จิตนี้คืออะไร จิตนี้มันก็ไม่คืออะไร จิตนี้มันก็คือจิต
เพ่งเอาตัวผู้รู้ ผู้รู้สึกอารมณ์
อย่างอาตมาพูดอยู่นี้ได้ยินด้วยหูก็รู้สึกที่ใจ
ผู้รู้สึกนั้นคือใคร ก็คือผู้รู้สึกอันสมมติว่าจิต
ผู้รับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่แหละ
ผู้รู้ที่เกิดขึ้น
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
สงบจิตได้ปิญญา ..........................................
/ความรู้สึกเราอยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั้น/
จิตมันไหลไปดูแล้วรู้
จิตมันไหลไปฟังก็รู้นะ คอยรู้สึกอย่างนี้
“คอยรู้สึก” จิตเป็นตัวรู้สึก
ความรู้สึกเราอยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั้นแหละ
คอยรู้สึกไปเรื่อยๆ ต่อไปเราก็จะเห็นว่า
“จิตนี้ก็ไม่เที่ยง”
เดี๋ยวก็ไปรู้ทางตา เดี๋ยวก็ไปรู้ทางหู
เดี๋ยวรู้ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
“จิตนี้เป็นอนัตตา”
จะไปรู้ทางไหนเราไม่ได้เลือกเลย มันไปรู้ทางนั้นเอง
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
""""""""""""""""""""
หัดดูจิตดูใจ ก็จะเห็นเลย จิตมันเปลี่ยน เพราะตามันมองเห็นรูป
จิตมันเปลี่ยนเพราะหูได้ยินเสียง เช่นตามองเห็นรูปอย่างนี้เกิดสุขเกิดทุกข์ เกิดกุศล-อกุศล
หูได้ยินเสียงอย่างนี้เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศล-อกุศล
จมูกได้กลิ่นจิตก็เกิดความรู้สึกสุข ทุกข์ กุศล-อกุศลได้
ยกตัวอย่างได้กลิ่นธูปกลิ่นอะไรอย่างนี้ รู้สึกอย่างไรได้กลิ่นธูป ต้องดูสิ่งแวดล้อมด้วย
ถ้ามาที่วัดได้กลิ่นธูปก็แหมเลื่อมใสศรัทธาอะไรอย่างนี้
แต่ถ้าอยู่บ้านแล้วอยู่ดีๆได้กลิ่นธูปก็ชักคิดหนักนะ ความรู้สึกมันเปลี่ยน
ให้คอยรู้ จะเห็นเลย ความรู้สึกทั้งหลายเกิดแล้วดับ ความรู้สึกทั้งหลายเกิดแล้วดับ นี่คือการรู้นามธรรม
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
♡ "รู้" คือ ใจ ไหลไป คือ สังขาร ♡
👩โยม 1 : กราบนมัสการและกราบขอโอกาสเจ้าค่ะ สองสามวันนี้ได้ฟังไฟล์ "อยู่กับโลกด้วยใจที่เป็นธรรม 1 และ 2" ทบทวนไปมาหลายรอบ และ ทบทวนถึงข้อผิดพลาดของตนเองเจ้าค่ะ
ได้เห็นตัวตนของผู้ที่พยายามจะเข้าใจ ผู้ปรารถนา ผู้รอคอย ตัวเราที่โผล่มายามขาดสติไม่พิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริง
เมื่อหลงสังขารจนเป็นทุกข์ก็หลงปรุงแต่งเอาเราไปช่วยเหลือตัวเอง หลงปรุงแต่งให้ค่าให้ความหมาย ยึดถือความปรุงแต่งที่เป็นธรรม ผลักไสความปรุงแต่งที่ไม่เป็นธรรม มีตัวเราผู้เป็น มีตัวเราผู้ได้ หรือ ไม่ได้ มีตัวเรา ผู้ทุกข์ มีตัวเราในทุกสิ่งเกิดดับเจ้าค่ะ
เห็นตัวเราที่หลงวนเวียนอยู่กับความพยายาม เห็นตัวเราที่เบื่อความหลงวนเวียนนั้น ตัวเราที่พยายามจะ เลิกวนเวียน และ ตัวเราในรูปแบบอื่นอีกมากมายที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้ง ๆ ที่หลวงตาก็สอนย้ำแล้วย้ำอีกว่า "ตัวเราไม่มี" มีแต่สิ่งเกิดดับ เป็นคลื่นพลังงานเกิดดับอยู่ในความไม่มีอะไร ไม่ใช่เป็นเรา ตัวเรา ของเรา แต่ด้วยอวิชชาความเข้าใจผิด ความไม่รู้ จึงไปยึดเอามาเป็นเรา เป็นตัว เป็นตน
แต่ก็ยังโง่ หลงพยายามจะจับจะทำลายตัวเราด้วยวิธีการที่แนบเนียนต่าง ๆ ให้ได้เจ้าค่ะ แล้วก็วนเวียน หลงสังขารอยู่นั่นเจ้าค่ะ
