ถ้าหากว่าเราหมดความสงสัย อยู่ด้วยความวางแล้ว
มีความสุขมา ทุกข์มา ดีมา ชั่วมา เราก็วาง
อาการวางนี้ มันจะเป็นญาณอะไรก็ช่างมันเถอะ
มันสงบแล้ว มันพ้นจากความวุ่นวาย
มันเป็นโลกุตรจิตแล้ว มันไม่พัวพันอยู่ในโลกแล้ว
มันจะเป็นญาณอะไรหรือไม่ใช่ญาณอะไร ก็ช่างมันเถอะ
มันเป็นอยู่อย่างนั้นพอแล้วลักษณะมันพอ ไม่หวั่นไหวแล้ว
อยู่ไปเพราะความรู้ อยู่ไปเพราะความรู้เท่าตามความเป็นจริง
มีความรู้ไม่ยึดความรู้นั่นอีก ไม่ยึดอะไรทั้งหลายทั้งปวง
ความรู้ก็ไม่ยึด ว่าไม่รู้ก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่ยึด ดีก็ไม่ยึด......
__________________________
หลวงพ่อชา สุภัทโท
#พุทธสภาวะ รู้ ตื่น เบิกบาน
เมื่อ "เข้าถึง" สภาวะ "รู้" ที่ปราศจาก,การยึดมั่นถือมั่น
ก็จะพบว่า..ความเป็นตัวเรามันหายไป
ทุกสิ่งมันก็มีอย่างที่มันมี..มันก็เป็นอย่างที่มันเป็น
.
แต่สิ่งหนึ่ง..ที่มันหายไปก็คือ
"ตัวเรา"..มันหายไป / "อุปาทาน"..มันหายไป
คงแต่เหลือเพียง..สักแต่ว่าธาตุ,ตามธรรมชาติ
.
ที่ทรงตรัสว่า..
•สิ่งๆหนึ่ง,ที่บุคคลพึงรู้แจ้ง
•สิ่งๆนั้นมีทางปฏิบัติเข้าถึงได้โดยรอบ
•สิ่งๆนั้นพบได้ในกายนี้แหละ
•สิ่งๆนั้นนอกเหนือกาย,นอกเหนือจิต
#นอกเหนือรูปนามขันธ์5 นั่น..คือ "สภาวธรรมที่บริสุทธิ์"
.
เมื่อใด..ที่หลุดออกจาก "ความยึดมั่นถือมั่น"
ก็จะเข้าสู่..สภาวะที่ #บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
สภาวะ..ที่ไร้,การยึดติด
จากนั้น..สภาวะก็จะ..ค่อยๆละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ
~ นั่นคือ "พุทธสภาวะ" สภาวะรู้..ตื่น..เบิกบาน
ที่หลุดออกจาก "อุปาทาน" ไม่ต้องทำให้สงบ
.
🍃เมื่อ "เข้าถึง" ก็จะ,พบความสงบ,อยู่แล้ว
เป็นเนื้อของสภาวธรรม..ที่ นิ่ง,สงบ
ไร้การเคลื่อนไหว..ไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใด
ว่างจากตัวตน..จากความ "ยึดมั่นถือมั่น"
.
สภาวะ..ที่มันไม่ยึด,ไม่เกาะอะไร
แต่มันก็รู้ใสๆธรรมชาติ
#สภาวะนี้มันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
แต่ถูกความหลง,ความปรุงแต่ง,บดบังอยู่
#สติปัฏฐาน4 #อานาปานสีติ16ขั้น
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้
ก็มีเพียงแค่....สุข ทุกข์
สุขก็ยินดีพอใจ อยากได้สุขยิ่งขึ้นไป
ทุกข์ก็ยินร้ายขัดใจ อยากผลักไสออกไป
สุขแล้วไม่ได้สุขตามที่ต้องการก็ทุกข์
ทุกข์แล้วหลีกหนีผลักไสออกไม่ได้ ก็ยิ่งทุกข์
สำหรับผู้ภาวนา เจริญสติ รู้กายใจแล้ว
หน้าที่ของเขาจะมีเพียงแค่ รู้ ยอมรับตามจริง
ยอมรับเพราะรู้เท่าความยินดี ยินร้าย ใจจึงเป็นกลาง
เป็นกลางพอจะเห็นว่า ทั้งสุขและทุกข์นั้นอยู่ต่างหาก
เป็นกลางพอจะเห็นว่า เมื่อไม่มีเราไปรองรับ มันย่อมดับไปเอง....
✳ ธรรมทั้งมวล ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ✳
🌘 โยม : หลวงตาเจ้าค่ะ เช้านี้เหมือนมันมีระเบิดลูกเล็กระเบิดอยู่ข้างใน หลายลูกต่อๆ กัน
เมื่อสองสามเดือนที่แล้วมันเหมือนมีระเบิดข้างในแต่เป็นระเบิดลูกใหญ่คล้ายปรมาณูทีเดียว ตูมสนั่นหวั่นไหวในร่างกาย
แต่เช้านี้เป็นเหมือนระเบิดลูกเล็กๆ ระเบิดต่อๆ กันเจ้าค่ะ
☀️ หลวงตา : ไม่ว่าอะไร อะไร ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปแล้ว
รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ปล่อยผ่านไป ไม่ติดใจไว้ ไม่ยึดถือไว้
ไม่อาลัยอาวรณ์
อะไรที่ยังไม่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้น ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่อาจยึดถือได้
จะต้อง ไม่หลงยึดถือคาดหวังตั้งเป้าหมาย ไม่โหยหา ไม่กังวล
อะไรที่รู้เห็นปัจจุบันขณะ ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่ใช่ตัวตนคงที่ ไม่ใช่เป็นเรา ตัวเรา ของเรา ไม่อาจยึดถือได้
“ผู้รู้” ก็ไม่ได้เป็นตัวตน ไม่ใช่ตัวเราเป็นผู้รู้
ความคิด ความรู้สึกเป็นตัวเรา ของเรา
ก็เป็นเพียงสังขาร(ปรุงแต่ง) เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ธรรมทั้งมวล ล้วนไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้
“สัพเพธัมมา อนัตตา”
ธรรมทั้งมวลไม่ควรหลงยึดมั่นถือมั่น
“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ”
“นิพพาน” คือ สิ้นผู้เสวย หรือ สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น จึงสิ้นกิเลส ไม่มีตัวตนของผู้ทุกข์
🌘 โยม : สาธุ กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ
เข้าใจสิ่งนี้ด้วยใจ ตอนที่ส่งธรรมไปแล้ว
(ทั้งๆที่เป็นธรรมจริงๆ) หลวงตาก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย
มันเอ๊ะ! มาก ว่าทำไม
แต่มันก็ถึงใจโดยไม่ต้องสอนเป็นคำพูด
เพราะของแท้มันไม่สามารถตอบสนองอะไรใดๆ ได้
สิ่งใดเกิดขึ้น ธรรมใดจะเป็นธรรมไม่เป็นธรรม
ผู้รู้ตัวจริงได้เพียงรับรู้เพียงเท่านั้น ไม่ยึดถือ ไม่อาจให้ค่าสิ่งใด หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใดให้เป็นสิ่งใดได้เลยเจ้าค่ะ
☀️ หลวงตา : ธรรมใด ถ้ามีผู้ยึดถือ เป็นของปลอม
แม้อ้างว่าธรรมทั้งหมดนั้น “เราสิ้นยึดถือแล้ว” หรือ “เรานิพพานแล้ว” ก็เป็นธรรมปลอม นิพพานปลอม
...........................
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
1 มิถุนายน 2562
🙏🙏🙏
" นักภาวนา
ใครสติดี สืบเนื่องเท่าไหร่กิเลสจะถอนออก
ไปได้ คือ สังขารมันคิดปรุงแต่งออกไปปั๊บ
เป็นกิเลสออกไปแล้ว
สร้างความทุกข์ ความกังวลมาหา เจ้าของ
อันนี้ (กิเลส)ไม่ออก มันก็ไม่สร้างความกังวล
สติ...
