เพียงแค่ดับความรู้สึกว่า
มีตัวตน ของตน เสียได้
วัฎฎะสงสารนี้มันก็ไร้ความหมาย
*จอมปราชญ์*
ให้มันเป็นความรู้สึกของจิต
แต่อย่าให้มันเป็นความรู้สึกของตน
*จอมปราชญ์*
*จอมปราชญ์*
เพียงแค่ไม่มีอุปทานอัตตาตัวตนของตนเท่านั้น
ทุกๆสรรพมันย่อมว่างเปล่าของมันเองอยู่ดังนั้น
*จอมปราชญ์*
เพียงแค่ไม่ยึด จึงไม่ต้องมาละ
ให้มันมีแต่วัฎะสงสารของผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้
แต่อย่าให้มันมีความรู้สึกว่ามันมีเรา
ในวัฎฎะสงสารนั้นเลย
แล้วจะรู้สึกสบายๆกับทุกข์นาๆประการของวัฎฎะ
หากไม่มีความรู้สึกว่ามีเราไปกดดัน
กับความทุกข์ของวัฎฎะตรงนั้น
*จอมปราชญ์*
หากจิตใจยังมีอุปทานความเป็นตัวเป็นตนอยู่
จิตใจมันก็จะอดดีดดิ้นไม่ได้เลย
หากเมื่อใด จิตใจมันกระทบเข้ากับอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่ง
แต่ถ้าหากจิตใจมันหมดความเป็นตัวเป็นตนในในกายเวทนาจิตธรรมเสียแล้ว
จิตใจมันก็จะไม่มีอาการ ดีดดิ้นไปตามอารมณ์ผัสสะใดๆอีกเลย
ปล่อยให้ทุกข์มันมีความเป็นอิสระ
ในการเกิดของมันเอง
โดยไม่มีเราคอยไปควบคุม หรือไปจัดสรรณปั้นแต่งกับอารมณ์ทุกข์ตรงนั้นเลย
*จอมปราชญ์*
คนส่วนมาก เขาเข้าใจใน
อนิจจัง ทุกข์ขังอนัตตา ได้ดีพอสมควร
แต่เขานั้นกลับเข้าใจได้ไม่ถึงที่สุดในธรรม3สภาวะนี้
มันจึงไม่อาจ.สามารถ จะ
ปลดปลงปล่อยวางให้ ระบบ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา
ทำงานของมันเองได้
จึงเกิดอัตตาอุปทาน
เกิดความรู้สึก เป็นตัวเป็นตน ของตนเข้าไป กระทำ
เข้าไปหลง ก้าวก่ายในระบบ
อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา อยู่ตลอดเวลา
จิตใจนี้ มันจึงเกิดมีอัตตา อุปทาน ไปกดทับสภาวะ
อยู่ในจิต อยู่ในใจ
ในรูป ในนาม
อยู่เช่นนั้นเองท่านทั้งหลาย
*จอมปราชญ์*
*พระศรีสุริยะ พญาธรรมมิกราช*
ใจเป็นความว่างเปล่า จากการปรากฎ
เมื่อความว่างเปล่ามันไร้ในการปรากฎ
แล้วจิตที่มันเป็นความว่างอีกชนิดหนึ่ง
ที่มันมีธรรมชาติในการปรากฏเกิดดับอยู่ตลอดเวลาของมันเอง
แล้วลูกจะเอาจิตวัฎฎะที่มันปรากฏเกิดดับ
ไปหลงปฎิบัติหาใจอนัตตานิพพาน
ที่แปลว่าการไม่ปรากโ
ได้อย่างใดกันหนอลูกเอ๋ย
ใจอนัตตามหานิพพานนั้น
มันก็เป็นอีกสิ่งสิ่งหนึ่ง
ที่มันอยู่นอกเหนือการปรากฏของรูปและนาม
อันเป็นมิติวัฎฏะสงสาร
การเรียนรู้ธรรมนั้น
มันคือการเรียนรู้เพื่อความเข้าใจตามความเป็นจริงเท่านั้นนะลูก
เมื่อลูกรู้ได้ตามความเป็นจริงแล้วว่า
มายาจิตผู้รู้และมายาสิ่งที่ถูกรู้นั้น
มันมีธรรมชาติในการเกิดๆดับๆ
ของมันเองอยู่แบบนั้นของมันเอง
ลูกจะไปใช้ตัณหาอุปทาน
