม่ชอบในความฟุ้ง
เมื่อไม่มีใครเป็นผู้ฟุ้ง
ความสงบจึงจะปรากฏกับใจเอง...
การภาวนาตั้งแต่จนสุดปลาย
เราก็จะพบเจออยู่ 2 อย่าง
คือ รู้ กับไม่รู้
รู้อะไร? รู้ รูป รู้ นาม เท่านี้
กับ ไม่รู้ รูป ไม่รู้ นาม
โดยความเป็นทุกข์
สำคัญคือ รู้หรือไม่รู้แล้ว
จิตเป็นกลางไหม....
เป็นกลางเพราะ
รู้เท่าความยินดียินร้ายไหม
ยินดีก็จะพยายามรักษาไว้
ยินร้ายก็พยายามผลักดันออก
ซึ่งอยู่ในข่ายของตัณหา
เราต้องพิจารณานะ
บางช่วงเวลาในการภาวนา
เราจะต้องพบเจอกับสิ่งเหล่านี้
คือ มีความว่าง มีวุ่น
มีเจริญ มีเสื่อม
มีชอบ มีชัง
มีสงบ มีฟุ้งซ่าน
มีหดหู่ มีสว่างผ่องใส
มีเห็นสภาวะ มีไม่เห็น
ให้ รู้ ด้วยใจเป็นกลาง
ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
แบบไม่แทรกแซง..
สติก็คอยระลึก
สัมปชัญญะก็คอยรู้สึกตัว
เจริญให้มากทำให้มาก
มีเวลาว่างเป็นช่วงๆ ซัก30นาทีก็เจริญสมาธิ
หมั่นศึกษาในคำสอนของพระศาสดา และครูบาอาจารย์
มีศีลรักษากายวาจาไว้ อดทนไม่ย่อท้อ
ความสำเร็จ ความเจริญในธรรมย่อมพอกพูนขึ้น
มรรคผล ก็ไม่ไกลไปอีกหลายชาติแล้วล่ะนะ....
ธรรมชาติของจิตต้องคิดนึก
เมื่อไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่คล้อยตาม ไม่หักหาญ
ไม่พยายามไปดับความคิด
เป็นเพียงแค่ผู้เห็น ไม่ใช่เป็นผู้เป็น
เมื่อไม่เพลินในความคิด ไม่ให้ค่าในความคิด
ความคิดนั้นย่อมดับไปตามธรรมชาติเอง
เพราะหมดเหตุสืบต่อ คือความทะยานอยากของจิต
ที่จะรั้งให้บางสิ่งคงอยู่ หรือผลักไสให้บางสิ่งหายไป
ฉะนั้นอย่าไปห้ามความคิด รู้เท่าความยินดี ยินร้าย
ที่เกิดขึ้นเพราะความคิด เมื่อนั้นจิตจะเป็นกลาง
จิตที่เป็นกลางนี้จะรู้ตั้งมั่น
เมื่อจิตตั้งมั่นย่อมเห็นตามเป็นจริง
ตามเป็นจริงคือสิ่งทั้งหลาย
ทั้งฝ่ายรูปธรรม และนามธรรม
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไป บังคับไม่ได้จริงๆ
ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น
แทบจะแยกจากกันไม่ได้เลย
เมื่อดำเนินมาในวิถีจิตแล้ว
จะเห็นเองเลยว่า
ปัญญาอันใด ก็ศีลอันนั้น
ศีลอันใดก็สมาธิอันนั้น
เมื่อสมาธิดีปัญญายิ่งกล้ายิ่งคม
ปัญญายิ่งมากศีลก็ยิ่งสมบูรณ์
ศีลสมบูรณ์ขึ้นสมาธิก็ดียิ่งขึ้นก็วนเวียนอยู่อย่างนี้
จนเกิดความเข้าใจในธรรมเป็นลำดับ
ถอดถอนความยึดมั่นออกได้เรื่อยๆตามกำลัง
สติปัญญาความเพียรของตน....
ใจนี้ความจริงมันเงียบสงบอยู่แล้ว
แต่ที่เรารู้สึกไม่สงบ เพราะมัวส่งออกไปเที่ยวแสวงหา
แสวงหาอะไรก็ไม่รู้ที่ตนสำคัญว่าจะนำความสุขมาให้
ใจที่รู้อยู่กับใจเองโดยไม่ต้องประคองจะมีความสงบ
เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดมาจากการสั่งสมสติปัญญา
รู้เท่าทันความปรุงแต่งทั้งภายนอก ภายใน
ใจไม่ยินดี ไม่ยินร้าย สงบอยู่ เป็นกลางตามธรรมชาติใจ
ความสุขเสมอด้วยความสงบไม่มี
นักปฏิบัติต้องเอาให้หนักกว่าธรรมดา
ทำใจของตนให้แน่วแน่ มันจะไปสงสัยที่ไหน
ก็ของเก่าปรุงแต่งขึ้นเป็นความพอใจไม่พอใจ
มันเกิดมันดับอยู่นี่ ไม่รู้เท่าทันมัน
ถ้ารู้เท่า ทันมัน ก็ดับไป ถ้าจี้มันอยู่อย่างนี้
มันก็ค่อยลดกำลังไป ตัดอดีต อนาคตลงให้หมด
จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน
ทำในปัจจุบัน แจ้งอยู่ในปัจจุบัน.......
