" มี...อะไรมากระทบ ก็ให้มันอยู่...แค่..." รู้ "
อย่า...ให้มันเข้ามาถึง..".ใจ."
(หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก)
ลูกศิษย์๑ : หลวงปู่คะ มารที่มาขัดขวางในการเดินทางสายมรรคหรือการทำความดีนี้เราจะพิจารณาเห็นยังไง ถ้าเกิดว่าเราเจอกับความเดือดเนื้อร้อนใจน่ะค่ะ เราจะทราบได้ยังไงคะ ว่ามันเป็นกรรมเก่า หรือว่าเป็นมารที่มาขัดขวางการทำความดี
หลวงปู่ : กรรมที่มันให้ผลในปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็นกรรมในอดีต เช่นวันนี้เราทำสิ่งไม่ดีไว้ พรุ่งนี้สิ่งไม่ดีแม้มันยังไม่ให้ผลในวันนี้หรือวันต่อๆไป แต่สักวันเมื่อมันมีกำลังแล้วเราทำอยู่บ่อยๆ จนไม่เห็นโทษเห็นภัยมันแล้ว..นั่นแลเรียกว่ามันจะตามมาให้ผลในความทุกข์ร้อนใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ก็เหมือนกับว่ากรรมอันใดเมื่อทำไปแล้วทำให้เรานั้นเดือดร้อนในภายหลัง..กรรมนั้นแลเป็นกรรมชั่ว ควรกำหนดรู้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นกรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันล้วนแล้วเป็นผลมาจากอดีตทั้งนั้น ที่โยมเกิดตายเกิดตายมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่..
ดังนั้นแล้วกรรมในอดีตไม่สามารถแก้ไขได้ แต่กำหนดรู้ได้ในปัจจุบัน เพราะมันจะผุดขึ้นมาตอนที่โยมขาดสติขาดศีล เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าจึงบอกให้โยมนั้นมา"เจริญสติ" นี่พระพุทธองค์ท่านตรัสบอกว่าผู้ใดมีสติ มีจิตที่ปราศจากกิเลสมาปรุงแต่งเสียแล้ว กิเลสตัณหาอุปาทานในทุกข์ใดๆก็ไม่สามารถมาสิงอยู่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ลูกศิษย์๒ : หลวงปู่ครับ แม้ว่าจะเป็นกรรมที่เป็นกรรมหนัก นี้เราจะแก้ได้เหรอครับ คือกรรมที่เราไม่รู้ว่าอดีตชาติเราทำกรรมหนักมานี่?
หลวงปู่ : อ้อ..อดีตชาติไม่ต้องไปรู้มันหรอกจ้ะ เพราะเราไปอยากรู้นี่เค้าว่าจะแกว่งตีนหาเสี้ยน เสี้ยนมันจะทิ่มเอา เรากำหนดรู้ปัจจุบันอย่างเดียวแหล่ะจ้ะ พอเรากำหนดรู้ปัจจุบันไม่นานเดี๋ยวก็รู้อดีต ไม่นานพอรู้ปัจจุบันไม่นานมันก็จะรู้อนาคตด้วย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นเค้าบอกให้เราเฝ้าดูจิต ถ้าเฝ้าดูไม่ได้ก็ดูลมหายใจดูความสงบไป เมื่อความสงบมันเข้าถึงที่ของมันในสมาธิแล้วจิตมันจะว่างจากอกุศลแล้ว ทีนี้ตัวปัญญาตัวญาณทัศนะมันจะเกิดของมันเองโดยธรรมชาติ จงรักษาจิตให้เป็นปรกตินั่นแล..แล้วโยมจะเห็นทุกอย่างเป็นปรกติ อะไรที่ไม่ปรกตินั่นแลเรียกว่า..โยมจะเรียกว่าอะไรดี เมื่อจิตเราปรกติแล้วเราจะเห็นทุกอย่าง เมื่อไม่ปรกตินั่นคืออะไร..
จิตที่เป็นปรกติเค้าเรียกกุศลธรรม จิตที่เป็นผิดปรกตินั่นแลเรียกว่าอกุศลธรรม..สิ่งที่มันเกิดขึ้น สิ่งที่เรานั้นไปทำไปล่วงละเมิดไว้แล้วนั่นเอง ดังนั้นก็ควรละ แต่สิ่งพวกนี้มันละยาก เพราะว่ามันฝังไปในอัตตาตัวตนในจิตวิญญาณแล้วในธาตุขันธ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะขันธ์นั้นคือตัวทุกข์
ดังนั้นโยมต้องไปละไปเพ่งโทษในกายนี้ให้มากๆ นั่นแล..เมื่อโยมละรูปขันธ์ได้มากเท่าไหร่ เวทนามันก็จะมีน้อยเท่านั้น เมื่อเวทนามันมีน้อย..สัญญาความจำมั่นหมายนั้นเราจะหยุดการปรุงแต่ง ไม่อุปาทานเกิดขึ้นมา อย่างนี้แลจิตเราจะเข้าถึงความสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่ส่งจิตออกไปภายนอก ไม่ทำให้ตัวเรานั้นเป็นทุกข์เป็นร้อนนั่นแล เค้าเรียกว่าอยู่แต่บุญกุศล
หากบุญกุศลเรามันน้อยแล้วไซร้ เหมือนน้ำที่มันน้อย..มันก็ย่อมมีความร้อน นั่นหมายถึงว่าเมื่อบุญกุศลเรามันมีมากอยู่..จิตเราจะเป็นสุข แต่จิตเรานั้นถ้าจิตเป็นกุศลมันน้อยแล้ว..จิตเราจะเร่าร้อน เราจะรู้ได้อย่างไร ก็สิ่งที่เราไปกระทำล่วงละเมิดนั่นแล ที่คิดว่าไม่เป็นไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่เมื่อผลของกรรมมันเกิดขึ้นแล้ว จิตเรานั้นเริ่มเร่าร้อนแล้ว เราควรกลับมาแก้ไข มาเจริญสติเสีย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเราอยู่กับสติของเรานั้นให้เป็นปรกติ ให้รู้เท่าทันอยู่บ่อยๆ เราจะเท่าทันกรรม เมื่อเราเท่าทันกรรมแล้ว เราจะรู้วาระกรรมของเราว่ากรรมที่เรากระทำนั้นเกิดขึ้นที่ใด..เราต้องไปดับเหตุที่นั่น
นั่นแหล่ะจ้ะ เมื่อโยมดับเหตุได้..ผลก็จะไม่เกิด เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่เหตุทั้งหลายทั้งปวงที่มันเกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่มีที่มาของมันคือต้นเชื้ออกุศล คือรากเหง้าแห่งไฟโทสะ โมหะ โลภะ นั้นต้องทำยังไง ฉันบอกแล้วให้โยมนั้นเจริญจิตให้เกิดเมตตาแล้วอโหสิกรรม
การอโหสิกรรม..คือการจะตัดเวรตัดพยาบาท ตัดโรคตัดภัยได้อย่างแท้จริงไม่มากก็น้อย จะทำให้โยมนั้นห่างไกลจากโรคภัย ถามว่าห่างไกลเป็นอย่างไร ไหนบอกว่าโรคภัยมันอยู่ในตัว..ใช่มันอยู่ในตัว แต่เมื่อเรานั้นเจริญเมตตามากๆเข้าแล้ว แม้จะมีโรคนั้นแต่มันจะไม่กำเริบ..นั้นเรียกว่าห่างไกล เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
อันว่า "นิพพาน"... .....แท้ที่จริงแล้ว ก็ไม่ได้อยู่ที่ไหน ขอให้โยมพิจารณาตามในสิ่งที่ได้ยิน..