อาจจะเป็นอย่างที่หลวงตาบอกว่าแต่ละคนก็ตั้งเปัาหมายกันต่างกันไป เป้าหมายใครเป้าหมายมัน โดยหลงไปว่าทั้งเป้าหมาย และ การดำเนินการตามเป้าหมาย มันก็ "มีตัวเราแอบแฝง" อยู่ตลอดรายการตั้งแต่ต้นจนจบ
หากจะบอกว่าเพราะไม่ลงแก่ใจว่า "ตัวเราไม่มี จิตไม่มี อวิชชาไม่มี" มันก็ไปพยายามทำให้ลงแก่ใจ โดยมีตัวเรา เป็นผู้พยายาม มีตัวเราเป็นผู้... ไปตลอดทางจนรอรับผลเลยเจ้าค่ะ หรือ หากจะบอกว่ามีอวิชชาตัวใดที่ซ่อนอยู่ ก็จะมีตัวเราที่มุ่งจะกำจัดอวิชชา วนไปอีกเจ้าค่ะ
เมื่อมาวิเคราะห์ดูแม้แต่การพิจารณาใด ๆ ก็ไม่พ้นตัวเราทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ จนเหมือนกับจะสรุปว่าปล่อยให้ มันเป็นไปเอง แต่ก็มีตัวเราที่บอกว่านี่มันจะเป็นการปล่อยไปตามยถากรรม
แทนที่จะเห็นว่าตัวเราไม่มี กลับเห็นแต่มีตัวเราที่ซ่อน และ บงการอยู่ตลอดนะเจ้าคะ จากที่กราบเรียนหลวงตามาพบว่า... เป็นการหลงวนเวียน หลงสังขารไม่เลิกเลยเจ้าค่ะ
ก็น่าที่จะทำให้หลวงตาไม่เข้าใจว่าสอนแล้วสอนอีก ทำไมลูกศิษย์ถึงยังเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ
สำหรับตัวหนูเองก็สรุปได้แค่คงเป็นเพราะความโง่จริง ๆ เจ้าค่ะ นอกจากความโง่แล้วก็บวกกับความอยากอีกเจ้าค่ะ อยากไปทุกอย่างเลย รวมทั้งความอยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ครูอาจารย์มีกำลังใจในการสอนเจ้าค่ะ
กราบขอขมาหลวงตาหากการบ้านนี้ทำให้หลวงตาเวียนหัวนะเจ้าคะ
กราบขอโอกาส และ กราบขอบพระคุณที่หลวงตาเมตตาสั่งสอนเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
☀หลวงตา : ที่บอกมาทั้งหมดล้วนเป็นสังขาร ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
มันเป็นปกติธรรมชาติที่ทุกปัจจุบันขณะสังขารเขาย่อมเกิด ดับ... ดับ เกิด... เกิด ดับ... เป็นธรรมดา
จะพยายามไปทำอะไรเพื่อให้เป็นอะไร หรือ จะไม่ให้เป็นอะไร หรือ พยายามจะไม่ไปทำอะไรกับสังขารเหล่านั้นทำไม
***** แม้แต่ในปัจจุบันขณะถ้ามีความพยายามอย่างใด ๆ เกิดขึ้นมา มันก็เป็นสังขารซึ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาย่อมเกิดเอง ดับเอง... หมายถึง ไม่มีใครทำเกิด ไม่มีใครทำดับ
***** ไม่เห็นว่าจะมีความทุกข์เดือดร้อนใจกับสังขารต่าง ๆ เหล่านั้นไปทำไม หรือ เพื่อจะให้เป็นอะไรไปทำไม
เมื่อไม่ถือสา ไม่หลงบีบบังคับผลักไส ไม่หลงติดไป ไม่ยึดถือสังขารใด ๆ ในใจตนทุกปัจจุบันขณะ ก็จะ "พบใจ พบธรรม" ซึ่งเป็น "วิสังขารธรรม" ไม่ปรากฏอะไรเลย ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีตัวตน (ไม่มีตัวจิตตัวใจ) จึงไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
***** เมื่อไม่หลงยึดใจเป็นเรา เป็นของเรา
ก็สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ สิ้นกิเลส และ ความทุกข์อย่างเป็นอมตะ เรียกว่า “ถึงใจ ถึงนิพพาน” หรือ ใจที่ไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นใจบริสุทธิ์ เรียกว่า “นิพพาน”
***** ทุกสรรพสิ่งล้วนก่อเกิด กำเนิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไร
เหตุใดจึงยึดเป็นตัวเรา ตัวเขาจริงจัง
สิ่งที่เห็น ได้ยิน สัมผัส ล้วนเป็นมายาเป็นภาพลวงตา มายาลวงใจ เสมือนมีอยู่จริง จึงหลงไล่จับคว้าเงา เป็นเหมือนความฝัน ตื่นขึ้นมา (ในภพชาติใหม่) ความฝันนั้นก็หายไป
เมื่อไหร่จะตื่นจากหลง (สิ้นอวิชชา)!!!