ติดอยู่นั้น ต่อไปจิตก็ตั้งตัวได้
เพราะ มีผู้อารักขาคือ...สติ
ค่อยสงบเย็น ๆ แล้วสร้างฐานขึ้นมา
เป็นความแน่นหนา มั่นคง ขึ้นมาเรื่อย ๆ
จิตก็เป็นฐานขึ้นมาที่นี่ สงบแน่ว ๆ เรื่อย ๆ
เรื่องสติ จึงเป็นของสำคัญมาก
สติ...ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
ท่านจึงบอกว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนา ในที่ทั้งปวง ไม่มียกเว้นเลย
ตั้งแต่พื้น(เริ่มต้น)จนกระทั่ง ถึงมหาสติ-
มหาปัญญา
สตินี้...ยิ่งแก่กล้า
มหาสติ มหาปัญญากลมกลืนเป็นอันเดียว
กันเลย
เมื่อเต็มที่แล้ว เป็นอันเดียวกัน
สติ กับ ปัญญาขยับปั๊บ ไปพร้อมกันเลย ๆ
นี่เรื่อง...สติ
นักภาวนา
ใครตั้งสติดีคนนั้น จะตั้งรากฐานได้
ตั้งหน้า ตั้งตาดูกันจริง ๆ
ตัวเหตุอยู่...ที่ใจ
มันคอยปรุง อยู่ที่ใจ สติจับไว้ไม่ให้มันออก
เมื่อไม่ออกแล้ว มันก็ไม่สร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ
ให้เราลำบาก
จิต...
ก็สงบ เย็นเข้าไปเรื่อย ๆจนกระทั่ง
ถึง...สติปัญญาอัตโนมัติ
ที่นี้ หมุนติ้วเลย."
---------------------------------------------------------------
( องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน )
อะไรปิดกั้น"นิพพาน"
..การบ่งชี้ว่า"นิพพาน"
..การให้ค่าว่าว่าง ไม่ว่าง
..การให้ค่าว่ามี ไม่มี
..การให้ค่าว่าเข้าใจ ไม่เข้าใจ
..การให้ค่าว่าพอใจ ไม่พอใจ
..การมีเราในรู้
..การไหลไปในความคิดปรุงแต่ง
..การยึดติดสมมุติสัจจะ
..การยึดติดสมมุติบัญญัติ
..การเจตนากระทำเพื่อให้ถึงนิพพาน
(ถูกความคิดสั่งให้ทำตามรูปแบบ วิธีการ
กระบวนการ การปฏิบัติธรรม)
"เหล่านี้ล้วนปิดกั้นนิพพาน"
รู้กลับมาที่ใจ อย่ารู้ออกไปภายนอก เห็นใจเราเอง เห็นว่าเกิด รัก โลภ โกรธ หลง เห็นมาที่ใจเรา ตอนที่ใจเราเกิด รัก โลภ โกรธ หลง อย่าเข้าไปอยู่กับอารมณ์ที่เกิด รัก โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็นอารมณ์ความคิด เป็นของชั่วคราว ใจไม่ยึด ก็ไม่มี หากเข้าไปยึด ก็จะไปลากเอาสัญญาเก่าๆออกมาเต็มไปหมด ( ตรงนี้หล่ะ ถึงบอกว่าอย่าไปพิจารณาอารมณ์
ความคิดที่เกิด ให้แค่รู้ แบบรับรู้พอ หากไปพิจารณาต่อ มักจะข้ามไปอยู่กับความคิด ) เกิดเป็นความคิดลูกความคิดหลาน เป็นเหตุผลมาสนับสนุนใจเราเอง สุดท้ายก็แพ้ใจตนเอง หลงตามใจในที่สุด แต่หาก รู้กับมาที่ใจ จะหลุดออกจากอารมณ์ความคิด เห็นอารมณ์ความคิด หรือ รัก โลภ โกรธ หลง แยกออกไป โดยเฉพาะในผู้ที่แยกขันธ์ได้แล้ว ตรงนี้จะยิ่งเห็นชัด เห็นมันแยกออกไป ก็ไม่ต้องไปดึงความคิดกลับมาอีก อยู่กับความรู้สึกตัวที่ปรากฏ โดยเฉพาะความรู้สึกตัวกับกาย เอากายเป็นที่อยู่ของใจ การว่างปล่าวจากอารมณ์ความคิด คือการไม่เข้าไปยึดถืออารมณ์ความคิดจนกลายเป็นภพ แต่ยังรับรู้อารมณ์ความคิดแบบ แค่ รับรู้ แต่ไม่ยึดถือ
ให้มันดูข้างในอย่างนี้ดีกว่า มันเห็นชัด อย่าพึ่งไปอ่านข้างนอก
ไม่อยากให้อ่านหนังสือเลย เอาหนังสือไส่หีบปิดให้มันดีเสีย .. อ่านใจตัวเองเท่านั้น !!
***
การปฏิบัตินี้ คือ การมาสร้างความรู้อันหนึ่ง มากกว่าความรู้ที่มีอยู่แล้ว
คือ ทำปัญญาให้มันเกิดขึ้นที่จิต ทำญาณให้มันเกิดขึ้นที่จิต จนมีความสามารถที่จะหยั่งรู้ กิริยาจิต ภาษาจิต
รู้อุบายของกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ที่เกิดขึ้นมาในจิตนั้น
***
กายก็ดี จิตก็ดี ดูแล้วก็ให้รวมเป็นเรื่องอนิจจัง เป็นเรื่องทุกขัง เป็นเรื่องอนัตตา
มันเป็นแต่เพียงธรรมชาติอันหนึ่ง มีปัจจัยให้เกิดขึ้นมาแล้วมันก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วสลายไป
มีเหตุมีปัจจัยก็เกิดขึ้นมาอีก เกิดขึ้นมาแล้วก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วก็สลายไปอีก
ที่มันเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ไม่ใช่อะไร เป็นแต่เพียง ความรู้สึก เท่านั้น !!
สุขก็ไม่มีตัวตน ทุกข์ก็ไม่มีตัวตน เมื่อค้นคว้าหาตัวตนจริงไม่ แล้วไม่มี
เป็นแต่เพียงธรรมชาติอันหนึ่ง เกิดขึ้นมาแล้วตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปเท่านั้น
***
พระโพธิญาณเถระ แห่งหนองป่าพง
จิตที่มีปัญญานี้ คือจิตที่ฝึกฝนมา
จนมีจิตที่ตั้งมั่น ตั้งมั่นกับการรู้
เมื่อนั้นจะเห็นเองว่า จิตกับอารมณ์
แยกต่างหากจากกัน คืออารมณ์
เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ แต่ก็เกิดดับไปพร้อมกัน
จิตที่ตั้งมั่นนั้น พ้นจากความยินดี ยินร้าย
จึงเป็นกลางต่อการให้ค่าต่างๆ
จะเกิดก็เกิด จะดับก็ดับ
ไม่รั้งสิ่งใดๆไว้ ด้วยอำนาจแห่งตัณหา.....
< ระบบการทำงานของ ขันธ์ 5 และ การทำวิปัสสนา >
พระพุทธเจ้า ทรงสอน เรื่อง อริยสัจ 4 เรื่องแรก ของอริยสัจ 4 ก็ คือ เรื่องทุกข์ ที่ว่า ทุกข์ นี้ อะไรคือทุกข์ พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า
..........ดูกรภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลายพึงทราบทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความต่างแห่งทุกข์ วิบากแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งทุกข์ ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว … แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชราก็เป็นทุกข์ แม้พยาธิก็เป็นทุกข์ แม้มรณะก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาสก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
พระพุทธองค์ทรงตรัสโดยสรุปก็คือ อุปาทานใน ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์ 5 เป็นตัวตน เป็นตัวเราของเรา แท้ที่จริง ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
แล้วขันธ์ 5 เป็นของใคร ทำไมจึงมีขันธ์ 5 ?
ที่จริงขันธ์ 5 เป็นสิ่งที่ เกิดจาก การรวมตัวของธาตุต่างๆๆตามธรรมชาติ แล้วอวิชชา คือ ความไม่รู้ หรือ ความหลงผิด ทำให้เราคิดว่า ขันธ์ 5 เป็นตัวเรา เป็นของเรา
สิ่งที่เราเรียกว่า ขันธ์ 5 ได้แก่อะไรบ้าง ?
