#คำว่าโลกนี้หากถือเอาตามคำตรัสของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า
💥โลก!! เหตุให้เกิดโลก!! ความดับสนิทของโลก
และหนทางให้ถึงความดับสนิทนั้น
ตถาคตกล่าวว่า
มีอยู่พร้อมในกายอันยาววาหนึ่ง ซึ่งมีทั้งสัญญาและใจ (คือยังเป็นๆอยู่ )คือยังไม่ตาย
โลกของพระพุทธองค์คืออะไร?
อายตนะ 6 หรือ ผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ คือโลก
คือความหมายคำว่าโลกของพระพุทธองค์
หากสิ่งเหล่านี้ ทำงาน
โลกสำหรับ บุคคลนั้น...ก็มีอยู่
หากสิ่งเหล่านี้ดับ
โลกสำหรับบุคคลนั้น ก็ดับด้วย
พระองค์กล่าวว่า เจตนา เป็นตัวกรรม
ผัสสะ(การกระทบ)เป็นแดนเกิดของกรรม
กระทบที ให้ค่าที ปรุงแต่งที แล้วก็กระทำ จนกลายเป็นเจตนา
ดังนั้น ปัญหาทั้งสิ้นทั้งปวงในโลก มาจากผัสสะ
หาก เมื่อใด............
🔛เห็น สักว่า เห็น
🔛ได้ยินสักว่าได้ยิน,
🔛ได้กลิ่นสักว่าได้กลิ่น,
🔛ลิ้มรสสักว่าลิ้มรส,
🔛สัมผัสสักว่าสัมผัส
🙏🙏🙏จนกระทั่งถึงใจ
พระองค์กล่าวว่า เมื่อนั้น......เธอจะไม่มี
เมื่อเธอไม่มี "โลกนี้ โลกหน้า ระหว่างสองโลกไม่มี"
นั้นแหละ...ที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ
ดังนั้น นิพพานจึงอยู่แค่ปลายจมูก
เป็นความบริสุทธิ์ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
มิใช่...อยู่ใกล้โพ้น สุดเอื้อม สุดสอย
#อาม่า...พระเชนเรซิก#
การเห็นสักแต่เห็น
จาก...หนังสือดวงตาแห่งชีวิต
เขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)
เมื่อเห็นสักแต่เห็น รู้สักแต่รู้ จินตนาการเกี่ยวกับตัวเองไม่ปรากฏ คำอธิบายว่า เมื่อนั้นเธอ ตัวเธอจะไม่ปรากฏ
ดังนั้นแสดงว่า ตัวตนของพาหิยะ หรือของเราทุกคนเป็นเพียงภาพสะท้อนมายาเท่านั้น เพราะการเห็นไม่สมบูรณ์ เมื่อเห็นไม่สมบูรณ์ ภาพของผู้เห็นก็ปรากฏขึ้นแทรกแซง และผู้เห็น ก็เสพอารมณ์ต่าง ๆ ผู้เห็นก็หนักหนาขึ้นในทางยึดมั่นสำคัญผิด
ดังนั้น ในทางกลับกัน เมื่อเห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน รู้อารมณ์ใดก็สักแต่อารมณ์นั้น ความสำคัญผิดก็ไม่ปรากฏ เพราะว่าตัวเอง หรือตัวตน ตัวข้าพเจ้า ตัวหนู ตัวกระผม นั้น เป็นภาพสะท้อนเนื่องจากการเห็นที่ไม่สมบูรณ์.
การเห็นสักแต่เห็นนั้น คล้าย ๆ เป็นความโง่งม โดยไม่ยินดี ไม่ยินร้าย แท้จริง ด้วยการเห็นเช่นนี้ ภาพสะท้อนของตัวผู้เห็นจะไม่ปรากฏ เมื่อตัวผู้เห็นไม่ปรากฏ สังสารจักรก็หักแหลกลงแล้ว ดังนั้น จิต ก็กลายเป็นสาธารณะ จิตเป็นจิตที่แผ่กว้าง และเป็นสากลยิ่ง ไม่ใช่จิตของฉัน ไม่ใช่จิตของคุณ ไม่ใช่จิต ก. จิต ข. จิต ง. แต่เป็นจิตโดยสาธารณะ.