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
ธรรมมีอยู่แล้วมากมายมหาศาล เพียงแค่ใบไม้ใบเดียวมาบอกโยมใบเดียว..มันก็ไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว แต่ว่าเรื่องธรรมจะว่ายังไง สุดท้ายมันก็จบที่ตัว"ทุกข์"ตัวเดียว เข้าใจมั้ยจ๊ะ ตัว"อยาก"ตัวเดียวที่ทำให้มีธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ดับตัวอยากตัวเดียวก็ดับทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือดับที่..ใจดวงเดียว
คนบอกว่าถือศีลนั้นก็เป็นหนักเป็นทุกข์ต้องคอยมาระวังศีล เป็นพระเป็นเจ้าศีลก็มีมากอีก โยมถือศีลข้อเดียวก็ได้ก็บรรลุธรรมได้ อ้าว..ศีลข้อเดียวจะเป็นมนุษย์ได้ยังไง จะบรรลุธรรมได้ยังไง? ก็ในพระพุทธกาลท่านก็ถือศีลข้อเดียว ศีลไม่ได้ถือข้อเดียวแต่ถือหลักอย่างเดียว คือรักษาใจให้สงบ เห็นมั้ยจ๊ะ..
ใจสงบแล้วศีลจะเป็นพันข้อ สมมุติบัญญัติของศีลนั้นเป็นหมื่นข้ออะไรก็ตาม..จบที่สงบที่ใจดวงเดียว เพราะศีลนั้นเป็นแค่อุบายเครื่องหล่อเลี้ยงใจให้จิตมันสงบ ไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน ศีลเหมือนกำแพงมาปิดกั้นห้อมล้อม ไม่ให้อวิชชากิเลสตัณหาเข้ามาสมทบให้มันมีกำลังมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แล้วเมื่อเรารู้แล้วว่าจิตเราสงบแล้ว ลองดูซิว่าไส้ศึกหรือมารภายในที่มันอยู่ในนี้มีอะไรที่มันยังขุ่นเคืองจิตอีก เราก็กำหนดละออกไป..ละออกไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ ด้วยอาศัยศีลนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ไม่ให้ศัตรูภายนอกหรือมารมันเข้ามาแทรกให้เพิ่มขึ้นอีก เมื่อภายในไฟมันมีน้อย..เราก็สามารถกำจัดมันได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือดับมันเท่าทัน
นั้นเมื่อยังดับไม่เท่าทันด้วยสติยังไม่เท่าทัน เราก็ต้องมีองค์ภาวนาเข้ามา เรียกกำลังจิตเข้ามา กำลังจิตเราจะเรียกมาเท่าไหร่ก็ได้ จะเป็นร้อยชาติพันชาติแสนชาติเราอธิษฐานเข้ามา ที่เราเคยสะสมบารมีในทาน ศีล ภาวนามา ข้าพเจ้าขอหล่อหลอมดวงจิตเข้ามาเป็นหนึ่ง ณ บัดนี้ กาลนี้ ขอให้ข้าพเจ้าทำอะไรไม่ว่าจะเจริญทาน ศีล ภาวนา เนกขัมมะบารมี ทำให้เกิดวิชชาปัญญา ให้เข้าถึงตัววิมุติ ให้เราอธิษฐานขึ้นมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
จิตในขณะที่โยมอธิษฐานตั้งจิตปักลงไปนี้จะมีกำลังมหาศาล จดจ่อตั้งมั่นบวกกับการอธิษฐานบารมีมา บารมีที่โยมสะสมมาไม่ว่าจะเป็นในเอนกชาติจะมาหล่อหลอมรวมกันในขณะนั้น จิตโยมจะแกร่งเป็นหนึ่ง ขณะที่โยมง่วงอยู่มันจะมีการระเบิดออกไป เพราะธาตุทั้ง ๔ มารวมตัวกัน เกิดการระเบิดออกไป จิตเบิกบานแจ่มใสตั้งมั่น เข้าใจมั้ยจ๊ะ อวิชชาที่มันครอบมันครอบอยู่ไม่ได้..เพราะโยมอธิษฐานบารมี แรงอธิษฐานนี้สำคัญนัก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นแล้วถ้าโยมอยากรู้บารมีของตัวเอง ถ้าโยมอธิษฐานบารมีลงไป ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานบารมีที่ข้าพเจ้าได้ทำการเจริญบารมีตบะนี้ ในทาน ศีล ภาวนานี้ให้เกิดปัญญา เกิดตัวรู้ เกิดวิชชา ให้อธิษฐานไป แล้วนั่งไปจนจิตตื่นนั้นแล..โยมลองอธิษฐานไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
สมาธิคือภาวะ ของจิตที่มีความตั้งมั่น
ไม่ไหล ไม่หลงไปตามอายตยนะต่างๆ
มีคุณภาพที่จะรู้เห็นสิ่งทั้งปวงตามเป็นจริง
ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอิริยาบถหรอกนะ
แต่ไม่หลงไปเป็นในอิริยาบถ ว่าเป็นเรา
ไม่หลงในอารมณ์ความรู้สึกว่าเป็นเรา.....
จิตนี้ได้เที่ยวไปสู่ที่จาริกตามความปรารถนา
ตามความใคร่ ตามความสุข ในกาลก่อน
วันนี้ เราจักข่มจิตนั้นโดยอุบายอันแยบคาย
ดุจนายควาญช้างผู้ถือขอข่มช้างผู้ตกมัน ฉะนั้น
ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในความไม่ประมาท
จงตามรักษาจิตของตน จงถอนตนขึ้นจากหล่ม
คือกิเลสที่ถอนได้ยาก ดุจกุญชรผู้จมแล้ว
ในเปือกตมถอนตนขึ้นได้ ฉะนั้น
___________________
คาถาธรรมบท นาควรรค
ความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง
คือ อดทนต่อความปรุงแต่งทั้งหลาย
อดทน..ที่จะไม่ไปสำคัญมั่นหมายเป็นตัวตน
เป็นความอดทนของจิตที่ผ่านการฝึกฝนมาด้วย สติปัญญา
ในการที่จะรู้เท่าทันความปรุงแต่ง ตั้งแต่หยาบถึงละเอียดสุด
ความอดทนนี้ประกอบด้วยปัญญา อยู่อย่างแน่นแฟ้น
เป็นสภาพรู้ที่ตื่นตัวและเป็นกลางเต็มที่....