ขันธ์ 5 ได้แก่ 1 รูป 2 เวทนา 3 สัญญา 4 สังขาร 5 วิญญาณ
1 รูปขันธ์ สิ่งที่เรียกว่ารูป ก็ คือ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ นั่นเอง
1.1 ธาตุดิน ก็ หมายถึง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ปอด ตับ ไต ใส้ พุง ม้าม หัวใจ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ คือ ธาตุดิน
1.2 ธาตุน้ำ ก็ หมายถึง น้ำลาย เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง รวมถึงสิ่งที่เป็นของเหลวง ในร่างกาย
1.3 ธาตุลม ก็ หมายถึง ลมหายใจ ลมในท้อง ลมที่เคลื่อนไหวในร่างกาย เป็นต้น
1.4 ธาตุไฟ ก็ หมายถึง อุณหภูมิ ในร่างกาย ระบบการเผาผลาญ อาหาร พลังงาน ในร่างกาย เป็นต้น
ธาตุ ทั้ง 4 ดินน้ำลมไฟ ในร่างกาย รวมเรียกว่า รูป
2 เวทนาขันธ์ สิ่งที่เรียกว่า เวทนา ได้แก่ สุข ทุกข์ อุเบกขา (ความวางเฉย หรือ เฉยๆ ) นี้ รวมเรียกว่า เวทนา
3 สัญญาขันธ์ สิ่งที่เรียกว่า สัญญา ได้แก่ ความจำ หรือจำได้หมายรู้ เรื่องราวในอดีต ต่างๆๆที่เกิดขึ้นแล้ว เรา จำได้ นึกขึ้นมาได้ นี่เรียกว่า สัญญา
4 สังขารขันธ์ สิ่งที่เรียกว่า สังขาร คือ เครื่องปรุงแต่งจิต หรือ ความคิด คิดไปในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ความฟุ้งซ่าน ความวิตกกังวล ความรู้สึกนึกคิด ไปในเรื่องของอนาคต นี้ รวมเรียกว่าสังขาร
5 วิญญาณขันธ์ สิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ คือ ความรู้ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น ตาเห็นรูป ก็ เกิดวิญญาณทางตา คือ จักษุวิญญาณ หู ได้ยินเสียง ก็ เกิดวิญญาณทางหู คือ โสตวิญญาณ จมูก ได้กลิ่น ก็เกิด วิญญาณทางจมูก คือ ฆานวิญญาณ ลิ้น ได้ลิ้มรส ก็ เกิดชิวหาวิญญาณ กายได้สัมผัส ก็ เกิด กายวิญญาณ ใจ สัมผัสกับ อารมณ์ต่างๆๆ เกิด ธรรมมารมณ์ คือ มโนวิญญาณ สิ่งต่างๆๆเหล่านี้ รวมเรียกว่า วิญญาณ
เราก็ ได้ เรียนรู้ ส่วนประกอบ ของขันธ์ 5 หรือ ที่เรา ยึดถือว่ามันคือตัวเรา ว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง แล้ว ทีนี้ เรามาดู ระบบการทำงานของขันธ์ 5 ว่า มันทำงานอย่างไร ขันธ์ 5 บางที่ แบ่งเรียกเหลือแค่ รูป กับ นาม รูป ก็ คือ รูปธรรม สิ่งที่ อธิบายมาแล้วในเรื่องของรูป ส่วน ที่เหลือ เป็นนามหรือ นามธรรม ประกอบด้วย ขันธ์ ที่เหลือ อีก 4 ขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ คือ นาม หรือนามธรรม นาม ยัง การทำงาน ออก ไปเป็นอีกสองส่วน คือ เวทนา สัญญา สังขาร ส่วน วิญญาณ มีหน้าที่ ไปรับรู้ ในขันธ์ ต่างๆๆ รวมไปถึงรูป
ทีนี้ จะอธิบาย การทำงานของวิญญาณ ซึ่ง จะ เข้าไปรับรู้ ในขันธ์ ต่างๆๆ ที่เหลือ อีก 4 ขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
การทำงานของ วิญญาณขันธ์ หรือ บางท่านเรียกว่า จิต ก็ได้.. จิต จะวนเวียน ใน 4 ธรรมธาตุนี้ ไม่ไปใหน เดี๋ยวไปรู้ รูป เช่น วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อ จิต รับรู้ อะไรแล้ว ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้ว จะดับไป จิตจะเปลี่ยน ขันธ์ ไป จับ เวทนา คือ สุข ทุกข์ อุเบกขา จากนั้น ก็ ดับ ไป อีก ไปจับ สัญญา ความจำ ในอดีต แล้วก็ ดับไป ไปจับสังขาร สิ่งที่ ปรุงแต่งจิต ความคิดไปในอนาคต ความฟุ้งซ่านในเรื่องต่างๆๆ แล้ว ก็ จะดับไป ไปจับ ในรูปต่อ จิตจะเกิดดับ เกิด ดับ อยู่ อย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืน ไปจับ ขันธ์โน้นบ้าง ขันธ์นี้บ้าง สลับ สับเปลี่ยนกันไป แต่ไม่หนีไปจาก 4 ขันธ์นี้ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร จะเกิด ดับ เกิด ดับ อยู่ แบบนี้ ตลอด
ทีนี้ ที่พระพุทธองค์ ทรงสอนให้ ทำวิปัสสนา ก็ คือ การ ให้ เห็น ว่า ขันธ์ ทั้ง 5 มันเป็นของที่เกิดดับ นั่นเอง และ จิต มัน เกิด มัน ดับ อยู่ตลอดเวลา แบบนี้ พระองค์จึงทรงให้เข้าไปสังเกตดู ในขณะที่มันเกิด และ มันดับไป แล้วมันก็เกิดอีก แล้วมันก็ ดับไปอีก พระองค์ ให้ทำอย่างไร ก็คือ พระองค์ให้ ตั้งจิต ไว้ อยู่ กับ รูป กาย หรือ ลมหายใจ เพื่อเป็นเสาเขื่อนเสาหลัก ให้จิต เป็นที่ตั้งอาศัย เมื่อ จิต ดับ ไปจาก รูป หรือ กาย หรือ ลมหายใจ ไป รับรู้ สุข ทุกข์ อดีต อนาคต ก็ ให้ ดับ มันเสีย แล้ว กลับมาตั้งจิตไว้อยู่ที่กาย หรือ ลมหายใจ ดังเดิม แล้ว ให้ เห็นว่า จิต มัน เกิด มันดับ อยู่แบบนี้ เมื่อ มันมีเกิด มีดับ มีการแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆแสดงว่า มันไม่เที่ยง มันเป็น อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนอะไร มันเป็นของเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป ไม่ควรที่จะเข้าไปยึดถือว่าเป็นเรา หรือ ของเรา เมื่อเข้าไปยึดถือ ก็จะทำให้เกิดทุกข์ นี่คือ วิปัสสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้เห็นเการเกิดและดับ ของขันธ์ ต่างๆๆ
มีคำถามว่า แล้ว ให้ จิต ไปจับ ที่ เวทนา สัญญา สังขาร แล้วตามรู้ไปเรื่อยๆๆ แบบนี้ ได้ใหม?ทำไมต้องตั้งจิต ไว้ที่กาย หรือ ลมหายใจ ?