เป็นธรรมดาเมื่อเราดูความคิดนี้ เราจะไม่เห็นอะไร เพียงคลับคล้ายคลับคลา เพราะความคิด ดับไปทันทีที่เห็นนั่นเอง ทำให้ผู้ดูค่อย ๆ เจือจางไปทีละน้อย ๆ จนกระทั้งบางครั้ง บางขณะ บางช่วง มีการเห็นโดยลืมตัวตนผู้เห็นไป เห็นเฉย ๆ ในที่สุดก็เห็นเฉย ๆ ต่อสรรพสิ่ง.
การที่เราไม่เฉยนั้น เราอยากได้สิ่งที่เราเห็น โดยทั่วไป การเห็นของเราเป็นการล่า เป็นการมองหาบางสิ่ง แต่เห็นเฉย ๆ นั้น ไม่ได้หา ไม่ได้ล่า เป็นความบริสุทธิ์ของการสังเกต ซึ่งเป็นรากฐานที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากของการศึกษา.
การที่เราถอนตนมาดูข้างนอก ดูเฉย ๆ การไปดูเฉย ๆ นี่ เป็นศิลปะอันสูงส่ง คือ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ไม่วิพากษ์วิจารณ์ ดู แต่ไม่มีถอยคำสักคำที่วิพากษ์วิจารณ์
โดยทั่วไป เราอยู่ในความคิด ดังนั้น เวลาเราเห็นอะไร เราคิดซ้อน เราพูด เราอธิบายเบ็ดเสร็จ การเห็นของเราจึงไม่สมบูรณ์...การเห็นตัวเองได้อย่างสมบูรณ์นั้น คือ"การอยู่เหนือความคิด".
ในการภาวนานั้น เราไม่เอาทั้งคิดดี และคิดไม่ดี เราปัดทิ้งหมด เราปัดมันออก เพื่อจะเข้าไปสู่ต้นตอ ก่อนหน้าความคิดเกิด สถานะก่อนหน้าความคิดเกิดนี่แหละ เรียกว่า จิตไร้นิมิต จิตไร้นิมิตนั้น จิต ไม่อาจทรงความเป็นจิตไว้ได้ แล้วไม่อาจร้องเรียกฐานะนั้นว่าเป็นสถานะอะไร เพราะว่า ไม่มีภาษาที่จะร้องเรียก ภาษามันดับก่อนที่จะเข้าถึง ภาษาก็คือความคิดนั้นเอง เราคิดอยู่ในใจด้วยภาษา
ดังนั้น เมื่อออกนอกความคิด ก็คือ ออกนอกภาษา ไม่มีภาษา ไม่ว่าภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาฝรั่งเศษ ไม่มีอยู่ในนั้น ท่านจึงยักเยื้องไปเรียกสภาพนั้นว่า อัพยกฤต, อวยากตธรรม ธรรมซึ่งไม่อาจเกี่ยวข้องกับไวยากรณ์ หรือคำพยากรณ์ ว่าดี ว่าชั่ว ว่าถูก ว่าผิด ว่าบุญ ว่าบาป.
ก่อนหน้านี้เราชินกับการกำหนดรูป จะให้นั่งดู เพ่งดูสิ่งใด เราก็ดูได้ เกิดภาวะดวลกัน ระหว่างผู้ดู และสิ่งที่ถูกดู นี่คือโลกของจิตสำนึกธรรมดา ซึ่งขึ้นกับวัตถุ ขึ้นกับวัตถุเป็นที่ตั้ง.
ภาวะที่เราปรารถนาจริง ๆ คือ สมดุลระหว่างรู้ตัว และลืมตัว ลืมตัวแบบรู้ตัว รู้ตัวแบบลืมตัวนี่สำคัญ ถ้าเรารู้ตัวตลอด ยึดติดกับปัจจุบันขณะ จะอึดอัด
รู้ตัวแบบลืมตัว ลืม ๆ เรื่องราวส่วนตัวไป ภาวะเช่นนั้นเป็นเป้าประสงค์หลักของเรา เพราะที่ตรงนี้ กฏธรรมชาติจะทำกิจของการปลดปล่อยเป็นเอง สัญชาตญาณไม่ประสงค์ทุกข์ จะทำงาน.
