พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 12 ธันวาคม 2560
ตอนที่ 228 **รู้ในการเกิดการดับ**
+ +
ในเช้าของวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถามถึงเรื่องของ “การมีปัญญาธรรม” น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระองค์โปรดทรงแสดงธรรม เรื่องของปัญญาธรรมให้ลูกได้ฟัง ได้นำไปพิจารณาเป็นแบบอย่างของผู้มีปัญญาธรรม ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมแล้วนั้น เขาย่อมมีสติ ระลึกรู้..
*รู้เหตุที่เกิดแล้ว - เขาก็จะรู้เหตุที่ดับด้วย *
เมื่อรู้แล้วว่า..
เพราะอะไร เราจึงเกิด - ทำไมต้องเกิด - เกิดเพื่ออะไร เพราะอะไร ?
เขาก็ย่อมเข้าใจดีอีกว่า.. จะทำแบบไหนยังไง ทำอะไร ?
- เพื่อที่จะได้ดับการเกิดของตนได้...
บุคคลผู้มีปัญญา ก็จะรู้ตามความเป็นจริงของเหตุเกิด และเหตุดับ
เมื่อเข้าใจทะลุอย่างแจ่มแจ้งแล้ว เขาย่อมรู้เข้าใจ ดังนี้ว่า..
การที่เรารักษาศีล.. จะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เรานั้น สั่งสมเชื้อแห่งการเกิด ให้เพิ่มขึ้นมาอีก ++
เช่น การสั่งสมกิเลสตัณหา “ความรัก โลภ โกรธ หลง” เหล่านั้น
และก็ยังช่วยปิดกั้น ทำให้กิเลสตัณหานั้น ไม่เข้ามาทับถม / มีอำนาจต่อจิต
กิเลสตัณหานั้น ยังไม่สามารถมาเป็นนาย อยู่เหนือดวงจิตของเราได้อีก
และยังช่วยให้เรานั้น ไม่ก่อกรรมทำเวร ทำในสิ่งที่ไม่ดี..
ให้กลายเป็นวิบากกรรม ที่จะส่งผลตามมา ให้เรานี้ต้องตามไปชดใช้วิบากกรรมเหล่านั้น
-- เขาย่อมมีสติปัญญาระลึกรู้ เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย ++
รักษาศีล..
/ ช่วยชำระล้างกิเลส
/ ช่วยขัดเกลากิเลสที่อยู่ข้างในจิตใจออก ปิดกั้นไม่ให้เพิ่มขึ้น
/ ช่วยให้เรา ไม่สร้างเวรสร้างกรรม - สร้างสิ่งไม่ดี.. ให้ต้องตามชดใช้
เมื่อเขามีปัญญาแล้ว รู้แจ้งเช่นนี้.. เขาย่อมรักษาศีลอย่างบริสุทธิ์
* บุคคลผู้รักษาศีลอย่างบริสุทธิ์.. ย่อมมีจิตใจชุ่มเย็น สงบ และเป็นสุข *
เขาจะฟังธรรมใดๆ.. เขาก็จะมีปัญญาพิจารณาตามในธรรมนั้นๆ อย่างแจ่มแจ้ง
เมื่อได้ฟังธรรมใดแล้ว ก็จะเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างทะลุแจ่มแจ้ง
เข้าใจทุกสิ่งและทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
คล้ายกับว่าจะเป็นพระอรหันต์ ในทันใดที่ได้ฟังธรรมนั้นๆ
เขาก็จะชอบฟังธรรม
และการฟังธรรมบ่อยๆ ก็จะช่วยขัดเกลา จะช่วยเติมเต็ม / ความไม่รู้จะถูกขัดออก
ความรู้จะเติมเต็มเข้ามา
ปัญญาของเขา ก็จะเจริญขึ้นมาเรื่อยๆอีก ..