พระพุทธเจ้า ทรงให้ตั้งจิต ไว้ที่กาย ทรงเรียกว่า กายคตาสติ หรือ ตั้งจิต ไว้ที่ลมหายใจ ทรงเรียก ว่า อานาปานสติ ไม่ให้ จิตไปจับที่ สุข ทุกข์ อดีต อนาคต เพราะ เวทนา สัญญา สังขาร ขันธ์ เป็น ภพ ที่ ตั้งอาศัย ของจิต พอ มี ภพ ชาติ ชรา มรณะ ก็ จะตามมา แล้ว ภพ นี้ เวลา เราตาย จะเป็นที่ตั้งอาศัยของจิต พาให้เราไปเกิด หรือ ไปจับรูปใหม่ ซึ่ง จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่แบบนี้ การที่จิต เข้าไปตั้งอาศัยใน เวทนา สัญญา สังขาร พระพุทธองค์ ทรงเรียกว่า มี นันทิ ( ความเพลิน ) ผู้ใดมี นันทิ ผู้นั้น มีอุปาทาน ผู้ใดมีอุปาทาน ก็ ปรินิพานไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระองค์ จึงทรงให้ละนันทิ คือ ความเพลินในภพคือ เวทนา ขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์เสีย แล้ว ให้ จิต มาตั้งอยู่กับกาย หรือ ลมหายใจ ซึ่ง พระองค์ทรงเรียกว่า เป็นผู้ที่มี สติ สัมปชัญญะ
เมื่อ เราฝึกละนันทิ ไปเรื่อยๆๆ คือ ไม่ให้จิต เข้าไปตั้งอาศัย ใน ภพ คือ เวทนา สัญญา สังขาร ขันธ์แล้ว จิตก็ จะตั้งอาศัยอยู่ที่รูป หรือ ลมหายใจ เมื่อ เราฝึกมากๆๆเข้า จิต จะไม่ไปตั้งอาศัย ในภพ เมื่อถึงตอนตาย รูปกายแตกดับ ลมหายใจดับ จิตก็จะดับ ไปพร้อมๆกับลมหายใจ เพราะ จิต ไม่มีภพเป็นที่ตั้งอาศัยให้ไปเกิดอีก นี่เราจะได้เป็นพระอรหันต์ ตอนตาย แต่ถ้า ใคร มี อินทรีย์ บารมีมากพอ เมื่อฝึก ละนันทิ ทิ้งภพไปเรื่อยๆ เมื่อ จิต มาจับอยู่กับรูป แล้ว ทำจิตให้ เป็นสมาธิ ในระดับของ ฌาน ต่างๆๆ ทั้ง 9 ระดับหรือ ตั้งแต่ ปฐมฌาน ยัน เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หรือ ระดับใดระดับหนึ่งก็ได้ แล้วตามเห็นการเกิดดับขององค์ฌานนั้นๆหรือ ในระดับต่างๆ ก็ จะ ปล่อยวาง รูปขันธ์ หรือ ขันธ์ ทั้งหมด ได้เอง ก็ จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ หรือ นิพพาน ในชาตินั้นๆๆ
ฟ้าก็คือฟ้า
เมฆก็คือเมฆ
ฝนก็คือฝน
ธรรมชาติเป็นอยู่อย่างนั้น
จิตที่ขุ่นมัว
มองท้องฟ้า ก็มัวหมอง
จิตที่เศร้าสร้อย
มองท้องฟ้า ก็ตาละห้อย
จิตที่สดใส
มองท้องฟ้า ก็สดชื่นแจ่มใส
แท้จริงแล้วธรรมชาติเป็นอยู่อย่างปกติ
แต่ใจเราต่างหากที่เอียงไปตามกรรม
และสังสารวัฎตน
จิต ที่มัวด้วยหมอก
หมอกก็คือ สิ่งที่รู้ และ ความไม่รู้
คือ จิต แม้จิตเองก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็น จิต
ที่ยึดกับสิ่งที่เราไปรับรู้
แล้วละเลงสี ทับลงไป
บดบังสภาพที่แท้จริงของมัน
ธรรมชาติพุทธะของเธอ
ก็เป็นดั่งเช่นกระจกเงา
ไม่ว่าอารมณ์ดีหรือร้าย ใดมาปรากฏ
ก็ไม่แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์นั้น
ไม่ว่าสิ่งใดมาปรากฎเบื้องหน้า
ก็ไม่แปรเปลี่ยนไปตามสิ่งนั้น
ยังคง ว่าง ( สมมุติบัญติแทนละกันว่า ว่าง )
เพราะสิ่งที่เห็นเองนั้นก็เกิดขึ้นจาก
หลายปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องสอดคล้องกัน
ในที่สุดแล้วก็ต้องสลายหายไป
ในทำนองเดียวกันความคิด ที่เกิดขึ้นในใจเรา
ทั้ง รูป นาม กาย จิต สติ สมาธิ สิ่งที่รู้ สิ่งถูกเห็น
ก็เช่นกัน ไม่อาจดำรงอยู่ในตัวตนเราอย่างแท้จริง
จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่เราต้องตกเป็นทาส
ของความคิดและรูปนามเหล่านั้นเลย"
ไม่มีอะไรเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงทุกขณะๆ
สรรพสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนเสมอ......
เพียงแค่อย่ามีใจไปยึดกับสิ่งได....ก็พ้นทุกข์...
โลกและธรรมทั้งหลายทั้งปวง...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น..
.................................
"ไม่มีผู้เห็น หรือ ผู้ถูกเห็น
ไม่มีผู้พูด หรือ สิ่งที่ถูกพูด
รูปกายและพระธรรม
คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นเพียงปรากฎการณ์ของจิต
ผู้ใดเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง
และผู้ที่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง
หาได้เจอตคาถตไม่
แต่ผู้ที่เห็นตถาคตได้จะมีแต่
" ผู้ที่ล่วงพ้นการดำรงอยู่ "
จากลังกาวตารสูตร พระสูตรสำคัญของมหายาน
----------------------------------
สตินี้ตั้งให้ดี คำว่าตั้งสติ ไม่ใช่ว่าตั้งแล้วผิดๆ พลาดๆ เผลอๆ เผลๆ ใช้ไม่ได้อย่างงั้น ตั้งสติต้องเอาจริงเอาจัง ลงว่าได้ตั้งสติแล้ว
...สตินี้ละจะเป็นธรรมคุ้มครองจิตใจของเราให้เป็นความสงบเย็นใจลงไปได้เป็นลำดับลำดา ถ้าขาดสติเมื่อไร กิเลสตัณหาจะเข้าแทรกแซงและทำลาย กลายเป็นความฟุ้งซ่านรำคาญ ทำความพากเพียรก็ไม่ได้หลักได้ฐาน ได้กฎได้เกณฑ์อะไร ถ้าลงสติขาดจากความเพียรแล้ว ความเพียรไม่เป็นท่า
เดินถ้าขาดสติแล้วก็สักแต่ว่าเดิน นั่งถ้าขาดสติแล้วก็สักแต่ว่านั่งไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นการนั่ง ยืน เดิน นอน ด้วยความมีสตินี้
...เรียกว่าเป็นผู้มีความเพียรอยู่ตลอดเวลา ความเพียรอยู่ที่สติ ไม่อยู่ที่ไหนนะ ให้จับสติไว้ให้ดี ถ้าสติไม่เผลอจากใจเมื่อไรเป็นความเพียรอยู่ตลอดอิริยาบถ ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน เว้นแต่ขณะหลับเท่านั้น สติมีอยู่ตลอดเวลา จะตั้งรากฐานของจิตให้เข้าสู่ความสงบเย็นใจได้เป็นลำดับลำดา
...จากนั้นจิตแน่นหนามั่นคงเข้าไปก็เป็นสมาธิ สมาธิคือความตั้งมั่นแน่นหนามั่นคง สมถะคือความสงบเย็นใจ จากนั้นไปก็เป็นสมาธิความแน่นหนามั่นคงของใจ จากความแน่นหนามั่นคงของใจแล้วก็ใช้ปัญญา
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"จับสติไว้ให้ดี"
(ใจ คือ มโนวิญญาณ)
#ใจ..เป็น #อายตนะภายใน
• เป็น..ผลผู้รับรู้ ความรู้สึกภายในการรับรู้
๑. ทางตา..เรียก..จักขุวิญญาณ
๒. รับรู้ทางหู..เรียก..โสตวิญญาณ
๓. รับรู้ทางลิ้น..เรียก..ชิวหาวิญญาณ
๔. รับรู้ทางจมูก..เรียก..ฆนะวิญญาณ
๕. รับรู้ทางกาย..เรียก..กายวิญญาณ
๖. รับรู้ทางใจ..เรียก..มโนวิญญาณ
*ทั้งหมดนี้เป็น..สัจธรรม
#รับรู้แต่ไม่รู้ความหมายในตัวของมันเอง
*ทำให้เกิดกิเลสตัณหา
เพราะเป็นส่วนประกอบของขันธ์ทั้ง ๕
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็น "อนัตตา"
•แต่เมื่อ "จิต" ผู้ไม่มีวันตาย,เข้ามา #ปฏิสนธิวิญญาณ
ก็คือเข้ามา #ตั้งอยู่กับวิญญาณหรือใจ
.
•ประดุจดัง..ใจคือ.พื้นดิน
•จิต คือ เมล็ดพืชก็ขึ้นมาจากพื้นดิน
• "จิตเป็นผู้รู้ และเป็นผู้หลง" เพราะมีอวิชชาแฝงมากับจิต พร้อมกับธรรมารมณ์ต่างๆ ที่มากับจิต
~ธรรมารมณ์ที่เกิดจากเวทนา,
~ธรรมารมณ์ที่เกิดจากสัญญา,
~ธรรมารมณ์ที่เกิดจากสังขาร
* จิตนี้ เป็นผู้รู้ที่ ไม่มีวันตาย
#เมื่อผู้ปฏิบัติธรรม ได้ปฏิบัติ,ไม่ให้ "จิตหลง"
กับการรับรู้ของใจในเรื่องของตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย
แล้วปล่อยวางได้หมดแล้ว ก็จะเหลือใจ
*ซึ่งเป็น #ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตเท่านั้น
🔹ใจอยู่กับจิต ธรรมารมณ์ที่จิตเก็บสะสมไว้
เป็นธรรมารมณ์ที่เกิดจาก..