เมื่อเราสำรวมความสงบด้วยกาย วาจา ใจตั้งมั่น ดีแล้ว ก็กำหนดสมาธิ กำหนดรู้ลมหายใจอานาปานสติ เข้า-ออก จนรู้ว่าลมนั้นสงบแล้ว..สงบที่ใดในกายก็วางลมนั้น ณ ที่แห่งนั้น เมื่อเราวางแล้วเห็นว่าสงบดีแล้ว สิ่งอื่นใดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสียงอันใดก็ขอให้รู้ได้ยินแล้วก็วางเฉย นั่นก็เรียกว่าเราต้องดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ คือไม่สนใจ คือวางอุเบกขาทำให้เกิดขึ้น
นั่นก็เรียกว่าอันดับแรกเราต้องวิตกในอารมณ์ก่อน คือวิตกอารมณ์..ก็คือลมหายใจของเรานี้แล เมื่อเราวิตกแล้ว กำหนดลมเข้าออก ล้างลมเสียออกจากปอดแล้ว เมื่อลมมันสงบนิ่งในขณะนี้ ก็เอาความสงบนิ่งของลมนั้นแลดูอยู่ที่กาย การดูอยู่ที่กายดูอย่างไร ดูที่กายคือดูความรู้สึกของกาย ของใจ เรานี้
เมื่อมันสงบแล้ว ให้เราวางเฉยในความสงบนั้น..ให้นิ่งสงบ จิตนั้นไม่ส่งออกไปภายนอก หยุดความคิดปรุงแต่งในอดีต หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าคืออนาคต รู้เฉพาะในปัจจุบันแห่งจิต กำหนดจิตอยู่ในกาย
เมื่อรู้กายแล้ว ก็รู้ว่าเราอาศัยกายอยู่ แต่ว่าการจะไปนิพพาน การดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย
ดังนั้นลองพิจารณาดูง่ายๆ ตั้งแต่เราเกิดมาถึงปัจจุบันนี้ มีอะไรที่เป็นเรื่องเป็นสุข เป็นเรื่องเป็นราวมีแก่นสารหรือไม่ ความทุกข์อะไรที่บีบคั้นเรา ความน่าละอายสิ่งใดที่ทำให้เรานั้นขาดจากความเป็นมนุษย์ ขาดจากศีลจากธรรม..ความน่าละอาย ให้ระลึกรู้ว่าสิ่งที่เรากระทำมาใดนั้นมันมีแก่นสารหรือไม่ พิจารณาดูซิว่าเราเสวยสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เราผ่านมาพิจารณาแล้วไม่มีสาระแก่นสารอันใดเลย..แบบนี้แล้วเราก็จะละออกจากกาย
การละออกจากกายก็คือการดับรูป การดับรูปคืออะไร ก็เรียกว่าเมื่อจิตเราเพ่งรู้อยู่ในกายในความสงบ ก็เห็นความสงบนั้นอารมณ์นั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็กำหนดรู้ในอารมณ์นั้น ให้เท่าทันในอารมณ์นั้นแล้ววางเฉย นี่เราก็เรียกว่าวางเฉยอยู่ในกาย..คือไม่ต้องสนใจกาย แต่รู้อยู่ในกาย เมื่อรู้อยู่ในกายแล้วก็ทำความรู้นั้นให้แจ้งด้วยปัญญา
เอาปัญญานั้นไปพิจารณาอะไร พิจารณาความเสื่อมของสังขาร ความตายที่จะเกิดขึ้น ความไม่แน่นอน สิ่งทั้งหลายนั้นเป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตาคือความว่าง เมื่อจิตที่ว่างจากความคิดนี้แล เค้าเรียกว่านิพพานชั่วขณะ แต่ว่าจิตที่เราจะว่างจากความคิดมันเป็นอย่างไร มันต้องว่างจากอารมณ์ที่เราไปยึดมั่นถือมั่นของกายของสังขาร
การจะถอนอุปาทานออกจากขันธ์นี้ เราต้องเพ่งโทษในกายเสียก่อน เห็นว่ากายนี้เป็นที่รังของโรค อัตตภาพนี้มันมีสุขน้อยมีทุกข์มาก ไม่ช้าไม่นานกายสังขารนี้ก็ต้องแตกสลายไป เพราะว่ามันประกอบขึ้นมาด้วยดินน้ำไฟลม อากาศธาตุ จิตวิญญาณธาตุ เมื่อมันมีแต่ธาตุ มันมีแต่เกิดขึ้นมาปรุงแต่ง อย่างนี้เมื่อถึงเวลา ถึงฆาตกายสังขารจะแตกดับออกไปแยกออกจากกัน..ก็หามีประโยชน์อันใดไม่ เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนอย่างหนึ่ง
ก็แสดงว่ากายสังขารนี้มันไม่ใช่ของเรา สิ่งไหนที่เราบังคับบัญชามันไม่ได้..สิ่งนั้นไม่ควรยึด เพราะเมื่อยึดแล้วมันก็จะเป็นทุกข์ เมื่อกายสังขารมันไม่ใช่ของเรา แต่ทำไมเรียกว่าเป็นเรา ที่เรียกว่าเป็นเรา เป็นกูเป็นมึง เพราะเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ตอนนี้เราไม่อยากเป็นมัน เราไม่อยากเป็นเรา..แต่เราต้องอยากรู้เรา ว่าสิ่งที่เราอาศัยอยู่นี้แท้ที่จริงแล้วมันคืออะไร
เมื่อเราเห็นตามความเป็นจริงได้ว่า กายสังขารนี้เป็นเพียงกายชั่วคราวที่เราได้มาอาศัยจุติได้สร้างบุญ สร้างกุศล สร้างบารมี ดังนั้นเราจะเอากายสังขารนี้ได้ใช้ประโยชน์เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นว่ากายสังขารนี้มันมีแต่ทุกข์ มีความตายรออยู่เบื้องหน้า ก็ให้เพ่งโทษในกายจนถึงที่สุด ของที่สุดของอารมณ์เป็นอย่างไร
อารมณ์เหล่าใดก็ตามที่เราเจริญแล้วระลึกแล้ว นั้นทำให้เราเกิดการสละเกิดการปลงสังเวช เห็นได้อย่างนี้เพื่อการถอดถอนจากอุปาทานแห่งขันธ์ของจิตที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ได้ นั่นแลไม่นานนิโรธมันก็บังเกิด นิโรธก็คือการเห็นอารมณ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นสภาวะความไม่เที่ยงของอารมณ์ของจิต อย่างนี้แล้วก็เรียกว่านิโรธมันก็บังเกิด ผลจากการเห็นอย่างนี้ของจิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นสภาวะไม่เที่ยงอยู่บ่อยๆ ก็เรียกว่ามรรคมันก็บังเกิด
เมื่อมันเป็นอย่างนี้แม้จิตเราเองก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ก็เมื่อเหลือแต่จิตแล้วตอนนี้ถ้าหากว่ากายมันดับไป..เมื่อพิจารณาไปแล้ว ก็เอาอารมณ์ของจิตนั้นแลที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั้นแลมาพิจารณา..จนว่าอารมณ์ทั้งหลายนั้นมันดับไปไม่เหลือ ไม่นานสมาธิมันก็บังเกิด เมื่อสมาธิบังเกิดฌานมันก็บังเกิด วิปัสสนาญาณมันก็บังเกิด เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ก็เพราะว่าอวิชชาคือความไม่รู้