ไปหลงยึด ไปหลงหักห้าม ไปหลงปรุงแต่ง
กับมันไม่ได้เลยนะลูก
เพราะมันจะเสียเวลาเสียเปล่าๆเท่านั้นเอง
และโดยที่สุดแล้วเมื่อลูกรู้ได้ตามความเป็นจริงแล้วว่า
ในมายารู้นามแห่งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้นั้น
มันไม่มีตัวตนของตนแบบไหนอย่างใดเลย
แม้แต่น้อย
ในคลื่นมายาอันเป็นวังวน ของมหาสังสารวัฏนั้น
เมื่อเรารู้แล้วว่าจิตไม่ไช่ตัวตนแล้ว
เมื่อรู้ว่าจิตคือแสงคลื่นมายาวัฎฏะแล้ว
ลูกก็จงปล่อยให้คลื่นแสงของมายาจิต
และมายาผัสสะอันเป็นรูปสัมผัสนั้นๆ
มันปรากฎขึ้นมาของมันเอง
แล้วก็ปล่อยให้มายามันดับไปของมันเอง
โดยไม่ไปหลงว่ามีจิตเป็นตัวเป็นตนของตน
ไม่มีความรู้สึกว่ามีจิตของตน
จะไปรับรู้สิ่งใดๆอีกเลยแม้แต่ขณะจิตเดียว
เห็นเป็นแต่เรื่องของจิตที่เป็นจิตวัฎฏะของมันเอง
มันเห็นเองมันรู้เองด้วยกำลังของวัฎฏะล้วนๆ
แต่จิตมันไม่ใช่เรา
ลูกจงเห็นด้วยปัญญาญาณอันแจ่มแจ้งนั้นเถิดว่า
คลื่นแสงมายาวัฎฏะทั้งหมด
ที่มันปรากฎขึ้นมาทุกๆขณะจิตนั้น
มันไม่มีความเป็นตัวตนของลูกเลย
แม้แต่ขณะจิตเดียว
เมื่อลูกรู้แจ้งได้ดั่งนี้แล้ว การที่ลูกจะไปหลงจัดแจง
อารมณ์ความรู้สึกของวัฎฎะรูปนามนั้น
มันก็จะไม่ปรากฎขึ้นมาเป็นลักษณะของความรู้สึกว่า
มีตัวตนของตนอยู่ในจิตตรงนั้นเลย
เมื่อลูกรู้ได้ดั่งนี้แล้วว่า
มันไม่มีตัวตนของตนใดๆเลยในรูปนาม
อันเป็นคลื่นวัฎฎะนี้แล้ว
ลูกก็จะรู้ได้ทันทีว่าแท้ที่จริงแล้ว
วัฎฎะสงสารอันเกิดดับนี้
ไม่ต้องไปหลงดับให้มันแบบไหนอย่างใดเลย
แต่ให้ลูกย้อนกับมาดับอุปทานที่หลงไปมีตัว มีตนในวัฎฏะสงสารนั้นต่างหากเล่า
เมื่อพ่อสาธยายความจริงให้ลูกเข้าใจได้ดั่งนี้แล้ว
ลูกจะถามพ่ออีกไหมเล่าว่าพ่อจะให้ลูกปฏิบัติไปในแนวใด ในขั้นใดๆอีกหรือไม่
พ่อหวังว่าลูกอ่านจบลูกคงได้คำตอบนั้นแล้ว
*จอมปราชญ์
จิตตื่นมารู้แจ้งอารมณ์กรรม ของรูปนาม ปรมัตถ์
ไม่ไช่จิตตื่นมาหลงอารมณ์กรรม รูปนาม ปรมัตถ์ อันใดเลย
*จอมปราชญ์*
จงมองทุกข์ ให้เป็นของว่าง
เมื่อมองเห็นทุกข์ เป็นของว่างได้แล้ว
ความกังวนในทุกข์
ความหลง เกาะยึดติดในทุกข์
มันก็จะคลายหายออกไปจากจิตจากใจดวงนี้ทันที ท่านทั้งหลาย
(นี้คือวิธี ดับอุปทานทุกข์ ในจิตใจนี้)
*จอมปราชญ์*
มีแต่ธรรมชาติ - อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ทำงาน
แต่ ไม่มีเรา
*จอมปราชญ์*
แม้จะรู้ธรรมหรือไม่รู้ธรรม ก็ตามที
แต่ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา
มันก็จะยังคง ทำงานของมันอยู่อย่างนั้น
ตลอดไป ในวัฎฎะสงสารนี้
....เมื่อเข้าใจธรรมชาติได้ดั่งนี้....