ที่สุดแห่งทุกข์ คือที่ไม่มีทุกข์
จะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ต้องทน
ทนต่อความดึงดูดของสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย
ไม่เข้าไปจับไปแตะต้อง เป็นเพียงสักว่ารู้
เมื่อไม่หมายไม่แตะต้องให้ค่าในความปรุงแต่ง
ความปรุงแต่งนั้นย่อมกลายเป็นเพียงแค่
..สิ่งใด สิ่งหนึ่ง เท่านั้น
เมื่อปราศจากสิ่งฉุดรั้งใดๆ
เมื่อเหลือแต่จิตรู้ล้วนๆ
ซึ่งเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์
ย่อมประจักษ์ถึงที่สุดแห่งทุกข์อันบริสุทธิ์เอง.....
เรื่องเกี่ยวกับ “ขันธ์ ๕” ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ หรือยังเข้าใจผิดกันอยู่
“เดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกถึงการที่เรา(คือจิต)ไปยึดขันธ์ ๕ แล้วเป็นทุกข์ ไม่รู้สึก ชินชาเหมือนหนอนที่เกิดในพริก อย่างเดียวกันอีก ก็ไม่รู้สึกการที่จิตยึดถือขันธ์ ๕ หรือขันธ์ทั้ง ๕ ถูกจิตยึดถือแล้วก็กลายเป็นของหนักแก่จิต เรื่องนี้มันกระจ่างแจ้งเป็นสันทิฏฐิโกแล้วหรือยัง เราไม่รู้จักแม้แต่ตัวสิ่งที่เรียกว่า “ขันธ์ ๕” ได้แต่ท่อง ยึดเมื่อไร ยึดอย่างไร ก็ไม่มองเห็น ขันธ์ ๕ เกิดเมื่อไรก็ยังไม่เข้าใจ อย่าว่าแต่จะมองเห็นเลย
ขันธ์ ๕ เกิดเมื่อ กาย ใจ อายตนะภายใน ทำหน้าที่
“รูปขันธ์” คือร่างกายนั้น เมื่อมันทำหน้าที่อย่างรูป อย่างกายนั้น จึงจะเรียกว่า “รูปขันธ์เกิด” ถ้ามันไม่ได้ทำหน้าที่ทางกาย ยังไม่เรียกว่า“กายเกิด” หรือ“รูปขันธ์เกิด” เมื่อใดกายหรือรูปนั้นทำหน้าที่ทางกาย ก็เรียกว่ากายเกิด รูปขันธ์เกิด เช่น ดวงตาทำหน้าที่สำหรับการเห็นทางตาขึ้นมา ก็เรียกว่าตาเกิด หู อวัยวะหู ประสาทหู ทำหน้าที่สำหรับจะได้ยินเสียงขึ้นมา ก็เรียกว่า“หูเกิด” จมูก ประสาทในจมูก ทำหน้าที่ได้รู้กลิ่นขึ้นมา ก็เรียกว่า“จมูกเกิด” กายฝ่ายที่เป็นจมูกเกิด เมื่อลิ้นสัมผัสรส รู้รสโดยทางลิ้น ก็เรียกว่าลิ้นนั้นเกิด ร่างกายที่เป็นส่วนลิ้นมันเกิด ก็เรียกว่ารูปขันธ์เกิดได้เหมือนกัน เมื่อผิวหนังสัมผัสอะไร รู้สึกทางผิวหนังขึ้นมา เรียกว่าผิวหนังเกิด เมื่อผิวหนังไม่สัมผัสอะไร มันก็หลับอยู่ มันก็ตายอยู่ เรียกว่ายังไม่เกิด พอผิวหนัง เนื้อหนังร่างกายสัมผัสอะไรข้างนอก ทำความรู้สึกขึ้นมา เรียกว่ากายเกิด จิตเมื่อไม่ได้คิดนึกอะไร ไม่ได้รู้สึกในอะไร ก็เหมือนกับหลับอยู่ ตายอยู่ พอมีอะไรให้จิตสัมผัส จิตก็ทำหน้าที่ ก็เรียกว่า“จิตเกิด”
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เกิดกันเป็นคราวๆ ไม่อาจจะเกิดพร้อมกันได้ เพราะว่าเรื่องมันคนละเรื่อง บางเวลาตาเห็นรูป บางเวลาหูฟังเสียง บางเวลาจมูกดมกลิ่น เหล่านี้ ไม่มีทางจะพร้อมกันได้ แต่ขอให้รู้เถิดว่า มันเกิดเมื่อไรใน ๖ อย่างนี้ เรียกว่าใน ๖ อย่างนี้ก็ได้ เป็นเรื่องของทางกายเสีย ๕ อย่าง เมื่อกายทำหน้าที่ กายเกิด, เมื่อจิตทำหน้าที่ จิตเกิด, นี่ รูปขันธ์เกิด โดยสิ่งทั้ง ๕ นั้นทำหน้าที่
ทีนี้ พอเกิดแล้วก็สัมผัสอารมณ์ที่คู่กับมัน คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มีผัสสะแล้วก็เกิดเวทนา รู้สึกเป็นสุข ทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุข นี่เวทนาเกิด ที่จริงเกิดอยู่ตลอดวันก็ว่าได้ แต่มันเล็กๆน้อยๆ เช่นว่า เวลานี้เรารู้สึกร้อนรำคาญ เพราะอากาศร้อน ผิวหนังมันสัมผัสความร้อน ก็เกิดกายส่วนรูปขันธ์นี้ แล้วก็เกิดเวทนา ที่เป็นทุกข์ไม่ชอบใจที่กายนี้ คือมันร้อนอย่างนี้ เป็นต้น ยังมีอย่างอื่นอีกที่เกิดอยู่ตลอดเวลา เป็นเวทนาพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง เฉยๆบ้าง.
