หลงอารมณ์ - อารมณ์ เป็นอารมณ์ จิตเป็นจิต
ที่จิตเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นดีเป็นชั่ว
เพราะจิต หลงอารมณ์
"บางคนคิดว่า การปฏิบัติกรรมฐานคือ การเดินจงกรมและนั่งสมาธิเท่านั้น แต่หลวงพ่อเน้นว่าการปฏิบัติอยู่ ที่สติมากกว่าที่อิริยาบถ
อย่างที่ท่านเทศน์ในตอนหนึ่งว่า ไม่ใช่เดินเพียร นั่งเพียร แต่ “รู้เพียร” คือ ฝึกให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมทุกอิริยาบถ ไม่ใช่เฉพาะเวลานั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมเท่านั้น
เคล็ดลับของท่านก็คือ ปฏิบัติเรื่อยไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคร่งเกินไป แต่ก็ไม่หย่อน ให้พอดีแก่การขัดเกลากิเลส จึงจะเรียกว่า เป็นสัมมาปฏิปทา
เพราะว่า การทำความเพียร ไม่ได้ขีดขั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ได้ทั้งหมดนั้น แม้กวาดลานวัดอยู่ก็บรรลุธรรมะได้ แม้แต่เพียงมองเห็นแสงพยับแดดเท่านั้น ก็บรรลุธรรมะได้
จะต้องมีสติพร้อมอยู่เสมอ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะมันมีโอกาสที่จะบรรลุธรรม อยู่ตลอดเวลา อยู่ทุกสถานที่ เมื่อเราตั้งใจพิจารณาอยู่นี่คือปฏิปทาในการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำเป็นเวลา แต่ต้องทำตลอดเวลาอย่างที่หลวงพ่อท่านเรียกว่า “สติจำกาล” ปฏิปทาที่ไม่ติดต่อสม่ำเสมอนั้น หลวงพ่อเปรียบเทียบว่า เหมือนหยดน้ำที่ไม่ต่อเนื่องกัน
น้ำที่เราหยดลงไปอย่างนี้ หยดห่าง ๆ ปั๊บ...ปั๊บ...ปั๊บ... ถ้าเราเร่งความเร็วขึ้นหยดน้ำก็ ถี่เข้า ๆ ปั๊บ...ปั๊บ...ปั๊บ... เร่งขึ้นไปอีก มันก็ติดกันไหลเป็นสาย สติของผู้ปฏิบัติที่ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่สม่ำเสมอ ก็เหมือนหยดน้ำที่ยังไม่ต่อเนื่องกัน มันก็เป็นวรรคเป็นตอน แต่ถ้าเราเร่งให้น้ำไหลเร็วขึ้น หยดน้ำก็หายไป กลายเป็นสายน้ำ
การฝึกสติของเราก็เช่นเดียวกัน นาน ๆ นึกขึ้นได้ก็ตั้งสติเสียทีหนึ่ง เราก็จะมีสติที่ขาดเป็นช่วง ๆ เหมือนหยดน้ำ ถ้าเราพยายามระลึกรู้อยู่เสมอ มีสติในทุกการที่ทำ คำที่พูด และความรู้สึกนึกคิด เราก็จะเป็นผู้มีสติตลอดเวลา ไม่เผลอ เหมือนหยดน้ำที่ต่อกันเป็นสายน้ำ"
พระโพธิญาณเถร หลวงพ่อชาสุภัทโท
สาธุในธรรม ขอโมทนาบุญท่านผู้มีส่วนเผยแผโอวาทธรรมและภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ขอจงเจริญรุ่งเรืองในธรรมพบสุขเกษม สาธุอนุโมทามิ สาธุนิพพานะปัจจะโยโหตุ
ความสงบที่แท้จริง
คือ ความที่จิตนั้นหลุดพ้นแล้วจากสิ่งทั้งปวง
แม้ยืนอยู่ แม้เดินอยู่ แม้นั่งอยู่
แม้นอนอยู่ก็เป็นผู้สงบระงับ
ความสงบระงับนั้นไม่เคยดับหายไปได้เลย
เมื่อจิตนั้นหลุดพ้นแล้ว
ความสงบระงับนี้นั้นเองเป็นของคงที่
เป็นของไม่เคลื่อน
เป็นของที่ขาดจากความปรุงแต่งจิต
เป็นของที่ขาดจากเวทนา ขาดจากตัณหา
ขาดจากอุปาทาน ขาดจากภพ ขาดจากชาติ
ขาดจากชราและมรณะ
ขาดจากทุกข์โดยประการทั้งปวง
นั้นแหละคือความสิ้นไปแห่งทุกข์
อันตั้งอยู่แล้วในทิฐธรรม ที่บุคคลพึงรู้แจ้ง
คนเราไม่รู้จัก นึกว่าการเดินจงกรม นึกว่าการฟังธรรม
นึกว่าการนั่งสมาธิเป็นการปฏิบัติ นั่นเป็นส่วนน้อย
ก็จริงอยู่ แต่มันเป็นเปลือกของมัน
การปฏิบัติจริง ๆ ก็ปฏิบัติเมื่อประสบอารมณ์ นั่นแหละการปฏิบัติ
แล้วที่มันประสบอารมณ์กับอยู่นั้น เช่นมีอะไร
มีคนมาพูดไม่ถูกใจนะ เราเป็นทุกข์ขึ้นมา
ถ้าคนพูดให้ถูกใจเรา เราก็เป็นสุข ตรงนี้แหละตรงที่จะปฏิบัติ
เราจะปฏิบัติอย่างไร อันนี้สำคัญ
ถ้าเราไปวิ่งกับสุข ไปวิ่งกับทุกข์ มัวไปวิ่งกับสุข
ไปวิ่งกับทุกข์อยู่นั่น จะวิ่งตลอดจนถึงวันตายก็ไม่พบธรรมะ
นี่ ก็อยู่ไม่ได้ เมื่อรู้จักสุขทุกข์ทั้งสองนี้ขึ้นมาเมื่อไร
เราจะแก้ไขปัญหาอย่างไรโดยธรรมะ นี่คือการปฏิบัติ.. "
หลวงปู่ชา สุภัทโท
อาการบังคับตัวเองให้กำหนด
ลมหายใจ ข้อนั้นเป็น “ศีล”
การกำหนดลมหายใจ
และติดต่อกันไป จนจิตสงบ
ข้อนี้เรียกว่า “สมาธิ”
การพิจารณากำหนดรู้ลมหายใจ
ว่า ไม่เที่ยง ทนได้ยาก
ข้อนี้เรียกว่า “ปัญญา”
หลวงปู่ชา สุภัทโท
สงบเรื่องสมาธิ
สงบเรื่องสมาธินี่หลง หลงมาก ๆ เลย
สงบเรื่องสมาธินี่คือ ปราศจากอารมณ์มันจึงสงบ
ไม่มีอารมณ์มันก็สงบ ก็ติดสุขล่ะทีนี้
แต่เมื่อถูกอารมณ์ก็งอเลย
ความสงบของปัญญานั้น เมื่อจิตสงบแล้ว
ไม่กลัวรูป เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ
และไม่กลัวธรรมารมณ์
ไม่กลัวกระทบ มันเดี๋ยวนี้ รู้มันเดี๋ยวนี้
กระทบ มันเดี๋ยวนี้ ทิ้งมันเดี๋ยวนี้
กระทบ มันเดี๋ยวนี้ วางมันเดี๋ยวนี้
เรื่องสงบของปัญญาเป็นอย่างนี้
หลวงปู่ชา สุภัทโท
.สงบจากอะไร.?
‘...ความเป็นจริง ธรรมที่พวกเราปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ ธรรมนี้นำเราไปสู่ความสงบ สงบจากอะไร? จากสิ่งที่ชอบใจ จากสิ่งที่เราไม่ชอบใจ ถ้าเราชอบ สิ่งที่เราชอบใจ ไม่ชอบสิ่งที่เราไม่ชอบใจ มันไม่หมด ธรรมนี้ไม่ใช่ธรรมระงับ ธรรมนี้เป็นธรรมก่อทุกข์ขึ้นมา ให้เข้าใจอย่างนั้น
ฉะนั้นเราจึงสงสัยตลอดเวลาแหม วันนี้ฉันได้มาแล้ว พรุ่งนี้ทำไมมันหายไปแล้ว มันหายไปไหน ฉันนั่งเมื่อวานนี้มันสงบดีเหลือเกิน ทำไมวันนี้มันวุ่นวาย มันไม่สงบเพราะอะไร
อย่างนี้ก็เพราะเราไม่รู้เหตุของมัน ครั้นปล่อยวางว่ามันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ เห็นไหม มันเป็นอยู่ของมันอย่างนี้
วันนี้มันสงบแล้ว เออไม่แน่นอนหนอ เราต้องเห็นโทษมันอย่างนี้ สงบแล้วมันก็ไม่แน่นอน ฉันไม่ยึดมั่นไว้ สงบก็สงบเถอะ ความไม่สงบก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน ฉันไม่ว่า ฉันเป็นผู้ดูเท่านั้น ที่สงบ ฉันก็รู้ว่าเรื่องมันสงบ ที่ไม่สงบฉันก็รู้ว่าไม่สงบ แต่ว่าฉันไม่ยึดมั่นถือมั่น ในเรื่องที่ว่ามันสงบหรือไม่สงบ
เห็นไหมเรื่องมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น อย่างนี้มันก็ระงับ มันก็ไม่วุ่นวาย มันจะสงบ ฉันก็รู้ว่ามันเรื่องของมัน ฉันจะดูอยู่แค่นี้แหละ
..ดูเรื่องที่มันสงบ มันก็ไม่แน่นอน ดูเรื่องที่มันวุ่นวาย มันก็ไม่แน่นอน มันแน่นอนอยู่แต่ว่า มันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น เราอย่าไปเป็นกับมันเลย
ถ้าอย่างนี้ มันก็สบายและสงบ เพราะเรารู้เรื่องมัน ไม่ใช่
ว่าเราอยากจะให้เรื่องนั้นเป็นอย่างนั้น อยากให้เรื่องนี้
เป็นอย่างนี้ มันสงบเพราะเรารู้เรื่องว่าเป็นอย่างนั้น แล้ว
ก็มีการปล่อยวาง..ฯ’
...