(ความกังวล)
(ความสงบ)
(ความไม่สงบ)
(ก็ไม่ต้องถามหามันอีกต่อไป)
*จอมปราชญ์*
บทธรรมบทนี้พ่อลึกซึ้งกับมันมาก
มันช้วยให้เราเกิดการ "ทอดธุระในจิตใจ" ได้อย่างเต็มที่
" มันยกภาระ " ให้กับอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา
จนหมดเกลี่ยงเลยทีเดียว
หากตัวตนของเรานี้มันไม่ได้มีอยู่จริง
การรับรู้ของจิตใจ มันก็ไม่ได้มี
สาระประโยชน์อันใดอีกเลย แม้แต่ขณะจิตเดียว
*จอมปราชญ์*
โลกุตรศีลเป็นความงดงามของกาย
โลกุตรสมาธิเป็นความงดงามของจิต
โลกกุตรปัญญาเป็นความงดงามของใจ
*จอมปราชญ์*
ก็เหมือนเรากินข้าวทำไมจะไม่รู้เล่าว่า
เราอิ่มมากหรืออิ่มน้อย หรือว่ายังไม่อิ่ม
จิตที่เป็นสมาธิในระดับไหน เราก็จะสามารถ รู้ได้เวลาผัสสะมันเข้ามากระทบจิตใจ
ปัญญาจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อผัสสะกระทบ
แล้วหลงเกิดอุปทานขึ้นมาในจิตในใจ
ปัญญาญาญจะเท่าทันผัสสะอนิจจังทุกข์อนัตตาตรงนั้นใหม
วิมุติจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมันมีคลื่นมายาวัฎฎะปรากขึ้นมา
แต่กลับไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวตนของตนในคลื่นมายาวัฎฎะตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย
*จอมปราชญ์*
จิตไร้เจตนา ในการอ่านค่าความหมายของ
(รูปนาม)ของมายาโลก นั้นคือจิตปรมัติสูงสุด
*จอมปราชญ์*
หากไม่เอาจิตไปให้ค่าความหมายในจิตว่าเป็นแบบไหนอย่างไร
หากไม่เอาจิตไปให้ค่าความหมายในสิ่งที่ถูกรู้
ในมายาคลื่นแห่งการเกิดดับ
มันก็จะไม่มีความรู้สึกว่ามีใครมาเกิดหรือมีใครมาตายเลย
มันจะไม่มีใครออกนอกบ้านเดิมแท้
หรือมีใครกลับเข้าบ้านเดิมแท้แต่อย่างใดเลย
มันจะไร้ซึ้งรูปเสียงกลิ่นรสโผฐัพภะธรรมมารมณ์
มันจะไร้ตาหูจมูกลิ้นกายจิต
มันจะไม่มีระบบประสาทสัมผัสใดๆเลย
มันจะไม่มีขันธ์ทั้ง5
มันจะไม่มีใจของใครๆอีกต่อไป
มันจะไร้ซึ้งวัฎฎะสงสาร
แม้พระนิพพานนั้นด้วย
หากไม่หลงเอาจิตไปให้ค่าความหมายในรู้นาม
แห่งการปรากฏเกิดดับตรงนั้นเลย
*จอมปราชญ์*
มีแต่วัฎฎะเท่านั้นที่มันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
แต่ในวัฎฎะที่มันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปนั้น
ปรากฎว่ามันไม่เคยมีความเป็นเราเลยแม้แต่สักเท่าเม็ดหินเม็ดทราย
นอกเสียจากความหลงของพลังงานของอวิชาเท่านั้น
ที่มันจะพยามสร้างความหลงเป็นตัวเป็นตนออกมาแข่งดีต่อสู่
ในการยึดมั่นถือมั่นเอามายาวัฎฎะที่เกิดดับนั้นว่าเป็นตัวตนของตนดั่งนี่
*จอมปราชญ์*
จงละความยึดมั่นถือมั่น
ในวัฎฎะจักแห่งการเกิดดับของ จิตผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้
*จอมปราชญ์*
ประตูวัฎฎะคือจิตนี้ มันล่ออยู่ตรงหน้านี้แล้ว
หากใจไม่เข้าใจความจริงตรงนี้
ใจก็จะไปหลงประตูที่มันบังใจนี้ไว้
หากใจหลงก็จะกลายไปเป็นใจวัฎฎะในทันที
*จอมปราชญ์
หากใจไม่หลงยึดจิต
หากใจไม่หลงยึดโลก
ใจก็จะสงบตลอดไป
*จอมปราชญ์*
ทุกๆวันนี้มันหลงมีเราไปเป็นทุกข์
ก็เพราะเหตุที่ว่า
เราไม่ยอมให้ระบบ
อนิจจัง
ทุกข์ขัง
อนัตตา
มันทำงานของมันเอง
มันก็เลยมีแต่เราไปหลงดีดดิ้นใน3มายานี้
หลงมีเราไปต่อสู้กับ3มายานี้
หลงมีเราไปยึดมั่นถือมั่นใน3มายานี้
หลงมีเราไปทำการทำงานแทน3มายาแห่ง
อนิจจัง
ทุกข์ขัง
อนัตตา
อยู่ตลอดเวลา
เราไม่ยอมวางความรู้สึกว่ามีเราลงเสียนั่นเอง
เมื่อมันมีความรู้สึกว่ามีเรา
มันก็เลยเกิดอาการในลักษณะ
ที่เรียกว่าความรู้สึกว่าเป็นเรา
ไปหลงทำหน้าที่แทนระบบมายาไตรลักษณ์
ที่มันเป็น "มายา" (อนิจจัง)( ทุกข์ขัง)(นัตตา)