เขาก็จะรู้ว่าการฟังธรรมนั้นได้อะไร ธรรมก็จะฟังแบบมีความสุข ศีลก็จะรักษาแบบบริสุทธิ์ และเข้าใจในสิ่งที่บุคคลผู้นั้นได้ทำ
เมื่อเขาถือศีล ฟังธรรม - เขาก็เกิดสมาธิ
เมื่อมีสมาธิ สงบ นิ่ง ในทุกอิริยาบถ จะนั่ง จะนอน จะเดิน จะพูดคุยกับผู้คน
หรือแม้ยามที่เจอกับปัญหา.. เขาก็ยังสงบอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่ เข้าใจอยู่
สมาธิที่นิ่ง ก็จะเป็นพลังของจิต ส่องให้เขานั้นมีปัญญา อยู่เหนือปัญหาต่างๆ
ปัญญา ก็จะก่อเกิดขึ้นอีก ++
คนที่มีปัญญา เขาก็จะเป็นอย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
เขาจะรู้ว่า จะต้องทำอะไรบ้าง - เพื่อดับการเกิด
มีศีลเพื่ออะไร มีธรรมเพื่ออะไร มีสมาธิเพื่ออะไร และมีปัญญาเพื่ออะไร..
เขาจะมีสติมีปัญญา ระลึกรู้ เช่นนี้อย่างนี้ละ.. พระยาธรรมเอย
เมื่อมีปัญญาไปต่อปัญญา คือ มีปัญญา เข้าใจ ศีล สมาธิ ปัญญา
ปัญญาก็จะต่อกลับมา ให้เกิดปัญญาอีก..
ก็จะหมุนรอบแบบนี้ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ.. จนเขานั้นมีปัญญารู้แจ้งโลก
และปัญญาก็ทรงอยู่กับดวงจิตดวงนั้น บุคคลผู้นั้น เสมอตลอดไป..
อย่างนี้ละ พระยาธรรมเอย.. เรียกว่า “เป็นผู้มีปัญญาW
รู้เหตุว่าเราต้องทำยังไง เพื่อดับตัวเรา / เพื่อดับการเกิด
แท้ที่จริงแล้ว ลูกเอ๋ย.. มันไม่ยากอะไรเลย ถ้าเกิดว่าเราลงมือทำ !
บุคคลที่คิดว่าเป็นเรื่องยาก - นั่นก็เป็นเพราะว่า..
- ได้แต่ฟัง ไม่ทำเอาจริงเอาจัง -
บวชเข้ามาแล้ว ก็สักว่าบวชเล่นๆไป ไม่ใส่ใจในศีล ในธรรม ในสมาธิ ในปัญญา
ไม่มีความเอาจริงเอาจัง..ก็เลยคิดว่ายากนักหนา
ปัญญา ก็เลยไม่แตกฉานในธรรม..
.. บวชไปอย่างนั้นเอง !
ลูกเอ๋ย.. การที่เรานั้นบวชแล้ว เราก็ต้องฝึกฝนปัญญาของเรา ++
เมื่อเรามีศีลแล้ว.. จึงเรียกว่าเป็น “นักบวช”
เมื่อรักษาศีล ตามที่เราสมาทานเอาไว้ ธรรม และสมาธิย่อมก่อเกิด
เมื่อธรรม และสมาธิก่อเกิดแล้ว - ย่อมมีปัญญารู้เท่าทันเหตุต่างๆทั้งหลาย..
อย่างนี้ละ.. จึงจะสามารถบวชได้ผลประโยชน์แก่ตัวของเรา และผู้อื่น อย่างแท้จริง +
อย่างนี้ละ.. บวชแล้ว จึงไม่เสี่ยงกับการตกนรกไป +
พระยาธรรมเอย.. คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะลูก
ง่ายๆ ก็คือ..
/ ให้เรารู้เหตุของทุกข์
/ เมื่อรู้เหตุของทุกข์ - ก็รู้เหตุของการเกิด
/ เมื่อรู้เหตุของการเกิด - ก็รู้เหตุของการดับการเกิด
/ แล้วก็ประพฤติ ปฏิบัติตาม..
