พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 10 กันยายน 2560
ตอนที่ 172 **สังฆานุสติ แบบที่ ๒**
+ +
ในเช้าของวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อได้กราบนอบน้อมพระพุทธองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอทูลถามถึงกรรมฐาน กองที่ 23 แบบที่ 2*
คือ การทรงอารมณ์ไว้กับ *พระสงฆ์* หรือว่า *คุณของพระสงฆ์* เพื่อเข้าสู่ฌานสมาธิ น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้น้อมฟัง น้อมไปเผยแผ่ และปฏิบัติตาม ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. พระสงฆ์นั้นเป็นอย่างไรเล่า ตามความคิดของลูกในแบบที่ 2* นั้น ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ตามความคิดของหนู หนูคิดว่า *พระสงฆ์* คือองค์ที่สาม แห่งพระรัตนตรัย
มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดขึ้นแล้ว - จึงได้มีพระธรรมคำสอนสั่ง
เมื่อมีพระธรรมคำสอนสั่ง - จึงต้องมีผู้ศึกษา และเรียนรู้ตาม
ผู้ที่จะศึกษา และเรียนรู้ตาม.. จึงต้องเป็นผู้ที่เป็น *พระสงฆ์* หรือว่า มีศีล- ตามกรอบที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้..
เพื่อจะได้แยกออกมาเป็นสัดส่วน ว่านั่นคือ.. พระสงฆ์ ผู้ที่จะเป็นที่พึ่ง เป็นตัวแทนของพระธรรม และพระพุทธเจ้า.. ให้กับดวงจิตทั้งหลาย
*พระสงฆ์* ของพระพุทธเจ้า จึงได้แก่..
/ การละจากทางโลกแล้ว
/ สมาทานศีล 227 ข้อ
/ ประพฤติตน อยู่ในกรอบของการฟังธรรม ทำสมาธิ และฝึกฝนปัญญาแห่งตน
* เพื่อดับกิเลสตัณหาตาม - และเพื่อชี้ทาง สืบทอดพระพุทธศาสนา แก่ดวงจิตทั้งหลาย.. ที่ตั้งใจจะศึกษาธรรมต่อ..พระพุทธเจ้าค่ะ
ฉะนั้น.. พระสงฆ์ ก็เปรียบเสมือนเป็นเสื้อเกราะตัวหนึ่ง ที่พระพุทธองค์สร้างด้วย
*ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
-- ซึ่งจะเป็นเสื้อเกราะ ที่คลุมดวงจิตที่เข้ามาสวมใส่.. เพื่อเป็นที่พึ่งแห่งตน ++
และเสื้อเกราะนั้น ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคน ทุกดวงจิต ที่เข้ามาสวมใส่.. สามารถที่จะรักษาเสื้อเกราะตัวนั้น เอาไว้ให้เป็นที่พึ่งแก่ เหล่าหมู่สัตว์เวไนย์ทั้งหลาย
และยังเป็นที่พึ่ง ที่หลบภัยที่ปลอดภัย
นำพาดวงจิตนั้น.. เข้าสู่พระนิพพานด้วยเจ้าค่ะ
และพระสงฆ์ ก็อาจจะไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง
แต่ว่าเป็นเสื้อเกราะ ที่องค์พระพุทธเจ้าทรงสร้างไว้.. เพื่อให้ทุกคน
- ได้หลบภัย
- ได้อาศัยเพื่อพ้นทุกข์.. พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ก็ดีแล้วละ พระยาธรรม.. เธอสามารถหยิบยกตัวอย่างมา ดีพอใช้ได้อยู่..
ลูกเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้นแล้ว เธอคิดว่า.. สิ่งที่มีกำลัง ที่จะให้เธอทั้งหลายน้อมนึกถึงนั้น คือ อะไรล่ะลูก ?
ถ้าเราจะนึกถึง *พระคุณ* หรือว่า *คุณของพระสงฆ์* - ซึ่งไม่เกี่ยวกับตัวบุคคล
เราจะต้องทำแบบไหน ?
ซึ่งในแบบที่ 2* นี้.. ก็ถือว่า เป็นจิตที่ละเอียดขึ้นมา พอจะเข้าใจในความละเอียดอ่อนที่กล่าวไปนั้น
เธอจงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
การที่เรานี้ จะนึกถึงพระสงฆ์.. เราก็สามารถที่จะพิจารณาถึง *ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา*
เพื่อเป็นพลังให้ก่อเกิดแก่เรา..