เมื่อเราไปพิจารณากำหนดรู้ในกายเสียได้ว่า กายนี้ที่จริงแล้วมันเป็นของชั่วคราว อัตตภาพนี้มันมีแต่ทุกข์ที่เราอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นโทษภัยในกายสังขารนี้ว่าไม่นานกายสังขารนี้ก็ต้องดับสลายไป เหมือนกับทุกๆคน ไม่ว่าจะเกิดมาเพียงใดมากน้อยเพียงใด ก็ต้องตายหมดเท่านั้น อย่างนี้แล้วชื่อว่าความเป็นจริงได้เกิดขึ้น ได้ประจักษ์ขึ้นกับในจิต
เมื่อเห็นอย่างนี้ได้เราก็จะวางกายนี้ คือไม่สนกายไม่ยึดกาย แต่จะอาศัยกายนี้ประคองจิต จนว่าจิตนั้นมันรู้แจ้งแล้ว จิตมันสงบแล้ว ก็จะวางธาตุขันธ์นี้ไว้ตามฐานะของมันอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าเรากำหนดอยู่ในกาย นี้แลจิตคือความรู้สึกไปกำหนดอยู่ในกาย จิตนั้นกับกายได้แยกกันอยู่แล้ว เพราะว่าจิตนั้นได้กำหนดรู้ว่านี่คือกายแต่ไม่ได้ยึดกาย แม้อารมณ์จะเกิดขึ้นในเวทนาของกาย ก็สักแต่ว่าเป็นเวทนา เป็นความรู้สึก..เราก็วาง นี่แลเค้าเรียกว่าอุเบกขามันก็บังเกิด
เมื่อจิตมันถอนอุปาทานแห่งขันธ์..ก็เรียกว่ายกจิตขึ้นมา เมื่อจิตมันมีกำลังก็ยกจิตขึ้นมาไว้กลางหน้าผาก ในขณะนี้ถ้าเมื่อเรายกขึ้นมาได้ ก็จะเห็นว่าร่างกายก็ดี ความรู้สึกก็ดีมีความเสียววาบ เสียวซ่านไปทั้งส่วนสรรพางค์กายนี้แล ก็ให้เราประคองจิตวางจิต คือวางเฉยของจิตนี้ เพ่งรู้อยู่ที่กลางหน้าผาก ทำความรู้สึกให้มันสงบนิ่ง ประคองจิตไว้
ถ้าเมื่อประคองแล้วมันยังไม่นิ่ง ก็ให้กลับมากำหนดลมเข้าไปใหม่ แล้วก็วางจิตที่มันสงบนี้อยู่ในกาย เมื่อสงบจิตมันตั้งมั่นก็ยกขึ้นไปใหม่ ทำอยู่อย่างนี้ เรียกว่ามีวิตกอยู่ในกาย วิตกในอารมณ์ วิจารละอารมณ์ดับแล้ว เมื่ออารมณ์มันสงบก็ยกขึ้นไปใหม่ ทำอยู่อย่างนี้ เมื่อผู้ใดเรายกขึ้นไปได้ สำรวมจิตไว้ที่กลางหน้าผากได้ ขอให้ประคองจิตอยู่อย่างนี้ให้นิ่ง
เพราะโดยธรรมชาติของจิตของทวารของจิต ตัวปัญญา ตัวญาณ มันจะเกิดตัวรู้ทางนี้ ถ้าจิตที่ตั้งมั่นสงบนิ่งมาก มันจะระงับทุกอย่าง แม้ความหนาวเหน็บความหนาวเย็นสิ่งใด เสียงอันใดก็ตาม จิตมันจะมีความละเอียดมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น เมื่อจิตมีความละเอียดมากขึ้นมากขึ้น แม้เสียงอันใดก็ตามที่เราได้ยิน มันก็จะเบาบางลง จนเสียงนั้นดับไป นิ่งไป สงบไป ทีนี้แล้วจิตมันก็จะมีแต่ความสงบ
อาศัยสมาธินี้แล อาศัยฌานที่เราจดจ่อเพ่งรู้อยู่เป็นอารมณ์ เป็นเอกัคคตา จิตและลมหายใจเป็นหนึ่งแล้ว ก็เรียกว่าจิตมันสงบระงับ
คำว่าระงับก็คือนิโรธมันบังเกิด เห็นอารมณ์เหล่าใดเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันก็วาง เห็นจิตอะไรที่มันเข้าไปกระทบผัสสะก็รู้แล้วก็วางอยู่อย่างนี้
รู้แล้ววาง เห็นแล้ววาง ผัสสะมากระทบก็วาง นี่แลเรียกว่าจิตไม่เข้าไปยึด ไม่ไปปรุงแต่ง
จิตที่ไม่เข้าไปยึดไม่เข้าไปปรุงแต่งนี่แล เค้าเรียกว่าจิตที่ว่างจากความคิด ว่างจากอุปาทานแห่งขันธ์ ว่างจากชรา ว่างจากมรณาอย่างนี้ ถ้าโยมมุ่งมั่นอยากจะรู้ว่าสภาวะนิพพานที่โยมปรารถนา..ก็ขอให้ลองพิจารณาตามดู
ถ้าร่างกายสังขารมันอ่อนล้า มันอาจจะยกจิตไปไม่ได้ ก็ขอให้เราผ่อนกายสังขารลงมา เหมือนเรานั่งพักผ่อน สำรวมจิตใหม่ ตั้งใจขึ้นมาใหม่ กำหนดรู้ใหม่ คือรู้องค์ภาวนา หรือว่ารู้อานาปานสติเข้าไปใหม่ รู้ลมหายใจ รู้ลม ถึงลม แล้วก็ทิ้งลม การว่ารู้ลม ถึงลม ทิ้งลม เรียกว่าวางลม กำหนดรู้อย่างนี้
เมื่อจิตที่สงบแล้ว มันสงบที่ใดก็เอาจิตนั้นแลไปวางในที่แห่งนั้น ในศูนย์กลางกาย เหนือสะดือ ท้ายทอย กลางหน้าผาก รีมฝีปากก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่งที่มันถูกจริตถูกอัธยาศัยของเรา ก็ให้วางจิตไว้ ณ ที่แห่งนั้น
เมื่อจิตมันสงบตั้งมั่นดีแล้ว มีกำลังพอสมควรก็ยกจิตขึ้นมากลางหน้าผาก นี้การจะเลื่อนจิตขึ้นมา มันก็มีความรู้สึก ความรู้สึกคือตัวระลึกได้ คือกำหนดรู้ รู้สึกที่ตรงใดจิตก็อยู่ที่ตรงนั้น นั่นก็หมายถึงว่ากลางหน้าผากนี่แลคือทางเดินออกของจิตวิญญาณและตัวรู้ หรือ เรียกว่าตาที่สาม ประตูมิติแห่งกาลเวลา เมื่อเรายกขึ้นไปได้ ธรรมชาติของจิตนั้นมันยังมีความผูกพันธ์อาลัยอาวรณ์กับกายสังขารอยู่ มันก็เป็นธรรมดาอาจจะมีอารมณ์ มีผัสสะ มากระทบ
ก็อย่างที่บอก เมื่อมีผัสสะอะไรก็ตาม ก็"สักแต่ว่ารู้" เมื่อรู้แล้วก็วาง ก็"เพ่งรู้" รู้อยู่ที่กลางหน้าผากของเรา ที่จิตที่ความสงบนั้น เรียกว่าการประคอง นี่เรียกว่าการทรงฌาน
ฌานนี้จะเป็นเบื้องบาทของวิปัสสนาญาณ เมื่อฌานนั้นมันเข้าถึงจิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตาเมื่อไหร่ วิปัสสนาญาณมันก็บังเกิด..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
***...ว่าด้วยวิเวก ๓ อย่าง...***
[๓๓] คำว่า นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก มีความว่า วิเวก ได้แก่ วิเวก ๓ อย่าง คือ
กายวิเวก
จิตตวิเวก
อุปธิวิเวก.