" ตัณหา
มัน เกิดขึ้นจากไหน ต้องค้นหาเหตุมัน
เหตุมัน
เกิดจากอายตนะภายใน และอายตนะ
ภายนอกมาสัมผัสกัน
ตา เห็นรูป หู ได้ยินเสียง จมูก ดมกลิ่น
ลิ้น ลิ้มรส กาย ถูกต้องสัมผัส ใจ รู้ธรรมารมณ์
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน ให้สำรวมอินทรีย์ทั้ง๖
คือ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ให้เพียรสำรวม
เพียรละ
ไม่ให้ เกิดความยินดี ยินร้าย
ทำจิต ให้เป็นกลางวางเฉยต่ออารมณ์
นี่เรียกว่า...การดับตัณหา."
_______________________________________
(หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)
หลวงพ่อชา สุภัทโท
เมื่อใคร่ครวญพิจารณาแล้ว ก็จะเห็นว่า
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
นั้น เป็นปฏิปักษ์ต่อเราก็เพราะเราโง่
เรายังไม่มีปัญญา แต่ความเป็นจริงแล้ว
สิ่งเหล่านี้คือครูสอนเราอย่างดี
เมื่ออยู่ในป่าแล้ว อย่าไปยึดป่า อย่ามีอุปทาน
ในป่า เรามานี้เพื่อมาทําให้ปัญญาเกิด
ถ้ายังไม่มีปัญญา ก็จะเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น
รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น เป็นปฏิปักษ์
กับเรา เป็นข้าศึกของเรา
ถ้าปัญญาเกิดขึ้นแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น ไม่ใช่ข้าศึก
แต่เป็นสภาวะที่ให้ความรู้ความเห็นแก่เรา
อย่างแจ้งชัด เมื่อสามารถกลับความเห็นอย่าง
นี้ แสดงว่าปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว.
ทาส
“ความทุกข์...มันมาจากการทำผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ที่เรียกว่าทำผิดในที่นี้หมายความว่ายังไง
หมายความว่า เราเป็นทาสนั้น
จดคำนี้ลงไปด้วย เพราะ"เราเป็นทาสอายตนะ"
การเป็นทาสอายตนะ นั่นแหละ คือ ปัญหาทั้งหมดของความทุกข์
เป็นทาส หรือเป็นขี้ข้า ไม่เป็นอิสระแก่ตัวเอง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันต้องการอะไร เราต้องไปหาให้มันเร็วๆ ใช่ไหม?
นี่เขาเรียกว่าเป็น “ทาส” ไม่มีความเป็นอิสระ...
เสรีภาพ ของ“พระอริยเจ้า” คือ ไม่เป็นทาสของอายตนะ ไม่เป็นบ่าว ไม่เป็น“ขี้ข้า”ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ปัญหาทั้งหลายมันอยู่ที่ เรานี่เป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
นี่ก็คือ..“เคล็ดลับ”
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง “ผู้ที่จะเป็นครูควรจะรู้ความลับของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต”
--------------------
พระพุทธองค์ทรงตรัส(พุทธวจนะ)
"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย! รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยตา เสียงอันจะพึงรู้ด้วยหู กลิ่นอันจะพึงรู้ด้วยจมูก รสอันจะพึงรู้ด้วยลิ้น โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้ด้วยกาย..ธรรมารมณ์อันจะพึงรู้ด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่..น่ารัก นี้เรียกว่า "มหาสมุทร" ในวินัยของพระอริยเจ้า โลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ส่วนมากหลงใหลติดใจอยู่ในมหาสมุทรนั้น จึงยุ่งดุจด้ายของช่างหูก เป็นปมดุจกระจุกด้าย เป็นพงดุจหญ้าปล้องและหญ้ามุงกระต่าย หาล่วงอบาย ทุคติ วินิบาต วัฏฏสงสารไปได้ไม่