ผู้เป็นนักบวช ก็ดี
ผู้ที่ไม่ใช่นักบวช - แต่ตั้งใจน้อมเอาพลังจากการเป็นพระสงฆ์ เพื่อเป็นที่พึ่ง ก็ดี.. พระพุทธเจ้าค่ะ
เราควรจะนึกถึง *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
ที่เป็นเสื้อเกราะห่อหุ้ม ให้ทุกคนได้สมมุติขึ้นมาว่า เป็น *พระสงฆ์* พระพุทธเจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: เอาละ ถ้าอย่างนั้น ก็ลองพิจารณาตามเช่นนี้ดู ก็แล้วกันนะลูก
ให้ทุกคนหลับตาลง ทำจิตทำใจให้ว่างๆ แล้วลองนึกตามเสียงธรรมนี้ดู..
หลังจากที่เราทั้งหลาย.. ก็ได้เข้าใจ และรู้จักคำว่า *คุณของพระสงฆ์*
หรือสิ่งที่เป็นองค์ประกอบ ที่ประกอบขึ้นมาเป็น *พระสงฆ์* แล้ว.. ให้ทุกคนพิจารณาตาม..
จงใช้จิตใช้ใจ สัมผัสลึกเข้าไปในเสียงธรรม พิจารณาให้แจ่มแจ้ง
ลูกทั้งหลาย.. จะได้เข้าถึง และสัมผัสคำว่า *พระสงฆ์ - คุณของพระสงฆ์*
เพราะกรรมฐานกองนี้.. จะช่วยถอดถอนตัวอัตตา ที่ลูกนั้นยึดว่า.. ลูกเป็นพระสงฆ์
จะช่วยชี้ทางสว่างให้ลูกทั้งหลาย ..ไม่เพ่งเล็ง เพ่งโทษว่า “พระสงฆ์ไม่ดี”
เมื่อบุคคล เข้าใจสิ่งทั้งหลายที่เรียกว่า *สงฆ์* หรือ องค์ประกอบ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นพระสงฆ์นั้น
.. เป็นอย่างดีแล้ว
-- ลูกย่อมเข้าถึงความบริสุทธิ์แห่งพระสงฆ์ได้..ลูกเอ๋ย ++
*พระสงฆ์* นั้น เป็นผู้ที่ตั้งจิต เพื่อที่จะอาสามาอาศัยธรรมขององค์พระพุทธเจ้า - เพื่อหลุดพ้น
*พระสงฆ์* นั้น คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้สร้างให้ก่อเกิด ด้วยศีล ด้วยธรรม ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา
ลูกเอ๋ย.. ลองนึกถึงโบสถ์ในที่หนึ่ง วิหารที่ที่ครอบองค์พระสงฆ์ เกิดขึ้นมาเป็นพระภิกษุอยู่ในศาสนา
นึกถึงโบสถ์ๆหนึ่ง.. ที่มีพระสงฆ์ ที่เป็นสงฆ์อยู่แล้ว
เมื่อมีผู้ที่จะมาขอบวชใหม่.. ก็จะมีฟ้าไตรจีวร พร้อมทั้งพิธีของการทำพิธีบวชให้
จะมีศีล 227 ข้อ..ให้รักษาตามกฎนั้น
* เมื่อได้ให้ศีลแล้ว.. พระสงฆ์รูปนั้น ก็ต้องรักษาศีลตามนั้น..
และก็ต้องฝึกฝนด้วยการฟังธรรม
เพื่อที่จะได้รู้ว่า พระสงฆ์นั้น...
คือ การละ
คือ การเข้ามาปฏิบัติดี เพื่อที่จะเข้าสู่ “การดับกิเลสและตัณหา”
เมื่อมีธรรมเข้ามาให้ศึกษา จึงได้รู้ว่า.. ต้องมีสมาธิด้วย
เมื่อมีสมาธิ.. ปัญญา ที่จะรู้แจ้ง เข้าใจ ตามสรรพสิ่งทั้งหลาย ก็จะก่อเกิด ++
ฉะนั้น.. บุคคลผู้ที่เข้ามาสมาทานศีล - ก็เหมือนได้สวมเสื้อ แห่งการปกปักรักษา คุ้มครองภัย
ไม่ให้ตนนั้น กลับไปคลุกอยู่กับ “ความหลง” ในโลก
ก็เหมือนกันกับการเจอเส้นทาง- ที่ชี้บอกให้เดินห่างจากกิเลสและตัณหา
เหมือนกันกับการที่เจอที่ที่สงบ- เพื่อรู้แจ้งตามความเป็นจริง
.. ตนได้สวมเสื้อเกราะตัวนั้นเอาไว้..