> กายวิเวกเป็นไฉน?
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมซ่องเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่า โคนต้นไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง และเป็นผู้สงัดด้วยกายอยู่คือ เดินผู้เดียว ยืนผู้เดียว นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตผู้เดียว กลับผู้เดียว นั่งอยู่ในที่เร้นลับผู้เดียว อธิษฐานจงกรมผู้เดียว เป็นผู้เดียว เที่ยว อยู่ เปลี่ยนอริยาบถประพฤติ
รักษาเป็นไป ให้เป็นไป นี้ชื่อว่า กายวิเวก.
> จิตตวิเวกเป็นไฉน?
ภิกษุผู้บรรลุปฐมฌาน มีจิตสงัดจากนิวรณ์
บรรลุทุติยฌาน มีจิตสงัดจากวิตกและวิจาร
บรรลุตติยฌาน มีจิตสงัดจากปีติ
บรรลุจตุตตถฌาน มีจิตสงัดจากสุขและทุกข์
บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา
บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากาสานัญจายตนสัญญา
บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากวิญญาณัญจายตนสัญญา
บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา (เมื่อภิกษุนั้น)
เป็นโสดาบันบุคคล มีจิตสงัดจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับสักกายทิฏฐิเป็นต้น
เป็นสกทาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ อย่างหยาบ กามราคานุสัยปฏิฆานุสัย อย่างหยาบ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกันกามราคสังโยชน์อย่างหยาบเป็นต้นนั้น
เป็นอนาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์อย่างละเอียดกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อย่างละเอียด และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์อย่างละเอียดเป็นต้นนั้น
เป็นอรหันตบุคคลมีจิตสงัดจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับรูปราคะเป็นต้นนั้น และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอก นี้ชื่อว่าจิตตวิเวก.
> อุปธิวิเวกเป็นไฉน?
กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่าอุปธิ.
อมตะ นิพพานเรียกว่าอุปธิวิเวก
ได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอก เป็นที่ดับ เป็นที่ออกไปจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่าอุปธิวิเวก.
ก็กายวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีกายหลีกออกแล้ว ยินดียิ่งในเนกขัมมะ
จิตตวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง
อุปธิวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้หมดอุปธิถึงซึ่งนิพพานอันเป็นวิสังขาร.
คำว่า ไกลจากวิเวก มีความว่า นรชนนั้นใด เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำอย่างนี้ อันกิเลสมากปิดบังไว้อย่างนี้ หยั่งลงในที่หลงอย่างนี้ นรชนนั้นย่อมอยู่ไกลแม้จากกายวิเวก ย่อมอยู่ไกลแม้จากจิตตวิเวก ย่อมอยู่ไกลแม้จากอุปธิวิเวก คืออยู่ในที่ห่างไกลแสนไกล มิใช่ใกล้มิใช่ใกล้ชิด มิใช่เคียง มิใช่ใกล้เคียง.
คำว่า อย่างนั้น คือ ผู้หยั่งลงในที่หลง ชนิดนั้นเช่นนั้น ดำรงอยู่ดังนั้น แบบนั้น เหมือนเช่นนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเช่นนั้นย่อมอยู่ไกลจากวิเวก.