ให้รู้จักเกรงกลัวต่อสิ่งที่จะทำแล้ว - ทำให้เราเป็นทุกข์
ให้รู้ว่า เหตุที่เราเกิดอยู่ร่ำไป - ก็เพราะอย่างนี้
และให้รู้ว่า.. ทำเช่นนี้อย่างนี้ แล้วจะเป็นเหตุให้เราดับการเกิดได้
เมื่อไม่เกิด ก็ไม่ทุกข์
เมื่อเกิดอยู่ ก็ทุกข์อยู่
ทุกข์ และการเกิดจะไม่มี
-- เมื่อมี *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา* - การเกิด ก็จะไม่มีในเรา ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม..
ถือเป็นปัญญาอันสูงสุดแล้ว..ในการออกบวช
ถือเป็นปัญญาอันสูงสุดแล้ว.. ที่จะพาให้เรา ดับการเกิดได้
ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียน ต้องจำ ต้องรู้อะไรเยอะแยะมากมายหรอกลูก
ให้เรียนอยู่ ในตัวของเรานี่แหละ..
เรียนทุกข์
แล้วก็เรียนเหตุเกิดทุกข์
แล้วก็เรียนเหตุดับทุกข์
แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามให้มันได้
.. ง่ายๆ เท่านี้เอง !
ถ้าเข้าใจทุกข์แล้วนะลูก - ย่อมเข้าใจสรรพสิ่งทั้งหลาย
ถ้าเข้าใจเหตุของการเกิด - เกิดเรา และเกิดทุกข์.. ก็ย่อมเข้าใจสรรพสิ่งทั้งหลาย
และถ้าเข้าใจเหตุของการดับทุกข์เสียแล้ว.. ก็ย่อมเข้าใจสิ่งต่างๆทั้งหลาย
และดับมันลงได้..
พระยาธรรมเอย.. นักบวชผู้มีปัญญา บวชแล้ว ก็มีปัญญาแตกฉาน เช่นนี้ละ
นักบวชผู้ประพฤติ ปฏิบัติ อย่างจริงจัง.. ย่อมเข้าสู่สภาวธรรมเช่นนี้ ++
ลองนำไปตรึกตรอง ทบทวนพิจารณาดูเถิดลูก.. แล้วลูกจะเข้าใจ เรียนจบ
.. เพียงแค่ง่ายๆเท่านี้ ก็สามารถเรียนจบ…
ลูกเอ๋ย.. คัมภีร์อาจจะเป็นหลายๆเล่ม
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อสรุปสั้นๆของคัมภีร์ ก็คือ
การมีศีล - ศีลจะนำพาให้ มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา เกิดขึ้นเอง **
ฉะนั้น.. เมื่อเราเรียนรู้ศีล เราเรียนรู้ธรรม เรียนรู้สมาธิ และปัญญา แบบเป็นขั้นต้น
แบบให้พอเข้าใจว่า ทำแบบนี้..
สิ่งที่เราจะรู้ชัดเจนอย่างแท้จริง ก็คือ นำไปประพฤติปฏิบัติ เอาให้มันจริง เอาให้มันจัง
ศีล ก็ถือให้มันบริสุทธิ์
ไม่ต้องแบกเอาไว้ ไม่ต้องเคร่งต้องครัดอะไรมากมาย
.. แต่ดูมันให้บริสุทธิ์ *
* ศีลที่บริสุทธิ์ ก็คือ ศีล ด้วยกาย วาจา และใจ นี่ละลูก
รักษาศีล
ดูจิตแห่งตน อย่าให้เบียดเบียนผู้อื่นให้เป็นทุกข์ / เบียดเบียนตนเองให้เป็นทุกข์
ทำจิตทำใจให้สงบ สว่าง และสบาย
ทำอย่างนี้ละ พระยาธรรมเอย..
ทุกสิ่งทุกอย่าง - ก็จะดี
ทุกสิ่งทุกอย่าง - ก็จะเกิดผล เกิดความสุข เกิดความสำเร็จแก่ลูกเอง ++
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. 3 หัวข้อที่ท่านได้กล่าวมานั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่นักบวชเราควรรู้ *
ถ้าเราไม่รู้ทุกข์ - เราก็ไม่รู้การออกจากทุกข์
ถ้าเราไม่รู้เหตุของทุกข์ - เราก็ดับมันไม่ได้
ถ้าเรา..