-- บุคคลผู้มาสวมเสื้อเกราะตัวนี้แล้ว อย่างสมบูรณ์ จึงเรียกว่า *พระสงฆ์* ++
บุคคลผู้ที่เข้ามาแล้ว - ขาดตกบกพร่องไป
สักแต่ว่าสมาทานศีลไว้.. แต่ตนไม่ได้รักษาจนครบ
ธรรมคำสอนสั่ง ก็ไม่มี..ไม่ฟัง..ไม่รู้เรื่อง
หรือว่ารู้เรื่อง - แต่ไม่ทำตาม
ปล่อยจิตปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน เร่าร้อน
สมาธิไม่มี / ปัญญาไม่ก่อเกิด
...สักว่า บวชไป ..
* บุคคลผู้นั้น.. จึงถือว่า “ไม่สามารถสวมเสื้อเกราะ แห่งการคุ้มกันภัยได้”.. ลูกเอ๋ย ++
แต่บุคคล ผู้ที่สามารถรักษาศีล โดยการพิจารณา.. แล้วนำมารักษาในแต่ละข้อ
ตามเหตุปัจจัยอันสมควร ตามความเหมาะ และตามความเข้าใจ
ประพฤติ ปฏิบัติดี อยู่ในธรรมคำสอนสั่ง คือ การละ
มีธรรม มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
* บุคคลผู้นั้น.. ถือว่าสวมเสื้อเกราะเอาไว้ได้ เป็นอย่างดี ++
ทีนี้ ลูกทั้งหลาย.. ก็คงจะนึกออกแล้วสินะ ว่าพระสงฆ์นั้น มีลักษณะเป็นเช่นไร ?
*ศีล* เป็นเกราะแก้วบางๆ ที่คลุมดวงจิตเอาไว้ ลูก
*ธรรม* คือ หนทางที่สอนสั่ง นำพาเราออกจากกิเลสตัณหา
.. เป็นเกราะบางๆ เป็นแก้วใสๆที่มาคลุมไว้ ลูก
*สมาธิ* คือ สิ่งที่ทำให้ดวงจิตดวงนั้นสงบ
ไม่ส่งจิตออกไปหาใคร ไปวุ่นวาย จมอยู่กับกิเลสตัณหา
- จิตที่ไม่วุ่นวายแล้ว.. มีเกราะแห่งการป้องกัน ไม่ให้สิ่งอื่นที่ไม่ดีภายนอกเข้ามา ++
*ปัญญา*
คือ ความรู้แจ้ง
คือ แสงสว่าง
ทีนี้ ลูกก็นึกถึง นะลูกนะ..
นึกถึงคลื่นพลัง ที่สว่างไสว
มีเกราะแก้วแห่งศีล สว่างไสว
ธรรม สมาธิ และปัญญา
เกราะแก้วตัวนี้ เสื้อตัวนี้ละ.. ที่องค์พระพุทธเจ้าสร้างเอาไว้ - ให้เป็น*พระสงฆ์*
หากเราสวมใส่.. ดูแลรักษาเกราะเหล่านี้ เป็นอย่างดี..
เราก็จะเป็น *พระสงฆ์* ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี
เป็นพระสงฆ์อย่างแท้จริง ลูก
และจะสามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้..
-- หากเราไม่ได้บวชเป็นพระสงฆ์.. เราก็จะรู้ และเข้าใจว่า *พระสงฆ์* คือสิ่งเหล่านี้ --
ฉะนั้น..
พระสงฆ์ คือ สิ่งที่ดีงาม คือ สิ่งที่สว่างไสว
พระสงฆ์ คือ สิ่งที่องค์พระพุทธเจ้า สร้างไว้..