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๙
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส หน้าที่ ๒๔ข้อที่ ๓๓
* นรชน คือ คนทั่วไปที่ยังมีกิเลสหนาอยู่
คนจะมีสมาธิจริง
ไม่ใช่คนที่ เห็นแต่คุณค่าของจิตที่สงบสุข
แต่เป็นคนที่ถูกฝึก ให้เห็นค่า"แม้จิตที่ฟุ้งซ่าน"
ทุกครั้งที่ฟุ้งซ่าน
จะฟุ้งซ่านหยุมหยิมก็ดี จะฟุ้งซ่านอลหม่านก็ดี
เป็นทุกครั้งที่คุ้มพอให้รู้เห็น
ถ้ารู้ได้ ก็ถือว่า ‘ดีกับสติ’ ทั้งนั้น
ความอยากจะสงบ อยากจะทำสมาธิ อยากจะมีสติ
อาการทะยานของใจนั่นแหละ
ที่ทำความไม่สงบให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
สังเกตดูที่อาการทางใจ
อยากเมื่อไหร่รู้สึกมืดๆ ทึบๆ เมื่อนั้น
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ขั้นแรก ยอมรับความจริงไปก่อนว่า
จิตมันกำลังปั่นป่วน
อยู่ในภาวะพร้อมฟุ้ง ไม่ใช่พร้อมสงบ
ตัวที่ยอมรับตามจริงว่ากำลังฟุ้งซ่านนี่แหละคือ สติ
อย่างน้อยที่สุด คุณจะฟุ้งซ่านโดยมีสติกำกับ
ไม่ใช่ซัดส่ายไปเรื่อยในลักษณะสุ่มของจิต
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
#บอกตัวเองว่าจิตแบบนี้ยิ่งตามรู้_ยิ่งฟุ้งซ่าน
ข้อสอง คือต้องบอกตัวเองว่า
อาการตามรู้ในขณะที่จิตปั่นป่วนฟุ้งซ่าน
ภาวะทางใจยังมีอาการกระโดดอยู่
ยิ่งรู้ไปเรื่อยๆมากเท่าไหร่ ยิ่งฟุ้งซ่านเท่านั้น
นี่คือธรรมชาติข้อสองที่คุณต้องบอกตัวเอง
ถ้าพบว่าไม่สามารถจะหยุดฟุ้งซ่านได้
และไม่สามารถรู้อะไรได้
แสดงแล้วว่าพื้นจิตพื้นใจของคุณยังไม่สบายพอ
จิตตรงนั้นเหมือนกับไม่มีที่เกาะเลย
ถูกคลื่นน้ำซัดไปทางไหน ก็ไหลไปตามทางนั้น
ถ้ากำลังไหลอยู่ อย่าไปไหลตามมัน
เพราะมันไหลไม่หยุด
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ข้อสาม คือ
แทนที่จะวิ่งไล่ตามความฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ
ให้หันมาสำรวจอาการทางกาย
ที่กำลังปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ในขณะนั้นแทน
เพราะร่างกายเป็นอะไรที่คงที่ คงเส้นคงวา
สังเกตสามจุดง่ายๆ
ฝ่าเท้า ฝ่ามือ และใบหน้า
มีอาการเกร็ง งองุ้ม ขมวดอยู่ที่ตรงไหน
ผ่อนคลายออกที่ตรงนั้น
ร่างกายที่ผ่อนคลาย
รู้สึกถึงอาการนั่งที่มีความสบาย
จะเป็นพื้นฐานให้จิตมีความสบายตามไปด้วย
จะเป็นหลัก เป็นที่ตั้ง เป็นศูนย์กลางของสติ
ตรงนั้น ความฟุ้งซ่านจะลดลงแล้ว
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นก็ค่อยๆดูไป
จะสามารถเห็นได้ชัด
โดยที่ไม่ต้องมาถามตัวเองว่า
เราจะตั้งสติไว้ที่ไหน
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
บทสรุปของอานาปานสติที่สำคัญสูงสุด
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จุดประสงค์หลัก
คือ ฝึกเพื่อให้รู้ว่า อะไรๆไม่เที่ยง
ไม่ว่าจะเป็นส่วนของกาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนของใจ
หาใช่ว่า ท่านให้เอาแต่ดี ยึดแต่สงบเป็นเรือนตาย
ความแตกต่างในการเป็นนักเจริญสติ
ที่ได้ผล หรือว่าที่ย่ำอยู่กับที่
อยู่ตรงนี้แหละ!
________________
ร้อยเรียงจากหลากบทความของคุณดังตฤณ
"พระอรหันต์" คือ บุคคลผู้หักกงล้อแห่งสังสารจักรเสียได้
.
"เรื่องราวที่ประเสริฐที่สุด อันเกี่ยวกับ "พระอรหันต์" นั้น ไม่มีเรื่องใดยิ่งไปกว่าเรื่องความดับทุกข์ หรือ ความไม่มีทุกข์ ท่านทั้งหลายจะต้องระลึกนึกให้ดีว่า คำว่า "อรหันต์" หรือ "อรหัง" นั้น มันหมายความว่าอย่างไร?.
.
คำว่า "อรหันต์" นั้น ถ้าจะพูดเป็นไทยๆแล้ว ก็ต้องแปลว่า เป็นมนุษย์สุดยอดทีเดียว เป็นมนุษย์ที่เลิศประเสริฐที่สุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย จนได้นามว่า "เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้อย่างยิ่ง" ไม่มีบุคคลประเภทใดจะเสมอเหมือน.
.
ข้อนั้น ก็เพราะเหตุว่า พระอรหันต์เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดหมดจด จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายทั้งปวง นั่นเอง เมื่อหมดกิเลสโดยประการทั้งปวงแล้ว ก็ย่อมหมายความว่า หมดความทุกข์โดยประการทั้งปวงด้วย เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้กล่าวเปรียบเทียบ หรือกล่าวอย่างอุปมาว่า พระอรหันต์นั้น คือ "บุคคลผู้หักกงล้อแห่งสังสารจักร" เสียได้.
.
"สังสารจักร" นั้นแปลว่า "วงล้อของสังสารวัฏฏ์" หมายความว่า วงกลมที่หมุนไปไม่มีหยุด ในกระแสแห่งการเวียนเกิด เวียนแก่ เวียนเจ็บ เวียนตาย หรืออีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่า.."เวียนอยู่ในวงเวียนของกิเลส" ซึ่งเป็นเหตุให้ทำกรรม ครั้นได้รับผลกรรมแล้วก็หล่อเลี้ยงกิเลสไว้ให้ยังคงมีอยู่ สำหรับเป็นเหตุให้ทำกรรมอีกต่อไป และได้รับผลกรรม ใช้กรรมหล่อเลี้ยงกิเลสไว้ สำหรับกระทำกรรมอีกต่อไป อย่างนี้ก็เรียกว่า "วงกลม" เหมือนกัน คือเป็นวงกลมในส่วนที่เป็นต้นเหตุ เรียกว่า กิเลสกรรม และ ผลกรรม เมื่อต้องเป็นไปตามกรรมเช่นนี้ ก็หมายความว่า จะต้องมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ซึ่งเป็นวงกลมในส่วนที่เป็นผล.
.
ฉะนั้น เราทุกคนควรจะรู้จัก สังสารวัฏ หรือ สังสารจักร นี้ไว้ ในฐานะที่เป็นสิ่งที่สัตว์ต้องหมุนไปตาม ด้วยอำนาจของเหตุ คือ กิเลส กรรม และ วิบาก แล้วได้รับผลเป็น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ชนิดที่วนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด.
.
ถ้าเมื่อใดหยุดวงกลมนี้เสียได้ ไม่ให้หมุน ราวกับว่าทำลายวงล้อให้แตกหักออกไปแล้ว มันหมุนไปไม่ได้ เพราะมันไม่กลมอีกต่อไป อาการอย่างนี้แหละ เปรียบเหมือนกับที่พระอรหันต์ท่านทำลายสังสารวัฏเสียได้ จึงได้นามว่า "ผู้หักสังสารจักรเสียได้" ดังนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นคำเปรียบเทียบ โดยที่แท้แล้วก็เพราะ ท่านหมดกิเลส และหมดความทุกข์ นั่นเอง."