๑. เวทนา บางครั้งเวทนาสุข, เวทนาทุกข์
หรือเวทนาไม่สุขไม่ทุกข์ก็กระจายออกมา
ฟุ้งออกมาจากจิต
~ใจ..ก็ผัสสะธรรมารมณ์เหล่านี้
รับรู้..ธรรมารมณ์..เหล่านี้ #เมื่อใจรับรู้
~จิต..ก็..เกิดการปรุงแต่งต่ออีกครั้งหนึ่ง
เกิดตัณหาและอุปทาน,เกิดภพฝังอยู่ในจิตอีกรอบหนึ่ง
๒. ธรรมารมณ์,ที่เกิดจาก..สัญญา
คือ ความจำ อารมณ์โกรธเกิดขึ้น,
~อารมณ์รักเกิดขึ้น, อารมณ์โลภ, อารมณ์หลง
~อารมณ์พอใจไม่พอใจเกิดขึ้น
~อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีต
•จิตเกิดความจำเก็บไว้ในจิตเป็นอุปทาน
แล้วมาเกิดกระจายฟุ้งออกมาอีกครั้งหนึ่ง
•เมื่อสัญญาธรรมารมณ์นี้เกิดขึ้น
~จิตเป็นผู้รับผัสสะรับรู้เข้า
~จิตก็มา..รับรู้สัญญา,เวทนา
เรียกเกิดความรู้สึกทางใจ(มโนวิญญาณ)
•เมื่อจิต.."หลงเพลิดเพลินปรุงแต่ง" #ตามอารมณ์เหล่านั้น จึงเกิดกิเลสตัณหา, อุปาทาน, ภพ, เก็บไว้ในจิต
เพื่อนำไปเกิดเป็นชาติต่อไป
๓. ธรรมารมณ์,ที่เกิดจาก "สังขาร"
อารมณ์..ที่เกิดจาก,ความคิดความปรุง
กระจายออกมา.จาก "จิต"
•ใจเป็นผู้รับผัสสะในส่วนภายใน
•จิตรับรู้สังขารความปรุ่งแต่งเหล่านั้น
•จิตก็เกิดกิเลสตัณหา..อุปาทาน..และภพเก็บไว้ในจิตอีกรอบหนึ่ง..เพื่อนำไปเกิดเป็นชาติไปอีกต่อไป..
#คำว่าธรรมารมณ์ทั้ง ๓ นี้
ที่มีอยู่,ในจิต ก็คือ "เจตสิก" นั่นเอง
"เจตสิก" จะผสมเป็นเนื้อเดียวกันกับ "จิต"
ไปไหนไปด้วยกัน
เวลาเกิดก็เกิดพร้อมๆกัน..อาศัยจิตเกิด
เราไม่สามารถ,ที่จะแยกเจตสิก
หรือกิเลสตามนอนนี้ออกจากจิตได้
มันจะเคลื่อนที่ไปด้วยกัน
ภพแล้วภพเล่า..ในวัฏสงสาร
~ถ้าเปรียบจิตคือข้าวเหนียวที่นึ่งร้อนๆอยู่
เจตสิกคือไอความร้อนที่เกิดจากข้าวเหนียว
มันอยู่ด้วยกัน ไปด้วยกัน
~ถ้าเราจะกำจัดไอความร้อน
จากข้าวเหนียวออกจากข้าวเหนียวแล้ว
มันก็ทำไม่ได้
#ดังนั้นผู้ปฏิบัติเมื่อมีสติและปัญญาเห็นความจริงเหล่านี้แล้ว
ไม่สามารถที่จะกำจัดเจตสิกหรือกิเลสออกจากจิตได้เลย
🍃ถ้าเราจะกำจัดกิเลสละเอียด,ที่อยู่ในจิตได้
จำเป็นจะต้องทิ้ง..ทั้งจิต,หรือ "ธาตุรู้"
•เราจะต้องทิ้งไอความร้อนออกจากข้าวเหนียวได้
จำเป็นเราจะต้องทิ้งทั้งข้าวเหนียวเลย
ไอความร้อนที่มีอยู่ในข้าวเหนียวก็จะถูกทิ้งไปด้วย
หรือเจตสิกกิเลสละเอียดที่มีอยู่ในจิตก็จะถูกทิ้งไป
ด้วยผู้ปฏิบัติจึงจะหมดกิเลสตัณหา ตัดภพตัดชาติได้
#เราจะทิ้งจิต #เราต้องไม่เห็นคุณค่าของจิต
•เราต้องเห็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าจิต
เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน
สติปัญญาจึงจะปล่อยวางจิตได้
*ผู้ปฏิบัติ..ถ้าสังเกตให้ดีแล้ว
มีผู้รู้ที่รู้นิ่งๆอยู่อีกผู้หนึ่ง
เป็นผู้รู้ ที่เหนือผู้รู้แห่งจิตขึ้นไปอีก
โดยไม่มีที่หมาย ที่รู้ๆครอบโลกธาตุอยู่นี่
เป็นผู้รู้แห่งธรรมชาติ ไม่มีการเกิด
ไม่มีการเสื่อมและไม่มีการดับ
เป็นผู้รู้แห่งนิพพานธาตุ ผู้รู้ผู้นี้
*เห็นพฤติกรรมหรืออาการของผู้รู้แห่งจิตอยู่ตลอดเวลา
#เมื่อเทียบกันกับความสุขที่ไม่เที่ยงแล้วเทียบกันไม่ได้เลย
🍃เมื่อ "สติปัญญาเห็นดังนั้นแล้ว"
#สติปัญญา #จึงไม่เห็นคุณค่าของ #ผู้รู้แห่งจิต
•สติปัญญา เกิดจิตตกกระแส
กลายเป็น..สติปัญญาญาณในอริยมรรค
เพราะ..ตัดผู้รู้แห่งจิตออกไป
กลายเป็นผู้รู้แห่งนิพพานธาตุทันที
เพราะหมดความในตนเองนั่นแหละ
ท่านเรียกว่าเข้าสู่ #นิพพาน
28 / 5 / 62
พระอาจารย์เงิน
วัดป่าชัยรังษี จ.กำแพงเพชร
"ผู้รู้" เป็นสักแต่ว่า "เรือนร่างของจิต" แต่ "ไม่ใช่จิต
" เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งทาง ร่างกาย และ จิตใจ
ก็เป็นแต่เพียงว่า "อาการอันหนึ่ง" ที่ "เกิดขึ้น"จาก "จิต"
แต่ไม่ใช่ "จิต"
รู้ชัดเจน ก็เหลือแต่ “ความรู้” นี่เรียกว่า “วัฏจิต”
"เชื้อ" ที่จะพาให้ “จิต” ไปเกิด ไปตาย ในภพชาติน้อยใหญ่นั้น
ก็คือ “ตัวรู้” ที่อยู่กับ “จิต” กลมกลืนเป็น “อันเดียวกัน” อยู่นั้นแล
เมื่อขาดจากความ “สืบต่อ” กับ "สิ่งภายนอก"
จนกระทั่ง "ในขันธ์" เรียบร้อยแล้วยังเหลือแต่ “จิต”
นั่นคือยังเหลือแต่ “อวิชชา” ...
"อวิชชา" นี้ท่านเรียกว่า "เชื้อ" ....
“เชื้อแห่งวัฏจักร” มีอยู่ที่ “จิตนี้”
"ปัญญา" พิจารณาลงไปที่ “จุดนั้น”...
ความสว่างคืออะไร ดูให้ดี ว่าความสุข-สุขอะไร
เป็น “สุขอวิชชา” หรือเป็น “สุขวิชชา”
“สุขสมมุติ” หรือ “สุขวิมุตติ” “สงบตัวจากความคิด”
ลงไปสู่ “ความรู้” อันเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกันกับกิเลส”
“กิเลสเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิต”
"เชื้อ"ที่พาให้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ถูก "ถอนพรวด"ขึ้นมาแล้วจาก “จิต”
เหลือแต่ “วิมุตติจิต” เท่านั้นที่นี่ เป็น “จิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ”
เมื่อ "ดับอวิชชา" แล้ว มัน "ดับไปหมด"
"จิต" ที่นอกเหนือไปจากกฎ "อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา" แล้ว
นั่นคือ "ผู้พ้นภัย" ... พ้นโลกพ้นตรงนี้
"จิต" เป็น "ธรรม"... "ทั้งดวง" ...