~~~~~~~~~~~~~~~
🙍♀โยม 2 : ขอน้อมกราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
กราบขอโอกาสเจ้าค่ะ ผิดถูกกราบหลวงตา (พ่อแม่ครูอาจารย์) ผู้รู้แจ้งกว่าชี้แนะเจ้าค่ะ
ช่วงนี้เกิดสภาวะธรรมขึ้นมาให้เห็นหลายครั้งค่ะหลวงตา แต่เช้านี้ที่ขณะนั่งเจริญ สติ สมาธิ เจ้าค่ะ
เห็นเหมือน ธาตรู้ (รู้) กับ ขันธ์ ๕ แยกการทำงานกันอย่างชัดเจนมากค่ะ (แต่ไม่ใช่แยก)
"รู้" เขารู้ทุกอย่าง เวลาสภาวะธรรมใดชัดขณะนั้นก็รู้ เช่น หายใจรู้ กายนั่งรู้ เวลาความคิดปรุงแต่ง เกิดขึ้น เขารู้ตลอดเจ้าค่ะ
รู้เขาแค่รู้ซื่อ ๆ ตรง ๆ ตามที่ขันธ์ทำงาน แต่ขันธ์เท่านั้นที่มันทำงานไม่หยุด ไม่ว่ามันจะวิพากษ์ วิเคราะห์ วิจารณ์ แต่ความรู้สึกไม่มีตัวเรา ตัวหนู...ฯ ไปแทรกไปร่วมไปแอ๊กชั่นในนั้นเลยค่ะหลวงตา และในรู้เขาก็รู้เขาเอง เวลาขันธ์ทำงานเจ้าค่ะ
ในขณะนั้นความรู้สึกตัวมันตื่นรู้ตลอด ไม่ขาดเลยแม้แต่วินาทีเดียวนะเจ้าคะ (นั่งประมาน 50 นาที เหมือนเร็วมาก)
มันเห็นทุกคิดแต่เหมือนง่าย ๆ ไม่รู้สึกทุกข์ใจ ร้อนรน ดิ้นรน กระวนกระวายอะไร ๆ ไปตามความคิดปรุงแต่งเลยค่ะ ที่สังเกต (สมองมันโล่ง หัวไม่หนัก) เจ้าค่ะ
ใช้สังขารอธิบายเผื่อมีประโยชน์ต่อท่านอื่นเจ้าค่ะ
หลวงตาคะ เมื่อวานหนูกำลังปลูกผักอยู่ดี ๆ มีสภาวะธรรมเกิดโพล่งขึ้นมาเจ้าค่ะว่า เอ้า... เราเหมือนต้นไม้... ต้นไม้เหมือนเราเลย
พืชผักก็ต้องใช้ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ... ไม่มีอะไรต่างกันเลย (ถ้ามนุษย์ไม่มีจิตวิญญาณ) เราเหมือนต้นไม้ทุกอย่างเจ้าค่ะ
น้อมกราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
☀หลวงตา : สักแต่ว่ารู้ อย่างนั้นแหละ
รู้ เป็นวิสังขารธรรม ไม่มีอะไรปรากฏ
รู้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
รู้ คือ ใจ
ใจ คือ รู้ นี้
ใจรู้ว่าอยู่กับรู้ หรือ อยู่กับใจ และ รู้ว่าไม่อยู่กับสังขาร หรือ หลงเป็นสังขาร
ไม่ใช่เข้าใจผิด พยายามเอาตัวเราไปอยู่กับรู้ หรือ พยายามยึดให้ใจของเรา "เป็นรู้ที่เป็นวิสังขารธรรม" เพราะความคิดความรู้สึกเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นใจของเรา เป็นสังขารธรรม ซึ่งเป็นสิ่งปรุงแต่ง เกิดดับ
ใจเขาเป็นธรรมชาติ ที่เป็นวิสังขารธรรม คือ ความไม่มีอะไรปรากฏมาแต่เดิม
ส่วนสังขารทั้งที่มีชีวิต และ ไม่มีชีวิต เป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไรตามเดิม สังขารจึงเป็นของจรมา เป็นสมมติ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ส่วนใจ หรือ จิตเดิมแท้ หรือ ธาตุรู้ เป็นสัจธรรม เป็นธรรมชาติเดิมแท้ เป็น "วิมุตติ" เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรากฏอะไร เป็น "วิสังขารธรรม"
ขณะจิตใดที่ไม่หลงสังขาร คือ ไม่หลงยึดถือสังขาร ไม่หลงไปเป็นสังขาร ไม่หลงยึดว่าเราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นเรา ไม่ยึดว่าเราเป็นวิสังขาร