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : มาฆบูชาเทศนา หัวข้อเรื่อง "อนุปาทาวิมุตติกถา" ณ ศาลาโรงธรรม สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๕ จาก หนังสือชุดธรรมโฆษณ์เล่มชื่อว่า "มาฆบูชาเทศนา" เรื่องที่ ๑๒
ฉันจะบอกว่า"นิพพาน"มันอยู่ระหว่างอะไรกับอะไร อยู่ระหว่างรอยต่อของอะไรถึงอะไร มันก็คือสภาวะอารมณ์ ถ้ายังมีอารมณ์อยู่..เรียกว่านิพพานได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้ค่ะ) อ้าว..แล้วถ้าไม่มีอารมณ์เรียกว่านิพพานได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ได้ค่ะ) แล้วในสภาวะที่ไม่มีอารมณ์..แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีอารมณ์แล้ว..จึงเรียกว่านิพพาน (ลูกศิษย์ : หมดอยาก ไม่มีอารมณ์พอใจไม่พอใจค่ะ)
อ้าว..ถ้าโยมกล่าวอย่างนั้นก็ว่า เมื่อโยมทุกข์โยมก็วางได้ เมื่อโยมสุขโยมก็วางได้..คือไม่ยึด อยู่ระหว่างทุกข์และสุข..นี่คือสภาวะนิพพาน บางคนอยู่เสวยจิตเป็นนิพพานได้แม้ยังไม่ตาย หรือยังไม่บรรลุ หรือยังไม่ดับกายสังขาร คือเมื่อทุกข์มันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นทางกายหรือทางใจก็ตาม..ยอมรับมัน ให้เห็นว่านั่นคือเป็นของธรรมดา ไม่ดิ้นรน ไม่ต่อต้าน ไม่ฝ่าฝืน
เห็นทุกข์นั้นพิจารณาทุกข์นั้น..ให้เห็นกฎแห่งไตรลักษณ์แห่งความเป็นจริงอย่างนี้ แล้วเมื่อมีสุขก็ไม่หลงไม่เพลิน ไม่ยินดีพอใจ ถ้าโยมอยู่ระหว่างทุกข์และสุขได้ แม้โยมดับขันธ์ไป..นั่นก็เรียกสภาวะนิพพาน ถ้าโยมยังอยู่ในทุกข์อยู่ แล้วพอมีสุขโยมก็เพลินอยู่..นี่เรียกว่าอารมณ์ทั้งนั้น
เพราะในระหว่างที่โยมทุกข์ แต่โยมไม่ยึดในทุกข์นั้น ดับอารมณ์ได้มั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าวางอารมณ์ เมื่อมีสุขก็คือไม่เพลิดเพลินยินดีอีก..คือไม่ติดในสุขอีก เมื่อไม่ติดในสุขไม่ติดในอารมณ์..อารมณ์เกิดขึ้นได้มั้ยจ๊ะ มันก็ดับอยู่ตลอดเวลา เห็นว่าอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไปเป็นของธรรมดา จิตมันก็ว่าง
นั่นแหล่ะจ้ะ คำว่าว่าง..ที่ไม่มีอารมณ์ไปเกี่ยวข้อง แต่ว่างด้วยรู้ว่าเราไม่ยึดไม่ติด นั่นคือสภาวะนิพพาน นั้นการที่โยมจะเจริญสมาธิเจริญพระกรรมฐาน เค้าถึงบอกให้โยมนั้นต้องรู้อริยสัจก่อน เหตุแห่งทุกข์ หรือทุกข์สิ่งที่ทนได้ยาก นิโรธคือการดับทุกข์ มรรคคือทางเดินออกจากทุกข์ แล้วโยมจะเห็นกฎแห่งความเป็นจริงของกฎแห่งธรรมชาติ คือกฎแห่งไตรลักษณ์ อย่างนี้แลถ้าใครเห็นได้อย่างนี้..นิพพานได้ทุกคน
อ้าว..แล้วการจะนิพพานได้อย่างไร นั้นโยมต้องรู้ทุกข์ก่อน ว่าทุกข์มันเกิดที่ใด ถ้าบุคคลไม่รู้ทุกข์ โยมจะไปหาที่ดับทุกข์ได้มั้ยจ๊ะ บางคนไปหาที่ดับทุกข์อยู่ภายนอก ไปหาเหตุอยู่ภายนอก เหตุว่าคนนั้นทำให้เราทุกข์ เหตุว่าผู้นั้นทำให้เราทุกข์ เหตุว่าผู้นี้เป็นต้นเหตุให้เราทุกข์..ภายนอกมั้ยจ๊ะ
แต่ไม่เคยมองกลับว่า..ตัวเราต่างหากที่ทำให้ตัวเองทุกข์ ใช่หรือเปล่าจ๊ะ นั้นถ้าโยมมองว่าตัวเราที่เป็นต้นเหตุทำให้เราทุกข์เมื่อไหร่..สภาวธรรมมันก็จะบังเกิด นิโรธมันก็บังเกิด แต่ถ้าโยมเห็นว่าบุคคลผู้นั้นเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์เมื่อไหร่..เวรพยาบาทก็บังเกิด นิโรธจะดับได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้) โยมจะเข้าถึงอริยสัจธรรม ๔ ประการไม่ได้เลย
เพราะเหตุแห่งธรรมทั้งหลาย..เพราะว่านิพพานต้องดับอยู่ในกายสังขาร ดับอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ดับอยู่ภายนอก และสภาวะธรรมต้องเกิดขึ้นอยู่ภายใน ถ้าโยมยังเพ่งโทษคนอื่นมันเป็นธรรมมั้ยจ๊ะ..มันเป็นอกุศลธรรม มันไม่ใช่กุศลธรรม นั้นคำว่านิพพานที่โยมจะเกิดขึ้น ที่เราจะเสวยในอารมณ์แล้วเห็น แล้วโยมทรงอารมณ์นั้นไว้อยู่บ่อยๆ จิตโยมก็ว่างอยู่บ่อยๆ
ในความว่างของจิตนั้น..ไม่ใช่บอกว่าจิตนั้นไม่รู้ไม่เห็น แต่ในความว่างคือวางได้ ปลงได้ สละได้ จึงเรียกว่าจิตวางได้ นั่นแสดงว่าจิตต้องเป็นผู้รู้ หากวิญญาณดับแล้ว..ตัวรู้จะบังเกิดอยู่ได้มั้ยจ๊ะ ตัวรู้ก็ย่อมบังเกิดได้เพราะจิตยังอยู่ จิตคือผู้รู้ แต่วิญญาณคืออารมณ์ที่เข้าไปเสวย
ถ้าโยมดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ ดับอารมณ์ในวิญญาณของขันธ์ ๕ ได้ ก็เหลือแต่จิตผู้รู้ นี่ถ้าจิตโยมไม่รู้..ดับได้มั้ยจ๊ะ สภาวะนิพพานจะแจ้งได้มั้ยจ๊ะ เพราะโยมยังวางไม่ได้ ปลงไม่ได้ ละไม่ได้ ตัดไม่ได้ มันจะนิพพานได้อย่างไร นั้นการที่โยมจะมาเจริญภาวนาจิตโยมต้องทำให้ได้ก่อน ต้องรู้อริยสัจก่อน รู้เหตุแห่งทุกข์ก่อน นั่นคือการตัดอาฆาตพยาบาท คือไม่ส่งจิตออกไปภายนอก ไม่เห็นว่าใครนั้นเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์ หาใช่อย่างนั้นไม่..