: ๑๐๐ ปีชาตกาล หลวงปู่ชา สุภัทโท
พระธรรมเทศนา
เรื่อง การปล่อยวาง
"จะปฏิบัติธรรมอย่างไร ?"
" .. คนเราไม่รู้จัก "นึกว่าการเดินจงกรม นึกว่าการฟังธรรม นึกว่าการนั่งสมาธิ เป็นการปฏิบัติ" นั่นเป็นส่วนน้อย ก็จริงอยู่ แต่มันเป็นเปลือกของมัน
"การปฏิบัติจริง ๆ ก็ปฏิบัติเมื่อประสบอารมณ์ นั่นแหละการปฏิบัติ" แล้วที่มันประสบอารมณ์กันอยู่นั้น เช่นมีอะไร
- มีคนมาพูดไม่ถูกใจนะ เราเป็นทุกข์ขึ้นมา
- ถ้าคนพูดให้ถูกใจเรา เราก็เป็นสุข
"ตรงนี้แหละตรงที่จะปฏิบัติ เราจะปฏิบัติอย่างไร" อันนี้สำคัญ "ถ้าเราไปวิ่งกับสุข ไปวิ่งกับทุกข์ มัวไปวิ่งกับสุข ไปวิ่งกับทุกข์อยู่นั่น จะวิ่งตลอดจนถึงวันตายก็ไม่พบธรรมะนี่" ก็อยู่ไม่ได้
"เมื่อรู้จักสุข-ทุกข์ ทั้งสองนี้ขึ้นมาเมื่อไร เราจะแก้ไขปัญหาอย่างไร โดยธรรมะ นี่คือการปฏิบัติ" .. "
โอวาทธรรม หลวงพ่อชา สุภัทโท
" ... เพราะธรรม(อารมณ์)ที่มันเกิด-ดับ อยู่นี้
มันไม่เป็น ไปตามอำนาจใจของมนุษย์
... เพราะธรรม(อารมณ์)ทั้งหลายเหล่านี้
มิใช่ตัว มิใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
... พระพุทธเจ้า ท่านให้เห็นเป็น " สักแต่ว่า "
ให้ยืนอยู่ ... ตรงนี้เสมอ."
------------------------------------------------------------------------
( หลวงพ่อชา สุภัทโท.)
" พระพุทธองค์ท่านสอนว่า...
ให้มีสติอยู่เสมอ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน
จะอยู่ที่ไหนก็ช่างเถอะ ให้มีสติประคองอยู่-
เสมอ
เมื่อเรามีสติเราก็เห็นตัวของเรา เห็นใจ
ของเรา แล้วก็เห็นกาย ในกายของเรา เห็น
ใจในใจของเรา ทุกอย่าง
ถ้าไม่มีสติเราก็ไม่รู้เรื่อง อะไรมาตกอยู่
หน้าบ้าน ตกอยู่ในกุฏิ เราก็ไม่เห็น เพราะ
เราไม่มีสติ
การมีสตินี้...
จึงเป็นสิ่งสำคัญ."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" ความหลุดพ้น
ปล่อยวาง แม้กระทั่งสิ่งที่ถูก อย่าปล่อยวาง
โดยความยึดมั่นถือมั่น อย่ายึดมั่นถือมั่น-
แม้กระทั่ง ในสิ่งที่ถูก
เมื่อเห็นว่า เราถูกแล้ว
ก็เห็นว่า เราไม่ผิด แต่...ความเป็นจริงแล้ว
ความผิด มันฝังอยู่ใน ความถูก แต่เราไม่รู้
นี่คือ ทิฏฐิมานะ
ทิฏฐิคือ ความเห็น
มานะคือ ความยึดไว้ ถือไว้
ถ้าเรา ยึดในสิ่งที่ถูก ก็เรียกว่ามันผิด ถือ
ถูกนั่นแหละ ยึดมั่นถือมั่นในความถูก...
ไม่เป็น...การปล่อยวาง
เมื่อ...ปัญญารู้แจ้ง
เห็นจริงแล้ววางทันที วางตัวปัญญานั่นอีกที
เข้าสู่ ...ความว่าง
อยู่กับ...ความว่าง."
______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" อารมณ์ ชนิดใดก็ตาม
เรา อย่าไปเอาชนะมัน
เรา อย่าไปยอมแพ้มัน
ให้เราตั้งอยู่ในความสงบ เรียกว่า น้ำไหลนิ่ง
ความสงบ ท่ามกลาง ความไม่สงบ
น้ำไหลนิ่ง หยุด นิ่ง รู้
น้ำไหลนิ่งเป็นความสงบ ที่อยู่ท่ามกลาง
ความไม่สงบ เปรียบเหมือน น้ำไหลนิ่ง
อารมณ์ ที่มันเกิดขึ้นภายในจิตเรา
ความพอใจ ความไม่พอใจ
ความรัก ความชัง
ความดีใจ ความเสียใจ
ความโกรธ ความพยาบาท อะไรก็ตาม
มันจะเป็นอารมณ์ชนิดใดก็ตาม...
เรา อย่าไปเอาชนะมัน
เรา อย่าไปยอมแพ้มัน ให้ตั้งอยู่ในความ
สงบ
ความสงบ ที่อยู่ท่ามกลาง ความไม่สงบ
เปรียบเสมือนน้ำไหลนิ่ง หยุด นิ่ง รู้
ดู ความเกิด--ดับของอารมณ์ ทั้งหลาย
ทั้งปวง ไม่ไปข้องเกี่ยวกับมัน แม้แต่ลมกับ
กาย ความสงบนั้นก็มิได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไร
ด้วยเลยแล้วเราจะ...
...พ้นจากบวงของมาร."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ความทุกข์กายนั้นเป็นของมีอยู่แล้วเป็นธรรมดาตามประสาของมันอย่างนั้น แต่ความทุกข์ใจนั้นมีอยู่ได้ ตั้งอยู่ได้ เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นปัจจัย เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นปัจจัย เป็นที่ตั้งอาศัย เวทนา ตัณหาจึงตั้งอยู่ได้ ภพ ชาติ ชราและมรณะจึงตั้งอยู่ได้ไม่มีที่สินสุด
เราจะทำใจให้ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นที่ตั้งแห่งภพชาตืได้นั้น ความยึดมั่นถือมั่นนั้นจะละวางลงได้ จะจางคลายลงได้ก็ต่อเมื่อจิตนั้นได้เห็นความจริงแห่งธรรมทั้งหลายที่ตั้งอยู่แล้วในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นของไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเราดังนี้
เมื่อเห็นธรรมตามเป็นจริงในความเป็นอย่างนี้อยู่โดยมาก เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิต เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมอยู่เป็นประจำอยู่โดยมากแล้วในความเป็นอย่างนี้ สมถะและวิปัสสนาย่อมเกิด เมื่อสมถะและวิปัสสนาเกิดแล้ว วิชชาย่อมเกิดเมื่อวิชชาเกิดแล้ววิมุตติย่อมเกิด
อวิชชาย่อมถึงคจางคลายลงไป การละวางจากความยึดมั่นถือมั่น การจางคลายจากความยึดมั่นถือมั่นแห่งจิตก็จะมีไปเองโดยลำดับ การละวางความยึดมั่นถือมั่นนั้น
จะไม่สามารถละวางลงได้ จากการกระทำที่เป็นการบังคับบัชาใจตนให้ละวางสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามความต้องการของตน การละวางอันเกิดจากความอยากละวางนั้นเป็นไปตามความอยากมีอยากเป็น และความไม่อยากมีอยากเป็นในสิ่งนั้นๆ
ซึ่งเป็นไปตามอำนาจของตัณหาและทิฏฐิมานะแห่งตน การประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องเราจะเห็นผลแห่งธรรมนั้นเป็นไปโดยลำดับ และจะสามารถยังจิตเราให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ได้ตามเป็นจริงได้โดยกาลไม่นานเลย อันเป็นผลที่สุดแห่งพรหมจรรย์
อันถึงความเรียกได้ว่าเป็นบัณฑิตแท้ ความที่จิตนั้นว่างจากเวทนา ตัณหา และอุปาทานอันเป็นที่ตั้งแห่งภพแล้วนั้นเอง ชื่อว่าเป็นใบปริญญาของพระพุทธเจ้า อันบุคคลย่อมเห็นได้เองย่อมรู้ได้เองแล้วด้วยดีในจิตตน
" เมื่อ...รู้แล้ว
รู้...อยู่เฉย ๆ
รู้...เท่าทัน
รู้...แจ้ง
ไม่รับส่วนกับผู้ใด ไม่รับเป็นทาสใคร
ไม่รับส่วนกับใคร
รู้แล้ว ไม่เอา
รู้แล้ว วาง
รู้แล้ว ละ
สุข ก็มีอยู่เหมือนกัน
ทุกข์ ก็มีอยู่เหมือนกัน
อะไรก็มีอยู่...เหมือนกัน
แต่...ไม่เอา."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์นี้ เป็นโลกีย์
ถ้าเป็นโลกุตระแล้ว รูปไม่มี เสียงไม่มี
กลิ่นไม่มี รสไม่มี โผฏฐัพพะไม่มี ธรรมา-
รมณ์ไม่มี เป็นแต่ความรู้สึกเกิดขึ้น เท่านั้น
แล้วก็หายไป ไม่มีอะไร
เมื่อ...ไม่มีอะไร
ตัวเราก็ไม่มี ตัวเขาก็ไม่มี เมื่อตัวเราไม่มี
ของเราก็ไม่มี ตัวเขาไม่มี ของเขาก็ไม่มี
ความด้บทุกข์นั้นเป็นไปในทำนองนี้
คือ...
