พุทธธรรมวาระพิเศษ วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2561
พุทธโอวาทวันมาฆบูชา ๒๕๖๑ ตอนที่ ๓ เหตุที่มีองค์เทพเทวดาพญานาคในวัด
ในวันมาฆบูชา ในปี พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมฟังธรรม องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น
จึงได้เฝ้าทูลถามธรรมกับพระพุทธองค์ท่าน ในตอนที่ 3 ในวันมาฆบูชา ดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา
ตามที่ลูกได้ฟังธรรมมา ตอนที่ 2 ก็พอจะทำให้ลูกเข้าใจถึง เหตุที่เกิดเหตุมหัศจรรย์ในวันมาฆบูชา
ว่าก่อเกิดขึ้นจาก คุณงามความดีของ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
ที่ทำให้ความดีนั้นก่อเกิดเหตุมหัศจรรย์ เมื่อมีวันสำคัญเช่นวันนี้
ให้เราทั้งหลาย ได้น้อมไปประพฤติ ปฏิบัติตาม ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วหละเจ้าค่ะ
แต่พระพุทธองค์เจ้าขา.. ยังมีสิ่งหนึ่งที่ลูกยังสงสัยอยู่ คือว่า
ในวันสำคัญเช่นนี้ ลูกก็จะเห็นเหล่าเทพ เทวดาทั้งหลาย ในชั้นฟ้าต่างๆ ภูมิต่างๆ เหล่าพญานาค
รวมถึงดวงจิตในภูมิต่างๆ เขาก็มาฟังธรรม ในโลกทิพย์ ก็มองเห็นเป็นเช่นนั้น
แต่ในกึ่งศาสนานี้ การที่ชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจว่า การมีองค์เทพ มีศาลเจ้าที่ หรือว่ามีสิ่งต่างๆ
ที่เป็นพญานาค อยู่ในวัดวาอาราม นั่นคือสิ่งที่ผิด และบูชาผิด อย่างนั้นหน่ะเจ้าค่ะ
ลูกจึงสงสัยว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราควรจะบูชา แก้ไข ทำยังไง
เหตุอะไร เพราะอะไร จึงมีสิ่งเหล่านี้ หรือต้องไม่มี หรือยังไง แบบไหน ?
ลูกจึงขอเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ ถึงเรื่องนี้ด้วยหน่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติ ปฏิบัติตามด้วยเถิดเจ้าค่ะ
ดีแล้วหละ พระยาธรรม.. ที่รู้จัก สังเกตสิ่งที่มันเกิดขึ้น ที่ควรนำมาพิจารณา ตรึกตรอง ให้เข้าใจในเหตุทั้งหลาย
พระยาธรรมเอย.. ในวัฏสงสารนั้น เป็นที่ก่อเกิดแห่งดวงจิตทั้งหลาย ผู้ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่
และจิตทั้งหลาย ก็วนไปเกิดในที่ต่างๆ เช่น เมืองสวรรค์ เมืองมนุษย์ เมืองแห่งพญานาคทั้งหลาย
เมืองนรก หรือในภูมิต่างๆที่ซ้อนกันไป ในแต่ละรูป แต่ละภูมิ
ซึ่งมีดวงจิตมากมาย ที่ไปเกิดซ้อนๆกันอยู่ ในกายเทวดาบ้าง กายมนุษย์บ้าง
กายของจิตวิญญาณ เปรต อสุรกาย สัตว์นรกทั้งหลาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
หรือว่าภพภูมิต่างๆ จิตทั้งหลาย ก็กระจายอยู่ไปทั่ว ตามกรรมแห่งตนที่ก่อ ที่ทำ
และธรรมขององค์พระพุทธเจ้า ก็เกิดขึ้น มีอยู่
เพื่อให้จิตทั้งหลายเหล่านี้ ได้น้อมศึกษา บำเพ็ญ ประพฤติ ปฏิบัติ
เพื่อเข้าถึง*ทางแห่งความพ้นทุกข์*
ฉะนั้น.. จิตทั้งหลายที่อยู่ในภูมิอื่นๆ โลกอื่นๆ ที่ไม่ใช่กายมนุษย์นั้น จึงต้องเฝ้าฟังธรรมเช่นเดียวกัน
พระยาธรรมเอย.. เช่น ในยุคสมัยพุทธกาลนั้น ก็ยังมีเหล่าเทวดาทั้งหลาย ที่มาฟังธรรม
ตอนที่องค์พระพุทธเจ้าขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ในช่วงเข้าพรรษา เพื่อโปรดพระมารดา
ก็ยังมีเหล่าเทวดา มาเฝ้าฟังธรรมมากมาย ไม่ว่าจะอยู่ในป่า ในเขา อยู่ในที่ไหน
ก็ล้วนแล้วแต่มีภพภูมิเทวดาต่างๆ รวมถึงจิตวิญญาณ หรือว่าสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ต่างก็ได้น้อมฟังธรรมกันทั้งนั้น
ใช่ว่าแต่เพียงมนุษย์ ที่จะสามารถเฝ้าฟังธรรมขององค์พระพุทธเจ้าได้
มีจิตทุกภูมิ ทุกชนชั้น ทุกโลก ที่ต่างก็มาเฝ้าฟังธรรมกัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดา
พระยาธรรมเอย.. การก่อเกิดองค์พระพุทธเจ้านั้น เพื่อเป็นครูของเทวดา และสรรพสัตว์
หมู่เวไนยทั้งหลาย ในวัฏสงสารนี้.. ลูก