เราต่างหากที่ทำเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์ ก็คือ"การเกิด"ทำให้เราทุกข์ แสดงว่านี่เหตุหลักใหญ่ที่เราต้องแก้ ต้องเข้าไปดูว่าเราเกิดจากอะไร มีคนบอกว่าเกิดจากความไม่รู้ แล้วไม่รู้อะไร อ้าว..ก็ไม่รู้แจ้งแห่งการเกิด ไม่รู้แจ้งแห่งอริยสัจ จึงไม่รู้กฏแห่งไตรลักษณ์ เมื่อไม่รู้กฎแห่งไตรลักษณ์แล้ว มันก็เรียกว่าอวิชชามันยังบดบังอยู่
ถ้าโยมรู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างไร โยมก็ต้องเพ่งโทษในกาย การเกิดทุกครั้งเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แล้วจะทำยังไงไม่ให้มันเกิด ที่มันเกิดเพราะมันมีความอยาก แล้วความอยากมันมาจากไหน (ลูกศิษย์ : ความต้องการ) เออ..ถูกแล้วคือความต้องการของโยม ไอ้ความพอใจและไม่พอใจนั้นแหล่ะจ้ะ..
เมื่อโยมพอใจเป็นสุขมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : สุขค่ะ) สุขนั้นเป็นกิเลสมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นเจ้าค่ะ) เมื่อไม่พอใจเป็นเวรพยาบาทมั้ยจ๊ะ เวรพยาบาทตัวนี้แหล่ะจ้ะที่มันข้ามภพข้ามชาติ มันจองเวรจองกรรมมาตลอดเวลา แล้วไอ้ความอยากนั้นที่โยมสุขโยมมีพอใจ เมื่อโยมบอกว่าเกิดเป็นมนุษย์แล้วเป็นสุขโยมก็อยากจะเกิดอีก
เกิดเป็นสุนัขไม่ต้องทำอะไร วันๆเอาแต่นอน มันก็ติดในภพนั้นอยากเกิดอีก อย่างนี้..เพราะไม่รู้โทษภัยในการเกิด ถ้ารู้โทษภัยในการเกิดว่าเกิดมาแล้วต้องเป็นอย่างไร..ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องชรา ต้องพลัดพราก นี่คือโทษมัน ใช่มั้ยจ๊ะ เมื่อโยมยังไม่เห็นความเบื่อหน่ายอย่างนี้ อารมณ์แห่งนิพพิทาญาณมันก็ไม่เกิดขึ้น
นั้นคนที่อยากปรารถนาจะพ้นทุกข์ อยากเข้าถึงสภาวะนิพพาน คือเส้นทางสายพิเศษที่ไม่ต้องมาเกิดเวียนตายเวียนเกิดอีก อยู่ในสภาพความว่างของจิตที่ไม่มีความอยาก ถ้ายังมีความอยากยังมีอารมณ์เสวยอยู่..ภพชาติยังต้องเกิดอยู่ นั้นโยมต้องรู้ก่อนว่าเราเกิดมาอย่างไร
แสดงว่าผู้ที่มีความอยากประพฤติปฏิบัติเพื่อหวังทางหลุดพ้น เพื่อปรารถนาพระนิพพาน แสดงว่าบุคคลผู้นั้นมีญาณกันทั้งนั้น แต่ทำไมญาณของโยมมันไม่แข็งแรงเพราะอะไร เพราะโยมยังเจริญความเพียรไม่ถึง ศรัทธายังไม่ถึง เค้าเรียกว่ากำลังหรือพละทั้ง ๕
พละทั้ง ๕ มีอะไรบ้างจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มีศรัทธาค่ะ) มีศรัทธาแล้วต้องมีอะไรอีก (ลูกศิษย์ : มีความเพียร) มีความเพียรแล้วมีอะไรอีก (ลูกศิษย์ : มีสติ) เมื่อโยมมีสติมันก็มาคู่กับอะไร (ลูกศิษย์ : สมาธิค่ะ) เออ..สมาธิและปัญญา ถ้าโยมมีครบอย่างนี้ ต่อให้โยมมีกิเลสตัณหามากเพียงใด..โยมก็นิพพานได้ พ้นทุกข์ได้ทั้งนั้น ขอให้โยมพิจารณาธรรมอย่างนี้ให้มาก..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ คือว่าหนูจะถามหลวงปู่ว่า มันเป็น ๒-๓ ครั้งแล้วค่ะ ภายในอาทิตย์นี้ค่ะ..คือมันเหมือนว่ามันมีพลังงานอะไรมันรับรู้ให้อะไรไม่รู้มันแน่นอยู่ตรงลิ้นปี่น่ะค่ะ แล้วหนูดูเหมือนว่าเป็นจิตตัวเองค่ะ แล้วหนูพิจารณาดูว่าเวลามันเกิด มันเป็นเหมือนจ่าคลั่งนั่นเลยค่ะ สามารถฆ่าคนได้ แต่ถ้าหนูเอาธรรมะเข้ามันก็จะเย็นค่ะ หนูไม่รู้ว่ามันเป็นอาการแบบไหนคะ แบบรู้ว่ามันเป็นแบบไหนแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันเหมือนว่าถ้ามันพุ่งออกมาได้มันพุ่งออกมาจากตัวแล้วค่ะ
หลวงปู่ : อะไรที่เราขาดสติ ไอ้ไฟ ๓ กองมันก็ให้ผล เรามีจริตอะไรมากมันก็ให้ผลสิ่งนั้นมากเป็นธรรมดา ในเมื่อเรากำหนดรู้เท่าทันมันแล้ว ก็เอาภาวนานี่ข่มมันลงไป เมื่อข่มมันอยู่ได้บ่อยๆ ก็ให้แผ่เมตตาออกไป แล้วก็ไม่สนใจในอารมณ์นั้นอีก แล้วโยมจะไปสนใจมันทำไมว่ามันเป็นใครเป็นอะไร
ลูกศิษย์ : ก็อยู่ดีๆมันก็ขึ้นมาน่ะค่ะ
หลวงปู่ : อ้าว..มันก็เป็นธรรมดา เมื่อโยมเพลิดเพลินขาดจากสติ ก็เหมือนที่โยมนั่งสมาธิไปแล้ว อารมณ์แห่งราคะมันก็ยังเกิดขึ้นมาได้ มันก็เป็นของธรรมดา เมื่อจิตเรานั้นมีจริตแบบใด มันก็ผุดขึ้นมาแบบนั้น เรามีหน้าที่ก็คือการรู้..แล้วก็วางอารมณ์นั้น..ด้วยการไม่สนใจ เมื่อเราไม่สนใจมันนั่นแลอารมณ์นั้นมันก็จะดับของมันเอง เราก็ต้องทำแบบนี้ให้อยู่บ่อยๆ เค้าเรียกว่าดับอารมณ์ในขันธ์ ๕
ถ้าเราไม่เท่าทันไม่หมั่นที่เราจะดับมัน ละมันลงไป มันก็จะมีอารมณ์มากนั่นเอง นั้นไม่ว่ากรรมเหล่าใดเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีความอาฆาตพยาบาทมากแค่ไหน..มันจะจบด้วยการเจริญพระกรรมฐาน เจริญพระกรรมฐานก็คืออะไร..คือเจริญสติให้มาก และรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อรู้แล้วอย่าไปติดในรู้ ให้ละอารมณ์นั้น