ทีนี้ “สัญญา” สำคัญมั่นหมายไปตามความจำ อะไรมาถึงเข้าก็จำได้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ความจำนั้นจับกลุ่มกัน เกาะรูปกันเป็นตัวสำคัญมั่นหมายอีกชั้นหนึ่งๆ ไม่เพียงแต่จำได้เฉยๆ ความจำนั้นกลายเป็นสำคัญมั่นหมาย ว่านั่น ว่านี่ ว่าสุข ว่าทุกข์ ว่าตัว ว่าตน ว่าเป็น ว่าตาย ว่าอยู่ ว่าได้ ว่าเสีย ว่ากำไร ว่าขาดทุน นี่เป็นไปตามสัญญา มันก็เกิดอยู่เสมอแล้วแต่จะสำคัญลงไปอย่างไร
ทีนี้ “สังขาร” ก็คิด ฉันชอบอันนั้น ฉันเกลียดอันนี้ ฉันต้องการอันนั้น ฉันจะต้องเอาให้ได้ จะต้องเอาอย่างนี้ จะมีแผนการอย่างนี้ ถ้าไม่ได้โดยสุจริตก็จะคดโกงอย่างนั้นอย่างนี้ นี่เรียกว่า “สังขาร” นี่บางเวลามันก็ได้เกิดขึ้นจริง.
ส่วน “วิญญาณ” นั้นเกิดได้บ่อยๆ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ นี้มีอยู่บ่อยๆ เมื่อจิตทำหน้าที่ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็คือวิญญาณอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว สัมผัสลงไปที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะบ้าง สัมผัสในความรู้สึกภายในที่เรียกว่า “ธัมมารมณ์” บ้าง บางทีก็สัมผัสซ้ำลงไปบนความสุขของเวทนาบ้าง ความทุกข์ของเวทนาบ้าง มีทางที่จะเกิดได้หลายชั้น หลายๆชั้น ซับซ้อนเป็นหลายๆคู่ ไม่เพียงคู่ต่อคู่ เหมือนกับตา หู จมูก ลิ้น กาย.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “สันทิฏฐิกธรรมของจตุราริยสัจจ์” เมื่อ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๔
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
“นิพพาน” กับ “สังขาร”
“นิพพาน” ในพุทธศาสนานั้น เมื่อกล่าวสำหรับคนทั่วไปแล้ว พึงเข้าใจเถิดว่ามันตรงกันข้ามกับคำว่า “สังขาร” โดยบาลีว่า
“สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา” สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
“นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ” นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ดังนั้น จึงได้ความว่า สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้น ก็คือไม่ปรุงนั่นเอง
ความปรุง คือ เวียนว่ายไปในสังสารวัฏฏ์ เป็นความทุกข์
ความไม่ปรุง คือ มีสติปัญญาสูงถึงขนาดที่ตัดผ่าวงกลมนี้ได้ขาดกระจายออกไป ไม่ให้หมุนได้อีกต่อไป คือไม่เป็นสังสารวัฏฏ์ อย่างนี้เรียกว่าไม่ปรุง
เกิดมาเพื่อหยุดเสียซึ่งสังสารวัฏฏ์ ให้ถึงที่สุดของความทุกข์ คือไม่มีทุกข์เลย นี่เรียกว่า นิพพาน อย่างนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลึกลับมหัศจรรย์เหลือวิสัยของคน”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง “เกิดมาเพื่อเดินทาง” เมื่อ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๐๘
-----------------------------
"เตสํ วูปสโม สุโข :
สงบสังขารเสียได้
เป็นสุขอย่างยิ่ง"
ไม่ใช่หมายถึงความตาย นั่นภาษาคนโง่พูด ว่านอนอยู่ในโลงนั่นคือสงบสังขารเสียได้ เป็นภาษาชาวบ้าน ภาษาคน. ภาษาธรรมะ สงบสังขารเสียได้ นั่นคือ หยุดการปรุงแต่งเสียได้ ไม่ปรุงแต่งกายสังขาร ไม่ปรุงแต่งวจีสังขาร ไม่ปรุงแต่งมโนสังขาร ทั้งชนิดบาป บุญ อเนญชา, ไม่ว่าชนิดไหนหมด ไม่มีการปรุง, มีหัวใจรวมอยู่ที่ดับแห่งความผัสสะเสียได้ แล้วก็ไม่มีการปรุง ก็เรียกว่าสงบแห่งสังขาร สงบแห่งสังขาร คือ หยุดการปรุง นี่ก็เป็นไวพจน์แห่ง "พระนิพพาน"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง "ความสิ้นกรรมและไวพจน์ของนิพพาน" ณ ลานหินโค้ง ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๗
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
ผู้มาตามรู้เท่าความคิด พูด ทำ ของตนอยู่ทุกขณะ
ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้ขันธโลกภายนอก ภายใน
อารมณ์ทั้งหลายที่ข้องอยู่แล้ว ย่อมหายไปตั้งอยู่ไม่ได้
__________________________
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ต้องเข้าใจไว้อย่างนะว่าการปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่เพียงแค่ว่านั่งหลับตาเฉยๆ
การนั่งหลับตาทำใจให้สงบเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
การปฏิบัติที่แท้จะไม่มีการแยกว่าขณะนี้ลืมตา หรือ หลับตา
การปฏิบัติที่เป็นสัมมาคือต้องกลมกลืน
ไปกับชีวิตประจำวันของเรา มีสติสัมปชัญญะ
คอยเรียนรู้ความเป็นจริงของโลกภายในและภายนอก
พิจารณาเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของสิ่งทั้งหลาย
ทั้งหยาบและละเอียด มีหลักง่ายๆ คือรู้กายและใจ