* รู้ทุกข์
* รู้เหตุของการเกิดทุกข์
* แล้วก็รู้เหตุของการดับทุกข์
* แล้วเราก็นำไปประพฤติปฏิบัติ
แค่นั้น.. เราก็สามารถที่จะไปพระนิพพานได้ อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?
พระพุทธองค์ :: ถูกแล้วละ.. พระยาธรรม
องค์พระพุทธเจ้าแค่สอน 3 อย่างเท่านั้น
สอนให้รู้จักทุกข์
รู้จักเหตุเกิดทุกข์
แล้วก็รู้จักเหตุดับทุกข์
แล้วก็ปฏิบัติตาม…
แค่นั้นละ พระยาธรรม.. นิพพานก็จะอยู่ไม่ไกลหรอกลูก
สามารถเข้าถึงนิพพานได้ ด้วยแค่ 3 หัวข้อ.. ง่ายๆ แค่นี้เองละ !
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ
ทีแรกลูกก็คิดว่า ภาษาบาลี หรือพระคัมภีร์มีเยอะแยะมากมายเลย
เราผู้ที่ไม่มีความรู้มากมาย
บางที บางคนก็อ่านหนังสือไม่ออก ไม่เข้าใจในภาษาบาลี แปลผิดแปลถูก
จะสามารถบำเพ็ญบรรลุธรรม ได้ยังไงเล่า !
.. ก็จะคิดแบบนี้..
แต่วันนี้ลูกเข้าใจแล้วว่า แท้ที่จริงแล้ว..
* เราแค่ศึกษาศีล ตามที่เราสมมุติเป็น *
สมมุติ ถ้าเราเป็นพระภิกษุ เราก็ศึกษาว่า.. พระภิกษุควรรักษาศีลยังไง
อะไรทำได้ / อะไรทำไม่ได้
แล้วเราก็ทำตามความเป็นพระภิกษุนั้น ให้ดี ++
สมาธิ ธรรม และปัญญา จะก่อเกิดแก่เราขึ้นเรื่อยๆ..
ถ้าเราสมาทาน เป็นสามเณร หรือว่าชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา
ถือศีล 10 ศีล 8
- เราก็แค่ทำความเข้าใจในศีลนั้น ให้ดี ++
เมื่อเรามีศีลบริสุทธิ์
** ความบริสุทธิ์ของการรักษาศีล - ก็จะพาให้เรามีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา ขึ้นมาเอง **
.. เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตา นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อน เจ้าค่ะ
แล้วไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ นะเจ้าคะ…
สาธุ
การที่รู้แล้วเฉยได้นั้น คือจิตใจมีปัญญารู้เท่าทัน
ในความหวั่นไหวของจิตใจ จนมีจิตใจปกติธรรมดา
กับอีกอย่างคือจิตที่มีกำลังสมาธิสนับสนุนอยู่
มีกำลังมีความตั้งมั่นพอที่จะไม่เข้าไปเสพรับ
ในสิ่งที่กระทบเข้ามา ต้องเข้าใจและแยกแยะให้ดี
อย่าไปบังคับจิตให้เฉยโดยการกดข่มบังคับ
ส่วนการเฉยแล้วรู้นั้น คือ เมื่อมีความรู้สึกที่เรียกว่าเฉยๆ
ไม่ออกไปทางชอบหรือชัง ก็ต้องรู้สึกเท่าทัน ไม่เพลินไปกับความเฉยๆ หรือพยายามรักษาความเฉยนั้นไว้
อย่าไปบังคับจิตให้เฉยโดยการกดข่มบังคับ
ส่วนการเฉยแล้วรู้นั้น คือ เมื่อมีความรู้สึกที่เรียกว่าเฉยๆ
ไม่ออกไปทางชอบหรือชัง ก็ต้องรู้สึกเท่าทัน
ไม่เพลินไปกับความเฉยๆ หรือพยายามรักษาความเฉยนั้นไว้
.............................