ไม่มีใครจะไปรับ เอาทุกข์
แล้วใครจะ เป็นทุกข์
ไม่มีใครไปรับ เอาสุข
แล้วใครจะ เป็นสุข."
___________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" ถ้า...จิต
เราฉลาด เราก็ไม่ยึด
แต่...วาง
เป็นผู้รู้ เฉย ๆ
รู้เท่า
แล้วปล่อยไปตามสภาวะ
อันเป็นลักษณะของ จิต
กับ เวทนาทั้งหลาย ก็เป็นอย่างนั้น
แม้ว่า
เราเจ็บขึ้นมา เราก็ยังรู้สึกว่า
เวทนา มันก็เป็น เวทนา
จิต มันก็เป็น จิต
เป็นคนละส่วน กันอยู่
รู้จักเจ็บไหม ? รู้จัก
รู้จักสบาบไหม ? รู้จัก
แต่เรา ไม่ไปอยู่ใน ความสบาย
และ ความไม่สบาย นั้น
อยู่...แต่ในความสงบ
คือ หมายความว่า
ท่าน ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์(สงบจาก สุข-
สงบจาก ทุกข์)
ท่านรู้ว่า...
มันสุข มันทุกข์อยู่เหมือนกัน
แต่ท่าน ไม่แบกมันไว้(ไม่ยึดมันไว้)
เวทนานั้น มันก็
...ไม่เกิด."
___________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
โลกไม่ได้ทำให้เราทุกข์ เราทุกข์เอง
ฉะนั้นจึงมาแก้ที่เรา ใจเรานี้มันหลงโลก
ไม่ใช่โลกหลงเรา เรามันหลงโลกเข้าใจไหม ?
ถ้าว่าอาหารทั้งหลาย ถ้ามันอร่อย
ไม่ใช่อาหารมันหลงเรา เรามันหลงอร่อยอันนั้น
หลงหวาน หลงเปรี้ยว หวานก็พอดีของมัน
เปรี้ยวก็พอดีของมัน มันเป็นของพอดี
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว
มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด
_____________________________
หลวงพ่อชา สุภัทโท
" ให้เห็นว่า...
มัน...ไม่เที่ยง
(มัน)...ไม่แน่ เท่านี้แหละ
ถ้าเรา...เห็นชัดเจนอย่างนี้แล้ว
จิตใจเราก็...
...ปล่อยวาง."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
นอกเหตุ เหนือผล
.
พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า ทำงานเพื่องาน ไม่ต้องการอะไร ถ้าคนเราทำงานเพื่อต้องการอะไร ก็เป็นทุกข์ ลองดูก็ได้ พอนั่งปั๊บก็ต้องการความสงบ ก็นั่งอยู่นั่นแหละ กัดฟันเป็นทุกข์แล้ว นั่นลองคิดดูซิ มันละเอียดกว่ากันอย่างนี้ คือทำแล้วปล่อยวางๆ อย่างเช่น พราหมณ์บูชายัญ เขาต้องการสิ่งที่เขาปรารถนานั้นอยู่ การกระทำเช่นนั้นของพราหมณ์นั้นก็ยังไม่พ้นทุกข์ เพราะเขามีความปรารถนาจึงทำ ทำแล้วก็ทุกข์เพราะทำด้วยความปรารถนา
.
ครั้งแรกเราทำก็ด้วยปรารถนาให้มันเป็นอย่างนั้น ทำไปๆ ทำจนกว่าที่เรียกว่าไม่ปรารถนาอะไรแล้ว ทำเพื่อปล่อยวาง มันลึกซึ้งอย่างนี้ คนเราปฏิบัติธรรมเพื่อต้องการอะไร เพื่อต้องการนิพพานนั่นแหละ จะไม่ได้พระนิพพาน ความต้องการอันนี้เพื่อให้มีความสงบ มันก็เป็นธรรมดาแต่ว่าไม่ถูกเหมือนกัน จะทำอะไรก็ไม่ต้องคิดว่าจะต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น แล้วมันจะเป็นอะไร ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเป็นอะไรมันก็ทุกข์เท่านั้นแหละ
.
การทำงานไม่ให้เป็นอะไรนั้นเรียกว่า “ทำจิตให้ว่าง” แต่การกระทำมีอยู่ความว่างนี้พูดให้คนฟังไม่รู้เรื่อง แต่คนทำไปจะรู้จักความว่างนี้มีประโยชน์ ไม่ใช่ว่ามันว่างในสิ่งที่มันไม่มี มันว่างในสิ่งที่มันมีอยู่ เช่น ไฟฉายนี้นะ มันไม่ว่าง แต่เราเห็นไฟฉายนี้มันว่าง ว่างก็เพราะมีไปฉายนี้ ไฟฉายนี้เป็นเหตุให้มีว่าง ไม่ใช่ว่างขณะนั้นมองดูไม่มีอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น คนฟังความว่างก็ไม่ค่อยออกเหมือนกัน ไม่ค่อยจะรู้จักอย่างนั้น ต้องเข้าใจความว่างในของที่มีอยู่ ไม่ใช่ความว่างในของที่ไม่มี
.
ลองอย่างนี้สิ นี่ถ้าหากว่าใครยังมีความปรารถนาอยู่ อย่างพราหมณ์ที่บูชายัญ ที่พราหมณ์บูชายัญก็เพราะเขาต้องการอะไรอันใดอันหนึ่งอยู่ เหมือนกันกับโยมมาถึงก็กราบพระ “หลวงพ่อ...ผมขอรดน้ำมนต์” “ทำไม...รดทำไม” “ต้องการกินดีอยู่ดี ไม่เจ็บไม่ไข้” นั่นแหละ มันไม่พ้นทุกข์แล้วถ้ามันต้องการอย่างนั้น ทำอันนี้เพื่อต้องการอันนั้น ทำอันนั้นเพื่อต้องการอันนี้
.
ในทางพระพุทธศาสนาให้ทำเพื่อไม่ต้องการอะไร ถ้ามีเพื่ออะไร มันไม่หมด ทางโลกทำอะไร เรียกว่ามันมีเหตุผล พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่าให้ “นอกเหตุ เหนือผล” ไม่ว่าจะทำอะไร ปัญญาของท่านให้นอกเหตุเหนือผล ให้นอกเกิดเหนือตาย นอกสุขเหนือทุกข์ ลองคิดตามไปซิ ลองพิจารณาตามไป คนเราเคยอยู่ในบ้าน พอหนีจากบ้านไปไม่มีที่อยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเรามันเคยอยู่ในภพ อยู่ในความยึดมั่นถือมั่นเป็นภพ ถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่นแล้วก็เรียกว่าไม่รู้จะทำอะไร
.
เหมือนอย่างคนส่วนมากไม่อยากไปพระนิพพานเพราะกลัว เพราะเห็นไม่มีอะไร ดูหลังคากับพื้นนี่ ที่สุดข้างบนคือหลังคา ที่สุดข้างล่างคือพื้น อันนั้นมันเป็นภพข้างบน อันนี้เป็นภพข้างล่าง ระยะที่ภพทั้งสองนี้มันต่อกัน มันว่างๆ คนไม่รู้จัก เหมือนที่ว่างระหว่างหลังคากับพื้น เห็นมันว่างๆ ก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหน ต้องไปอยู่บนหลังคา หรือไม่อย่างนั้นก็ที่พื้นข้างล่าง
.
ที่ๆ ไม่มีอยู่นั่นแหละมันว่าง เหมือนกับที่ไม่มีภพนั่นแหละก็เรียกว่ามันว่า ตัดเยื่อใยออกเสียมันก็ว่าง พอบอกว่าพระนิพพานคือความว่าง ถอยหลังเลยไม่ไป กลัว กลัวจะไม่ได้เห็นลูก กลัวจะไม่ได้เห็นหลาน กลัวจะไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น อย่างที่เวลาพระท่านให้พรญาติโยมว่า อายุ วัณโณ สุขัง พลัง โยมก็ดีใจ สาธุ เพราะชอบ มันจะได้อายุหลายๆ วรรณะผ่องใส มีความสุขมากๆ มีพลังหลายๆ คนชอบใจ ถ้าจะพูดว่าไม่มีอะไรแล้ว เลิกเลย ไม่ต้องเอาแล้ว
.