ก็เป็นใจที่เป็นวิสังขารธรรมโดยอัตโนมัติ
จึงไม่มีใครใช้ความพยายามอย่างใด ๆ เพื่อให้ตัวเราเข้าถึงใจ เป็นใจที่เป็นวิสังขารธรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่ปรากฏอะไร
เพราะความคิด ความรู้สึกเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ความดิ้นรนค้นหา ความพยายามอย่างใด ๆ เป็นสังขารธรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไรปรากฏ ต้องดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไรตามเดิม เป็นของจร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
***** สิ้นหลงสังขาร จึงพบธรรมแท้ เป็นธรรมแท้ที่ไม่อาจสังขารได้
ต้องรู้เห็นด้วยใจในปัจจุบันขณะ จึงจะรู้จักจากใจว่าอะไรเป็น........
“สังขารธรรม” คือ ธรรมชาติปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไร
ใจ หรือ จิตเดิมแท้ ซึ่งเป็น “วิสังขารธรรม” ธรรมชาติเดิมแท้ที่ไม่มีอะไรปรากฏ
เมื่อรู้จักแล้วก็อยู่กับใจ ซึ่งเป็นบ้านที่แท้จริง กินอยู่กับใจ นอนอยู่กับใจ ไปไหนก็ไปกับใจ และ ตายไปกับใจ
ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นสังขารธรรม ยังไม่ถึงเวลาแตกดับ (ตาย) ก็ต้องบริหารจัดการให้เหมาะสม รวมทั้งคนอื่น และ สิ่งอื่น ๆ ที่มาเกี่ยวข้องด้วย
ส่วน "ใจ" ก็เป็นวิสังขารธรรมอย่างเป็นอมตะตลอดกาล
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
8-9 พฤษภาคม 2563
ความหมายของคำว่า " สังขาร "
ได้แก่สิ่งที่ผสมปรุงแต่งขึ้น หรืออาการที่ผสมปรุงแต่งขึ้น และจำแนกสังขารไว้เป็น ๓ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร
กายสังขาร :>
กายสังขาร นั้นก็ได้แก่ปรุงแต่งกาย อธิบายว่า ( ลม ) อัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ได้ชื่อว่ากายสังขารปรุงแต่งกาย เพราะว่าเป็นเครื่องบำรุงปรนเปรอกายอยู่ตลอดเวลา กายดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีลมอัสสาสะปัสสาสะ บำรุงปรนเปรออยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุด ดังจะพึงเห็นได้ว่าทุกๆ คนนั้นไม่มีหยุดหายใจ กายจึงดำรงอยู่ได้ ที่เรียกว่าชีวิต หากหยุดหายใจเมื่อใด กายก็ดำรงอยู่ไม่ได้
ฉะนั้น ลมอัสสาสะปัสสาสะจึงเรียกว่ากายสังขาร เป็นเครื่องปรุงกาย
วจีสังขาร :>
วจีสังขาร แปลว่าปรุงแต่งวาจา ได้แก่ ( วิตกวิจาร ) ที่แปลว่าความตรึกความตรอง วิตกวิจารนี้เองเป็นต้นของวาจาที่ทุกๆ คนพูด ก็คือว่าพูดจากใจที่วิตกวิจาร คือที่ตรึกตรอง อาจจะกล่าวได้ว่าจิตใจนี้พูดก่อน คือตรึกตรองขึ้นมาก่อน จึงพูดออกทางวาจา หรือว่าวาจาจึงพูดออกมา ถ้าหากว่าไม่มีวิตกวิจาร ขึ้นในจิตใจก่อน การพูดอะไรออกไปทางวาจาก็เป็นวาจาของคนที่เพ้อคลั่ง หรืออาการที่เพ้อหรือที่กล่าวในเวลาหลับ และจะไม่เป็นภาษา ฉะนั้น วาจาที่ทุกๆ คนพูดนี้จึงออกมาจากจิตใจ ที่มีวิตกมีวิจาร คือที่ตรึกตรอง