แทนที่จะให้(อนิจจัง)( ทุกข์ขัง)( อนัตตา) มันทำงานของมันเอง
*จอมปราชญ์*
อย่ากังวนกับความรู้สึก
ของอารมณ์ที่จิตรับรู้
เพราะอารมณ์ความรู้สึกของจิต
อารมณ์ของมายาขันธ์ทั้ง5
มันมีวิถีในการเกิดดับไปของมันเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
*จอมปราชญ์*
อย่าได้ไปหลงไล่ดับอารมณ์ของวัฎฎะ
ที่มันเกิดดับตรงนั้นเลยท่านทั้งหลาย
จงพากันดับความหลงที่คิดว่ามีตัวตนของตน
ที่ไปเที่ยวหลงเกิดดับในวัฎฏะตรงนั้น
ดูมันจะประเสริจเสียยิ้งกว่าเป็นแน้แท้ท่านทั้งหลาย
*จอมปราชญ์*
🔷(((#เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน)))🔷
***#รู้แจ้งใน #ปฎิจจสมุปบาท***
ธรรม อันเกิดจากจิตของพ่อครูในปี พ.ศ.2542
#ธรรมชาติของใจอันเป็นอนัตตานั้น
มีสภาพไม่สามารถจะปรากกฎตัวตนแห่งตน ในแบบชนิดอัตตาหรือวัตถุแห่งตนแบบไหนอย่างใด ขึ้นมาได้เลย
#แต่สิ่งที่จะปรากฎขึ้นมาในอนัตตาของปุถุชน มันคืออนัตตาในสภาพของอารมณ์ ชนิดที่เป็นคลื่นของอัตตาอุปทานแห่งความหลง #แบบอัตตาวัตถุในคลื่นมายาแห่งความรู้สึกของจิตมายา คือ นามขันธ์อันเป็นผู้รู้ หรือวิญญาณจิต #ที่หลงว่ามีตัวตนของตน
#ที่ถูกความหลง #ของใจโดยอาศัยตัวจิต เจ้าอวิชา #มันได้หลงสร้างความคิดนึกและรู้สึกว่ามีอัตตาตัวตนว่ามีตนแห่งตนขึ้นมาแทนตัวอนัตตาใจ #ในใจมหานิพพานอันว่างเปล่าๆนั้น
#จึงทำให้ใจอนัตตาเกิดมีเนื้อหาความรู้สึกเป็นตัวอัตตาถาวรวัตถุธาตุแบบหลงว่ามีตัว แบบหลงว่ามีตนของตนในจิตนี้ ในใจนี้ ในกายธาตุ4นี้อยู่เสมอๆ
ในความหลงแบบชนิดที่เป็นวสีอันรวดเร็วแบบปรุงแต่งไต่ต่อแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่องอยู่มิหยุดมิหย่อน ในความรู้สึกของจิตใจจนเกิดการตกตะกอน
#เป็นอุปทาน #ในความรู้สึกในความเห็นแบบผิดๆ #จนมันได้พัฒนา #จนได้กลายมาเป็นปมแห่งความคิดปมแห่งความผิดพลาดจนให้อภัยไม่ได้
#จึงต้องถูกลงโทษ #โดนลงฑัณฑ์จากสิ่งที่ตนหลงดำริมีเจตนากรรมแบบผิดๆเกิดความเห็นเป็นมิจฉาฐิทิ #จึงถูกกระแสแรงเหวี่ยงสะท้อนมิติในการลงทัณฑ์แห่งมายากรรมวัฎฎะสงสารแบบสาสม ตามกฎธรรมชาติของวัฎฎะสงสารเป็นมายาของสังสารวัฎสังสารจักรนี้
#ทำให้เกิดมีระบบการเชื่อมต่อในระบบของตัวเจตนาของกรรมดี #และกรรมชั่ว #แล้วก็เกิดการยึดมั่นถือมั่นประทับไว้ให้ตราตรึง #ไว้ในจิตใจส่วนลึกภายในใจนี้
#แล้วจึงเกิดการโพล่งแสงแห่งเจตสิก #อันเป็นระบบของจิตผู้รู้อันเป็นเครื่องมือของใจภายในนั้นตามธรรมชาติ #ที่คล้ายๆกับแสงของไฟฉาย #ที่มีธรรมชาติในการส่องแสงสว่างออกไปแต่ภายนอกอยู่เสมอๆ
#แสงแห่งไฟฉายตามปกติแล้วไม่เคยมีตัวเจตนา #ที่จะส่องแสงสว่างออกไปภายนอกเลย.และไม่มีเจตนาที่จะส่องแสงเพื่อย้อนแสงสว่างให้กลับคืนมาหา
กระทบกระบอกของไฟฉายได้เลย
โดยตามหลักของกฎของธรรมชาติเช่นนั้นเอง
แสงของไฟฉายจึงไม่มีสภาพของการดำริเลย แต่เป็นแบบไร้ๆ คือไร้มิติในตัวเจตนาในแสงของมันเอง
และฉันใดก็ฉันนั้น ตามหลักความเป็นจริงแบบเดียวกันระหว่างแสงของไฟฉาย กับสภาพของแสงแห่งจิต อันเป็นเครื่องมือในการรับรู้ของใจ #หรือสภาพแบบจิตใจ #แบบพุทธะดั่งเดิมแท้ๆนั้น มันก็เป็นเหมือนกับระบบแบบเดียวกับไฟฉายเหมือนกันเลย
#แต่มันก็จะแตกต่างกันบ้างก็ตรงที่ว่าแสงสว่างของไฟฉาย #มันไม่สามารถจะมีระบบ #ของขันธ์5ได้ครบสมบูรณ์
#จะมีได้แค่เพียงระบบของรูปขันธ์กับธาตุ4เพียงแค่นั้นเอง
#ขาดเวทนาขันธ์
#ขาดสัญญาขันธ์
#ขาดจิตสังขารขันธ์
#ขาดวิญญาณขันธ์
#และที่สำคัญคือขาดอายตนะจิตหรือผู้รู้ แต่นอกนั้นเหมือนกันหมดเลย