"ธรรมกับจิต" เป็นอันเดียวกันแล้ว
ท่านจึงว่า "ธมฺโม ปทีโป ความสว่างกระจ่างแจ้งในจิต
ที่ปราศจากแล้วจากกิเลส เป็นความสว่างกระจ่างแจ้ง
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนในโลกทั้งสามนี้"
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
สัมมาสมาธิ
"สัมมาสมาธิที่ถูกต้อง ถึงแม้จะมีความสงบไปถึงแค่ไหน ก็มีความรู้อยู่ตลอดกาลตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บริบูรณ์รู้ตลอดกาลตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บริบูรณ์รู้ตลอดกาล นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ"
สมาธิทั้งหลายเหล่านี้ แบ่งเป็นมิจฉาสมาธิอย่างหนึ่ง คือเป็นสมาธิในทางที่ผิด และสัมมาสมาธิอย่างหนึ่ง คือสมาธิในทางที่ถูกต้อง นี้ให้สังเกตให้ดี
มิจฉาสมาธิคือ ความที่จิตเข้าสู่สมาธิเงียบ...หมด...ไม่รู้อะไรเลย ปราศจากความรู้ นั่งอยู่สองชั่วโมงก็ได้ กระทั่งวันก็ได้ แต่จิตไม่รู้ว่ามันไปถึงไหนมันเป็นอย่างไร ไม่รู้เรื่อง นี่สมาธิอันนี้เป็นมิจฉาสมาธิ
มันก็เหมือนมีดที่ลับให้คมดีแล้วแต่เก็บไว้เฉยๆ ไม่เอาไปใช้มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรอย่างนั้น ความสงบอันนั้นเป็นความสงบที่หลง คือว่าไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว เห็นว่าถึงที่สุดแล้วก็ไม่ค้นคว้าอะไรอีกต่อไป จึงเป็นอันตราย เป็นข้าศึกในขั้นนั้น อันนี้เป็นอันตรายห้ามปัญญาไม่ให้เกิด ปัญญาเกิดไม่ได้เพราะขาดความรู้สึกรับผิดชอบ
ส่วนสัมมาสมาธิที่ถูกต้อง ถึงแม้จะมีความสงบไปถึงแค่ไหน ก็มีความรู้อยู่ตลอดกาลตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บริบูรณ์รู้ตลอดกาลตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บริบูรณ์รู้ตลอดกาล นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่ไม่หลงไปในทางอื่นได้นี้ก็ให้นักปฏิบัติเข้าใจให้ดี จะทิ้งความรู้นั้นไม่ได้ จะต้องรู้แต่ต้นจนปลายทีเดียว จึงจะเป็นสมาธิที่ถูกต้อง
ขอให้สังเกตให้มาก สมาธิชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายเมื่อเราเจริญสมาธิที่ถูกต้องแล้ว อาจจะสงสัยว่ามันจะได้ผลที่ตรงไหน มันจะเกิดปัญญาที่ตรงไหน เพราะท่านตรัสว่าสมาธิเป็นเหตุให้เกิดปัญญาวิปัสสนา สมาธิที่ถูกต้องเมื่อเจริญแล้ว มันจะมีกำลังให้เกิดปัญญาทุกขณะ ในเมื่อ ตาเห็นรูปก็ดี หูฟังเสียงก็ดี จมูกดมกลิ่นก็ดี ลิ้นลิ้มรสก็ดี กายถูกต้องโผฏฐัพพะก็ดี ธรรมาภรณ์เกิดกับจิตก็ดี อิริยาบถยืนก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี จิตก็จะไม่เป็นไปตามอารมณ์ แต่จะเป็นไปด้วยความรู้ตามเป็นจริงของธรรมะ
ฉะนั้น การปฏิบัตินี้เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ไม่เลือกสถานที่ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็ตาม จิตมันเกิดปัญญาแล้ว เมื่อมีสุขเกิดขึ้นมาก็รู้เท่า เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้เท่า สุขก็สักแต่ว่าสุข ทุกข์ก็สักแต่ว่าทุกข์เท่านั้น แล้วก็ปล่อยทั้งสุขและทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
เมื่อสมาธิถูกต้องแล้ว มันทำจิตให้เกิดปัญญา อย่างนี้เรียกว่า วิปัสสนา มันก็เกิดความรู้ตามความเป็นจริง
#ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนคืออย่างไร ?
ลูกหลานเอ๊ย.. บัดเดี๋ยวนี้ เขามักจะสอนกันว่า "มีตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นแสงสว่างให้แก่ตนเองได้ ไม่มีที่พึ่งอื่นใดนอกจากตนเอง"
ผู้ใดที่รับคำสอนนี้มา พึงพิจารณาให้ดี ให้ถี่ถ้วน นะลูกนะ
มิฉะนั้นจะกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เกิดความทะนงตน ซึ่งจะทำให้พึ่งตนไม่ได้อย่างแท้จริง ในระยะแรกๆคล้ายว่าจะพึ่งตนได้ แต่ต่อไปไม่นานกลายเป็นการทำลายตนทำลายผู้อื่น ก็ย่อมได้
การที่ตนจะเป็นแสงสว่างแก่ตน หรือ เป็นที่พึ่งแก่ตนได้นั้น.. ตนนั้นจะต้องได้รับการฝึกฝน-ขัดเกลา เอาพลังงานฝ่ายลบออก เอาพลังงานฝ่ายดีมาสู่ตน ประกอบพลังฝ่ายดีนั้นเข้ากับตนอย่างสอดคล้องต้องกัน จึงจะเป็นที่พึ่งแก่ตนได้แท้จริง
ถ้าไม่ผ่านการฝึกฝนอบรมตน ตนนั้นจะเป็นจุดศูนย์รวมของกิเลส-ตัณหาไปโดยอัตโนมัติ.. นี่ว่าตามธรรมชาติของตัวสัจธรรมเลยนะลูกหลาน
ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตนแน่นอน พระพุทธองค์ทรงสอนเราทั้งหลายเช่นนี้ แต่ก่อนที่พระองค์จะสอนเช่นนี้ ทรงสอนว่า "#ตนอันจะเป็นที่พึ่งแก่ตนได้นั้นต้องฝึกตน" .. แต่ไม่ค่อยมีใครหยิบยกสิ่งสำคัญทรงคุณค่านี้มาบอกกล่าวกันมากนัก
ลูกหลานหลวงปู่ใหญ่ที่ใฝ่ธรรม มุ่งหมายจักจำเริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป จักต้องใช้ พละทั้ง 5 ให้เป็น และชำนิชำนาญ นะลูกนะ #พละทั้งห้านี่เองคือเครื่องมือสำคัญในการฝึกตน นั่นคือ....
- ศรัทธา แล้วสืบเนื่องด้วย.....
- วิริยะ แล้วสืบเนื่องด้วย....
- สติ แล้วสืบเนื่องด้วย....
- สมาธิ แล้วสืบเนื่องด้วย....