ฉะนั้น วิตกวิจารจึงเรียกวจีสังขาร เป็นเครื่องปรุงวาจา
จิตตสังขาร :>
จิตตสังขาร ปรุงแต่งจิต ก็ได้แก่ ( สัญญา เวทนา )
๐ เวทนา นั้นได้แก่ความรู้สึกที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
๐ สัญญา นั้นก็ได้แก่ความจำได้หมายรู้ เช่นจำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ จำธรรมะ คือเรื่องราว
เวทนาสัญญานี้ เรียกกลับกันว่าสัญญาเวทนา เป็นเครื่องปรุงจิต คือปรุงจิตใจให้คิดไปต่างๆ ความคิดไปต่างๆ นั้นอาศัยสัญญาเวทนา ถ้าหากว่าไม่มีสัญญาคือความจำได้หมายรู้ ไม่มีเวทนา คือรู้เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็คิดอะไรไม่ได้ เพราะทุกๆ คนนั้น จะไปคิดในเรื่องที่ตนเองจำไม่ได้ หรือว่าที่ลืมไปแล้วนั้น หาได้ไม่ จะคิดอะไรได้ ก็ต้องคิดได้ตามที่จำได้เท่านั้น
อันที่จริงยกเอาสัญญาขึ้นมาอย่างเดียว อธิบายอย่างนี้ก็เข้าใจ แต่ท่านยกเอาเวทนาขึ้นมาคู่ด้วย ก็โดยที่สัญญานี้ตามวิถีจิตในขันธ์ ๕ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยเวทนา คือต้องมีเวทนาที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข จึงจะมีสัญญาคือจำได้ ถ้าไม่มีเวทนาแล้วก็จำอะไรไม่ได้
ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนอย่างคนที่ดับความรู้ทางกายประสาท เช่นว่าฉีดยาชาที่ร่างกาย เมื่อร่างกายส่วนนั้นชาไปแล้ว หมอก็ทำการผ่าตัด หรือทำอะไร ก็ไม่มีความรู้เจ็บ เมื่อไม่มีความรู้เจ็บ ก็แปลว่าสัญญาคือความจำในการที่หมอได้กระทำอะไรตรงร่างกายส่วนนั้นก็ไม่มี
ถ้าหากว่าไม่ได้ฉีดยาชา เมื่อเอามีดไปปาดเข้าก็เจ็บ เมื่อเจ็บก็จำได้ในอาการที่เจ็บนั้น นี้ยกตัวอย่างเพียงการทำให้กายประสาทไม่รู้สึกเพียงข้อเดียว ถ้าหากว่าไม่มีความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ที่เป็นเวทนา ทางจักขุประสาท โสตะประสาท ฆานะประสาท ชิวหาประสาท หรือทั้งกายประสาทดังกล่าวนั้นด้วย ใครจะทำอะไรที่ร่างกายทุกส่วน ก็ย่อมไม่มีความรู้ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็ไม่มีสัญญาคือความจำในส่วนนั้นๆ หรือคนที่ถูกฉีดยาสลบหมดความรู้สึกไป ในขณะที่สลบนั้น ก็เป็นอันว่าจำอะไรในขณะนั้นไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นสัญญานี้จึงมาจากเวทนา ต้องมีเวทนาจึงจะเกิดสัญญา คือความจำได้หมายรู้ขึ้นมา เพราะฉะนั้น จิตที่คิดไปต่างๆ ที่ปรุงไปต่างๆ จึงปรุงไปตามสัญญาเวทนา ถ้าไม่มีสัญญาเวทนาแล้วจิตก็ปรุงไม่ถูก
แม้จิตที่คิดปรุงไปต่างๆ ดังกล่าวนั้น ก็รวมวิตกวิจารดังกล่าวมาข้างต้นในข้อวจีสังขารเข้าด้วย เพราะวิตกวิจารคือความตรึกความตรอง ก็เป็นความคิดไปของจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งก็อาศัยสัญญาเวทนาดังกล่าวนี้นั่นแหละ
เพราะฉะนั้น
สัญญา เวทนาจึงเป็นจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต
กายสังขารปรุงแต่งกาย มีลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นเครื่องปรุงแต่งกาย
วจีสังขารก็มีวิตกวิจารเป็นเครื่องปรุงแต่งวาจา
จิตตสังขารก็มีสัญญาเวทนาเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต
นี้แสดงอธิบายถึงเครื่องปรุงแต่งกาย ปรุงแต่งวาจา ปรุงแต่งจิต
ความรู้จักสังขาร
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจ เช่น
ยึดมั่นถือมั่นใน เบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจรวมกันว่าเป็น"ตัวตน" และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ อันมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็น"ของตน"
หรือที่ละเอียดลงไปกว่านั้นก็คือยึดถือจิตส่วนหนึ่งว่าเป็น"ตัวเรา" แล้วยึดถือเอารูปร่างกาย ความรู้สึก ความจำ และความนึกคิด ๔ อย่างนี้ว่าเป็น"ของเรา"
อุปาทาน 4 อย่าง
กามุปาทาน ยึดติดในกาม
ทิฏฐุปาทาน ยึดถือในทิฏฐิ
สีลัพพัตตุปาทาน ติดยึดในศีลวัตรที่งมงาย
อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นในตัวเอง ของตัวเอง
พุทธภาษิตมีอยู่ว่า "เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั่นแหละเป็นตัวทุกข์"
ดังนั้น เบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้นหาเป็นทุกข์ไม่ ฉะนั้น คำว่าบริสุทธิ์หรือหลุดพ้นจึงหมายถึง การหลุดพ้นจากอุปาทานว่า"ตัวเรา" ว่า"ของเรา"นี้โดยตรง ดังมีพุทธภาษิตว่า "คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน"
“ไม่สำคัญหมายไปตามสมมติ”
…ทำไมต้องปฏิบัติธรรม? ก็เพราะอยู่กับกายใจนี้ตั้งแต่ตื่นนอนถึงลงนอน จึงต้องศึกษาให้รู้แจ้งในความจริงของกายใจนี้ จึงจะปฏิบัติกับกายใจนี้ได้ถูกต้อง
การปฏิบัติได้ถูกต้อง ผลคือความไม่ทุกข์นั่นเอง การปฏิบัติไม่ถูกต้อง ด้วยความรู้ความเห็นที่ผิด เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิหรือโมหะอวิชชา ผลก็คือทุกข์นั่นเอง เขาเรียกทุกขสัจ
สมุทยสัจ การศึกษาหาความจริง ในมุมหนึ่งท่านเรียกว่าสิกขาไง สิกขาแปลว่าการศึกษา ศึกษาหาความจริง ท่านก็บัญญัติออกไปเป็นสีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขานั่นเอง ศึกษาหาความจริงในกายใจในสมมติตรงนี้
หรือจะพูดอีกมุมหนึ่งก็คือมรรค๘ นั่นเอง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ เห็นชอบ ดำริชอบ สัมมาวายามะ เพียรชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบต่อสัจธรรมคือความจริง ตั้งมั่นต่อความพ้นทุกข์ ตั้งมั่นที่จะหาความจริง จึงเรียกว่าสัมมาสมาธิ จึงมีสัมมาวาจา พูดชอบ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ คือเลี้ยงชีพชอบ
เพราะฉะนั้น สิกขา ๓ มรรค ๘ มันก็เรื่องเดียวกันคือมรรคสัจ คือการศึกษาในกายใจเพื่อพ้นทุกข์นั่นเอง ผลคือนิโรธสัจ คือความพ้นทุกข์ในใจเรานั่นเอง