จิตดวงนี้จึงมีวิสัยโพล่งแสงออกไปแต่เฉพาะภายนอกแล้วกระทบเข้ากับในทุกๆสรรพสิ่งในมายาวัฎฎะสงสารนี้
อันเป็นอายตนะภายนอกทั้ง.6.อันมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฐัพภะ ธรรมมารมณ์ภายนอก
เมื่อผัสสะอันเป็นอายตนะภายนอกเข้ามากระทบกับอายตนะภายในอีก6
คือ มีตา.หู.จมูก.ลิ้น.กาย.จิต.จนทำให้เกิดประกายคลื่นวิญญาณรู้ขึ้นมา
ทางตาเป็นจักขุวิญญาณ
ทางหูเป็นโสตะวิญญาณ
ทางจมูกเป็นนาฆะวิญญาณ
ทางลิ้นเป็นชิวหาวิญญาณ
ทางกายเป็นโผฐัพภะวิญญาณ
จนทำให้เกิดสภาวะกลายมาเป็นมิติขันธ์ทั้ง5 เป็นธรรมมารมณ์แห่งขันธ์ปรมัตถ์สัจจะ
อายตนะภายใน6.รวมกับอายตนะภายนอก6 มารวมกันแล้ว กลายมาเป็น อายตนะ12. บวกกับคลื่นสะท้อนของวิญญาณสัมผัสทั้งอีก6 เป็น อายะ18
หากจะรวมเข้ากับด้านกุศล+อกุศล และด้าน ธรรมกลางๆอีก
มันจึงเกิดการชวณะเป็น
ธรรมมารมณ์ภายในจิตของผู้รู้
จึงมาเป็นแรงสะท้อนของมโนวิญญาณในการรับรู้ในอารมณ์+กับชวณะในความรู้สึกภายในจิตใจนี้
แต่มโนวิญญาณนั้นไม่ใช่ใจภายใน แต่เป็นเพียงแค่จิตตัวนอกอันเป็นเครื่องมือในการรู้ในการรับรู้กับสภาวะของอารมณ์กรรมต่างๆของใจภายใน
ไปเฉยๆเท่านั้นเอง
*จะมากล่าวว่าวิญญาณเป็นใจนั้นก็หามิได้*
และเมื่อตัวจิตตัวนอกของมันเองนั้นมันก็มิไม่เคยมีแม้แต่สักคราเดียวที่ตัวของมันเองจะสามารถจะสำเหนียกเห็นตัวตนที่แท้จริงของมันเองได้เลย ก็เพราะมันเป็นนามธรรม ที่ไร้ตัวตน เป็นเพียงแค่ คลื่นแสงมิติ ในการเชื่อมต่อ กับวัฎฎะสงสารเท่านั้นเอง
ก็เพราะวิสัยแห่งความจริงของจิตภายนอกนี้เอง เขาก็จะมีแต่ธรรมชาติตามปกติในการส่งคลื่นของแสงสว่างออกไปแต่ภายนอกตลอดเวลาตามหลักปกติ ตามหลักของธรรมชาติของเขาแบบนั้นเอง
ดวงจิตดวงนี้เขาจึงมีสภาพในแต่ละขณะที่สะท้อนคลื่นของแสงแผ่ออกไปกระทบกับมายาวัฎฎะนั้นๆ แบบรวดเร็วประหนึ่งว่าภายใน..1นาทีที่.ออกไปกระทบกับธรรมชาติภายนอกจิตถึง..1.ล้านขณะ
#แล้วก็ทำให้เกิดการสะท้อนในผัสสะเป็นการชวณะในการจุดชนวน ทำให้เกิดประกายคลื่นสะท้อนแสงมิติเป็นประกายของกระแสของวิญญาณในผู้รู้ขึ้นมาในระบบของการสั่นสะเทือนแห่งแสง สี เสียง กลิ่น .รส โผฐัพภะ ธรรมมารณ์ ในการสะท้อนย้อนตีกลับคืนในอณูคลื่น เพื่อย้อนกลับคืนส่งมาสัมผัสกระทบในจิตนอกคือผู้รู้นี้ แล้วส่งข้อมูลคลื่นแสงสะท้อนอารมณ์ขันธ์ทั้ง5อันเป็นมิติกรรมไปให้ใจภายในนี้เท่านั้นเอง
และในตัวของจิตผู้รู้นี้ เขาจึงเกิดการใช้คุณสมบัติของตัวสัมประชัญญะ อันเป็นคลื่นความถี่สูงในแบบอออโตเมติกส์ ในชนิดแบบธรรมชาติของเขาเอง ในการเอ็กซ์เรย์แปลรหัสข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
ถึง1ล้านขณะ ในแต่ละ1นาที จนเกิดสามารถในการปรากฎภาพนิมิตแห่งการสัมผัสรู้ให้เป็น รูป เสียง กลิ่น รส โผฐัพภะ และ ธรรมรมณ์ได้
เมื่อจิตสัมผัสเห็นสิ่งต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้นมาแบบนั้น จึงเกิดการสั่นสะเทือนในหลักการกระทบ จึงเกิดระบบของเครื่องมือของดวงใจขึ้นมาในการทำงานร่วมกัน
อันเป็นระบบของการแตกตัวออกของเจตสิกปรมัตถ์ จนกลายมาเป็นขันธ์5 เกิดการเชื่อมต่อกัน กลายมาเป็น รูป สัมผัสภายในจิตแห่งผัสสะของวิญญาณรู้
แล้วก็เป็นขันธ์ตัวที่.2.ก็คือเวทนา3 และ+ผลของเวทนาเข้าไปอีก.2 เป็นเวทนา5
#มีสุขเวทนา คือความสุข
#ทุกข์เวทนา คือความทุกข์
#อุเบกขาเวทนา คือเฉยๆ
#โสมนัสสะเวทนา คือ ความยินดี คือ
กามะสุขาณิโยโค เป็นทางอันย่อหย่อนในสภาวะจิตนี้
#โทมนัสสะเวทนา ความยินร้าย คือ
อัตตกิลมถานุโยโค อันเป็นทางสายเคร่งตึงในสภาวะจิตนี้
รวมแล้วจึงได้กลายมาเป็นเวทนาทั้ง.5....