ตามที่มันเป็น ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
เช่นว่ากายเคลื่อนไหวทำการงานต่างๆ
ก็คอยรู้สึกๆไว้เห็นกายเคลื่อนไหวใจเป็นผู้ดูอยู่
จิตใจมีอารมณ์เปลี่ยนผ่านเข้ามาก็ให้รู้สึกๆ
ไม่เข้าไปเป็นอารมณ์นั้นๆ เป็นเพียงผู้สังเกตุการณ์
แม้กระทั่งตอนที่นั่งหรือนอนทำความสงบ
ก็ต้องประกอบด้วสติรู้ตัว ไม่งั้นก็จะนั่งเคลิ้มๆ
ไหลไปกับความสบายเป็นลักษณะของโมหะสมาธิ
ถ้าเรายังเคลื่อนไหวร่างกายได้หรือแม้ไม่ได้
แต่ยังพอมีความรับรู้อยู่ ไม่บ้าหรือสมองตาย
เราก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกเวลา....ด้วยใจที่ตื่นรู้
เมื่อใดที่เรารู้เท่าความคิด
มีความรู้สึกตัว จนหลุดออกมาจากโลกความคิด
เมื่อนั้นจะมีจิตที่มีคุณภาพพอที่จะรู้ตามจริง
เป็นความรู้ที่รู้สึกจริงๆ ไม่ถูกเจือปนด้วยเจตนา
ความคิดปรุงแต่ง และให้ค่าใดๆ
จึงตามเห็นจริงของสภาวธรรมตามที่มันเป็นจริงๆ
ซึ่งเป็นการเห็น ที่จะถอดถอนความสำคัญผิด
ว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวตนที่ถาวร
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเอาไว้ว่า
ให้พิจารณาเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม
เห็นเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดที่ชัดในขณะปัจจุบัน
จิตอันเป็นไปในภายในย่อมคงที่ เป็นธรรมเอก ผุดขึ้นตั้งมั่น
เหมือนๆกับที่พระองค์ตรัสไว้ว่า เจริญจิตมีวิตก วิจาร ปิติ สุขเอกัคตา อันเป็นการเจริญฌาน จนเมื่อวิตก วิจารดับไป
จิตอันเป็นไปภายในย่อมคงที่แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น
ก็มาลงที่เดียวกัน คือความตั้งมั่นแห่งจิตเพื่อใช้ในการเรียนรู้ความจริง ของกายใจหรือรูปนาม จะเห็นว่าไม่ว่าจะมาทางไหนๆ
ไม่ว่าจะเจริญฌาน หรือเจริญสติ ก็ต้องมาถึงจุดตรงนี้
คือมีจิตตั้งมั่น อันเป็นสิ่งสำคัญในทางแห่งความรู้แจ้ง
โลกไม่ได้ทำให้เราทุกข์ เราทุกข์เอง
ฉะนั้นจึงมาแก้ที่เรา ใจเรานี้มันหลงโลก
ไม่ใช่โลกหลงเรา เรามันหลงโลกเข้าใจไหม ?
ถ้าว่าอาหารทั้งหลาย ถ้ามันอร่อย
ไม่ใช่อาหารมันหลงเรา เรามันหลงอร่อยอันนั้น
หลงหวาน หลงเปรี้ยว หวานก็พอดีของมัน
เปรี้ยวก็พอดีของมัน มันเป็นของพอดี
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว
มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด
_____________________________
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ธาตุรู้เป็นผู้อยู่กลางๆ ไม่มีอาการใดๆทั้งหมด
ฉะนั้น ธาตุรู้จึงไม่มีความรู้สึก ดีชั่วอะไร
ธาตุรู้นี้ ต้องมีสัญญา สังขาร อุปาทาน
เข้าไปสัมปยุต จึงจะเกิดอาการต่างๆ ขึ้นมาได้
เช่น สังขารปรุงแต่งดีชั่ว หยาบละเอียดต่างๆ
จึงเกิดขึ้นมา เมื่อสังขารปรุงแต่งแล้ว
ปัญญาเข้าไปตรึกตรองในสิ่งนั้นๆ
จึงถอดเอาความดี ความชั่ว ออกมาตั้งไว้
ให้ปรากฎเห็นชัดว่าอันนี้ดี อันนี้ชั่ว....
___________________________
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
เมื่อจิตใจมีกามวิตกทีนี้..ความตริในทางกาม ผลของใจก็นำมาให้ในเวลานั้นในกามวิตก เมื่อจิตใจส่งเสริมพยาบาทวิตก ผลของความพยาบาทก็มาหาจิตใจในเวลานั้น เมื่อจิตใจส่งเสริมวิหิงสาวิตก ผลของความเบียดเบียนก็มาหาใจในขณะนั้น "อกาลิโก" ให้ผลไม่มีกาล ให้ผลไม่มีเวลา จิตใจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นปัญหา เดินไปก็เหมือนกันจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นปัญหา เวลา "แดดส่อง" เงาก็ไปตามเงา ผลของเหตุตามไปยิ่งกว่าเงาอีกด้วย เงาในที่มันมืดก็ไม่ค่อยจะเห็น เหตุฉะนั้นพระพุทธศาสนาจึงอาศัย "หลักของเหตุ"
เหตุปัจจะโย เหตุเป็นปัจจัยในมหาปัฏฐานอนันตนัย ปัจจุบันนะเหตุ ปัจจุบันนะผล อตีตะเหตุ อตีตะผล อนาคตตะเหตุ อนาคตตะผล ใครเป็นผู้สร้างขึ้น..ก็ "พญาจิตราช" คนเดียวเป็นผู้สร้างขึ้น ตาหูจมูกลิ้นกาย เขาไม่ได้แย่งสร้าง เพราะเขาอยู่ใต้อำนาจพญาจิตราช ถ้าพญาจิตราชฉลาดก็ต้องพาเขาสร้างอันดีเพราะเราเป็นหัวจากเขา เวลาเขาช่วยได้ เวลาเขาบอกได้ไปเป็น เมื่อเวลากายและวาจาเขาไม่ยอมทำตามพญาจิตราช พญาจิตราชจะไปสั่งก็ไม่ได้อีก สั่งให้กระดิกก็ไม่ได้ สั่งให้ไปก็ไม่เป็น เพราะกายกับวาจาเปรียบเหมือนรถ เมื่อรถไปไม่ไหว ผู้ขับรถจะตีอกชกเศียรให้ไปก็ไปไม่ได้ เพราะชำรุดทรุดโทรมมาก หมดทางที่จะยกเครื่อง หมดทางที่จะดัดแปลงก็เลยทิ้งกัน หาซื้อคันใหม่ ถ้าเบื่อหน่ายในรถแล้วก็ไม่ต้องซื้ออีก
ฉันใดก็ดี ถ้าหากว่าเบื่อหน่ายในชาติๆภพๆแล้ว
ก็ไม่ต้องไปก่อภพอีก ใครจะเป็นผู้เบื่อหน่าย ใครจะเป็นผู้คลายกำหนัด ก็ "พญาจิตราช" คนเดียว...