ละอารมณ์เหล่านั้น..ละอย่างไรได้บ้าง คือให้อโหสิกรรมขอขมากรรม และก็แผ่เมตตาจิต หรือด้วยการเจริญปัญญา การเจริญปัญญาเจริญแบบใด เจริญให้รู้รอบในกองสังขารของอารมณ์ คือเพ่งโทษในกาย เห็นว่ากายนี้เป็นทุกข์ ไม่ว่าสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมา ล้วนมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือมีที่เรียกว่าเกลียดทุกข์รักสุขกันทั้งนั้น..ก็เหมือนกัน เมื่อเราพิจารณาได้แบบนี้จิตเรานั้นจะมีความอ่อนโยน มีความเมตตา
ดังนั้นอารมณ์ที่เรามีความรุนแรงไม่พอใจใคร มีความชังอาฆาตใครก็ตาม ให้เรากำหนดรู้ว่าอารมณ์นี้ขณะนี้มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ นั่นเรียกว่าวิบากกรรมมันกำลังจะมา เมื่อเรากำหนดรู้เท่าทันมันได้ ก็ให้เรานั้นมีสติด้วยการมีองค์ภาวนาดึงจิต..ให้อยู่กับผู้รู้หรือตัวพุทโธก็ดี เมื่อจิตสติมันตั้งมั่นดีพอแล้ว อารมณ์เหล่านั้นมันก็จะค่อยๆคลายลงไป ทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ
เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆแล้ว ไอ้วิญญาณอาฆาตพยาบาทนั้นมันก็จะจาง เราอย่าได้ไปติดใจในอารมณ์นั้นอีก ดังนั้นกาลใดที่เราเจริญสติกรรมฐาน ก็ลองตรวจสอบดูซิว่าอารมณ์เหล่านี้ที่เรานี้ มีความอาฆาตพยาบาทหรือจริตอารมณ์ใดที่มันยังมีความเร่าร้อนอยู่ ลองหยิบยกมาพิจารณาดูซิว่า เมื่อเราหยิบยกมาแล้วเป็นอย่างไร สติเราจะเท่าทันสามารถข่มมันได้หรือไม่
ถ้าเราไม่เพียรละอารมณ์เหล่านี้เลยมันก็จะมีอำนาจมาก มันจะคอยผุดขึ้นมาตอนที่เราขาดสติ หรือมีอารมณ์มากระทบที่ทำให้เรานั้นไม่พอใจ ดังนั้นแบบนี้แลเราก็จะไม่สามารถอยู่กับบุคคลหมู่มากได้ ดังนั้น การจะอยู่กับคนหมู่มากได้ เราต้องมีจิตที่เมตตาอ่อนโยน นั้นก็ต้องแผ่เมตตาให้มากๆ คืออันดับแรกต้องเมตตาตัวเองให้มากๆ คือเราไม่ชอบอะไรคนอื่นเค้าก็ไม่ชอบเช่นเดียวกัน..แบบนั้น
ดังนั้นเรามีโทสะคนอื่นเค้าก็มีโทสะ เรามีโมหะคนอื่นเค้าก็มี เมื่อเราคิดพิจารณาได้อย่างนี้ เราก็จะปลงใจเสียได้ ไม่ถือโทษถือโกรธ ถืออาฆาตพยาบาท อย่างนี้แลจิตใจเราก็ไม่เร่าร้อน เมื่อเป็นอย่างนั้นกุศลจิตมันก็บังเกิด เมื่อกุศลจิตมันบังเกิด..เราตั้งจิตอธิษฐานจิตแผ่เมตตาออกไป ดวงจิตวิญญาณเหล่านั้นก็ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี
เมื่อไปเกิดภพภูมิที่ดีเป็นภูมิเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าเป็นอะไรไปแล้วอย่างนี้ เค้าก็จะมาโมทนาบุญกับเรา อย่าได้ไปกักขังเหนี่ยวรั้งดวงวิญญาณเหล่านี้ไว้ คืออย่าเก็บอย่าสะสมความอาฆาตพยาบาทในดวงจิต เพราะว่ามันจะมีแต่ผลร้ายให้จิตเรานั้นเสื่อมลง เสื่อมลง จมอยู่ในอเวจี
ดังนั้นแล้วการจะปิดอบายภูมิมันต้องตัดที่ใจเราเสียก่อน เจริญทานให้มันมากๆ การเจริญทานให้มากเป็นอย่างไร มันไม่ต้องใช้เงินใช้ทองใช้อัฐใช้เบี้ย เพียงแค่ใช้ใจเราเองมีความเชื่อความศรัทธา อบรมบ่มจิตให้รู้จักการสละ รู้จักการให้ ให้อโหสิกรรม ให้เมตตา ให้อภัยทาน เมื่อเราทำได้อย่างนี้แลมันมีอานิสงส์มากกว่า หรือเท่ากับว่าเราได้สร้างโบสถ์
ถ้าเราไม่คิดที่จะละอารมณ์เหล่านี้เลย การจะเข้าถึงกระแสธรรมกระแสพระนิพพานนี้..ก็เข้าถึงได้ยาก นั้นก็ขอให้โยมเจริญภาวนาไว้มากๆ ในขณะที่มีภาวนาอยู่มันก็จะมีอารมณ์ที่เป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์เข้ามากระทบ เมื่อมากระทบในขณะที่เราภาวนามันก็จะเท่าทันกัน แต่ถ้าจิตเรานั้นไม่มีสติหรือพลั้งเผลออยู่ แล้วถ้าอารมณ์เหล่านี้มันเข้ามา มันก็จะเข้ามาเบียดเบียน มีกำลังมาบังคับจิตใจเรา ถ้าสติเราไม่เท่าทันมันก็จะบังคับบัญชาให้เรานั้นไปทำกรรม สร้างเวรสร้างพยาบาทไม่จบสิ้นกันอีกเลยทีนี้
แสดงว่าเรามีจิตที่เมตตาอยู่ เราถึงควบคุมมันได้ แต่เราจะบอกได้อย่างไร เอาอะไรมารับรอง..ถ้าเราขาดสติไปคราใดคราหนึ่ง หรือสติเราจะไม่หลุดพลาดพลั้งไป อำนาจแห่งกรรมชั่วมันจะมีอำนาจมาเบียดเบียนบีฑาเรา ดังนั้นเราต้องระวัง เพราะในยุคนี้เป็นยุคที่มารหรือเจ้ากรรมนายเวรได้ตามมาทวงหนี้ทวงแค้น นั้นคนที่จะอยู่รอดปลอดภัยในยุคนี้ ก็คือคนที่เจริญทาน ศีล ภาวนา อบรมบ่มจิตรู้จักการสละ รู้จักการให้ ไม่มีเวรอาฆาตพยาบาท หรือเจริญเมตตาอยู่บ่อยๆ
เมื่อเราเจริญอยู่บ่อยๆ ละอยู่บ่อยๆ ให้อภัยอยู่บ่อยๆ ไม่ติดใจเอาความแล้วแบบนี้ ก็เรียกว่าแม้กรรมมันจะหนัก..มันก็เป็นลหุโทษได้ ยอมความกันได้..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต