พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 19 เมษายน 2561
ตอนที่ 319 **อานิสงส์ของการเป็นพระอนาคามี**
+ +
ในเช้าของวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถาม ถึงเรื่องที่ลูกนั้น ยังมีข้อสงสัย และปรารถนาที่จะรู้ถึงเรื่องนั้นอยู่ น่ะเจ้าค่ะ ?
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ลูกนั้น มีข้อสงสัยว่าอย่างไรเล่า ลูกนั้นปรารถนาที่จะรู้ถึงเรื่องอะไรเล่า ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด..
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. คือว่าลูกมีความปรารถนา ที่จะทราบว่า..
ถ้าหากว่าเรามุ่งมั่นตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติ จนเรานั้นเข้าถึงการเป็รพระอริยเจ้าในระดับที่ 3 คือ เป็น *พระอนาคามี* แล้วน่ะเจ้าค่ะ - เราจะได้รับอานิสงส์ผลบุญ หรือว่าเราจะได้รับอานิสงส์อะไรบ้าง ล่ะเจ้าคะ ในการเป็น *พระอนาคามี* ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ และนำไปเผยแผ่ ประพฤติ ปฏิบัติตามกัน ด้วยเจ้าค่ะ “
- - -
พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ลูกก็จงตั้งใจฟังให้ดี
เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ พระยาธรรม..
การที่เราฟังเฉยๆ.. เราย่อมไม่เข้าถึง ความรู้สึกแห่งพระอนาคามี
ว่าพระอนาคามีนั้น.. มีสภาวธรรม ความสุข อานิสงส์ที่ได้รับเป็นแบบไหน ?
เรื่องของพระนิพพาน ก็ดี
เรื่องของการละกิเลสได้ ในระดับต่างๆ ก็ดี..
แท้ที่จริงแล้ว เรื่องเหล่านั้น.. มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
เป็นที่เรื่องที่จะอธิบายให้อีกคนหนึ่ง เข้าใจและเข้าถึงได้อย่างที่สุดนั้น..
.. มันเป็นเรื่องที่ยาก !
ฉะนั้น.. จงปล่อยจิตปล่อยใจของลูกนั้น ให้มันคลายจากความกังวลต่างๆเสียก่อน
ทำใจให้บริสุทธิ์ *ดุจดวงแก้วดวงธรรม ในดินแดนนิพพาน*
น้อมรับพลังที่เย็น สู่ศูนย์กลางกาย.. จนดวงจิตของลูกสว่างไสว
จนดวงจิตของลูก..
/ ตั้งมั่นจดจ่อ อยู่กับอารมณ์ของธรรม ที่ได้กล่าวไป
/ ตั้งมั่นจดจ่อ ทำความเข้าใจในอารมณ์ ที่ได้กล่าวไป ด้วยจิตด้วยใจ
- ลูกจึงจะสามารถที่จะสัมผัสความรู้สึก ของพระอริยเจ้า ระดับต่างๆ
หรือว่าระดับที่ 3* ที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้..
- ลูกจึงสามารถที่จะรู้สึกสัมผัส และเข้าใจอย่างแท้จริง ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. ควรที่จะปรับจิตปรับใจของตน
ให้มันเบา ให้มันสบาย ให้มันว่าง
คลายจากทุกสิ่งทุกอย่าง เสียก่อน..
หายใจเข้าลึกๆ ปล่อยจิตใจว่างๆ
จิตนั้นให้จดจ่อ ตั้งมั่นอยู่กับ ”เสียงธรรม” +
ถ้าพร้อมแล้ว.. ก็จงพิจารณาตามเช่นนี้เถิด
บุคคล ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึงความเป็น *พระอนาคามี* นั้น..
.. ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์ คือ
/ มีความสุขมาก
/ เหลือความทุกข์เพียงเล็กน้อย
/ เป็นผู้ที่ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว
/ ภพชาติ -ที่ยังอยู่ในกายหยาบ ที่เป็นพระอนาคามีในกายหยาบนั้น..
*จะเป็นภพชาติสุดท้าย แห่งการเกิด *
< เมื่อดับจากชาตินี้ไป / ดับจากกายนี้ไป.. ก็ไม่ต้องกลับมาเป็นมนุษย์อีก >
สามารถที่จะบำเพ็ญ พิจารณาธรรมให้ถอดถอดกิเลสอันละเอียดนั้น.. ทิ้งไป
แล้วก็เข้าสู่พระนิพพานได้เลย.. โดยที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ++
*พระอนาคามี*
/ เป็นผู้ที่ทรงฌาน ถึงฌาน 4
/ เป็นผู้ที่มีพลังสมาธิ ค้ำหนุนดวงจิตมาก
/ เป็นผู้ที่มีปัญญาแห่งธรรมมาก.. รู้เท่าทันกิเลสตัณหา สิ่งหลอกตา ล่อใจต่างๆ
จนสามารถละกิเลสได้มาก ถ้าเทียบกับปุถุชนทั่วไป
หรือว่าจะเปรียบพระอนาคามี กับพระสกิทาคามี
-- ก็ถือว่า.. เป็นผู้ที่ละกิเลสได้ลึกกว่า / มากกว่า +
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่สามารถละกิเลสได้มากกว่า ละเอียดกว่า..
- ย่อมเข้าถึงความสุข ที่ละเอียดกว่า +
- ย่อมเข้าถึงธรรม ที่ละเอียดมากกว่ากัน +
ชีวิตของพระอนาคามี ที่มีอยู่ในกายหยาบ - จึงย่อมเป็นชีวิตที่มีความสุข ความสงบ
เมื่อดับจากชาตินี้ไป.. จิตย่อมไปที่ที่ดี
ขัดเกลากิเลสตัณหา - ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน **
เมื่อมีจิตของตน ที่ทรงอยู่
เมื่อมีจิตของพระอนาคามี - ที่ยังอยู่ในกายหยาบ คือ ยังไม่ดับจากขันธ์ห้านี้ไป
- พระอนาคามี เหล่านั้น.. ก็
/ ย่อมเป็นสุข
/ ย่อมไม่มีความรุ่มร้อน เร่าร้อน ควบคุม ครอบงำจิตใจของเขา
/ ย่อมมีความสุข.. แม้ยามที่มีชีวิตอยู่ หรือชีวิตหลังความตาย..
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. อานิสงส์แห่งพระอนาคามี ที่ได้รับ +
อานิสงส์ คือ สุขมาก สุขละเอียด ทุกข์น้อย
อานิสงส์ คือ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ถึงนิพพานแน่นอนในชาตินั้น !
-- ถึงแม้ว่าไปเลยไม่ได้ ก็ย่อมสามารถอธิษฐานชำระล้างกิเลสจนหมด ในโลกทิพย์.. แล้วก็เข้าสู่พระนิพพานได้ ++
อานิสงส์ คือ
* มีความสงบมาก
* มีปัญญามาก รู้แจ้ง รู้เท่าทันกิเลสตัณหา
.. จนไม่มีกิเลสตัณหาใด ที่จะครอบงำจิตใจ - ให้เศร้าหมอง !
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. คือ อานิสงส์ความสุข ที่พระอนาคามีนั้น..ได้รับ
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อได้รู้ถึง อานิสงส์ที่พระอนาคามีนั้นได้รับแล้ว..
ก็ลองทำจิตทำใจให้เบา
แล้วทรงอารมณ์ของตน - อยู่ในความรู้สึกแห่งพระอนาคามีดู
ว่า.. สุขนั้น สุขเช่นไรเล่า !
ปล่อยจิตใจให้ว่าง ให้เบา
น้อมดวงแก้วดวงธรรม ที่สว่างไสว.. มาสู่กายตน
จนกายนั้น.. เบาสบาย
แล้วก็พิจารณา ตามเสียงธรรมที่ได้ฟัง..
เรานั้นรู้แล้ว เข้าใจแล้ว ว่า..กายนี้ไม่ใช่เรา / ไม่ใช่ตัวตนของเรา
เป็นของไม่มีอยู่จริง
เราไม่มีอยู่ในกาย / กายไม่มีอยู่ในเรา
กายนี้ เป็นของไม่เที่ยงแท้
- เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็..จะดับไป -
กายนี้.. มีแต่ความเหนื่อยหนัก เต็มไปด้วยความทุกข์
คือ ภาระหน้าที่การดูแลกายนี้ ขวนขวายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกายนี้ คือ ความทุกข์
แบกความทุกข์ ความเจ็บ ความป่วย ความแก่ และความตาย การพลัดพรากจาก
.. เอาไว้ในกายนี้ทั้งนั้นเลย..
เราจึงควรที่จะทำความรู้แจ้ง ปล่อยวางกายเสียเถิดหนา..
- อย่ายึดติด ยึดมั่นถือมั่นกับมันเลย ++
หายใจเบาๆ ทิ้งกายนี้ ปล่อยมันไป วางมันไป..