และสัญญาขันธ์ความจำได้หมายรู้ของสื่อของความจำที่ได้เล่าเรียนในสมมุติบัญญัติมา การจดจำมา อันเป็นสัญญากรรมเผ่าพันธ์
และจิตตะสังขารขันธ์ คือความคำนึงตรึกตรองหรือความคิดนึกปรุงแต่งอัตโนมัติของจิตสังขารขันธ์นั้นเอง
และวิญญาณขันธ์ คือการสามารถในการรับรู้ในผัสสะของมโนวิญญาณของจิตผู้รู้.หรืออาการแปลรหัสรู้ของเจตสิกของจิต และวิญญาณที่เกิดจากการสะท้อนในอายตนะน้อยใหญ่นั้นเอง
และทั้งหมดนี้ก็คืออารมณ์ของขันธ์ทั้ง5 อันเป็นผลการแตกตัวของเจตสิกปรมัตถ์ของจิต ที่จะเกิดขึ้นมาจากการทำงานร่วมกัน โดยหลักธรรมชาติของการกระทบของผัสสะในจิตผู้รู้นี้เอง
จึงมีการทำให้เกิดได้ในแต่ละขณะจิต
แต่ละขณะผัสสะกรรมถึง1ล้านขณะ ในการเกิดสภาวะในการรวมระบบของขันธ์ทั้ง5 แบบอัตโนมัติขึ้นมา ของมันเองตามกฎของธรรมชาติของมันเอง โดยไม่มีใครไปสร้างสิ่งเหล่านี้ให้มันเลย
นอกเสียจากกรรมของระบบของกาย จิต อารมณ์ ที่มีกรรมวิบากแห่งจิตใจ ได้จูน ระบบ ในการเชื่อมต่อระหว่างกายธาตุ4กับผัสสะ+อารมณ์+จิตใจให้เกิดการเชื่อมต่อในระบบให้เนื่องถึงกันได้ในแบบชนิดต่อเนื่อง เป็นวสีแบบฉับพลัน
แล้วก็มีวิบากกรรมเก่า อันเป็นสมุฐานในการรองรับระบบทั้งหมดเอาไว้ ให้สามารถทำงานร่วมกัน ในการจูนระบบติดต่อซึ่งกันและกัน แบบตลอดเวลาของมันเอง
ก็จะมีแปลกอยู่บ้าง ในการทดแทนในเรื่องแบบนี้ คือ เขาจะมีการเกิดช่องว่างเล็กๆ เป็นช่องของการขาดตอนในระบบนี้แค่ทีละขณะ ในช่องผัสสะกรรมให้เกิดช่องขาดตอนจากกันเป็นช่องของนิโรธ
อันเป็นผลปฏิจจสมุปบาท ในมรรคฝ่ายเกิด และผลฝ่ายดับ ในแต่ละณ.ขณะที่เล็กมากๆเลย เป็นปฏิจจสมุปบาทปรมัตถ์ในอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ที่เกิดเอง,ดับเองอยู่อย่างนั้น เป็นช่องแห่งการขาดตอนที่เล็กมากๆ จนขนของจามจุรีเส้นเล็กๆนั้นไม่สามารถที่จะแยงทะลุช่องนิโรธนั้นได้เลย
แม้จะเล็กก็ไม่สามารถจะแยงให้ทะลุผ่านช่องว่างในการเชื่อมรอยต่อในแต่ละขณะของการเกิดๆ,ดับๆไปได้เลย
เพราะมันเป็น
ช่องที่เล็กที่สุดในอนัตตะจักรวาลนี้ ที่เรามักชอบเรียกว่าการเกิดๆการดับๆนั้นเองที่เรียกว่าไตรลักษณ์ญาณในมหาวัฎฎะนี้อันเป็นอนิจลักขณะ
เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนจนเกิดสภาวะของขันธ์ทั้ง5 ขึ้นมา เหมือนเป็นแรงบวกในหลักของโมแมนตั้ม ผสมผสานในเชิงบวก และในเชิงลบ แล้วจึงทำให้เกิดระบบของการเคลื่อนไปไต่ต่อ
แล้วเกิดการหักเหทำให้เกิดการเหวี่ยงหมุนของระบบธรรมชาติในแนวสภาวะของสันตาติสืบต่อ เป็นการปรุงแต่งเป็นวสีของระบบจิตตะสังขารขันธ์
ตามแบบธรรมชาติของเขาเอง ชนิดสักแต่ว่าคิด สักแต่ว่านึกไปตามธรรมชาติของจิตเขาเองไปเฉยๆของเขาเองตามหน้าที่ของจิตกับขันธ์ทั้ง5ได้ทำงานร่วมกันกับผัสสะมายากรรมไปเฉยๆตามธรรมชาติแบบนั้นเอง