นี่ทำไมต้องปฏิบัติธรรม เพราะเราอยู่กับกายใจนี้ เราไม่รู้แจ้งในกายใจนี้ เมื่อไม่รู้แจ้งในกายใจนี้ ก็ต้องศึกษา นั้นล่ะคือเหตุผล
เพราะฉะนั้น ใครบอกว่าโลกกับธรรมมันแยกกัน เอาทางโลกให้ที่สุด เอาทางธรรมให้ที่สุด คนนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะโลกกับธรรมมันอยู่ในกายใจไหม แล้วมันมีความทุกข์ไหม
“ธรรมะคือวิชาที่พ้นจากกองทุกข์ต่างหาก วิชาที่จะนำไปสู่ความพ้นจากกองทุกข์ เมื่อคุณมีทุกข์ คุณก็ต้องศึกษาหาความรู้ทางธรรมะนั่นเอง เพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์”
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
"มันเกิดตรงไหนก็ดับตรงนั้น ไม่รู้จักที่ดับ ไปดับที่อื่นมันก็ไม่ดับซี่ อุปมาเหมือนดับไฟฟ้า ดับดวงนี้ดวงนั้นยังอยู่ ดับดวงนั้น ดวงอื่นยังอยู่
คนผู้ฉลาดดับที่หม้อ แบตเตอรี่มันก็มืดม๊ดทั่วพระนคร อันนี้ไปดับจิตดวงเดียวก็หมด ไม่ต้องไปดับตาดับหูดับจมูกดับลิ้นดับกายดับใจ ดับที่ใจดวงเดียวแล้วดับม๊ด เพราะทั้งหมดมันเกิดจากใจ"
.... หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
เวลาไปหาหมู่มาก พูดไปพูดมาแล้วก็หลง
มันหลงใหลอยู่เท่านั้นแหละ
ต้องน้อมเข้ามาที่ใจของตน
สิ่งใดก็ตามเถอะ ให้น้อมเข้ามาสู่ใจ
แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ก็ชี้เข้ามาที่ใจของตน
อุปัชฌายะสอนก็สอนเข้ามาถึงกายนี้แหละ
เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ปัญจกกัมมัฏฐาน
กายคตากัมมัฏฐาน ฐานที่ตั้งของกายนี้แหละ
กายเขาไม่รู้แจ้ง จะรู้แจ้งก็รู้แจ้งที่ใจนี่แหละ
เอาใจละสิ่งทั้งหลายที่มาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
มาทางตา ที่พอใจก็ดี ม่พอใจก็ดี
มาทางหู ที่พอใจก็ดี ไม่พอใจก็ดี
มาทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ที่พอใจก็ดี ที่ไม่พอใจก็ดี
เอาศีลนี่แหละนำออกเสียด้วยปัญญาของตนออกไปจากใจนี้
ใจเป็นผู้รู้ ผู้ละ ผู้ถอน ผู้วาง
รับเอาทุกเรื่องก็ไม่ไหวละ มันเป็นธรรมเมาเท่านั้นแหละ
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
" จงพิจารณา ลงให้เห็นชัดเจน
ดู...ให้ดีสิ่งเหล่านี้ กับ...จิต
มัน สนิทกันมาเป็นเวลานาน ติดจมกันมา
เป็นเวลานาน จนแยกไม่ออกว่า...
อะไร เป็นเรา
อะไร เป็นธาตุ
เป็นขันธ์ จึงรวมเอามาหมดนี้ว่า...เป็นเรา ทั้ง ๆ
ที่มัน ไม่ใช่เรา
ตามหลักของความจริง
ของท่านผู้รู้ไปแล้ว ท่านเห็นอย่างนั้นจริง
แต่จิต...ของเรา มัน ฝืนอย่างนี้
เพราะฉะนั้น...
เรื่องทุกข์ มัน จึงแทรกเข้ามา
ตามความฝืน ซึ่งเป็นของผิดนั้น ให้ได้รับความลำบาก อยู่...เสมอ
ถ้าเดินตามหลักความจริง
ที่พุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วนี้ และรู้ตามนี้แล้ว
จะไม่มีปัญหาอะไร
ธาตุ ก็เป็นธาตุ
ขันธ์ ก็เป็นขันธ์
ให้ชื่อมันว่าอย่างไรก็เถอะ เขาก็เป็นสภาพของ
เขานั่นแหละ
เรา เป็นผู้ให้ชื่อเขาว่า...