ฉะนั้น.. จึงมีทั้งเทวดา ดวงจิตในภูมิอื่นๆที่ซ้อนภูมิกัน มาเฝ้าฟังธรรม เป็นเรื่องธรรมดา
จงทำความเข้าใจเช่นนี้เถิด.. พระยาธรรม
ลูกก็จะมองเห็นความจริง จากธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าว่า
มีเทวดาภูมิต่างๆ ที่ได้กล่าวไว้แล้ว ในพระคัมภีร์
ฉะนั้น บัดนี้ ถ้าจะมีทวยเทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เกิดอยู่สวรรค์ชั้นฟ้า หรืออยู่ในภูมิต่างๆ
ชาวบาดาล เมืองพญานาคทั้งหลาย.. ขึ้นเฝ้าฟังธรรม
ก็จะผิดปรกติตรงไหนเล่า ในเมื่อในวัฏสงสารนี้.. ก็มีที่เกิดแห่งดวงจิตมากมาย ตามภูมิต่างๆ
และธรรมของพระพุทธเจ้า ก็สอนสั่ง เพื่อให้ดวงจิตทั้งหลายในทุกภพทุกภูมิ
ได้น้อมคุณงามความดี น้อมไปประพฤติ ปฏิบัติกัน จึงเป็นเรื่องธรรมดา ปรกติ
และถ้าตามที่ลูกนั้นถามว่า ในวัดวาอาราม ตามยุคสมัยเดี๋ยวนี้
ทำไมจึงต้องมีองค์เทวดา หรือว่า มีบ้านของเทวดา
มีสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงภูมิต่างๆ หรือเหล่าพญานาค ปรากฏตามวัดวาอาราม
สิ่งเหล่านั้น คือ สิ่งที่อยู่คู่กับพระพุทธศาสนาโดยปรกติอยู่แล้ว
เมื่อมีโบสถ์ มีวิหาร มีสถานที่ปฏิบัติธรรม
มีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ก็ต้องมีภูมิต่างๆที่เขาเหล่านั้น มาเฝ้าฟังธรรม เป็นปรกติ
ใช่ว่า จะมีแต่ภูมิแห่งมนุษย์
ซึ่งถ้าเกิดในวัดวาอาราม จะมีสิ่งที่แสดงให้เห็น ให้มนุษย์ทั้งหลาย ได้มองเห็นเป็นสิ่งแทนว่า
นั่นคือ พญานาค นั่นคือ เทวดา นั่นคือรุกขเทวดา ที่อยู่ในภูมิเจ้าที่.. ตรงนั้น
ให้ทุกคนได้เห็นการเวียนว่ายตายเกิด ภูมิที่ซ้อนภูมิ ก็จะแปลกตรงไหนเล่า.. พระยาธรรม
ฉะนั้น.. การที่มีสิ่งเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องปรกติ
ที่จะแสดงให้เห็น การเวียนว่ายเวียนวน ในวัฏสงสารนี้
ให้มนุษย์ทั้งหลาย ได้มองเห็นรูปปั้น สิ่งสร้างเหล่านั้น..
ก็เป็นสิ่งที่เทวดา เขาก็ดลบันดาลให้สร้างขึ้นมา
ให้มนุษย์ผู้เป็นกายหยาบ สร้างสิ่งแทนทางภูมิ ทางจิตของเขาเหล่านั้น
ว่าเขามีตัวตน ว่าเขานั้นก็อยู่ในวัด เฝ้าฟังธรรม
พระยาธรรมเอย.. จึงเป็นสิ่งที่ไม่ผิดอะไร หากในวัดนั้น จะมีองค์เทวดา หรือองค์เทพ
จะมีศาล ที่เป็นของนางไม้ หรือว่าเทวดา ที่อยู่ในภูมิ ในที่ตรงนั้น มีรูปปั้นแห่งพระแม่ธรณี
จึงเป็นธรรมดา ถือว่าไม่ผิดอะไร
เพียงแต่ทุกคน ก็ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกับความเป็นจริง เช่นดังที่กล่าวมานั้นหละ
ต้องทำความเข้าใจว่า จักรวาล วัฏสงสารนี้ มีภูมิมากมาย
และทุกดวงจิตในทุกภพภูมิ ต่างก็ต้องการการสร้างบุญ สร้างบารมี
เฝ้าฟังธรรม เพื่อน้อมเอาความดีสู่จิตแห่งตน
เพื่อที่จะประพฤติ ปฏิบัติ เข้าสู่พระนิพพานกันทั้งนั้นหละ..พระยาธรรม
ฉะนั้น ให้ปรับความเข้าใจกันใหม่ การสร้างหุ่นรูปปั้นต่างๆจึงไม่ผิดอะไร
เพียงแต่การบูชานั้น ต้องบูชาองค์พระรัตนตรัยนั้น ที่มีองค์สาม
คือ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ ที่ดำรงสืบทอดศาสนามา
และเป็นหนทางที่จะทำให้ลูกทั้งหลาย หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ อย่างแท้จริง
ส่วนดวงเทพเทวาภูมิต่างๆที่เรารู้ เราเห็นว่ามีเขาอยู่ และมีสิ่งแทนเขานั้น
เราเองก็จะได้ระมัดระวัง การพลาดพลั้ง เบียดเบียนต่อภูมิอื่นๆ โดยเราไม่รู้ตัว
จึงควรเป็นการให้เกียรติ เคารพซึ่งกันและกัน ช่วยกันสร้าง ทำความดีกันไป
อย่างนั้นละ พระยาธรรม
สิ่งที่ลูกถามมานั้น ก็ถือว่า เป็นสิ่งที่สำคัญ
หากมนุษย์ผู้ที่เกิดขึ้นเป็นมนุษย์แล้ว ในกึ่งศาสนานี้ ซึ่งธรรมคำสอน ก็เกิดขึ้นมาแล้ว 2000 กว่าปี
มนุษย์ทั้งหลาย. ผู้ที่ยึดถือเอาเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งไว้ อย่างหนักแน่น จน..