แล้วก็ได้เกิดการเชื่อมโยงเข้ามาหากายคือ ธาตุ4+จิต+กับผัสสะ+อารมณ์ จนเกิดเป็น เกลียวคลื่นมายาในทุกๆสรรพสิ่ง เป็นมายาของวัฎฎะปรากฎขึ้นมาให้จิตผู้รู้นี้รับรู้รับทราบไปในแต่ละขณะของผัสสะเหตุการณ์ต่างๆนั้นๆ
แต่เมื่อตัว เจ้าจิตใจอวิชานี้ เขาไม่เคยรู้ด้วยหลักของความเป็นจริงเลยว่า ในทุกๆของสรรพสิ่งนั้นๆ มันก็เป็นได้แค่เพียง แค่คลื่นเงาแสงแห่งภาพมายาในการกำเนิดปรากฎการขึ้นมาแห่งผัสสะ แห่งการสะท้อนของเงามายาจิต ของเขานั้นเอง ว่าสิ่งนั้นๆ มันไม่เที่ยง เพราะมัน เกิดๆ,ดับๆของมันเอง อยู่แบบนั้นตลอดเวลา
เป็นอนิจจังลักขณะ เป็นทุกข์ลักขณะเป็นอนัตตาลักขณะ เป็นสัจจะความจริงชั่วคราว อันเป็นมายาในอนัตตาอยู่แบบนั้นของธรรมชาติแบบตถาคตา ของธรรมชาติแบบนั้นของเขาเอง
และเมื่อตัวจิตอวิชา เขาไม่รู้หลักความจริงข้อสำคัญอีกข้อนึง ก็คือ เขาก็ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าตัวจิต+ใจจริงๆเขาเองนั้นมันเป็นสภาพของอนัตตาแปลว่าืการไม่สามารถจะมีการปรากฎตัวตนแห่งตนในรูปร่างในสภาพอัตตาวัตถุขึ้นมาได้เลย
และตัวของจิต+ใจ นี้ตามแท้ๆของจริงๆแล้วเขาไม่มีแม้แต่ร่างทิพยนั้นเลยเป็นเพียงแค่ธาตุอันว่างๆเปล่าๆอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรเลยในจิตในใจดวงนั้น แม้แต่การปรากฎสิ่งใดๆเลยก็หามีไม่
ที่จิตใจเขาสามารถจะมีร่างทิพย์หรือกายวิภาคชั้นต่างๆได้นั้น มันก็คือวิบากของจิตใจที่เขาได้หลงสร้างรูปร่างขึ้นมาจากความหลงของใจภายในให้จิตใจสถิตอยู่ในมิติกรรมเจตนานั้นด้วยความหลงผิดไปเฉยๆ ซึ่งไม่ใช่ร่างของจริง มันเป็นแค่ผลงานของอวิชาความหลงของจิตใจ คือเจ้าแห่งอวิชานี้เอง
เมื่อใจ เขาไม่รู้ตามความเป็นจริงแบบนี้การปรุงแต่งไต่ต่อในระบบแบบธรรมชาติที่สักแต่ว่าคิดนึกไปเฉยๆมันก็เกิดการหักแหอันเกิดจากการขาดสติและปัญญาญาณในไตรลักษณ์ญาณอันลึกซึ้งนั้นเอง
จึงทำให้เกิดระบบอัตตา แล้วเกิดการเหวี่ยงหมุนการหักเหในระบบธรรมชาติ กลายมาเป็นระบบตัณหาอุปทานในจิตใจนี้ เป็นความรู้สึกที่มีสภาพตัวอารมณ์ตัวอัตตาตัวตนขึ้นมาในจิตใจนี้
จึงทำให้มีความรู้สึกชอบและไม่ชอบเพื่อตนขึ้นมา จึงทำให้เกิดความอยากและความไม่อยากขึ้นมาเป็นกามตัณหา
เป็นเหตุให้จิตใจ เกิดความไหลเลื่อนแล้วเคลื่อนตกลงไปแช่อยู่ในสภาวะที่จิตใจมันหลงอยากเป็นภาวะตัณหา
เมื่อจิตใจเขาข้องอยู่ในสภาวะนั้นๆ ย่อมเกิดการดิ้นรน วิตกวิจารณ์ในอารมณ์นั้นเป็นวิภาวะตัณหา
ทั้ง3สิ่งนี้เรียกว่า สมุหทัย
จนได้กลายมาเป็นกิเลส มาเป็น
โทสะคือความโกรธ,โลภะคือความโลภ,โมหะคือความหลง
จนทำให้จิตที่มีสภาพที่ฉายคลื่นแสงออกไปตามของธรรมชาติเฉยๆของเขานั้น ก็ทำให้เกิดตัวเจตสิกของเจตนาของจิตขึ้นมา แปรสภาพมาจนกลายเป็นคลื่นแห่งชีวิตวิญญาณอุปทานในรูป และในนาม กลายเป็นตัว กลายเป็นตน กลายเป็นคน เป็นสัตว์ และอีกหลายสิ่งขึ้นมาแบบหลงมัวเมาไปทั้งวัฎฎสงสาร
#จนจิตนี้โดนอวิชาแห่งตนสร้างกงขังแห่งวัฎฎะ #ขังตนไว้ปิดบังไว้ในอนัตตาจิตอันว่างเปล่า #จนกลายมาเป็นอุปทานแห่งอัตตาตัวตน #ในชนิดแบบสมบูรณ์
#จนเกิดความยึดมั่น++ถือมัน ในสิ่งที่ถูกรู้ และผู้รู้ #อันเป็นธรรมชาติในรูปธรรมและนามธรรม ในชนิดแบบอัตตาที่จิต
อวิชา ได้หลงสร้างขึ้นมาอัตแน่นไว้ภายในอนัตตาของจิตใจนั้นเอง.เมื่อใจภายในไม่สามารถเคลื่อนออกไปได้เสมือนแสงโพล่งแห่งเงาเจตสิกของจิตตัวนอก #จึงทำให้ใจภายในที่มีตัวตัณหาอุปทานอันเป็นผลของอวิชชา ทำให้เกิดการเหวี่ยงหมุนวนรอบตนเองจนเกิดกระแสอัตตาแห่งใจแบบชนิดที่หมุนได้ไวที่สุดในมหาจักรวาลนี้ #จึงทำให้เกิดกระแสของใจไหลเวียนเหวี่ยงหมุน #เป็นวัฎฎะจักวัฎฎะจิตหมุนวนจนเกิดพลังงานสนามสถิตของสภาวะแห่งเอกภพแห่งจิตใจขึ้นมาเรียกว่าภพแห่งจิตใจ #เป็นแดนภพรองรับการบันทึกของรหัสอุปทานของเจตนากรรมของจิตใจไว้ในเอกภพของกระแสจิตใจนั้นเอง
#เป็นลักษณะเจตนากรรม3 อันมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แปลค่าหลักของชนัก ดั่งคำเปรียบเทียบว่าพรหมลิขิตกรรม ออกเป็นระบบภพแห่งกรรม
เป็นกามภพ ภพแห่งกามหยาบ
รูปภพ ภพแห่งกามละเอียด
ส่วนอรูปภพนั้น เกิดจากใจที่ได้ดำริ ดวงจิตได้หลงมีตัวเจตนากรรม ในการทำสมาธิ ขึ้นมา.จนแปลสภาพกลายมาเป็นฌาณแบบโลกีย์วิสัย
คือมีเจตนาแห่งเจตสิก เป็นเชือกแห่งวัฎฎะสงสาร มาผูกมัด,บล๊อคหรือdropดวงจิตไว้เป็นปลอกของกระแสวิญญาณอุปทาน อันเป็นกรรมซ้อนธรรม ห่อหุ้มไว้อยู่รอบๆดวงจิตดวงนี้
มันจึงเป็นสภาพอนัตตาธรรมแบบธรรมชาตินิพพานแท้ๆนั้นไม่ได้เลย
นั่นก็เพราะ เจ้าเจตนาคือตัวสร้างกรรมวัฎฎะนี้เองจึงทำให้มีการเกิดในเอกภพแห่งจิตใจขึ้นมา เรียกว่าการปฎิสนธิภพภายใน เป็น วัฎฎะวนในภพของจิตใจแล้วมันก็เกิดการโพล่งออกไปตามแสงขอเจตสิกปรมัตถ์จนเกิดการเชื่อมต่อเข้าสู่วัฎฎะเอกภพภายนอก
อันเป็นเอกภพใหญ่ๆทั้ง3มี
กามภพ รูปภพ.อรูปภพ
จึงทำให้มีการเกิด,แก่,เจ็บ,ตาย แบบหมุนวนแบบหาเบื้องต้น และเบื้องปลายไม่ได้เลย
ก็เพราะเหตุแห่งเจ้าอวิชาคือความหลงโดยแท้ๆนั้นเอง แล้วแบบนี้จะไปหลงโทษใครกันได้เล่า
นอกเสียจาก เราจะไปโทษในหลักของกรรมที่เกิดจากความเขลาของเราเอง
แล้วท่านลองถามใจของท่านดูสิว่า ใครกันแน่ที่เป็นผู้สรรค์สร้างกรรมต่างๆขึ้นมา แล้วท่านก็จะได้คำตอบด้วยตัวของท่านเองทันที
(พระศรีสุริยะพญาธรรมมิกราช)
(((((((พระศรีส่องฟ้า)))))))