จิต ขณะที่ไม่มีกิเลสครอบงำ ต่างกับ
จิต ขณะที่มีครอบงำ แต่ไม่รู้ว่า กิเลส
จิต ขณะที่ไม่มีกิเลสครอบงำ นี้วิชชา
จิต ขณะที่มีครอบงำไม่รู้ตัว นี้อวิชชา
จิต ขณะที่ีมีกิเลสเหลืออยู่ รู้ขณะรู้ตัว
จิต ขณะนั้นๆ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสติ กับมรรคอื่นๆ รับรองสภาวะ
ขณะสภาวะรับรองวิธีการถูก หรือผิด
ข้อความข้างต้น คงคลายความสงสัย
ระหว่าง ผู้ยังไม่ผ่านกรรมฐานสุดทาง
และถูกทาง ลักษณะจิตเป็นแบบหนึ่ง
แต่กรรมฐานสุดทาง ถูกวิธี ก็อีกแบบ
ยกต้วอย่าง ฅนศีลไม่สมบูรณ์ เป็นต้น
ย่อมไม่เอื้อสมาธิถูก จึงไม่เอื้อภาวนา
อุปนิสัยแห่ง จิตภาวนา, หรือจิตญาณ
ย่อมทำหน้าที่ต่างจากจิตของปุถุชนๆ
จึงสมควรฝึกวิปัสสนากรรมฐานถูกวิธี
เมื่ออุปนิสัยของจิตภาวนาทำงานแล้ว
ย่อมอยู่เหนือกว่าวิสัยของ โลกีย์ญาน
ไม่ใช่การเพ่งข่มแบบผีดิบที่ไร้น้ำใจ
แต่เป็นจิตที่เต็มเปี่ยมน้ำใจ ที่เสียสละ
น่าเลื่อมใส เป็นประโยชน์ธรรมชาติ
เจริญพร
การภาวนาแบบไร้กระบวนท่า
คือภาวนาที่จิต มิใช่ที่กาย
จะยืนเดิน นั่ง นอนอย่างไร ก็ภาวนาได้ตลอด
จะอยู่อิริยาบถใด เคลื่อนไหวช้า เร็วหรือสงบนิ่ง
ก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลงทั้งกายและใจ ให้รู้เสมอ
การรู้เห็นความเปลี่ยนแปลง โดยปราศจากความยินดียินร้าย เพราะรู้เท่าทัน มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู นี่แหละคือ การภาวนา
แต่ทำโดยที่ไม่กระทำ...ทางใจ
เมื่อถอนความทะยานอยากได้เสียแล้ว
ย่อมหมดเรื่องจะเป็น จะมี
จะรักษาความเป็นในสิ่งใดๆ....
เราเองถูกจองจำอยู่กับกองทุกข์
ก็เพราะความอยากของเราเอง
ทุกข์เกิดขึ้นที่ตรงไหนก็เห็นเป็นความจริงอันหนึ่ง
ใจที่รู้ก็รู้อยู่อันหนึ่ง ไม่ไปคละเคล้ากัน
เราก็เลยไม่เป็นทุกข์ ถึงร่างกายจะเป็นทุกข์
ขนาดที่ว่าจนตัวสั่น ใจมันก็ดีๆ เวลามันแยกกันออกได้
มันก็เกิดความอาจหาญไปถึงวาระสุดท้าย
คือขณะจะตาย ทุกข์เหล่านี้แลที่จะเสริมตัวเข้ามา
บีบบังคับธาตุขันธ์จนถึงกับต้องสลายไป
ถ้าไม่มากขนาดนั้นจะตายไปไม่ได้คนและสัตว์
แล้วสติปัญญาของเราเป็นยังไง ก็เราเชื่อแล้วในขณะนี้
ว่าสติปัญญานี้สามารถแยกระหว่างทุกข์กับจิตออกจากกันได้
ส่วนร่างกายกับส่วนทุกข์ถึงจะอยู่ด้วยกันก็เป็นคนละชิ้นละอัน
ใจเป็นส่วนหนึ่ง ทุกข์เป็นส่วนหนึ่ง กายเป็นส่วนหนึ่ง
มันแยกกันได้อย่างประจักษ์ใจ ความกลัวตายก็เลยไม่มี
กลัวทุกข์ก็เลยไม่มี....
________________________________
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนสิ่งใด
ไม่ต้องหวังให้ใครมาช่วย
หนทางสายนี้ ขอให้บากบั่น
ตามรอยแห่งองค์พระสัมมา
ที่ทรงชี้ทางไว้ดีแล้ว
ทุกข์นั้นเกิดที่ใจของเรา
เพราะมีเราในใจจึงมีทุกข์
ละเราออกจากใจเสีย
ก็เหลือเพียงธรรม......
รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ และธรรมารมณ์ล้วนน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ มีประมาณเท่าใด โลกกล่าวว่ามีอยู่
อารมณ์ ๖ อย่างเหล่านี้ โลกพร้อมทั้งเทวโลก
สมมติกันว่าเป็นสุข แต่ว่าธรรมเป็นที่ดับอารมณ์ ๖ อย่างนี้
ชนเหล่านั้นสมมติกันว่าเป็นทุกข์ ความดับแห่งเบญจขันธ์
พระอริยะเจ้าทั้งหลายเห็นว่าเป็นสุข ความเห็นขัดแย้งกัน
กับโลกทั้งปวงนี้ ย่อมมีแก่บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นอยู่
ชนเหล่าอื่นกล่าววัตถุกามใดโดยความเป็นสุข
พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าววัตถุกามนั้นโดยความเป็นทุกข์
ชนเหล่าอื่นกล่าวนิพพานใดโดยความเป็นทุกข์
พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งกล่าวนิพพานนั้นโดยความเป็นสุข
ท่านจงพิจารณาธรรมที่รู้ได้ยากชนพาลทั้งหลายผู้ไม่รู้แจ้ง
พากันลุ่มหลงอยู่ในโลกนี้ ความมืดตื้อย่อมมีแก่ชนพาลทั้งหลาย
ผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ผู้ไม่เห็นอยู่
ส่วนนิพพาน เป็นธรรมชาติเปิดเผยแก่สัตบุรุษผู้เห็นอยู่
เหมือนอย่างแสงสว่าง ฉะนั้น ชนทั้งหลายเป็นผู้ค้นคว้า
ไม่ฉลาดต่อธรรม ย่อมไม่รู้แจ้งนิพพานที่มีอยู่ในที่ใกล้
ชนทั้งหลายผู้ถูกภวราคะครอบงำแล้ว
แล่นไปตามกระแสภวตัณหา ผู้เข้าถึงวัฏฏะ
อันเป็นบ่วงแห่งมารเนืองๆไม่ตรัสรู้ธรรมนี้ได้โดยง่าย
นอกจากพระอริยเจ้าทั้งหลายใครหนอย่อมควรจะรู้บท
คือ นิพพานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ดีแล้ว
พระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีอาสวะเพราะรู้โดยชอบ
ย่อมปรินิพพาน ฯ
___________________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-
อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
ทวยตานุปัสสนาสูตร
คิดร้ายกับใครไหม คิดยกตนเหนือผู้อื่นไหม
คิดเข้าข้างความอยากของตนเองไหม...
เมื่อสำนึกได้แล้ว
ก็ให้เว้นจากการประพฤติผิดทางกาย
รู้เท่าทันอกุศลที่เกิดภายในใจ
ไม่กระทำตนให้ข้องอยู่ในความประมาทกับชีวิต
สิ่งที่ดึงสัตว์โลกไว้ให้จมอยู่กับกองทุกข์นี้
ก็คือ ความเพลิดเพลินในความสุขทางอายตนะต่างๆ
ไปจนถึงความเพลินในความสุขทางใจ
เมื่อมีความเพลินก็มีความผูกพันยึดถือ
พยายามทำให้มีความสุขเกิดขึ้นตลอด
เป็นการพยายามกลบความจริงที่ว่า
สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ไม่อาจคงทนอยู่ได้นาน
เมื่อยังยึดถือในทุกข์ย่อมต้องทุกข์อยู่เป็นธรรมดา....
คนเราทุกวันนี้เที่ยวแสวงหาสิ่งต่างๆในภายนอก
เพื่อมาเสริมความรู้สึกที่ขาดพร่องของตน
เช่นว่าแสวงหาความสุข เพราะรู้สึกว่าไม่มีความสุข
หรือ ยังรู้สึกว่าสุขไม่พอ
อยากพ้นจากทุกข์ก็เพื่อที่จะเป็นสุข
แต่ว่าความรู้สึกเต็มเปี่ยมที่แท้นั้น
ไม่ได้มาจากการนำเข้ามา แต่เป็นการสละออก
สละความรู้สึกเป็นตัวตนเราเขาออกไปจากใจ
สละ ละความอยากที่จะมีความสุขเสีย
จนถึงที่สุดแม้กระทั่งใจก็ต้องสละคืน
เมื่อนั้นความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์และความสุขอันแท้จริง
สุขที่ไม่คอยแบกในสิ่งใดจะปรากฏให้ได้รู้เอง...
ใจมนุษย์ที่ไม่ได้ฝึกฝนความสว่างก็มีอยู่
แต่ส่องแสงออกมาไม่ได้ เพราะโมหะ
ความหลงปิดบังไว้
ทำให้มองไม่เห็นโลกตามเป็นจริง
เห็นแต่โลกที่โมหะนำให้ดู...
แต่เบื้องหลังความมืดนั้น
มีแสงสว่างรอเจิดจรัสอยู่เสมอ
อยู่ที่เราจะขจัดความหลงออกได้มากน้อยเท่าไร
การปฏิบัติ ที่ดูเหมือนมิได้ปฏิบัติอะไรเลย
คือ การปฏิบัติทางจิตใจ ให้รู้สึกพอใจ
อยู่ในความว่าง จากตัวตนของตน
กระทำหน้าที่ทุกอย่าง กลมกลืน
อยู่กับกฏของธรรมชาติ
ทำงานเพื่อหน้าที่
มิใช่ทำเพื่อประโยชน์แก่ตัวกู-ของกู
_______________________
พุทธทาสภิกขุ
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใดๆ ก็ตาม
ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะหยาบ
หรือละเอียดลึกซึ้งอย่างไร
สิ่งเหล่านั้นมีลักษณะร่วมกันคือ
ความไม่เที่ยง คงอยู่ไม่ได้ ไม่อาจบังคับได้จริง
และสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง สิ่งที่ถูกรู้
เมื่อ ไม่มีเรา ไม่มีตัณหา
คือความอยากให้สิ่งนั้นคงอยู่
กับความอยากให้สิ่งนั้นหายไป
คอยหล่อเลี้ยงอยู่ ทั้งหยาบ ทั้งละเอียดนั้น
มันย่อมดับลงตามธรรมชาติของมันเอง
อย่ามัวแต่ส่งใจไปข้างนอก
ไปหลงอยู่กับเรื่องราวภายนอก
และความคิดฝัน เพ้อเจ้อ
ให้กลับมาเรียนรู้ สิ่งที่อยู่ตรงนี้มาตลอด
เป็นสิ่งที่เมื่อเรียนรู้แล้ว
จะนำทางไปสู่ความไม่มีทุกข์ ...ทางใจ
สิ่งนั้นคือกาย ใจ นั้นเอง
การมีสัจจะต่อสิ่งที่ตั้งใจไว้
และความอดทนต่อทุกๆสภาวะอารมณ์
เป็นเครื่องมือในการก้าวผ่านอุปสรรค
ที่ผ่านเข้ามาไม่ว่าจะเป็นแบบ สุข หรือ ทุกข์
ที่จะเข้ามาทดสอบกำลังของใจ
เมื่อสามารถผ่านไปได้ สิ่งที่ได้นั้นจึงเป็นบารมี
เป็นบารมีในการก้าวสู่ความเป็นพุทธะ
ในการสละความสำคัญมั่นหมายในตัวตน
ขอให้มีสัจจะและอดทนไว้เถิดนะ....