เพียงแค่รู้สึกธรรมดาๆ ดำเนินชีวิตตามปกติ
ไม่จำเป็นเลยที่ต้องรู้อะไร ที่พิเศษเหนือธรรมดา
อย่าเอาใจไปผูกกับอดีต ว่าเราเคยทำอะไรมา
เคยเพียรมามากน้อยแค่ไหน เคยรู้เข้าใจมามากเพียงใด
ขอเพียงรู้ในปัจจุบัน รู้เท่าทันกิเลสในใจตน รู้อย่างไม่พักไม่เพียร
ธรรมอันไม่ขึ้นกับกาล ผลจากเหตุ ปัจจัย ก็ยังคงอยู่ตรงนั้น รอให้ได้รู้ ไม่เคยหายไปไหน ไม่ช้า ไม่เร็ว
เหตุพร้อม ก็ทิ้งทั้งเหตุทั้งผล จึงพบเจอ
สุขในโลกียะ ก็คือการทำให้มีขึ้น การนำบางอย่างเข้ามาเพื่อ ให้เกิดความสุข เช่นว่า ได้กินของอร่อย แล้วมีความสุข ได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส อะไรที่ดีๆ จนถึงแม้กระทั่งสุขในฌาน ในการภาวนา
ก็ไม่ใช่ว่า จะต้องไปปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น นี้เป็นทางปัญญานำนะ คือให้เรียนรู้ที่จะไม่เพลินไปกับความสุข
เรียนรู้ถึงความที่จิตไหล...หลงไปคลุกเคล้าอยู่กับความสุข
เพื่อก้าวไปสู่สุขในโลกุตระ ซึ่งไม่ต้องอธิบายยาวเลย
ที่เรียกว่า สุข เพราะไม่แบกเอาความทุกข์ไว้
ไม่แบกสิ่งใดๆไว้เลย นี่โลกุตระสุขเท่านี้เอง
....................
จิตนั้นถ้ามันอยู่ในภายในไหลไป
กับความปรุงแต่งมากก็ฟุ้ง จิตไม่มีกำลัง
หรือไม่ก็นิ่งๆ แช่ๆ ออกนอกมากก็เผลอๆ เพลิน ๆ
ไปนู่นนี่ไม่รู้เรื่อง ให้เอากายเป็นฐานไว้
เป็นการกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตัวแบบสบายๆ
อย่าเกร็ง หมั่นรู้สึกถึงความมีอยู่ของกายไว้
รู้ได้เท่าที่รู้แบบสม่ำเสมอ ไม่ส่งนอก ไม่ส่งใน
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ฐานอันแท้จริงของสิ่งที่เรียกว่า "ชีวิต" มันมีความถูกต้อง..ถูกต้อง..ถูกต้อง..อยู่ตลอดเวลา ไม่ถูกหลอกให้เป็นบวก ไม่ถูกหลอกให้เป็นลบ
.
สิ่งเข้ามาปรุงแต่งมีอยู่รอบด้าน เรียกว่า "สังขาร" สังขาร แปลว่า การปรุงแต่ง สิ่งที่ปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง, ๓ ความหมาย สิ่งที่ปรุงแต่งสิ่งอื่น ก็เรียกว่าสังขาร, สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง ก็เรียกว่าสังขาร, อาการที่ปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร นี่ "สังขาร" คำนี้มีความหมายครอบจักรวาล คนโง่รู้จักสังขารกันแต่เพียงว่าสังขารคือร่างกาย สังขารคือร่างกาย นี่ รู้จักเท่านี้ขี้ผงนิดเดียว ไม่มีประโยชน์ คำว่า "สังขาร" สังขาร แปลว่า การปรุงแต่ง มันเต็มไปด้วยสังขารในคนหนึ่งๆ แต่ละคน เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยการปรุงแต่งในภายใน ปรุงแต่งอย่างนั้น ปรุงแต่งอย่างนี้ ให้ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เลือด หนอง อวัยวะทุกส่วนตั้งอยู่ได้ ตั้งอยู่ได้ มันมีสังขารปรุงอยู่ตลอดเวลา
.
เรื่อง "ปฏิจจสมุปบาท" นั่นแหละ! คือเรื่องสังขาร การปรุงแต่ง เป็นสายยาวเฟื้อย ตั้ง ๑๒ ขั้นตอน"
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายแก่นักศึกษา ครูบาอาจารย์ ที่มาจากกรุงเทพฯ ณ สวนโมกขพลาราม ในพรรษา ปี ๒๕๓๓ จากหนังสือชุดหมุนล้อธรรมจักร หัวข้อ "ชีวิตที่มีพื้นฐาน และสิ่งที่เป็นพื้นฐานของชีวิต"
ง่ายๆ คือลงมือทำซื่อๆ ตรงๆ ไม่ต้องไปคิดอะไร
สัมผัสความรู้สึกแค่สองอย่างนี้
ต่อไปมันก็จะเห็นตัวสภาวะอันอื่น ขยายไปเรื่อยๆ
รู้ไปเรื่อยๆ เป็นสมมติปรมัตถ์
เบื้องต้นให้รู้รูปรู้นาม ให้รู้อาการของกาย
ความรู้สึกในร่างกายมันมีอะไรบ้าง
ให้รู้ให้ครบ ให้จบให้ถ้วน
ความรู้สึกทางกายที่มันสบาย ไม่สบายมาจากอะไรบ้าง
ไม่ต้องไปบัญญัติ ไม่ต้องไปสมมติให้มัน
ให้รู้ว่าเป็นความรู้สึกก็พอ นี้เรียกว่าปรมัตถ์
ในส่วนที่เป็นนาม ก็ให้รู้ว่า
ความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ มาจากไหน
ตามรู้จนเห็นต้นตอชัดเจน เราจะไม่สงสัย
เรียกว่ารู้ปรมัตถ์
ในส่วนที่เป็นนามหรือใจของเรา
ให้รู้ว่าความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจมาจากไหน? เกิดจากอะไร?
ตามรู้ไปอย่างนี้จนกระทั่งเห็นต้นตอที่ไปที่มาของมันชัดเจน
เราจะไม่สงสัยแล้ว เพราะรู้ปรมัตถ์
วันๆ ให้ดูแค่สองเรื่องนี้
แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น สิ่งอื่น
ก็ต้องใช้สมมติ แต่เรารู้ว่าต้นตอมันอยู่ที่นี่
อะไรที่จะเป็นเหตุให้เกิดความไม่สบาย ไม่พอใจ
เรารู้ก็หลีกเลี่ยงเสีย เท่านั้นเอง
อะไรที่เป็นเหตุให้เกิดความสบาย
ความสงบ ความราบเรียบ ความสุข
เราก็ทำสิ่งนั้นเท่านั้นเอง มันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย
แต่เรื่องของเรื่อง เราไปอยู่กับความคิด ไปติดในสมมติ
สมมติอาศัยกาลเวลา อดีต อนาคต ทำให้เกิดความคิด
แต่ถ้าจิตมาอยู่กับปัจจุบัน ความคิดเกิดไม่ได้
ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น หูได้ยินก็คือได้ยิน
จิตรู้ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่ไปคิดต่อเติมเสริมแต่งมากกว่าที่เรารู้
.
Direk Saksith
" เมื่อรู้...(เท่าอารมณ์)แล้ว
รู้ อยู่เฉย ๆ
รู้ เท่าทัน
รู้ แจ้ง
ไม่รับส่วนกับผู้ใด ไม่รับเป็นทาสใคร ไม่รับส่วน
กับใคร
รู้แล้ว...ไม่เอา
รู้แล้ว...วาง
รู้แล้ว...ละ
สุข ก็มีอยู่เหมือนกัน ทุกข์ ก็มีอยู่เหมือนกัน
อะไร ก็มีอยู่เหมือนกัน
แต่...ไม่เอา."
__________________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)