โดยจิตใจไม่ติดพัน ไม่ยึดในกาย
- ใจของเราย่อมรู้สึก เบาสบาย.. และมีความสุข -
เมื่อเรานั้นได้พิจารณา ถอดถอนกายนี้แล้ว.. เราก็ลองระลึกนึกถึง
*องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า* เป็นแก้วใส.. อยู่ในดินแดนพระนิพพาน
พระองค์ท่าน เป็นดวงจิต ที่ปราศจากเชื้อกิเลสและตัณหา
ท่านทรงสง่า และงดงาม เป็นอิสระ
ส่งพลังที่เย็น.. มาสู่ตัวของเรา
พระธรรม คำสอนของท่าน สว่างไสว
ส่องทางให้จิตทั้งหลาย.. ได้เดินไปในทิศทางที่ถูก ที่ดี
ที่ห่างจากกองทุกข์ คือ กิเลสตัณหาทั้งปวง +
พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย.. ผู้ปฏิบัติดี ตามกฎของสงฆ์ ที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติเอาไว้
จนได้ไปสู่ที่ที่ดี..
และสามารถสืบทอดธรรม / สืบทอดพระพุทธศาสนา.. มาจนถึงเรา
แต่ละพระองค์ ก็นั่งอย่างสง่างาม - เป็นสุขยิ่งนัก
เรานั้น เชื่อมั่นในองค์พระพุทธ / เชื่อมั่นในองค์พระธรรม / เชื่อมั่นในองค์พระสงฆ์
เชื่อมั่นในการทำดี ทั้งหลายทั้งปวง..
โดยไม่มีจิตโต้แย้ง หรือว่าลังเลสงสัย ใดๆ
-- จิตของเรา ย่อมเบาสบาย.. และมีความสุขยิ่งนัก !
พระยาธรรมเอ๋ย.. ต่อไป จงพิจารณาตามนี้เถิด
เรานั้น.. สามารถที่จะรักษาศีล - แบบบริสุทธิ์*
เรานึกถึงศีลแต่ละข้อ.. ที่เรารักษา ถึง 8 ข้อขึ้นไป
ศีล เป็นเกราะป้องกันเราเอาไว้ แต่ละชั้น - เพื่อไม่ให้กิเลสและตัณหา เข้ามาทำให้เราเศร้าหมอง
ศีล ป้องกันเราถึง 8 ชั้น.. เท่ากับว่ากิเลสตัณหา - ห่างออกจากตัวเราไปได้ไกลพอควร ++
ตัวเราอยู่ในกรอบของศีล 8
มีพลังของศีลนั้น.. คลุมกายของเรา สว่างไสว
จิตใจของเรา ปราศจากความคิด ที่จะไปเจือปนกับกิเลสตัณหา
คำพูด และการกระทำ จิตเรา ตั้งมั่นอย่างบริสุทธิ์ อยู่ในกรอบของศีล
เรานั้น.. ย่อมไม่เร่าร้อน
เรานั้น.. ย่อมเหมือนบุคคลผู้มีกำแพงกั้นความทุกข์ ไว้ถึง 8 กำแพง
ใจของเราตั้งมั่น นึกถึงศีลอันบริสุทธิ์ ที่ครอบจิตใจของเราเอาไว้
ช่างมีความสุข เบาสบายยิ่งนัก !
ต่อไป.. เราก็ระลึกนึกอารมณ์ ที่อยู่เหนือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ..
เรามีดวงปัญญา.. ที่สว่างไสว..
รู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง..
จนเราไม่หลงในรูป ไม่หลงในรส ในกลิ่น ในเสียง สัมผัสต่างๆ
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. เราไม่ต้องการสิ่งใด
ไม่จำเป็นต้องยึดติด หรือขวนขวายสิ่งใด - เพื่อได้มาครอบครอง ++
* จิตใจของเรา - ย่อมเบาสบาย.. เพราะไม่ต้องดิ้นรน ไปยึดติดกับสิ่งใดๆ อีกต่อไปแล้ว..
เรานั้นสามารถละ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
สิ่งที่ จะมาทำให้เรา..
ต้องไปดิ้นรนขวนขวาย เพื่อได้มา
ต้องผิดศีลผิดธรรม เพื่อได้มา
.. จิตใจของเราไม่ต้องไปเร่าร้อน อีกต่อไป !
และเราก็สามารถมีดวงปัญญาสว่างไสวพอ.. ที่จะรู้แจ้ง เข้าใจตามความเป็นจริง
ในเรื่องของการกระทำ ของบุคคลผู้อื่น หรือสิ่งทั้งหลาย ที่เกิดขึ้น..
จนไม่มี.. ความไม่พอใจ ความขัดเคืองใจ ความอาฆาตพยาบาท
ความโกรธ ที่จะขังความโกรธเหล่านั้นเอาไว้..
สิ่งเหล่านั้น.. ไม่มี
ความพอใจ / ไม่พอใจ.. ไม่มี
ตั้งจิต ทรงอารมณ์ไว้ อยู่ในความสว่าง ความรู้แจ้ง - โดยที่ไม่มีทุกข์อันใดเลย !
จิตใจย่อมสงบ ตั้งมั่น *ระลึกนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์*
-- ไม่มีสิ่งใด.. เข้ามาทำให้เราต้องเป็นทุกข์ ได้อีก ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือ อารมณ์แห่งพระอนาคามี ที่ทรงไว้อยู่ตลอดเวลา
เป็นผู้รู้แจ้ง..
ถอดถอน ตัวตน ของตน
ถอดถอน ความลังเลสงสัย
ถอดถอน สิ่งที่ตนนั้นจะลุ่มหลง ทำให้ตนเป็นทุกข์ คือ.. รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ
ถอดถอน ความเศร้าหมอง ความทุกข์ใจ คือ ความไม่พอใจ
ถอดถอน สิ่งต่างๆทั้งหลายที่ไม่ดี.. แล้วก็สามารถอยู่ในกรอบของศีล 8 อันบริสุทธิ์
จิตนั้นย่อมพ้นจากความทุกข์ เพราะไม่ยึดติด ไม่พัวพันกับสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว..
จิตจึงทรงอยู่ในความสุข- เป็นอารมณ์ที่คล้ายคลึงกับพระอรหันต์*
และไม่ทุกข์ ไม่ร้อนมาก
มีเพียงความทุกข์ที่ยังเหลืออีก เพียงแค่เล็กน้อย...
พระยาธรรมเอ๋ย.. นี่ละลูก คือ สิ่งที่พระอนาคามี นั้นเป็นอยู่..
ทีนี้ลูกพอจะเข้าใจหรือยังว่า.. พระอนาคามีนั้นเป็นสุข - สุขนั้นเป็นเช่นไร ?
ดวงจิตทั้งหลาย.. ที่ท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารอย่างไม่รู้จบ
ปุถุชนทั้งหลายเหล่านั้น..เป็นทุกข์มาก เพราะ
อยู่กับกิเลสตัณหา
ตกเป็นทาสกิเลสตัณหา
ถูกกิเลสตัณหานั้นครอบงำ ให้ต้องดิ้นไปตามเชื้อแห่งกิเลส และเป็นไปตามการกระทำแห่งตน เวียนเกิด เวียนตาย
แต่บุคคลผู้ที่เป็นพระอริยเจ้านั้น คือ ผู้ที่สามารถถอดถอนตน นำพาตนออกจากที่นั่น !
ซึ่งแน่นอนละ พระยาธรรม.. ใครที่สามารถลดละเชื้อแห่งความทุกข์ในตนได้มากเพียงใด - ทุกข์ก็ย่อมเหลือน้อย เพียงนั้น ++
กิเลสและตัณหา - เชื้อแห่งความรัก โลภ โกรธ หลง นั้น.. มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
มันคือ “เชื้อแห่งความทุกข์”
พระอนาคามี.. เป็นผู้ที่สามารถละมันได้มาก !
เท่ากับว่า.. ฆ่าเชื้อแห่งความทุกข์ในดวงจิตของตน จนใกล้จะหมด..
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. พระอนาคามี
จึงเป็นสุข
จึงไม่ทุกข์มาก
เหลือความทุกข์เล็กน้อย
ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป
เป็นผู้ที่เข้าถึง กระแสแห่งพระนิพพาน** เป็นแน่แท้ ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือ อานิสงส์แห่ง *พระอนาคามี*
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
และนำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม เจ้าค่ะ
ลูกพอเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ ว่าพระอนาคามีนั้น ได้รับอานิสงส์เช่นไรบ้าง ?
และพระอนาคามีนั้น ทรงอารมณ์แบบไหนบ้าง ?
ลูกจะพยายามประพฤติ ปฏิบัติ ตามคำสอนของพระองค์ - เพื่อเข้าถึงความเป็นพระอนาคามี
ลูกจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์มาก
และจะนำธรรมนี้ เผยแผ่ให้ญาติธรรมทั้งหลาย.. ได้ฟัง และน้อมไปปฏิบัติตาม
เพื่อจะได้เข้าถึง และได้รับอานิสงส์ความสุข เช่นดัง*พระอนาคามี* เจ้าค่ะ..
สาธุ