บุคคลใด คลายราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้ว บุคคลนั้นชื่อว่า ข้ามมหาสมุทรนี้ ซึ่งมีทั้งสัตว์ มีทั้งผีเสื้อน้ำ มีทั้งคลื่นและภัย ที่ข้ามได้แสนยากได้แล้ว"
พระไตรปิฎกภาษาไทย
สมุทรสูตร ๑๘/๒๘๗-๒๘๘/๑๙๑
อายตนะนี้มันให้เพลินก็ได้ ให้หลงก็ได้
มันให้เกิดความรู้ มีปัญญาก็ได้
มันให้โทษและก็ให้คุณพร้อมกัน
แล้วแต่บุคคลที่จะมีปัญญา
หลวงพ่อชา สุภัทโท
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ศึกษาอย่างไร ศึกษาอารมณ์นี้
ธรรมะนี้มันเกิดที่จิต ไม่ต้องไปศึกษา
กับใครที่ไหน ศึกษาอยู่ที่เมื่อเรามี"สติ"
มันมีข้อศึกษา โพชฌังโค สติสังขาโต
ธัมมานัง วิจโย มีสติมันก็มีธัมมวิจยะ
มันติดต่อกันเสมอ มันเป็นองค์ตรัสรู้ธรรม
ถ้าเรามีสติอยู่ มันก็มีธัมมวิจยะ ไม่ได้อยู่เฉย ๆ
เป็นองค์ธรรมตรัสรู้
ถ้าอยู่ในระบบนี้ ตรัสรู้ธรรมะอยู่ตรงนี้
ภายในจิตของเรานี้ การปฏิบัติไม่มีกลางวัน
ไม่มีกลางคืน ไม่มีเวลา ไม่มีเรื่องอื่นมาปน
ปนก็ให้รู้จักว่ามันปน มีธัมมวิจยะอยู่ในใจเสมอ
คือ ซอกธรรม เฟ้นธรรมอยู่เสมอ
มีสติวิจัยธรรมอยู่ตลอดเวลา
เรื่องจิตมันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันตกกระแสของ
มันแล้ว ไม่ใช่วิจัยไปอย่างอื่น
ฉะนั้น จงพากันตั้งใจ ไม่ใช่ว่านั่งหลับตา
อย่างเดียวจึงเกิดปัญญา ตาหู จมูกลิ้น กายใจ
มันมีอยู่เสมอ ตื่นอยู่เสมอ ศีกษาตลอดเวลา
เห็นต้นไม้ เห็นสัตว์ต่าง ๆ
ก็ได้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา น้อมเข้ามาเป็น
โอปนยิกธรรม ให้เห็นชัดในตัวของเราเป็น
ปัจจัตตัง จะมีอารมณ์ภายนอกกระทบกระทั่ง
เข้ามา มันก็เป็นปัจจัตตัง สมําเสมอมันไม่ทิ้ง
"ความรู้สึก"ของผู้ประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน
จะมีความรู้สึก ดูดเข้าไปให้เป็นสัมมาทิฐิทั้งนั้น
ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น
ลิ้นลิ้มรสทั้งหลาย จะดูดเข้าไปให้เป็นสัมมาทิฐิ
ทั้งนั้น จะเป็นสัมผัสที่เกิดปัญญา
อย่างนั้นสมําเสมอตลอดเวลา
ที่ว่าเห็นธรรมปัจจุบันไม่ง่อนคลอนแคลน
คือไม่รู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในอายตนะทั้งหลาย
ที่เป็นภายนอก ภายใน ไม่เพลิดเพลินใจในสิ่งที่มากระทบ
เมื่อไม่เพลินใจ จึงได้ชื่อว่าเห็นในปัจจุบัน
โดยไม่ง่อนคลอนแคลนจิตจึงเป็นปกติ
ความเป็นปกติของจิต คือจิตรู้เท่าทันความยินดียินร้าย
ที่เกิดจากสิ่งที่มากระทบทั้งทางกายและใจ
ปกติของจิตที่มีความสุขเพราะไม่ไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด
ทรงอยู่ด้วย สติปัญญา เพราะเห็นทุกข์เห็นโทษ
เมื่อจิตถลำไหลไปจับไปเกาะเกี่ยว กับอารมณ์
แตกต่างจากสุขที่ต้องนำเข้ามา
(สุขเวทนาจากกามคุณทั้งหลาย
หรือแม้แต่สุขจากฌานที่ต้องทำเอา)
ที่ต้องแบกไว้สุขนี้เพราะวางทุกข์ลงไปจึงสุข
ตามปกติของจิตเอง...
#ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ
"เหตุมันเกิดมาจากนี้แหละ ตา หู จมูก
ลิ้น กาย ใจ เป็นเหตุแต่ละอย่างๆ พิจารณา
ให้มาก ทำให้มาก อาศัยความเพียรรักษา
กายของตน ให้เป็นทางสุจริตธรรม รักษา
ใจของตนให้เป็นทางสุจริตธรรม รักษา
วาจาของตนให้เป็นสุจริตธรรม กายบริสุทธิ์ วาจาบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ อาทิกัลยาณัง ศีลก็บริสุทธิ์ เมื่อศีลบริสุทธิ์สมาธิก็เกิด ภาวนาให้เกิดสมาธิขึ้น มัชเฌกัลยาณัง ปริโยสานกัลยาณัง รู้แจ้งเห็นจริงใน สัจจธรรม พิจารณากายพิจารณาใจนี้ เมื่อสังขารมันเกิดมันดับ
เป็น อนิจจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันเกิดอยู่อย่างนั้น มันดับอยู่อย่างนั้น รู้ที่เกิดของธรรม รู้ที่ดับของธรรมแล้วมันก็เข้าที่สงบ เท่านั้น.. "
#ธรรมโอวาท
#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
"เรานั้นแล เป็นผู้ก่อเรื่องให้ตัวเราเอง
ไม่ใช่ผู้อื่นผู้ใด
รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส
อะไรมาเป็นผู้ก่อเรื่องให้เรา
อันนั้นเป็นแต่เพียงต้นเหตุอันหนึ่ง
ที่จะให้จิตไปคิดไปยึดเอาสิ่งนั้น
แล้วมาเกิดอารมณ์เป็นข้าศึกแก่ตนเท่านั้น
ความเป็นข้าศึกอันแท้จริงก็คือ
ความคิด ความปรุง ความสำคัญมั่นหมายไปในทางที่ผิดของจิตนั้นแล จึงเป็นการสั่งสมความทุกข์ขึ้นในขณะที่จิต
คิดไปในทางที่เป็นกิเลส
ที่ท่านเรียกว่า สมุทัย เป็นเครื่องผลิตทุกข์"
(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
209...สิ่งทั้งปวง..
อะไร ชื่อว่าสิ่งทั้งปวง
คือ (๑) ตากับรูป (๒) หูกับการได้ยิน (๓) จมูกกับการดมกลิ่น (๔) ลิ้นกับรส(๕) กายกับสัมผัส (๖)ใจกับอารมภ์
สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน เป็นของมืดมน
‘ร้อนเพราะไฟ คือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ
ร้อนเพราะชาติ (ความเกิด) เพราะชรา (ความแก่) เพราะมรณะ (ความตาย) เพราะโสกะ (ความเศร้าโศก) เพราะปริเทวะ (ความคร่ำครวญ)** เพราะทุกข์ (ความทุกข์กาย) เพราะโทมนัส (ความทุกข์ใจ) เพราะอุปายาส (ความคับแค้นใจ)’ ฯลฯ
**.. อริยสาวก เมื่อได้ฟัง เข้าใจ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป การได้ยิน ดมกลิ่น รส
การสัมผัส อารมภ์….ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข หรือ ทุกข์ หรือ มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ที่เกิดขึ้น
+..หน้าที่ของเรา คือ ..กำหนดรู้ คลายกำหนัด ละ ในสิ่งทั้งปวง.
…กำหนดรู้ คลายกำหนัด ละ ทั้ง ตา รูป การรับรู้ทางตา แม้ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขหรือทุกข์หรือมิใช่สุขมิใช่
ทุกข์ที่เกิดขึ้น จากการสัมผัสทางตา
....กำหนดรู้ คลายกำหนัด ละ ทั้ง หู การได้ยิน การรับรู้ทางหู ..............................
..กำหนดรู้ คลายกำหนัด ละ ทั้ง จมูก การดมกลิ่น การรับรู้ทางจมูก ..........................
..กำหนดรู้ คลายกำหนัด ละ ทั้ง ลิ้น กาย ใจ ......................