- ปัญญา
ครั้นองค์ธรรมพละ 5 นี้ เกิดครบถ้วนแล้ว ให้ใช้ "สติ" เป็นประธานแห่งองค์ธรรมทั้งปวง กำหนดให้ "สติ" คอยควบคุมดูแลองค์ธรรมอีก 4 ประการให้ทำงานประสานสัมพันธ์กัน มิให้องค์ธรรมใดเกิดความยิ่งหย่อนไปกว่ากันจนกลายเป็นความบั่นทอนขัดแย้งกัน
การฝึกตนด้วยองค์ธรรมที่ชื่อว่า พละ 5 นี้ ลูกหลานหลวงปู่ใหญ่สมควรอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้ให้มาก เพราะยังมีหลักการ หลักปฏิบัติ อันเป็นรายละเอียดอีกมากพอสมควร อีกทั้งยังเนื่องด้วย จริตและกรรมเก่าที่แต่ละคนสั่งสมมาไม่เหมือนกัน ทำให้การปฏิบัติในการฝึกตนจักต้องมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป แม้หลวงปู่ใหญ่มีปฏิสัมพิทาญาณ แต่ภาษาอักขระของโลกก็อรรถาธิบายไม่ได้ครบถ้วน. ลูกหลานสมควรต้องฝึกจิตตนจนรองรับกระแสบุญกระแสจิตบริสุทธิ์จากพลังธรรมหลวงปู่ใหญ่ จึงจะได้รับการสื่อสารวิธีการแท้จริงที่จะฝึกจิตตนให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ จนบังเกิดอิทธิพลานุภาพสามารถพึ่งตนได้
ด้วย ธรรม พร และ เมตตา นะลูกหลานเอ๊ย ๚
----------------
การทำกรรมดีก็ตาม การทำกรรมชั่วก็ตาม การทำกรรมไม่ดีไม่ชั่วก็ตาม
ก็ล้วนเป็นผลแห่งการกระทำกรรมที่ออกมาจากความปรุงแต่งจิต
เรากระทำกรรมดี ก็ยึดถือเอาการกระทำกรรมดี เรากระทำกรรมชั่วเพราะความสำคัญผิด ก็ยึดถือเอาการกระทำกรรมชั่วเพราะความสำคัญผิด
เรากระทำกรรมไม่ดีไม่ชั่ว ก็ยึดถือเอาการกระทำกรรมไม่ดีไม่ชั่ว
เราจะยึดถือการกระทำกรรมอันใดๆอยู่ก็ตาม เราก็ยึดถือเอาอาการอันเป็นไปเพราะอาศัยความปรุงแต่งจิตอยู่นั้นเอง เพราะอาศัยความยึดถือนั้นเป็นเหตุ
เพราะอาศัยอุปาทานนั้นเป็นเหตุ ภพจึงมีแก่เรา
เพราะอาศัยภพนั้นเป็นเหตุ ชาติจึงมีแก่เรา
เพราะอาศัยชาตินั้นเป็นเหตุ ชราและมรณะจึงมีแก่เรา
เพราะอาศัยภพ ชาติ ชราและมรณะนั้นเป็นเหตุกองทุกข์จึงมีแก่เรา
สังสารวัฏนี้ไม่ง่ายเลยที่จะหลุดพ้นออกมาได้
กองทุกข์นี้ไม่ง่ายเลยที่จะหลุดพ้นออกมาได้
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราเมื่อยึดถือเอาแล้วจะรอดพ้นไปได้จากทุกข์
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราเมื่อยึดถือเอาแล้วจะไม่เข้าไปยึดถือเอาอาการอันเป็นความปรุงแต่งจิต
เมื่อเรายึดถือเอาอาการอันเป็นความปรุงแต่งจิต
เราก็ยึดถือเอาแล้วซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ อยู่นั้นเอง
เมื่อเราก็ยึดถือเอาแล้วซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ
เราก็ยึดถือเอาแล้วในสิ่งอันเป็นทุกข์
ผู้ใดยึดถือเอาแล้วในสิ่งอันเป็นทุกข์ ผู้นั้นย่อมมิอาจรอดพ้นไปได้จากทุกข์
ก็แต่ว่าหนทางนั้นมีอยู่ มรรคนั้นมีอยู่ ปฏิปทาของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่
ชั่วชีวิตอันไม่เกิด ๑๐๐ ปีของเรานี้ก็ใครเล่าจะหยิบฉวยเอาโอกาสอันประเสริฐนี้ไว้ได้ทัน
หลวงพ่อชา สุภัทโท
"คำสอนสำคัญ...พระครูบาพ่อบุญชุ่ม ญาณสํวโร"
1. ในโลกจักรวาลนี้.. ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร "ทุกสิ่งทั้งปวงเกิดดับตามเหตุปัจจัย" ผ่านมาและผ่านไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นด้วยสิ่งใด ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
จงตั้งจิตอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนี้ ถวายเป็นพุทธบูชา น้อมจิตภาวนาให้รู้แจ้งในรูปนามและสังขารอันไม่เที่ยงทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน เราเขาอะไร รู้แจ้งด้วยปัญญาตามความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไร
2. อย่าคิดว่าเราเป็นคนสำคัญ.. ให้ทำตนแบบปกติธรรมดาๆนี่แหละดีที่สุด เมื่อเราคิดว่าเราเป็นคนสำคัญแล้ว เมื่อผู้อื่นไม่ให้ราคาเรา ไม่นับถือให้ความสำคัญเราแล้ว จิตใจเราจะเป็นทุกข์ร้อนรนสับสนวุ่นวายไปตามกระแสโลกธรรม
ขอให้ตั้งใจให้ดีมีสติทุกเมื่อทุกขณะจิต เพียงแต่รู้ เฝ้าดูเฝ้าเห็นกายกับใจเคลื่อนไหวไปตามเหตุปัจจัย เป็นเพียงรูปธรรมนามธรรมเท่านั้น เป็นเพียงก้อนทุกข์ก้อนธาตุเท่านั้น
"เราไม่ควรไปให้ราคาตัวเองและวัตถุ" เราอยู่ในโลกอย่าหลงมายาของโลก ไม่ติดไม่ข้องแวะเกี่ยวกับสิ่งในใจ มีแต่ใจรู้แจ้ง ปล่อยวางสู่ความว่างสภาพเดิมของธรรมชาติแท้
3. ในตัวคนเรามีแต่ขี้ทั้งนั้น.. นับตั้งแต่หัวถึงเท้าเป็นขี้หมด มีขี้รังแค ขี้ตา ขี้หู ขี้มูก ขี้ฟัน ขี้เล็บ ขี้ไคล ขี้ในท้องแล้วยังไม่พอ ยังมีขี้ในใจอีก ขี้เกียจ ขี้กลัว ขี้ลัก ขี้หึง ขี้เอา มีแต่ขี้ทั้งนั้นนับไม่ถ้วน
ให้พิจารณาให้เกิดความเบื่อหน่าย หายความรักความชังเสียเถิด แล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมาเอง
4. เกิดเป็นคน "ให้มีดี 3 อย่าง"
1.ใจดี 2.พูดจาดี 3.ทำแต่สิ่งดีๆ แล้วเราจะได้ของดี อย่ามัวเมามาขอแต่ของดีจากพระ จงทำดีเอาคนเดียว
ท้ายที่สุดนี้... เราขอเมตตาให้ทุกท่านจงเป็นผู้มีสติมีปัญญาพาตนให้พ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสาร ให้ถึงพระนิพพานอันเป็นอมตะสุขยิ่ง
ตราบใดยังไม่ถึงพระนิพพาน ได้เวียนว่ายตายเกิดทุกภพทุกชาติ ขอให้ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ดีเป็นบัณฑิต ขอให้ได้สร้างบารมีธรรมให้เต็มเปี่ยม ให้ทำประโยชน์ตน ประโยชน์แก่ญาติแก่สังคม ประโยชน์แก่ชาวโลก ให้สำเร็จสมความปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ
ข้อธรรมทั้งหมดนี้.. ข้าพเจ้า "ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร" ได้เขียนบันทึกเมตตาไว้ ในปีพุทธศักราช 2550 ขณะเข้าจำพรรษา ณ ถ้ำมหาโพธิสัตว์ราชคฤห์ จ.ลำปาง
ชีวิตนี้แสนสั้นนัก อย่าได้เสียเวลา
กับการส่งจิตออกนอกมากนักเลย
เพราะส่งจิตออกนอก..ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
มีแต่โทษแต่ฝ่ายเดียว(ขาดสติ อกุศล)
พึง "หยุด" ใจที่จะแสวงหาออกนอก
ค้นหาตนเอง..ศึกษาตนเอง
ด้วยการมีสติกำหนดรู้กาย+จิตใจตนเอง
ทุกการเคลื่อนไหวแห่งสังขารธรรมทั้งหลาย
เพียง"รู้" สักแต่.."รู้"ใน,ปัจจุบัน
ถึงความไม่เที่ยง..ในกองสังขาร,ทั้งหลาย
ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เพราะ..สิ่งที่เกิดดับนั้น
คือ #ธรรมชาติที่ทำงานอยู่ใต้กฏอนิจจัง นั้นแล
สอนตนก่อนนอน เอวัง .
.
พระอาจารย์เงิน
วัดป่าชัยรังษี จ.กำแพงเพชร
#พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
จากอวิชชา,ตัณหา,อุปาทานทั้งปวง
เพราะรู้แจ้งความจริงแล้ว
ว่า,รูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ
กิเลส,ตัณหา,อุปาทานทั้งปวงนั้น,เป็นสิ่งที่เกิดดับ
.
พอท่านนั้นเอารู้ออกมาดูสิ่งที่เกิด-ดับ
เพราะรู้นั้นจึงเป็นธรรมชาติที่มาดู..สิ่งที่เกิด-ดับ
แต่เมื่อ,เห็นสิ่งที่เกิดดับแล้ว
พระอริยเจ้าเหล่านั้น..ก็ไม่ได้ยึดรู้
.
#มาเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้อง ก็คือ #สิ่งที่เกิดดับ
ฉะนั้น ตัณหา ก็ดี ท่านจึงออกมาได้
เพราะตัณหา,อุปาทานเกิดขึ้นจากไหน?
เกิดขึ้นจากขันธ์๕
.