/ เป็นเกราะป้องกันภัย ให้ดวงจิตทั้งหลาย
/ เป็นที่พึ่งแห่งผู้สวมใส่เสื้อเกราะตัวนี้
/ และเป็นที่พึ่ง เมื่อตนได้สวมใส่ เป็นอย่างดี
... ก็จะเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่น เอาไว้เพื่อที่จะสืบทอดศาสนา **
พระยาธรรมเอย.. เมื่อถึงจุดนี้แล้ว เราได้เห็นรูปลักษณ์ รูปร่างของพระสงฆ์แล้ว..ใช่มั้ยลูก
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว.. เราก็จงภาวนา รับพลังที่เย็น ที่สว่าง จากพระสงฆ์ที่เป็นเสื้อเกราะตัวนั้นเถิด
พระสงฆ์ คือ องค์ที่สามแห่งองค์พระรัตนตรัย
พระสงฆ์ คือศีล คือธรรม คือสมาธิ และปัญญา
ข้าพเจ้ากราบขอนอบน้อม ถึงองค์พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
เมื่อเราน้อมเช่นนี้ พลังความชุ่มเย็นแห่งพระสงฆ์ ที่มีพลังมาก
ที่คุ้มครอง คุ้มกันภัยนั้น.. ก็จะเย็นเยือก ลงมาสู่ฝ่ามือของเรา
เราก็อธิษฐานต่อไปว่า..
“ ขออำนาจแห่งพระสงฆ์ จงปกปักรักษา คุ้มครองจิตดวงนี้ ให้อยู่ภายใต้ความสงบ ความสุข
ขอให้จิตของลูก ได้เข้าถึงแสงสว่าง แห่งพระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย..
ขอให้จิตของลูก ได้น้อมพลัง ได้สวมได้ใส่เสื้อเกราะแห่งพระสงฆ์นี้
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไรก็ตาม.. ที่จิตของลูกตั้งมั่นแล้ว
ขอความเป็นพระอริยสงฆ์เจ้า.. จงบังเกิดแก่ลูก จงเปิดทางบุญให้ลูกด้วยเถิด ”
เราย่อมสามารถอธิษฐานเช่นนี้ได้
แล้วให้ลูกทั้งหลาย.. ตั้งจิตสมมุติเห็น เสื้อเกราะยาวตัวหนึ่ง
ที่เป็นลักษณะคล้ายคลึงกับจีวร หรือว่าเป็นลักษณะคล้ายกับเกราะแก้วใสๆ
ที่เป็นองค์พระสงฆ์ยืนอยู่ - เป็นรูปร่างของกายแก้ว
มีผ้าครองอยู่.. ยืนสว่างไสว อยู่ตรงหน้าของเรา
เราก็น้อมพลังพุทธบารมี / พลังสังฆบารมี จากองค์พระสงฆ์นั้นมาเรื่อยๆ..
จนกายของเรานั้น เย็น สบาย
สงบจิต ตั้งมั่นอยู่กับพระสงฆ์
... แล้วก็อาจจะสว่างไสว ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
จนเราเห็นองค์พระอริยสงฆ์สว่างไสว อยู่รอบตัวเรา เป็นร้อยๆพันๆพระองค์
ต่างก็มีจีวรสวมใส่ มีกายที่ผ่องใส สว่างไสว อยู่ทั้งด้านซ้าย - ด้านขวาของเรา
ส่วนตรงข้างหน้าที่เรามองไปนั้น.. ก็เป็นองค์พระสงฆ์ ที่ยืนอยู่บนดอกบัว
เป็นกายแก้ว ไม่มีดวงจิต.. แต่เป็นเกราะ ที่ทุกคนสามารถสวมใส่
สูงขึ้นไป ด้านบน.. ก็จะมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นกายแก้ว ใส.. สว่างไสว
นั่งอยู่บนดอกบัว - ที่มีแก้วใสสว่าง
รองลงมา.. ก็เป็นดวงธรรม มีดอกบัวบานดอกใหญ่ - มีดวงแก้วขนาดใหญ่ อยู่ในดอกบัว
รองลงมา ก็คือ กายสมมุติ ที่เป็นเกราะแก้วของพระอริยสงฆ์เจ้า
... หรือว่าเป็นพระสงฆ์ ที่ทุกคนเข้ามาบวช มาสวมใส่ -
ด้านข้าง- ทั้งซ้ายและขวา คือ พระอริยสงฆ์เจ้า และพระอรหันต์ต่างๆ ที่สามารถอาศัยเสื้อเกราะตัวนี้
.. จนเข้าสู่พระนิพพานแล้ว..
เมื่อเราเห็นภาพเช่นนั้น ปรากฏชัดเจนขึ้นแก่เรา.. จิตเราย่อมสว่างรู้แจ้ง.. ลูกเอ๋ย
แท้ที่จริง.. พระสงฆ์เป็นเช่นนี้นี่เอง !
บุคคล ผู้ที่สวมใส่เสื้อเกราะตัวนี้ไว้.. ต้องประพฤติดี ปฏิบัติดี
ความเป็นพระสงฆ์.. จึงก่อเกิดสำเร็จแก่ตน
-- เป็นที่พึ่งแห่งตน และผู้อื่น --
พระสงฆ์..
* ช่างสง่า และงดงาม
* ช่างสว่างไสวยิ่งนัก
* ช่างบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า
* พระสงฆ์ช่างประเสริฐ
ต่อไปนี้ ถ้าเราจะสวมใส่เสื้อเกราะตัวนี้ เราต้องประพฤติให้ดีแบบนี้สินะ
-- เราะจะได้เข้าถึงความสุข ความสงบ ที่แท้จริง ++
เรานี้มีเสื้อตัวนี้สวมใส่ เรานั้นก็ต้องสวมใส่ให้ดี และดูแลเขาเป็นอย่างดี
ไม่ให้มีหลุม ไม่ให้มีช่องว่างแห่งกิเลสตัณหาเข้ามา.. จึงคุ้มครองภัยแก่เราได้
เราจึงสามารถเป็นตัวแทนของ *องค์พระพุทธ และพระธรรม*
เผยแผ่ เผยแพร่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป..
-- เราจึงเป็นพระสงฆ์ อย่างแท้จริง **
วันนี้ เราได้เข้าใจความเป็นพระสงฆ์แล้ว ได้เข้าถึงพลังแห่งพระสงฆ์แล้ว
ขอน้อมถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง..
ถ้าใครปรารถนาที่จะนั่งรับพลังอยู่ตรงนั้น.. เราก็สามารถทรงสมาธิ อยู่ในที่ตรงนั้นไปเรื่อยๆ
จนกว่า เราจะสลายตัวตนของเรา.. กลายเป็นแก้ว เป็นอากาศธาตุ
จนกว่า เราจะเข้าสู่ความละเอียดบริสุทธิ์ แห่งฌานสมาธิ
ทำเช่นนี้ อย่างนี้ละ พระยาธรรม..
จะได้ถอดถอนตัวอัตตาแห่งความเป็นพระสงฆ์ ของผู้ที่เป็นนักบวช ผู้ที่ยังไม่สำเร็จธรรม
คือ ยังไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ทั้งหมด..
จะได้ป้องกัน ไม่ให้เรานี้คิดไม่ดีกับพระสงฆ์
ไม่ต้องไปเพ่งโทษใครว่า.. ดีหรือไม่ดี
เรารู้ไว้แค่ว่า..
~ พระสงฆ์นั้น เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์
~ พระสงฆ์เกิดขึ้นมาจาก *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
เรารู้แต่เพียงเท่านี้ละ พระยาธรรม..
-- ผลประโยชน์ก่อเกิด มากมายมหาศาลแก่เรา.. ลูกเอ๋ย
เป็นพระสงฆ์ - ก็ไม่กล้าที่จะปฏิบัติไม่ดี
เป็นฆราวาส - ก็ไม่กล้าเพ่งโทษพระสงฆ์ว่า ไม่ดี.. เพราะเราเห็นความบริสุทธิ์แล้ว
ยังได้สมาธิ ที่เข้าไปสู่ฌานที่ลึก
ยังเห็นสภาวธรรมของความสง่า และงดงาม ของพระสงฆ์อีก
-- ประโยชน์ต่างๆมากมาย - เกิดขึ้นกับจิตของลูกทั้งหลาย.. ผู้ประพฤติตาม เช่นนี้ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. นี่แหละลูก คือ การภาวนา นึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ในแบบที่ 2*
เราก็ต้องทำความรู้จัก คำว่า *พระสงฆ์* ก่อน..
เราต้องพิจารณาให้เห็นสภาวธรรม ของคำว่า *พระสงฆ์* ก่อน
แล้วเราทำตัว ทำจิตทำใจของเรา ให้เข้าถึงคำว่า *พระสงฆ์*
--อารมณ์ฌาน ย่อมก่อเกิดขึ้นแก่ลูกนั้น เป็นแน่แท้ --
.. ทำเช่นนี้ อย่างนี้ ละลูก
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้เข้าใจ กระจ่างแจ้งยิ่งๆขึ้น ..พระพุทธเจ้าค่ะ
วันนี้ กราบขอลาไปทำหน้าที่ก่อน นะเจ้าคะ
แล้วไว้โอกาสหน้า.. ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่.. เจ้าค่ะ
วันนี้ เข้าใจคำว่า *พระสงฆ์* กระจ่างแจ้งขึ้นมาก
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์.. เจ้าค่ะ
สาธุ