**..คำว่า..ละ..คือ..การกำหนดรู้ อย่างมีสติ จึงไม่ยินดี ไม่เพลิดเพลิน ไม่เร่าร้อน.ในสิ่งที่มากระทบ. จึงไม่มีตัณหา มานะ และทิฏฐิ
....บุคคลใด เมื่อรู้ยิ่ง กำหนดรู้ คลายกำหนัด ละสิ่งทั้งปวงได้ ย่อมถึงความสิ้นทุกข์ได้
..***...เมื่อ ไม่กำหนดหมาย ว่า.”เป็นของเรา” ย่อมไม่ถือมั่น.. เมื่อไม่ถือมั่น..ก็ไม่สะดุ้งกลัว.. เมื่อไม่สะดุ้งกลัว ..ย่อมดับ
" ความคิด
ความรู้สึก
มัน จะวิ่งไป วิ่งมาอยู่อย่างนั้น
แม้...เราจะพยายามฝึกปฏิบัติ
พยายาม ให้มันสงบ
มัน ก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
มัน จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
เมื่อเราติดตามพิจารณา ดูธรรมชาติของใจ
อยู่บ่อย ๆ ก็ค่อย ๆเข้าใจว่า...
ธรรมชาติของใจ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
มัน จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
ถ้าเราเห็น(ความเป็นจริง)อันนี้ชัด
เรา ก็ทิ้ง
ความคิด
ความรู้สึก อย่างนี้ได้
ทีนี้ ก็ไม่ต้องคิดนั่น คิดนี่อีก
คอยแต่บอกตัวเองอย่างเดียวว่า...
มัน...
เป็นของมัน อย่างนั้นเอง(ความคิด-
ความรู้สึก)."
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ไม่รู้ตัวว่ากำลังคุยกับพระพุทธเจ้าอยู่~
(เค้าเรื่องกามนิต-วาสิฏฐี)
[ณ แคว้นมคธ กรุงราชคฤห์ พระพุทธเจ้าขอเข้าพักในโรงหม้อของนายช่างหม้อชื่อภัคควะ นายช่างว่าไม่ขัดข้อง แต่ตอนนี้มีนักบวชคนหนึ่ง (ชื่อปุกกุสาติ) เข้าไปพักอยู่ก่อนแล้ว ถ้าท่านนั้นอนุญาต ก็เชิญพักได้ตามสบาย]
พ: ภิกษุ ถ้าท่านไม่หนักใจ เราจะขอพักที่นี่ด้วยหนึ่งคืน
ป: ท่านผู้มีอายุ (คำเรียกขานที่ภิกษุแก่พรรษากว่าเรียกภิกษุที่อ่อนพรรษากว่า) ที่นี่กว้างขวาง เชิญท่านพักตามสบายเถิด
[หลังจากที่ทั้งสองได้นั่งสมาธิเงียบๆเป็นเวลานาน พระพุทธเจ้าก็คิดว่าคนๆนี้ดูน่าเลื่อมใส จึงเริ่มชวนคุย]
พ: ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบธรรมะของใคร?
ป: พระพุทธเจ้าคือศาสดาของข้า ข้าชอบธรรมะของท่าน
พ: ตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านนั้นอยู่ที่ไหน?
ป: อยู่ที่กรุงสาวัตถี
พ: ท่านเคยเห็นพระพุทธเจ้าไหม? ถ้าเห็นแล้วจะรู้จักไหม?