•ในเมื่อขันธ์๕ เป็นสิ่งที่เกิด-ดับ
ตัณหา..ที่เกิดขึ้นในใจท่าน
ก็จึงเป็น,ตัณหา..ที่เกิด-ดับ
ไม่ว่าจะเป็นตัวขันธ์๕ ตัวใดตัวหนึ่ง
#เขาย่อมเกิดขึ้นได้ #เพราะตัวของเขาเอง
#แล้วเขาย่อมดับไป #เพราะตัวเขาเอง
.
•เพราะฉะนั้น "ตัณหา" มันเป็นของใครล่ะโยม?
ตัณหา..เป็นของเรา ?
หรือ..เป็นของขันธ์?
.
ตัณหา..เป็นของตัณหาใช่ไหมโยม?
อุปาทาน..เขาก็เป็นของอุปาทาน
ทุกข์..เขาก็เป็นของทุกข์
สมุทัย..ก็เป็นของสมุทัย
ก็เป็นตัวของเขาเองไม่ใช่หรอ?
.
แต่ "เรา" เนี่ยเกิดมาอาศัยเขา
แล้วก็..มาเห็นเขาแสดง
แล้วก็ไปยึดการแสดงนั้น..เป็นของเรา
ทั้งๆที่เราเนี่ย มาจากไหน
เรา...มาจากสิ่งที่ไม่มี..ไม่ใช่หรอ?
.
ก็ในเมื่อ "เรามาจากสิ่งไม่มี" สิ่งที่เราอาศัย
คือ กิเลส,ตัณหา,อุปาทานนั่นเอง
.
ฉะนั้น "ตัณหา" ก็คือเป็นของตัณหา
อุปาทาน..เขาก็เป็นของอุปาทาน
แล้วเราจะดับเขาได้ตรงไหน?
.
เรามันจะไปดับตัณหา ทั้งๆที่เรามาอาศัยตัณหา
เรามาดับอุปาทานทั้งๆที่เราอาศัยอุปาทาน
มีใครเคยดับได้บ้าง?
อาตมาเชื่อว่า..พระอรหันต์ท่านก็ดับไม่ได้
•เพราะว่า #อาการของมันก็คือ #เป็นสิ่งที่เกิดดับ
แต่สิ่งที่ท่านดับได้ คือ #ดับความยึดมั่นถือมั่นในอาการ
.
🍃ตราบใดที่ยังมี "ขันธ์" อยู่
การแสดงของขันธ์..ก็ยังมีอยู่
เวทนายังมีอยู่..สัญญาก็ยังมีอยู่
สังขาร..วิญญาณ..ก็ยังมีอยู่
.
และรูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ นี้มันคืออะไร
คือ "ธรรมชาติ" #คือสิ่งที่เกิดดับ
*ในเมื่อ รูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ
#เป็นสิ่งที่เกิดดับ
สิ่งที่มันแปรสภาพออกมาจากรูป,เวทนา,สัญญา
สังขาร,วิญญาณ..คืออะไร?
•งั้นจึงบอกว่า..
~ตัณหา มันเป็นของใคร? มันเป็นของตัณหา
~อุปาทานเป็นของใคร? ก็เป็นของอุปาทาน
เพราะมีใครทำให้เกิด? (ถามโยม)
ในเมื่อไม่มีใครทำให้เกิดได้
แล้วมีใครที่จะไปทำให้ดับได้..นอกจากตัวเขาเอง
.
🍃เขาจะดับไป..เมื่อกำลังเขาก่อตัวเต็มที่
แล้วเขา..ก็สลายตัวเขาเอง
* ฉะนั้น เราไม่ต้อง..ไปไล่ดับ
.
เพราะ..การไล่ดับนั้น..เราทำไม่ได้
#เราแค่มาเรียนรู้ในสิ่งที่เกิดดับ
เพื่ออะไร? เพื่อให้เรา,เข้าใจ
ในความเป็นไปตามธรรมชาติของตัณหา
ว่ามัน "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" #อย่างนี้ต่างหากล่ะ
.
มาเรียนรู้ทุกข์ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป"
#ให้รู้ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ
ของทุกข์,ของตัณหา,ของสมุทัย
อย่างนี้ไม่ใช่หรอ..คือการเรียนรู้
.
.
นาทีที่ 18:00
พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท
วัดป่าเจริญธรรม
ทุกสิ่งเกิดจากเหตุ (ปัจจัย)
มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ
บังคับบัญชา(ให้ได้ดั่งใจ)ไม่ได้
ไม่มีสัตว์ ตัวตน บุคคล เราเขา มีแค่รูปกับนาม
ตัวตนจริงๆแล้วไม่มี...
ทุกความคิด การกระทำ เกิดจากเหตุปัจจัย... แต่เราเข้าไปยึดว่าเป็นเราคิด เราทำ จึงเกิดการยึดติด
ทุกสิ่งเป็นอนัตตา แต่เมื่อเกิดผัสสะเข้าสู่จิต (ที่มีอวิชชา) จึงกลายเป็นอัตตา ว่านี่กู นี่ของๆกู... ทุกข์จึงเกิดเพราะมีตัณหา และอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น)... มันเป็นเช่นนี้แล
" ทุ ก ข์ ที่ ก า ย กับ ทุ ก ข์ ที่ ใ จ "
"กายของเราคือก้อนทุกข์นี่เอง
ทุกข์บางอย่างที่เกิดขึ้นที่กาย
เช่น ความเปลี่ยนแปลงทางกาย
ความไม่เที่ยงของร่างกาย
ความพิการ หรือความแก่ชรา
อันนี้เป็นทุกข์ที่เราแค่ "มีสติ-กำหนดรู้-ไว้เฉยๆ"
"ไม่" สามารถจะแก้ไขได้
ทุกข์บางอย่างเราสามารถเข้าไปเกี่ยวข้อง
เยียวยาให้กลับสู่สภาพปกติได้
เช่น ความหิว ความกระหาย ความเมื่อยล้า อ่อนแรง
เราสามารถกำหนด "รู้" และ "แก้ไข-ได้-ด้วยสติ"
แต่ทุกข์บางอย่างที่เกิดขึ้น เราต้องทำหน้าที่ "ละ" ทันทีเลย คือ ทุกข์ ที่เกิดขึ้นในจิตใจที่เกิดจากกิเลสเข้าครอบงำ เช่น ความรัก ความโลภ ความเกลียด ความโกรธ
ความกลัว อิจฉาริษยา วิตกกังวล
เราก็ต้องทำหน้าที่ "มีสติรู้" แล้ว "ละ" ไป
เราไม่ต้องไปหาที่ไหน
อยู่ที่กายที่ใจของเรา สติสัมปชัญญะรู้ได้เห็นได้
การกำหนดรู้ทุกข์ในตัวเรานั้น
ไม่ต้องไปกำหนดที่วัด ไม่ต้องไปกำหนดที่ไหน
ทกุข์เกิดขึ้นตรงไหน เราก็ระลึกรู้ลงตรงนั้น
อยู่ในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง"
( อ.กำพล ทองบุญนุ่ม ชมรมเพื่อนคุณธรรม )
สัจจธรรม ไม่วิ่งไปตรงไหนแหละ มันอยู่คงที่ของมัน ท่านจึงเรียกว่า สัจจะ ความเป็นจริง
สัจจะ ความจริง คือ ไม่เคลื่อนจากที่ของมัน
เราจึงน้อมใจเราเข้าไปถึงสัจจธรรม จนกว่าสัจจธรรมมันจะตั้งอยู่ในจิตของเรา
ไม่เคลื่อนที่ มันไม่ตามกระแสใจของคน มันไม่ตามความรู้สึกนึกคิดของคน
ความรู้สึกนึกคิดก็อันหนึ่ง สัจจธรรมก็เป็นอย่างหนึ่ง !!
***
ถึงแม้มันถูกอยู่ ความถูกนั้นมันไม่ผิด .. มันผิดอยู่ที่เราเข้าไปยึด
ไปยึดความถูก ไปยึดความผิด เช่น เราผู้ปฏิบัติ ของคนอื่นผิด ของคนอื่นถูก อย่างนี้เป็นต้น
เห็นของเราถูก เห็นคนอื่นผิดอย่างนี้ ถ้ามันเป็น ก็ให้เป็นเพียงอาการ อย่าไปเอาแน่นอนกับมัน อย่าไปยืนยันกับมันมาก
เรียกว่า มันยังไม่แน่นอนนั่นเอง เราปล่อย มิได้สงสัยในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
มันรู้อยู่ในนั้น อันนี้คือการปฏิบัติ
***
หลวงปู่ชา สุภัทโท