คนมันติดอยู่ในภพอย่างนั้น บอกไปตรงนั้น ไม่ไป ไม่มีที่อยู่แล้ว อายุ วัณโณ สุขัง พลัง เออ! ดีแล้ว อายุให้ยืนยาว วัณโณให้มีวรรณะผิวพรรณสวยงาม ให้มีความสุขมากๆ ให้มีอายุยืนๆ คนอายุยืนๆ มีผิวพรรณดีมีไหม เคยมีไหม คนอายุหลายๆ มีพลังมากๆ มีไหม คนมีอายุมากๆ มีความสุขมากๆ มีไหม พอให้พรว่า อายุ วัณโณ สุขัง พลัง ดีใจสาธุกันทั้งหลาย ทั้งศาลาเลย นี่แหละมันติดอยู่ในภพนี้ เหมือนอย่างพราหมณ์บูชายัญ ที่ทำพิธีบูชายัญเพราะต้องการสิ่งที่เขาปรารถนา
.
• หลวงพ่อชา สุภัทโท •
" ...ความคิด
...ความรู้สึก
มัน จะวิ่งไป วิ่งมาอยู่อย่างนี้
แม้...เราจะพยายามฝึกปฏิบัติ พยายาม
ให้มันสงบ
มัน ก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
มัน จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
เมื่อเราติดตามพิจารณา ดูธรรมชาติ
ของใจอยู่บ่อยๆ ก็จะค่อยๆเข้าใจว่า...
ธรรมชาติของใจ มันเป็นของมันอยู่
อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่น ไปไม่ได้
ถ้าเราเห็น (ความเป็นจริง) อันนี้ชัด
เราก็ทิ้ง
...ความคิด
...ความรู้สึก อย่างนี้ได้
ทีนี้ ก็ไม่ต้องคิดนั่น คิดนี่อีก(ต่อไป)
คอยแต่บอกตัวเองอย่างเดียวว่า...
มันเป็นของมัน อย่างนั้นเอง."(อารมณ์)
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
การตามดูใจของตัวเองนี่ น่าสนใจมาก ใจที่ยังไม่ได้ฝึก มันก็คอยวิ่งไปตามนิสัยเคยชินที่ยังไม่ได้ฝึก ไม่ได้อบรม มันเต้นคึกคักไปตามเรื่องตามราว ตามความคะนอง เพราะมันยังไม่เคยถูกฝึก ดังนั้นจงฝึกใจของตัวเอง การปฏิบัติภาวนาในทางพุทธศาสนาก็คือการปฏิบัติเรื่องใจ ฝึกจิตฝึกใจของตัว ฝึกอบรมจิตของตัวเองนี่แหละเรื่องนี้สำคัญมาก การฝึกใจเป็นหลักสำคัญ พุทธศาสนาเป็นศาสนาของใจ มันมีเท่านี้ ผู้ที่ฝึกปฏิบัติทางจิต คือผู้ปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา
การฝึกใจ
ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง ยิ่งกว่านั้นมันยังมีเสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้นด้วย ใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้ ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่มันต้องการแล้ว มันก็อาละวาด เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนา ด้วยสมาธิ นี้แหละที่เราเรียกว่า "การฝึกใจ"
พื้นฐานของการปฏิบัติธรรม
ในเบื้องต้นของการฝึกปฏิบัติธรรม จะต้องมีศีลเป็นพื้นฐานหรือรากฐาน ศีลนี้เป็นสิ่งอบรมกาย วาจา ซึ่งบางทีก็จะเกิดการวุ่นวายขึ้นในใจเหมือนกัน เมื่อเราพยายามจะบังคับใจไม่ให้ทำตามความอยาก
กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย นิสัยความเคยชินอย่างโลกๆ ลดมันลง อย่ายอมตามความอยาก อย่ายอมตามความติดของตน หยุดเป็นทาสมันเสีย พยายามต่อสู้เอาชนะอวิชชาให้ได้ด้วยการบังคับตัวเองเสมอ นี้เรียกว่าศีล
เมื่อพยายามบังคับจิตของตัวเองนั้น จิตมันก็จะดิ้นรนต่อสู้มันจะรู้สึกถูกจำกัด ถูกข่มขี่ เมื่อมันไม่ได้ทำตามที่มันอยาก มันก็จะกระวนกระวายดิ้นรน ทีนี้เห็นทุกข์ชัดละ
เห็นทุกข์ทำให้เกิดปัญญา
"ทุกข์" เป็นข้อแรกของอริยสัจจ์ คนทั้งหลายพากันเกลียดกลัวทุกข์ อยากหนีทุกข์ ไม่อยากให้มีทุกข์เลย ความจริง ทุกข์นี่แหละจะทำให้เราฉลาดขึ้นล่ะ ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เรารู้จักพิจารณาทุกข์ สุขนั่นสิมันจะปิดหูปิดตาเรา มันจะทำให้ไม่รู้จักอด ไม่รู้จักทน ความสุขสบายทั้งหลายจะทำให้เราประมาท
กิเลสสองตัวนี้ทุกข์เห็นได้ง่าย ดังนั้นเราจึงต้องเอาทุกข์นี่แหละมาพิจารณา แล้วพยายามทำความดับทุกข์ให้ได้ แต่ก่อนจะปฏิบัติภาวนาก็ต้องรู้จักเสียก่อนว่าทุกข์คืออะไร
ตอนแรกเราจะต้องฝึกใจของเราอย่างนี้ เราอาจยังไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร ทำไป ทำไปก่อน ฉะนั้นเมื่อครูอาจารย์บอกให้ทำอย่างใดก็ทำตามไปก่อน แล้วก็จะค่อยมีความอดทนอดกลั้นขึ้นเองไม่ว่าจะเป็นอย่างไรให้อดทนอดกลั้นไว้ก่อน เพราะมันเป็นอย่างนั้นเองอย่างเช่นเมื่อเริ่มฝึกนั่งสมาธิ เราก็ต้องการความสงบทีเดียวแต่ก็จะไม่ได้ความสงบ เพราะมันยังไม่เคยทำสมาธิมาก่อน ใจก็บอกว่า"จะนั่งอย่างนี้แหละจนกว่าจะได้ความสงบ"
อย่าทอดทิ้งจิต
แต่พอความสงบไม่เกิดก็เป็นทุกข์ ก็เลยลุกขึ้น วิ่งหนีเลย การปฏิบัติอย่างนี้ไม่เป็น "การพัฒนาจิต" แต่มันเป็นการ "ทอดทิ้งจิต"ไม่ควรจะปล่อยใจไปตามอารมณ์ ควรที่จะฝึกฝนอบรมตนเองตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขี้เกียจก็ช่าง ขยันก็ช่าง ให้ปฏิบัติมันไปเรื่อยๆ ลองคิดดูซิ ทำอย่างนี้จะไม่ดีกว่าหรือ การปล่อยใจตามอารมณ์นั้นจะไม่มีวันถึงธรรมของพระพุทธเจ้า
เมื่อเราปฏิบัติธรรม ไม่ว่าอารมณ์ใดจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน แต่ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปฏิบัติให้สม่ำเสมอ การตามใจตัวเองไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติธรรมตามความคิดความเห็นของเรา เราจะไม่มีวันรู้แจ้งว่าอันใดผิด อันใดถูก จะไม่มีวันรู้จักใจของตัวเองและไม่มีวันรู้จักตัวเอง ดังนั้นถ้าปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตนเองแล้วย่อมเป็นการเสียเวลามากที่สุด แต่การปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าแล้วย่อมเป็นหนทางตรงที่สุด
การพัฒนาจิต
ขอให้จำไว้ว่า ถึงจะขี้เกียจก็ให้พยายามปฏิบัติไป ขยันก็ให้ปฏิบัติไป ทุกเวลาและทุกหนทุกแห่ง นี่จึงจะเรียกว่า "การพัฒนาจิต" ถ้าหากปฏิบัติตามความคิดความเห็นของตนเองแล้ว ก็จะเกิดความคิดความสงสัยไปมากมาย มันจะพาให้คิดไปว่า "เราไม่มีบุญ เราไม่มีวาสนาปฏิบัติธรรมก็นานนักหนาแล้ว ยังไม่รู้ ยังไม่เห็นธรรมเลยสักที" การปฏิบัติธรรมอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็น "การพัฒนาจิต" แต่เป็น "การพัฒนาความหายนะของจิต"
ถ้าเมื่อใดที่ปฏิบัติธรรมไปแล้ว มีความรู้สึกอย่างนี้ว่ายังไม่รู้อะไร ยังไม่เห็นอะไร ยังไม่มีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นบ้างเลย นี่ก็เพราะที่ปฏิบัติมามันผิด ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
สิ้นสงสัยด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้อง
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มากแล้วจะสิ้นสงสัย" ความสงสัยจะไม่มีวันสิ้นไปได้ ด้วยการคิด ด้วยทฤษฎี ด้วยการคาดคะเน หรือด้วยการถกเถียงกัน หรือจะอยู่เฉยๆไม่ปฏิบัติภาวนาเลย ความสงสัยก็หายไปไม่ได้อีกเหมือนกัน กิเลสจะหายสิ้นไปได้ก็ด้วยการพัฒนาทางจิต ซึ่งจะเกิดได้ก็ด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้น
การปฏิบัติทางจิตที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น ตรงกันข้ามกับหนทางของโลกอย่างสิ้นเชิง คำสั่งสอนของพระองค์มาจากพระทัยอันบริสุทธิ์ ที่ไม่ข้องเกี่ยวกับกิเลสอาสวะทั้งหลาย นี่คือแนวทางของพระพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์
เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราต้องทำใจของเราให้เป็นธรรม ไม่ใช่เอาธรรมะมาตามใจเรา ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ ทุกข์ก็จะเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครสักคนหรอกที่จะพ้นจากทุกข์ไปได้ พอเริ่มปฏิบัติ ทุกข์ก็อยู่ตรงนั้นแล้ว หน้าที่ของผู้ปฏิบัตินั้นจะต้องมีสติ สำรวม และสันโดษ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหยุด คือเลิกนิสัยความเคยชินที่เคยทำมาแต่เก่าก่อนทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่ฝึกฝนอบรมใจตนเองแล้วมันก็จะคึกคะนอง วุ่นวายไปตามธรรมชาติของมัน
ธรรมชาติของจิตฝึกได้เสมอ
ธรรมชาติของใจนี้มันฝึกกันได้ เอามาใช้ประโยชน์ได้ เปรียบได้กับต้นไม้ในป่า ถ้าเราปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติของมัน เราก็จะเอามันมาสร้างบ้านไม่ได้ จะเอามาทำแผ่นกระดานก็ไม่ได้ หรือทำอะไรอย่างอื่นที่จะใช้สร้างบ้านก็ไม่ได้ แต่ถ้าช่างไม้ผ่านมาต้องการไม้ไปสร้างบ้าน เขาก็จะมองหาต้นไม้ในป่านี้และตัดต้นไม้ในป่านี้เอาไปใช้ประโยชน์ ไม่ช้าเขาก็สร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย
การปฏิบัติภาวนาและการพัฒนาจิตก็คล้ายกันอย่างนี้ ก็ต้องเอาใจที่ยังไม่ได้ฝึกเหมือนไม้ในป่านี่แหละ มาฝึกมัน จนมันละเอียดประณีตขึ้น รู้ขึ้น และว่องไวขึ้น ทุกอย่างมันเป็นไปตามภาวะธรรมชาติของมัน เมื่อเรารู้จักธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ เราก็เปลี่ยนมันได้ ทิ้งมันก็ได้ ปล่อยมันไปก็ได้ แล้วเราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป
จิตยึดมั่นมันก็สับสนวุ่นวาย
ธรรมชาติของใจเรามันก็อย่างนั้น เมื่อใดที่เกาะเกี่ยวผูกพันยึดมั่นถือมั่นก็จะเกิดความวุ่นวายสับสน เดี๋ยวมันก็จะวิ่งวุ่นไปโน่นไปนี่พอมันวุ่นว่ายสับสนมากๆเข้า เราก็คิดว่าคงจะฝึกอบรมมันไม่ได้แล้วแล้วก็เป็นทุกข์ นี่ก็เพราะไม่เข้าใจว่ามันต้องเป็นของมันอย่างนั้นเองความคิด ความรู้สึก มันจะวิ่งไปวิ่งมาอยู่อย่างนี้ แม้เราจะพยายามฝึกปฏิบัติ พยายามให้มันสงบ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เมื่อเราติดตามพิจารณาดูธรรมชาติของใจอยู่บ่อยๆก็จะค่อยๆเข้าใจว่าธรรมชาติของใจมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
ปล่อยวางได้จิตใจก็สงบ
ถ้าเราเห็นอันนี้ชัด เราก็จะทิ้งความคิดความรู้สึกอย่างนั้นได้ ทีนี้ก็ไม่ต้องคิดนั่นคิดนี่อีก คอยแต่บอกตัวเองไว้อย่างเดียวว่า "มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง" พอเข้าใจได้ชัด เห็นแจ้งอย่างนี้แล้ว ทีนี้ก็จะปล่อยอะไรๆได้ทั้งหมด ก็ไม่ใช่ว่าความคิดความรู้สึกมันจะหายไป มันก็ยังอยู่นั่นแหละ แต่มันหมดอำนาจเสียแล้ว
เปรียบก็เหมือนกับเด็กที่ชอบซน เล่นสนุก ทำให้รำคาญ จนเราต้องดุเอา ตีเอา แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็กก็เป็นอย่างนั้นเอง พอรู้อย่างนี้ เราก็ปล่อยให้เด็กเล่นไปตามเรื่องของเขาความเดือดร้อนรำคาญของเราก็หมดไป มันหมดไปได้อย่างไร ก็เพราะเรายอมรับธรรมชาติของเด็ก ความรู้สึกของเราเปลี่ยน และเรายอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เราปล่อยวาง จิตของเราก็มีความสงบเยือกเย็น นี่เรามีความเข้าใจอันถูกต้องแล้ว เป็นสัมมาทิฏฐิ
ถ้ายังไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ แม้จะไปอยู่ในถ้ำลึกมืดสักเท่าใด ใจมันก็ยังยุ่งเหยิงอยู่ ใจจะสงบได้ก็ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น ทีนี้ก็หมดปัญหาจะต้องแก้เพราะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น นี่มันเป็นอย่างนี้ เราไม่ชอบมัน เราปล่อยวางมัน เมื่อใดที่มีความรู้สึกเกาะเกี่ยวยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น เราปล่อยวางทันที เพราะรู้แล้วว่าความรู้สึกอย่างนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อจะกวนเรา แม้บางทีเราอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงความรู้สึกนั้นเป็นของมันอย่างนั้นเอง
ถ้าเราปล่อยวางมันเสีย รูปก็เป็นสักแต่ว่ารูป เสียงก็สักแต่ว่าเสียง กลิ่นก็สักแต่ว่ากลิ่น รสก็สักแต่ว่ารส โผฏฐัพพะก็สักแต่ว่าโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ก็สักแต่ว่าธรรมารมณ์ เปรียบเหมือนน้ำมันกับน้ำท่า ถ้าเราเอาทั้งสองอย่างนี้เทใส่ขวดเดียวกัน มันก็ไม่ปนกัน เพราะธรรมชาติมันต่างกัน เหมือนกับที่คนฉลาดก็ต่างกับคนโง่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์ พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่ง "สักว่า" เท่านั้น
ใจก็สักว่าใจ ความคิดก็สักว่าความคิด
พระองค์ทรงปล่อยวางมันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ทรงเข้าพระทัยแล้วว่า ใจก็สักว่าใจ ความคิดก็สักว่าความคิด พระองค์ไม่ทรงเอามันมาปนกัน ใจก็สักว่าใจ ความคิดความรู้สึกก็สักว่าความคิด ความรู้สึกปล่อยให้มันป็นเพียงสิ่ง "สักว่า" รูปก็สักว่ารูป เสียงก็สักว่าเสียงความคิดก็สักว่าความคิด จะต้องไปยึดมั่นถือมั่นทำไม ถ้าคิดได้รู้สึกได้อย่างนี้เราก็จะแยกกันได้ ความคิดความรู้สึก (อารมณ์) อยู่ทางหนึ่งใจก็อยู่อีกทางหนึ่ง เหมือนกับน้ำมันกับน้ำท่า อยู่ในขวดเดียวกันแต่มันแยกกันอยู่
พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกของพระองค์ ก็อยู่ร่วมกับปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้รู้ธรรม ท่านไม่ได้เพียงอยู่ร่วมเท่านั้น แต่ท่านยังสอนคนเหล่านั้น ทั้งคนฉลาด คนโง่ ให้รู้จักวิธีที่จะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมและรู้แจ้งในธรรม ท่านสอนได้เพราะท่านได้ปฏิบัติมาเองท่านรู้ว่ามันเป็นเรื่องของใจเท่านั้น เหมือนอย่างที่ได้พูดมานี่แหละ
ดังนั้นการปฏิบัติภาวนานี้อย่าไปสงสัยมันเลย เราหนีจากบ้านมาบวช ไม่ใช่เพื่อหนีมาอยู่กับความหลงหรืออยู่กับความขลาดความกลัว แต่หนีมาเพื่อฝึกอบรมตัวเอง เพื่อเป็นนายตัวเอง ชนะตัวเองถ้าเราเข้าใจได้อย่างนี้ เราก็จะปฏิบัติธรรมได้ ธรรมะจะแจ่มชัดขึ้นในใจของเรา
ธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ผู้ที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจตัวเอง ใครเข้าใจตัวเองก็เข้าใจธรรมะทุกวันนี้ก็เหลือแต่เปลือกของธรรมะเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีไปไหน ถ้าจะหนีก็ให้หนีด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา หนีด้วยความชำนิชำนาญ อย่าหนีด้วยความโง่ ถ้าเราต้องการความสงบก็ให้สงบด้วยความฉลาด ด้วยปัญญาเท่านั้นก็พอ
เมื่อใดที่เราเห็นธรรมะ นั่นก็เป็นสัมมาปฏิปทาแล้ว กิเลสก็สักแต่ว่ากิเลส ใจก็สักแต่ว่าใจ เมื่อใดที่เราทิ้งได้ ปล่อยวางได้แยกได้เมื่อนั้นมันก็เป็นเพียงสิ่งสักว่า เป็นเพียงอย่างนี้อย่างนั้นสำหรับเราเท่านั้นเอง เมื่อเราเห็นถูกแล้ว ก็จะมีแต่ความปลอดโปร่ง ความเป็นอิสระตลอดเวลา
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายท่านอย่ายึดมั่นในธรรม" ธรรมะคืออะไร คือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะความรักความเกลียดก็เป็นธรรมะ ความสุขความทุกข์ก็เป็นธรรมะความชอบความไม่ชอบก็เป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหนก็เป็นธรรมะ
ปฏิบัติเพื่อละ อย่าปฏิบัติเพื่อสะสม
เมื่อเราปฏิบัติธรรมเราเข้าใจอันนี้ เราก็ปล่อยวางได้ ดังนั้นก็ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจเรา ในจิตเรา ในร่างกายของเรา มีแต่ความแปรเปลี่ยนไปทั้งนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นพระองค์ทรงสอนพระสาวกของพระองค์ให้ปฏิบัติเพื่อละ เพื่อถอนไม่ให้ปฏิบัติเพื่อสะสม
ถ้าเราทำตามคำสอนของพระองค์ เราก็ถูกเท่านั้นแหละ เราอยู่ในทางที่ถูกแล้ว แต่บางทีก็ยังมีความวุ่นวายเหมือนกัน ไม่ใช่คำสอนของพระองค์ทำให้วุ่นวาย กิเลสของเรานั้นแหละที่มันทำให้วุ่นวาย มันมาบังคับความเข้าใจอันถูกต้องเสีย ก็เลยทำให้เราวุ่นวาย
ความจริงการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีอะไรลำบาก ไม่มีอะไรยุ่งยาก การปฏิบัติตามทางของพระองค์ไม่มีทุกข์เพราะทางของพระองค์คือ "ปล่อยวาง" ให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติภาวนานั้น ท่านทรงสอนให้"ปล่อยวาง" อย่าแบกถืออะไรให้มันหนัก ทิ้งมันเสีย ความดีก็ทิ้งความถูกต้องก็ทิ้ง คำว่าทิ้งหรือปล่อยวางไม่ใช่ไม่ต้องปฏิบัติ แต่หมายความว่าให้ปฏิบัติ "การละ" "การปล่อยวาง" นั่นแหละ
เนื้อหาบางส่วนจาก พระธรรมเทศนาเรื่องการฝึกใจ โดย หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
https://sites.google.com/s…/smartdhamma/mind_training_lp_cha
โอวาทธรรมหลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
"หลวงพ่อไม่ได้จำกัดวิธีการเจริญภาวนา
ผูกขาดลงไปในแนวทางใดแนวทางหนึ่ง แต่ท่านเน้นว่า "แนวทางการทำสมาธิใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง ไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง"
"การภาวนาก็คือ การทำความคิดเห็นให้ถูกต้อง ทำเพื่อปล่อยวาง วิธีการทุกอย่างก็เหมือนเครื่องมือจับปลานั่นแหล่ะ มันต่างกันแต่รูปแบบ ต่างกันแต่วิธีเท่านั้น ในที่สุดก็เพื่อเอาผลอันเดียวกันนั่นเอง ทีนี้ เราจึงไม่จำกัดรูปแบบการปฏิบัติ แต่ก็มักจะสอนให้ภาวนา พุทโธ
หรืออานาปานสติ คือการกำหนดลมหายใจเข้าออกทำไปพอสมควรแล้ว จึงค่อยทำความรู้ความเห็นของเราให้ถูกต้องเรื่อยไป"
ท่านให้เหตุผลในการสอนอานาปานสติเป็นหลักว่า "เป็นสิ่งที่ง่ายและสบายแก่นักปฏิบัติเพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
ตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ไม่ต้องสร้างหรือปรุงขึ้นมา"
"อาจบังคับตัวเองให้กำหนดลมหายใจ
ข้อนี้เป็นศีล การกำหนดลมหายใจได้และติดต่อไปจนจิตสงบ ข้อนี้เรียกว่าสมาธิ การพิจารณากำหนดลมหายใจว่าไม่เที่ยง ทนได้ยาก มิใช่ตัวตนแล้วรู้การปล่อยวาง ข้อนี้เรียกว่าปัญญา การทำอานาปานสตืภาวนาจึงกล่าวได้ว่าบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อมกัน และเมื่อทำ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ครบ ก็ชื่อว่าได้เดินทางตามมรรคมีองค์๘ ที่พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นทางสายเอก ประเสริฐกว่าทางทั้งหมด
เพราะจะเป็นการเดินทางเข้าถึงพระนิพพาน
เมื่อเราทำตามที่กล่าวมานี้ ชื่อว่าเป็นการเข้าถึงพุทธรรมอย่างถูกต้องที่สุด"
(อุปลมณีหน้า๒๐๘)
หลวงพ่อชา บอกย้ำเตือน ศีล สมาธิ ปัญญา คือของอันเดียวกันที เปรียบได้กับ มะม่วงใบเดียว แต่ออกผลได้หลากหลายรส
มะม่วงใบเดียวกัน
ที่ว่าเราทำสงบหรือทำสมาธินี้ มันสงบจิตไม่ใช่สงบกิเลสหรอก เรานั่งทับมันไปให้มันสงบเฉยๆ เหมือนกับหินทับหญ้า หญ้ามันก็ดับไปเพราะหินมันทับ อีกสามสี่ห้าวันเรามายกหินออก หญ้ามันก็เกิดขึ้นมาอีก แปลว่า หญ้ามันยังไม่ตายคือมันระงับเฉยๆ เช่นเดียวกับการนั่งสมาธิ มันสงบจิตไม่ใช่สงบกิเลส นี่เรื่องสมาธิจึงเป็นของไม่แน่นอน
ฉะนั้น การที่สงบนี้เราจะต้องพิจารณาสมาธิก็สงบแบบหนึ่ง แบบหินทับหญ้า หลายวันไปยกหินออกจากหญ้า หญ้าก็เกิดขึ้นอีก นี่สงบชั่วคราว (สงบด้วยปัญญาคือไม่ยกหินออก ทิ้งมันไว้อย่างนั้น ทับมันไว้ ไม่ยกหินออกหญ้ามันเกิดไม่ได้ นี่เรียกว่าสงบแท้) สงบนกิเลสแน่นอน นี่เรียกว่า ปัญญา
ตัวปัญญากับตัวสมาธินี้ เมื่อเราพูดแยกกันออก ก็คล้ายๆ คนละตัว แต่ความเป็นจริงมันเป็นตัวเดียวกันนั่นเองแหละ ตัวปัญญามันเป็นเครื่องเคลื่อนไหวของสมาธิเท่านั้น มันออกจากจิตอันนี้เองแต่มันแยกกันออกไป มันเป็นคนละลักษณะ เหมือนมะม่วงใบนี้ ลูกมะม่วงใบหนึ่งใบเล็กๆ เดี๋ยวมันก็โตขึ้นมาอีกแล้วมันก็สุก มะม่วงใบนี้ก็คือมะม่วงใบเดียวกัน ไม่ใช่คนละใบ มันเล็กก็ใบนี้ มันโตก็ใบนี้ มันสุกก็ใบนี้ แต่มันเปลี่ยนลักษณะ เราปฏิบัติธรรม อาการอย่างหนึ่งท่านเรียกว่า สมาธิ อาการอย่างหลังท่านเรียกว่า ปัญญา แต่ความจริง ศีล สมาธิ ปัญญา คือของอันเดียวกัน ไม่ใช่คนละอย่าง เหมือนมะม่วงใบเดียวกัน ผลมันเล็กก็ใบนั้น มันสุก็ใบนั้น ใบเดียวนั่นแหละ แต่ว่ามันเปลี่ยนอาการเท่านั้น
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
เผิ่นว่า.....โลกบังธรรม อารมณ์บังจิต
ใครตกอยู่ในวังวน รักโลภ โกรธหลง ย่อมตกเป็นทาสในขณะที่มันครองงำ ยกเว้นผู้มีสติธรรม
แหละใครตกอยู่ในภาวะเป็นทาสอารมณ์ ก็ไม่เห็นสภาพจิตเดิมแท้ที่เป็นอิสระ
ท่านจึงให้เน้นให้มากฝึกให้มากคือ ตัวสติ เพราะสติคือเครื่องปกป้องกลั่นกรองชนิดเลิศ...
❖ จิตหลงอารมณ์ ❖
" .. การปฏิบัติเรื่องจิตนี้ ความจริงจิตนี้ไม่เป็นอะไร มันเป็นประภัสสรของมันอยู่อย่างนั้น มันสงบอยู่แล้ว "ทีจิตไม่สงบทุกวันนี้เพราะจิตมันหลงอารมณ์" ตัวจิตแท้ ๆ นั้นไม่มีอะไร "เป็นธรรมชาติอยู่เฉย ๆ เท่านั้น" ที่สงบไม่สงบก็เป็นเพราะอารมณ์มาหลอกลวง
จิตที่ไม่ได้ฝึกก็ไม่มีความฉลาด มันก็โง่ อารมณ์ก็มาหลอกลวงไปให้เป็นสุข เป็นทุกข์ ดีใจ เสียใจ "จิตของคนตามธรรมชาตินั้น ไม่มีความดีใจ เสียใจ ที่มีความดีใจเสียใจนั้นไม่ใช่จิต" แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง จิตก็หลงอารมณ์โดยไม่รู้ตัว
แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์ เพราะยังไม่ได้ฝึก ยังไม่ฉลาด แล้วเราก็นึกว่า จิตเราเป็นทุกข์ นึกว่าจิตเราสบาย ความจริงมันหลงอารมณ์ พูดถึงจิตของเราแล้ว มันมีความสงบอยู่เฉย ๆ มีความสงบยิ่ง "เหมือนกับใบไม้ที่ไม่มีลมพัดก็อยู่เฉย ๆ ถ้ามีลมมาพัดก็กวัดแก่วงเป็นเพราะลมมาพัดและก็เป็นเพราะอารมณ์ มันหลงอารมณ์"
ถ้าจิตไม่หลงอารมณ์แล้ว จิตก็ไม่กวัดแกว่ง ถ้ารู้เท่าทันอารมณ์แล้วมันก็เฉย "เรียกว่าปกติของจิตเป็นอย่างนั้น" ที่เราปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อให้เห็นจิตเดิม "เราคิดว่าจิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ แต่ความจริงจิตไม่ได้สร้างสุขสร้างทุกข์ อารมณ์มาหลอกลวงต่างหาก มันจึงหลงอารมณ์" ฉะนั้นจึงต้องฝึกจิตให้ฉลาดขึ้น ให้รู้จักอารมณ์ ไม่ให้เป็นไปตามอารมณ์ จิตก็สงบ .. "
❖ คำสอน หลวงปู่ชา สุภัทโท ❖
จิตฟุ้งซ่านมากทั้งๆ ที่พยายามจะมีสติอยู่
อย่าวิตกในเรื่องนี้เลย พยายามรักษาจิตของท่านให้อยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาภายในจิตก็ตาม จงเฝ้าดูมัน และปล่อยวาง
อย่าแม้แต่หวังที่จะไม่ให้มีความนึกคิดเกิดขึ้นเลย แล้วจิตก็จะเข้าสภาวะปกติตามธรรมชาติของมัน
ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความดีกับความชั่ว ร้อนกับหนาว เร็วหรือช้า ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัวตนเลย อะไรๆ ก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
เมื่อท่านเดินบิณฑบาตไม่จำเป็นต้องทำอะไรพิเศษ เพียงแต่เดิน และเห็นตามที่เป็นอยู่ อย่ายึดมั่นอยู่กับการแยกตัวไปอยู่แต่ลำพัง หรือกับการเก็บตัว ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด จงรู้จักตัวเองด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดู
เมื่อเกิดสงสัยจงเฝ้าดูมันเกิดขึ้นและดับไป มันก็ง่ายๆ
อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น
เหมือนกับว่าท่านกำลังเดินไปตามถนน บางขณะท่านจะพบสิ่งกีดขวางทางอยู่
เมื่อท่านเกิดกิเลส เครื่องเศร้าหมอง จงรู้ทันมัน และเอาชนะมันโดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวางที่ท่านได้ผ่านมาแล้ว
อย่าวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่ได้พบ จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าสนใจกับระยะทางของถนน หรือกับจุดหมายปลายทาง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไป
ไม่ว่าท่านผ่านอะไรไป อย่าไปยึดมั่นไว้ ในที่สุดจิตจะบรรลุถึงความสมดุลตามธรรมชาติของจิต
และเมื่อนั้นการปฏิบัติก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้น และดับไปในตัวของมันเอง
หลวงพ่อชา
อารมณ์อันถึงความดีใจก็ดี อารมณ์อันถึงความเสียใจก็ดี อารมณ์อันไม่ถึงความดีใจ ไม่ถึงความเสียใจก็ดี มันเป็นของมีอยู่แล้วในความเป็นอย่างนั้น มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันอย่างนั้น
ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ไม่ควรเข้าไปยินดียินร้ายในอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น ไม่ควรเอาจิตเข้าไปผูกพันในอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น เมื่อเราไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น เมื่อเราไม่เข้าไปยินดียินร้ายในอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น
ไม่เป็นผู้มีจิตพูกพันในอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล้วไซร้ เราก็ข้ามพ้นอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้เสียโดยประการทั้งปวง เมื่อเราข้ามพ้นอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้เสียโดยประการทั้งปวงแล้วไซร้
อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นมีอยู่ ก็เป็นของสักแต่ว่ามีอยู่ตามประสาของมันอย่างนั้น มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันอย่างนั้น เมื่อบุคคลข้ามพ้นอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงได้แล้วไซร้ จิตนั้นย่อมไม่เป็นทุกข์ ...
ก็ผู้ใดแลยินดีแล้วในอารมณ์ เพลิดเพลินแล้วในอารมณ์ ถึงความพอใจแล้วในอารมณ์ เป็นผู้มีจิตผูกพันแล้วในอารมณ์ เมื่ออารมณ์อันถึงความดีใจเกิดขึ้นก็เสวยเวทนาอันเป็นสุขบ้าง เมื่ออารมณ์อันถึงความเสียใจเกิดขึ้นก็เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์บ้าง
เมื่ออารมณ์อันไม่ถึงความดีใจ ไม่ถึงความเสียใจเกิดขึ้นก็เสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง เพราะอาศัยเวทนานั้นเองเป็นปัจจัย ตัณหาทั้งหลายจึงตั้งอยู่ได้ เพราะอาศัยตัณหานั้นเองเป็นปัจจัย อุปาทานจึงตั้งอยู่ได้
เพราะอาศัยอุปาทานนั้นเองเป็นปัจจัย ภพจึงตั้งอยู่ได้ เพราะอาศัยภพนั้นเองเป็นปัจจัย ชาติ ชรา และมรณะจึงตั้งอยู่ได้ เพราะอาศัยภพ ชาติ ชรา และมรณะนั้นเองเป็นปัจจัย กองทุกข์จึงตั้งอยู่ได้ ความดับไม่เหลือแห่งภพ ชาติ ชรา และมรณะนั้นเอง
คือความดับไม่เหลือแห่งกองทุกข์ ความดับไม่เหลือแห่งกองทุกข์นี้นั้นเองคือนิพพาน นิพพานนี้นั้นเองอันบุคคลควรเข้าถึงอันบุคคลควรทำให้แจ้ง อันบุคคลควรเห็นว่าเป็นฝั่ง อันบุคคลความเห็นว่าเป็นดังที่พึ่ง อันบุคคลควรเห็นว่าเป็นที่ดับสนิทไม่มีเศษเหลือแห่งทุกข์
เรื่อง "วิธีเจริญภาวนา หาที่ตั้งฐานของจิต"
ให้ "กลั้นลมหายใจ" มันจะจุกอยู่ประมาณ "กลางทรวงอก" ให้จดจ่อความรู้สึกไว้ที่ "จุดรู้" เอาจุดรู้เป็นที่ตั้งของใจ(ฐานของจิต) ประคองความรู้สึกไว้ที่ "จุดรู้" ให้มันอยู่ ให้มันติดตรง "จุดรู้" นั้นให้ได้ ทำ "ใจ" ให้สงบให้รู้อยู่ใน "จุดรู้" อยู่อย่างเดียว ประคองเข้าสู่ "จุดรู้" รักษาความรู้สึกไว้ในจุดเดียว ถือเอา ความรู้สึกนั้นให้ไปรวมอยู่ในที่ "จุดเดียว"
เมื่อได้ที่ตั้งแล้ว(ฐานของจิต) ให้จำตรงนั้น ประคองความรู้สึกไว้ที่ตรงนั้น ให้มันอยู่ ให้มัน "ติดตรงจุดนั้น" ให้ได้ เมื่อตั้งจนชำนิชำนาญ จิตมันจะติดตรงนั้น เมื่อใจมันติดตรงจุดนั้นได้ มันก็วางข้างนอก มันไม่ไปต่อข้างนอก มันจะจ่อจุดนั้นอย่างเดียว เมื่อมันแน่วอยู่ในจุดเดียวแล้ว "รักษาจิต" ให้อยู่ในจุดนั้นมากขึ้นเท่าใด ใจก็จะมั่นคงมากขึ้นเท่านั้นเป็น "เอกัคตาจิต"
"ผู้รู้" อยู่นั้นแหละเป็น "ใจ" ไม่ต้องไป "ละเวทนา" มันหรอก เข้าไปสู่จุด "ดวงรู้" ประคองใจให้มัน "รู้" อยู่เพียง "จุดเดียว" เท่านั้น "ใจ" คือ "รู้" เท่านั้น
โอวาทธรรมหลวงปู่ชา สุภัทโท
ขออนุโมทนาบุญท่านผู้มีส่วนเผยแผ่โอวาทธรรมและภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ขอจงเจริญรุ่งเรืองในธรรมพบสุขอันเกษม สาธุอนุโมทามิ
พระพุทธเจ้า ต้องการให้มันมา รู้ใจเฉพาะ ให้เหลือแต่ จุดรู้อย่างเดียว
ถ้า ใจ ออกไปรู้ข้างนอกเป็น ดวงวิญญาณ ยินดีพอใจข้างนอกเป็น อารมณ์
ใจ มันอยู่ข้างนอก มัน ไม่อยู่ที่ตัวเอง ถึงวุ่นวาย ให้มัน รู้ อยู่ที่ ใจ อย่าออกนอก อย่าไปรู้ข้างนอก มันไม่รู้จักตัวเอง วุ่นวาย ให้รู้จัก ใจข้างใน ให้น้อมเข้ามาสู่ ดวงรู้ เข้าหา จุดรู้
ดู ลม ไม่ให้ เอาลม ให้ ใจ เข้าสู่ ดวงรู้ จุดรู้ เข้าสู่ จุดนั้น น้อมเข้า น้อม ใจ เข้าสู่ จุดรู้ เลย ให้ รู้จักตัวเอง ที่ตั้งจุดรู้ จึงให้ ใจไปรู้ ดวงรู้ อีกครั้ง
ใจ ไม่มี ตัวตน รูปร่างสัณฐาน ใจ เป็นสภาวะ "รู้
อย่าให้ ใจ "รู้" ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ ใจ มันรู้ ใจ ใจ ไม่มีตน ไม่มีรูปร่าง เป็นเป็นสภาวะที่ "รู้" อยู่ในนี้ ใจมันออกไปรู้ รู้ รูป ข้างนอก มันจึงเป็น ภัย แก่ใจ ให้น้อม เข้ามาหา ดวงรู้ จุดรู้ ใจมันออกไป รู้ ข้างนอก จึงเป็นเหตุให้ใจมันยินดียินร้าย ไปตามอารมณ์ที่กอดสิ่งนั้น
อารมณ์ นั้นมันวางไม่ได้ มัน ติดรูป แม้จะหลับตามันยัง เห็นอยู่ในใจ อย่างนั้น เพราะใจมันจดจ่อสิ่งที่มันเห็นนั้น หรือจดจ่อสิ่งที่มันฟัง
ความประสงค์ของพระพุทธเจ้า ต้องการให้มันมา รู้ใจเฉพาะ ให้เหลือแต่ จุดรู้อย่างเดียว ถ้ามันรู้มันถือในจุดอื่นอยู่ ใจมันยังข้องอยู่กับสิ่งนั้น(ต้องมีอารมณ์เดียว อยู่กับจิตเดิมตลอด อยู่กับ จิตหนึ่ง เท่านั้น อยู่กับ หนึ่ง เท่านั้น) เช่น มันติดอารมณ์ภายใน อารมณ์ภายใน มันก็ เก็บมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจำไว้ มันเป็น สัญญาเวทนา ที่มัน เก็บ อยู่ที่ ใจ
สัญญาเวทนา เป็น จิตสังขาร
จะคิด จะปรุง จะแต่ง ก็ต้องอาศัย สัญญา กับ เวทนา คือสิ่งที่มัน จำไว้ ในสิ่งที่ มันสบาย ไม่สบาย การทำ ใจ ให้ สงบ ให้ รู้อยู่ ใน จุดรู้ อยู่อย่างเดียว .......ประคองเข้าสู่ จุดนั้น รักษา ความรู้สึก ไว้ใน จุดเดียว ถือเอา
ความรู้สึกนั้นให้ ไปรวม อยู่ในที่ จุดเดียว หรือมิฉะนั้นให้ กลั้นลมหายใจ มันจะ จดจ่อ ที่ ตั้งของใจ เมื่อได้ที่ตั้งแล้ว ให้ จำตรงนั้น ประคองความรู้สึกไว้ที่ ตรงนั้น ให้มันอยู่ ให้ มันติดตรงจุดนั้น ให้ได้
เมื่อตั้งจนชำนิชำนาญ จิตมันจะติดตรงนั้น เมื่อใจมันติดตรงจุดนั้นได้ มันก็วางข้างนอก มันไม่ไปต่อข้างนอก มันจะต่อจุดนั้นอย่างเดียว เมื่อมันแน่วอยู่ในจุดเดียวแล้วมันเป็นสมาธิเบื้องต้น
รักษาจิตให้อยู่ใน จุดนั้น มากขึ้นเท่าใด ใจก็จะมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น เป็น เอกัคตาจิต จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว อยู่ใน จุดที่ตั้ง นั้น
หลวงปู่ชา สุภัทโท
อีกคำหนึ่งที่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้ยินบ่อย ๆ
จนติดหู คือคำว่า “พอดี”
ท่านเคยพูดอยู่เสมอว่า ธรรมะคือพอดี
ความพอดี คือ ทางสายกลางไปสู่ความดับทุกข์
แล้วท่านย้ำสอนให้แต่ละองค์แต่ละคน
หาความพอดีของตัวเองในการประพฤติปฏิบัติ
“เรามาฝึกการปฏิบัติ
ทำไมท่านถึงให้เรากินน้อย นอนน้อย พูดน้อย
อะไร ๆ ทุกอย่าง ให้มันน้อยไป ๆ
คำที่ว่ามันน้อยน่ะ มันจะพอดีหรือ
ความเป็นจริงนั้นยังไม่พอดี ไม่สม่ำเสมอ
แต่ทำไมท่านถึงว่าให้เราทำให้มันน้อย
พูดน้อย ๆ คุยน้อย ๆ นอนน้อย ๆ
เพื่อให้เรารู้จักความพอดี
ความเหมาะสมของตัวเรานั่นเอง
ทุกท่านให้พยายาม รีบเกินไปก็ไม่ได้
ให้รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว หาความพอดี
ถ้ามันน้อยไปเราก็เติม ถ้ามากไปเราเอาออก
เป็นสัมมาปฏิปทาคือ พอดี
ถ้ามันดื้อ ก็ใช้ข้อวัตรเข้าควบคุม
ให้มันเข็ด ฝึกมันทรมานมัน
ถ้ามันเป็นอีกก็ทำอีก นี่เรียกว่า
การปฏิบัติหาทางพ้นทุกข์ของเรา
การพูดจาปราศรัย ทุกอิริยาบถ
ให้มีความรู้สึกอยู่ในใจของเรา
ความพอดีนั้นเป็นแนวทางปฏิบัติ
ที่ไม่ข้องแวะกับสิ่งสุดโต่ง
กามสุขัลลิกานุโยโค คือ ใจของเราลุ่มหลงในความสุข
ลุ่มหลงในความสบาย ลุ่มหลงในความดีใจ
ลุ่มหลงว่าเราดี เราเลิศ เราประเสริฐ
อัตตกิลมถานุโยโค คือ อาการที่ไม่พอใจ
อาการที่เป็นทุกข์ อาการที่ไม่ชอบใจ อาการกริ้วโกรธ
ธรรม ๒ อย่างนี้ ไม่ใช่หนทางของบรรพชิตจะพึงเดิน
หนทางคือ อาการดีใจ หรือเสียใจ
เดินทางคือ ตัวผู้รู้ของเรานั่นแหละผู้เดินทางคือ จิต
ผู้สงบท่านไม่เดินทางนั้น
แต่ว่าทางนั้นท่าน ก็เห็น อาการสุขก็เห็น
แต่ท่านไม่มีอุปทานยึดมั่นกับมัน ปล่อยมันไป
วางมันไป ละมันไป จึงเป็นผู้สงบ การรู้จักความพอดี
ก็เกิดจากการพิจารณาความไม่แน่นั่นเอง
การประพฤติปฏิบัตินี้ ต้องมีปฏิปทาที่พอดี ๆ
ไม่สูงเกินไป อยู่ในระดับพอดี
ถ้ามันเกินพอดี หรือ ต่ำกว่าพอดี
มันก็ไปไม่ได้ ไม่ใช่สัมมาปฏิบัติของพระ
ถ้าเราดูเสมอว่า ยืน นั่ง นอนน่ะ
เรารู้สภาพอารมณ์ทั้งหลายมันพอดี
โดยอำนาจที่ว่า ของมันไม่แน่แล้ว
มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นอีก
แต่ว่าคนเรามันทนไม่ไหว
มันอยากเกินขีด มันดันขึ้น ๆ ไม่รู้จักความพอดีของมัน
ความพอดีของมัน เกิดจากที่ว่าเมื่อพบอารมณ์อะไร
ก็บอกมันว่าไม่แน่ เรื่องอนิจจังเรียกว่าไม่แน่
ทนเอาอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ก้าวไป ไม่ถอยกลับ
อยู่ตรงนี้ ทนไม่นานเดี๋ยวก็พบความจริงได้”
โอวาทธรรม : - หลวงปู่ ชา สุภัทโท
เผิ่นไห้เอามาพิจารนา เปรียบเทียบไห้ปัญญามันเฉียบคม ปดปลงลงในสิ่งที่ตาเห็น ให้ใจขบคิดไล่หา
อุบายธรรมของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน แต่ตัวปัญญามันเป็นอย่างเดียวกัน
คือต้องมีสมาธิในการพิจารนา ต้องมีปัญญาอันแหลมคมที่ชำระล้าง สิ่งที่เป็นมลทินให้สะอาด
สุดท้ายปลายทางจะลงที่สะอาด สว่าง สงบเหมือนกันทุกคน เมื่อเดินมาถูกทางนะ...