ป: ข้าไม่เคยเห็น ถึงเห็นก็ไม่รู้จัก
[พระพุทธเจ้านึกในใจว่าคนคนนี้บวชเพราะเรา เราควรแสดงธรรมแก่เขา]
พ: เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน จงตั้งใจฟัง
ป: ดีแล้วท่านผู้มีอายุ
พ: ภิกษุ ธาตุทั้ง 6 คือดิน (อวัยวะต่างๆ) น้ำ (เลือด น้ำในตัว) ไฟ (ความร้อน ความอบอุ่น) ลม (ลมหายใจ ลมในตัว) อากาศ (ช่องว่างในตัว) ล้วนไม่ใช่ตัวเราของเรา บังคับไม่ได้ ไม่มีตัวตน
เมื่อเห็นความจริงนี้แล้ว ก็จะเบื่อหน่ายและคลายความยึดมั่นถือมั่น
>สิ่งที่จะเหลืออยู่คือ การรับรู้ (วิญญาณ) คือรู้ว่ากำลังสุข กำลังทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ก็เกิดจากสิ่งที่เข้ามากระทบ (ผัสสะ) หากสิ่งนั้นดับไป ความรู้สึกก็หมดไป เกิดความสงบขึ้น
ต่อจากนั้น สิ่งที่เหลืออยู่คือ"จิตที่วางเฉย (อุเบกขา)" อันบริสุทธิ์ ไม่คิด ไม่ยึดติด ไม่ถือว่ามีตัวมีตน กิเลสหมดแล้ว ย่อมไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตายอีก
[ถึงตอนนี้ ปุกกุสาติรู้ตัวแล้วว่ากำลังฟังพระพุทธเจ้าอยู่ จึงได้กราบเท้าและขออภัยท่านที่เรียกท่านว่าผู้มีอายุ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ให้อภัย]
ป: ขอให้ข้าพเจ้าได้บวชในสำนักของท่านเถิด
พ: เธอมีบาตรและจีวรครบแล้วหรือ?
ป: ยังไม่ครบท่าน
พ: ถ้างั้นก็ยังบวชไม่ได้
[ปุกกุสาติจึงออกไปหาบาตรจีวร แต่ในระหว่างนั้นเองก็ถูกแม่โคฆ่าตาย ภิกษุที่ทราบข่าวจึงถามพระพุทธเจ้าว่า ปุกกุสาติจะไปเกิดที่ไหน]
พ: ปุกกุสาติบรรลุธรรม ไปเกิดเป็นเทพ เพราะหมดกิเลสรัดรึงใจให้อยู่กับทุกข์ขั้นต่ำ 5 ข้อ (สิ้นสัญโญชน์เบื้องต่ำ 5 ข้อ คือ 1.ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวมีตน 2.ไม่ลังเลสงสัยในพระธรรม 3.ไม่ยึดถือข้อบังคับปฏิบัติที่งมงายผิดๆตามๆกันมาโดยขาดปัญญา 4.ไม่รักใคร่ปรารถนาในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และ 5.ไม่หงุดหงิดขุ่นข้องใจ)
จะปรินิพพานในโลกนั้น ไม่กลับมาเกิดอีก...
___________
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 23 (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ภาค 3 เล่ม 2 ธาตุวิภังคสูตร), 2559, น.312-325
เหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดรับรู้สิ่งกระทบเข้าสู่จิตทั้ง 5 ทาง >
หรือที่เรียกว่า "วิถีจิตทางปัญจทวาร" ซึ่งมีดังนี้
o จักขุทวารวิถี (ทางตา) อาศัยธรรม 4 ประการ ได้แก่
▪จักขุปสาท(มีประสาทตาดี)
▪รูปารมณ์(มีวัตถุสิ่งของที่มองเห็น)
▪อาโลก(มีแสงสว่าง)
▪มนสิการ(มีความใส่ใจต่อการดู)
o โสตทวารวิถี (ทางหู) อาศัยธรรม 4 ประการ ได้แก่
▪โสตปสาท(มีประสาทหูดี)
▪สัททารมณ์(มีเสียงมาปรากฏ)
▪อากาศ(มีช่องว่างของหู)
▪มนสิการ(มีความใส่ใจต่อการฟัง)
o ฆานทวารวิถี (ทางจมูก) อาศัยธรรม 4 ประการ ได้แก่
▪ฆานปสาท (มีประสาทจมูกดี)
▪คันธารมณ์ (มีกลิ่นมาปรากฏ)
▪วาโย (มีลม)
▪มนสิการ (มีความใส่ใจต่อการรับรู้กลิ่น)
o ชิวหาทวารวิถี (ทางลิ้น) อาศัยธรรม 4 ประการ ได้แก่
▪ชิวหาปสาท (มีประสาทลิ้นดี)
▪รสารมณ์ (มีรสมาปรากฏ)
▪อาโป (มีน้ำ)
▪มนสิการ (มีความใส่ใจต่อการรับรู้รส)
o กายทวารวิถี (ทางกาย) อาศัยธรรม 4 ประการ ได้แก่