นี่...เป็นทาส
นั่น...เป็นขันธ์
นี่ เป็นรูป นั่น เป็นเวทนา นั่น เป็นสัญญา
นี่ เป็นสังขาร นั่น เป็นวิญญาณ
ขอให้ปัญญา...
รู้...ทั่วถึงเท่านั้นแหละ มัน หมดสมมุติไปเอง
แม้...ไปสมมุติ มัน ก็เป็นอาการหนึ่ง ๆเท่านั้น
เมื่อทราบความหมาย ของ...จิต
เสียอย่างเดียว เท่านั้น สิ่งนั้น ๆก็เป็นความจริง
ของมัน ล้วน ๆ
จิต...
ก็มาเป็นความจริงของตน ล้วน ๆ
ไม่คละเคล้ากัน
จงพิจารณา
ให้เห็นชัดอย่างนี้ เห็นสิ่งเหล่านั้น
แล้วก็ค้นลงไป
มัน อะไรกัน จิต...ดวงนี้
ทำไม ? ถึงได้ขยันนัก กับเรื่องเกิด-เรื่องตาย
ทั้ง ๆ ที่โลก ก็กลัวกันนักหนา
เราเอง ก็กลัวความตาย
แต่ทำไม ? ความเกิดนี้ จึงขยันนัก
ตายปั๊บ-เกิดปั๊บ แน่ !
เกิดปุ๊บ ก็แบบเอาทุกข์ปุ๊บ แน่ !
ทำไม ? จึงขยันเกิดนัก ? พิจารณาให้เห็น
มันเกิดไปจากอะไร ?
เรื่องอะไรพาให้เกิด ?
ถ้าไม่ใช่จาก...จิต ที่มีเชื้อ(อวิชชา)อันสำคัญ
แฝงอยู่ภายในนี้
จะเป็นอะไรพาให้เกิด พาให้เป็นทุกข์
การเกิด เป็นบ่อเกิด แห่ง...ทุกข์
พิจารณาลงไป ค้นลงไป
เอ้า ! อะไรจะฉิบหาย ให้เห็น ให้รู้
เพราะเราต้องการความจริงนี่
อะไร จะฉิบหายลงไป
ให้มันรู้...ด้วยปัญญา ของเรา
รู้...ด้วยจิต ของเรา
อะไร ? มัน ไม่ฉิบหาย
ก็ให้ รู้...
ด้วยจิต...ของเรา อีกนั่นแหละ
จะหมดปัญหา อยู่...ที่จุดนั้น."
___________________________________________
องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ปัญญานำสมาธิ
"หายใจไป จิตหนีไปแล้วรู้ทัน มันจะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา
ถัดจากนั้นเห็นร่างกายหายใจ ไม่ใช่ตัวเรา
อันนี้เดินปัญญาด้วยการรู้กาย
ถ้าจะเดินปัญญาด้วยการรู้จิตก็หายใจไป
มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ เฉยๆ ก็รู้
หายใจไปแล้วจิตเป็นกุศลก็รู้ จิตเป็นอกุศลก็รู้
จะเห็นเลยทุกอย่างชั่วคราวไปหมด
ฝึกไปอย่างนี้เรียกว่า ปัญญานำสมาธิ"
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
บางคนว่า...จิตใจฟุ้งซ่าน วุ่นวายมาก
แต่ความจริงแล้ว จิตใจไม่ได้ฟุ้งซ่านเลย
เพียงแต่ว่าเมื่อเรารู้ไม่เท่าทัน
เราจึงไปยึดเอาความฟุ้งซ่านมาเป็นเรา
บางคนจิตใจสงบ มีความสุขสบายดี
จิตใจก็ไม่ได้ไปสุข สงบอะไร
เพียงแต่เมื่อมีความสงบเกิดขึ้น
เราก็ไปยึดเอาว่าความสงบเป็นเรา
รวมความแล้วก็จะพยายามยึดทุกๆ อย่าง
ทั้งที่จิตใจนี้เป็นเพียงธรรมชาติรู้
มีหน้าที่รู้เท่านั้นเอง เพียงเพราะไม่รู้สึกตัว
จึงยึดเอาทุกๆ อย่างเป็นของเรา
.
พระเจษฎา คุตฺตจิตโต