อย่าพยายาม...ไปปฏิเสธความรู้สึก
ที่เราให้ค่า ว่าไม่ควรแก่เรา
ด้วยการผลักดันออก
แต่ให้ตระหนักรู้ถึงความมีอยู่
และยอมรับตามที่มันเป็นแบบไม่แทรกแซง
เมื่อสามารถรู้ถึงความเป็นตัวทุกข์
ของสิ่งที่ถูกรู้สึกนั้น ตัณหาที่หล่อเลี้ยง
สภาวะนั้นไว้เป็นอันดับลงทันที...
ไม่ต้องรู้มากมายอะไร
เพียงแค่..รู้สึกตัว
ออกมาจากโลกแห่งความคิด
รู้สึกได้ว่า กายนี้ถูกรู้สึกอยู่
รู้สึกได้ว่าอารมณ์ทั้งหลาย
ที่เป็นนามธรรมถูกรู้สึกอยู่
รู้สึกๆ..ถึงความมีอยู่ แต่ไม่เข้าไปเป็น
รู้..เพียงว่า มีบางสิ่งเกิด และดับไป
รู้อยู่ที่รู้..ย่อมรู้ได้ทั้งหมดเอง...
ที่มันไม่เคยสงบ
เพราะใจมันถูกลากดึงอยู่
ด้วยความอยาก กับไม่อยาก..นี่แหละ
อยากก็เที่ยวขวนขวานหานู่นนี่เข้ามา
ไม่อยากก็พยายามผลักดันออก
ใจก็ดิ้นตลอดเวลาหาความสงบไม่ได้
ใจที่รู้เท่าอารมณ์ทั้งหลาย
จนความอยากไม่อยากดับลง
เราจะเข้าใจเลยว่าใจนี้แหละ
สงบอยู่ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว....
ถ้าจะมุ่งภาวนาเพื่อความหลุดพ้นแล้ว
อย่าไปเยอะ เจริญสติรู้กายใจตามจริง
รู้ว่าทั้งกาย และอารมณ์ทุกชนิดที่รู้ได้
ล้วนแล้วแต่ถูกรู้ทั้งสิ้น คือมีเพียงสิ่งรู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้
เมื่อเพียงรู้ ก็รู้ได้เท่าที่รู้ จึงไม่ไปหมายมั่นในการรู้
มีรู้ ไม่รู้ เป็นธรรมดา ยอมรับมัน
เมื่อใจเป็นกลางกับการรู้
นั่นก็เข้าใกล้ประตูสู่ความหลุดพ้นเข้าไปแล้ว
อย่าเอาเวลาไปมัวถกเถียงหรือ
คิดอะไรอะไรให้มันซับซ้อนกันอยู่เลย
ใครจะรู้มากน้อยอย่างไรก็ช่างเขาเถิด
เอาเวลานั้นมุ่งดำเนินไปตามทางอันควรเถิด
ชีวิตนี้สั้นนักอย่าเสียเวลาไปโดยเปล่าๆเลยนะ
การที่รู้สึกๆ นี้ คือการรู้สึกตัว
รู้สึกโดยที่จิตไม่หลงนี่เรียกว่ารู้สึกๆ
เมื่อรู้สึกก็ถอนตัวจากการเข้าไปเป็น
แม้เพียงชั่วขณะ แต่จิตใต้สำนึกเอง
ก็ได้สั่งสมข้อมูลแล้วว่าสิ่งที่รู้สึกและรู้สึกได้นั้น
ไม่ใช่เรา ของเรา เมื่อถึงจุดที่ปัญญาในการรู้เต็มรอบ
จิตมันจะสลัดทิ้งเยื่อใยเหล่านั้นออกไปเอง
โดยไม่มีเราไปทิ้งอะไร
ชั่วเวลา หายใจเข้าออก ไม่กี่ครั้ง
จิตนี้เปลี่ยนแปลงมากมาย
เดี๋ยวขึ้นสวรรค์ เพราะคิดดี
เดี๋ยวลงนรก เพราะคิดชั่ว
อยู่ที่ว่าจะเข้าไปเป็นในสิ่งนั้นๆ
มากน้อยแค่ไหน ให้รู้ความเปลี่ยนแปลง
แต่ไม่เข้าไปเป็นความเปลี่ยนแปลงนั้น
เมื่อนั้นจึงพ้นจาก เป็นดี เป็นชั่ว
โดยเห็นความจริงว่า ทั้งดีถ้ายึดไว้ก็ทุกข์
นับประสาอะไรกับชั่ว ให้เลือกทำสิ่งดี แต่ไม่ติดดี
เมื่อไม่ข้องในทั้งดี ชั่ว เห็นเป็นเสมอกัน
จิตนั้นจึงเข้าถึงความเป็นกลางต่อความปรุงแต่ง
อันจะนำไปสู่ทางแห่งอิสรภาพของจิตเอง