▪กายปสาท (มีกายประสาทดี)
▪โผฏฐัพพารมณ์ (มีผัสสะต่าง ๆ ได้แก่ เย็น ร้อน แข็ง หย่อน ตึง มากระทบกาย)
▪ถัทธ (มีปถวี -พื้นผิวสัมผัส)
▪มนสิการ (มีความใส่ใจในการรับรู้อารมณ์)
》เราจะสังเกตว่า บางทีเราไม่ได้ยินเสียงที่คนอื่นพูด เพราะไม่ครบองค์ประกอบทางโสตทวารวิถี เช่น ขาด มนสิการ(มีความใส่ใจต่อการฟัง) เป็นต้น
บ่วงของมารได้แก่อะไร อาการของจิต
ที่เที่ยวไปตามอารมณ์นั้น ย่อมมีทั้ง
อารมณ์ดี และอารมณ์ร้าย
จึงต้องมีความสุขบ้างทุกข์บ้างเป็นธรรมดา
ตามวิสัยของปุถุชน จิตที่เที่ยวไปนั้น
จะต้องประสบของ ๕ อย่าง
คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ
ซึ่งเรียกว่า กามคุณ ๕
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นบ่วงของมาร
จิตของปุถุชนทั้งหลายเมื่อเที่ยวไป
ประสบอารมณ์ทั้ง ๕ นั้น หรือเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทำให้เกิดความยินดีพอใจก็ดีหรือเกิดความเสียใจ
เป็นทุกข์ก็ดี เรียกว่าเข้าไปติดบ่วงของมารแล้ว
คำว่า “ติด” ในที่นี้ หมายความว่า สลัดไม่ออก
ปล่อยวางไม่ได้ บ่วงของมารผูกหลวม ๆ
แต่แก้ไม่ได้ ถ้าดิ้นก็ยิ่งแต่จะรัดแน่นเข้า
จิตที่สำรวมได้แล้วจะพ้นจากบ่วงของมารได้อย่างไร
ปุถุชนเบื้องต้นเมื่อเห็นโทษภัย ในการเข้าไป
ติดบ่วงของมารแล้ว จึงต้องพึงสำรวม
ในอายตนะทั้งหลาย มีตา หู เป็นต้น
พระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
ใครสำรวมจิตได้แล้ว จักพ้นจากเครื่องผูกของมารดังนี้
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นโคจรที่เที่ยว
แสวงหาอารมณ์ของจิต เมื่อเราปิดคือ
สำรวมมีสติ ระวังอย่าให้จิตหลงไป
ในอารมณ์ทั้ง ๖ นั้นได้แล้ว
เป็นอันว่ามารผูกมัดเราด้วยบ่วงไม่ได้
________________________
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
มหาตัณหาสังขยสูตร
.ภิกษุ.. *#รู้แจ้ง* ธรรมารมณ์ #ด้วยใจ แล้ว
ย่อมไม่กำหนัดในธรรมารมณ์ที่ #น่ารัก
ย่อมไม่ขัดเคืองในธรรมารมณ์ที่ #น่าชัง
.
เป็นผู้มีสติในกาย #ตั้งมั่น
และมีจิตหาประมาณมิได้อยู่
ย่อมทราบชัดเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุติ
อันเป็นที่ดับหมด
แห่งอกุศลธรรมอันลามก #ตามความเป็นจริง
.
เธอละ #ความยินดียินร้าย อย่างนี้แล้ว
เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็น #สุข ก็ดี
เป็น #ทุกข์ ก็ดี
#มิใช่ทุกข์มิใช่สุข ก็ดี
ก็ #ไม่เพลิดเพลิน
#ไม่บ่นถึง
#ไม่ติดใจเวทนานั้น
.
เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน
ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนานั้นอยู่
.
#ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายก็ดับไป
#เพราะความเพลิดเพลินดับ
....#อุปาทานก็ดับ ....#ภพก็ดับ
เพราะภพดับ ชาติก็ดับ
เพราะชาติดับ
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
โทมนัส และอุปายาสของภิกษุนั้นก็ดับ
.
#ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น
............................. #ย่อมมีได้อย่างนี้ ‼️
**มหาตัณหาสังขยสูตร**
ว่าด้วย : อายตนะ
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๑๒/๔๕๘/๓๔๗-๓๔๘