ไม่ยอมมองให้เห็นความจริงเหล่านี้ ไม่ยอมรับความจริงเหล่านี้ ไม่ยอมทำความเข้าใจเช่นนี้
ก็อาจทำให้มองข้าม คำว่า ความจริงของวัฏสงสาร การเวียนว่ายเวียนวน มองไม่เห็นความจริง ในภูมิต่างๆได้ ลูก
เพียงแต่ทุกคน ก็ต้องมีสติ มีปัญญา รู้เท่าทันเหตุต่างๆเหล่านั้น ทุกดวงจิต ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิใด..
* ต่างก็ต้องการเฝ้าฟังธรรม และสร้างบุญกันทั้งนั้นแหละลูก..*
ฉะนั้น.. จะเป็นสายของพญานาค ของเทพเทวดา ของมนุษย์ หรือของดวงจิตวิญญาณ
ผู้ไม่มีที่ไปผุดไปเกิด คือ สัมภเวสีทั้งหลาย ..สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
รุกขเทวดา ภพภูมิเจ้าที่* ต่างก็ต้องการที่จะสร้างบารมีแห่งตน*ทั้งนั้น
ฉะนั้น.. จงอย่าปิดกั้นภูมิใดภูมิหนึ่ง ด้วยทิฐิแห่งตนเลย จงทำความเข้าใจในวัฏสงสาร เห็นความปรกติของสิ่งเหล่านี้..
และพากันสร้าง พากันทำความดีกันเถิด พระยาธรรม
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ถ้าอย่างนั้น ลูกอยากจะขอทูลถามอีกสักเรื่องหนึ่ง
คือ ในยุคนี้ ทำไมถึงมีคนที่เขาเหล่านั้น จัดทำบายศรีขึ้นมาเยอะแยะมากมาย
ส่วนใหญ่แล้ว ไปถึงที่ไหน.. ก็จะมีแต่ผู้คน ที่จัดแต่งประดับประดาเครื่องไหว้บายศรีขึ้นมา
เป็นเพราะอะไรหรือเจ้าคะ และเป็นสิ่งที่ทำกันถูกหรือเปล่าเจ้าคะ หรือว่า มันผิด
ถูกเพราะอะไร ผิดเพราะอะไร ควรทำหรือไม่ หล่ะเจ้าคะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิดเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอย ทุกสิ่งทุกอย่างในวัฏสงสารนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป ย่อมมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมา ตามเหตุของมัน ตามรอบ ตามยุคนั้นๆ
สิ่งทั้งหลายบนโลก ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมุติ สมมุติดี - สมมุติไม่ดี
ยุคสมัยที่ไม่มีอะไรเลย ก็คงต้องเก็บดอกไม้มาไหว้ มาบูชา แทนการเคารพนอบน้อม
ยุคสมัยที่มีความเจริญเช่นนี้ ก็จะมีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ให้สะดวกในการทำขึ้นมาเพื่อบูชา
เครื่องไหว้บายศรี หรือดอกไม้ธูปเทียน หรือเครื่องไหว้ด้วยขนมหวาน
สิ่งใดๆก็ตาม มันก็ล้วนแล้วแต่เหมือนกันทั้งนั้น นั่นแหละลูก
ฉะนั้น.. การที่ยุคนี้ หยิบยกเอาเครื่องไหว้บายศรี มาถวายบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัน
เหตุก็เพราะว่า ยุคนี้ เขานั้นสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อเป็นสิ่งแทนในการบูชา ก็เท่านั้นหละลูก ไม่มีอะไรต่างจากอะไร
แล้วแต่ยุคสมัย ว่าสิ่งใดมีเกิดขึ้นมา และเป็นสิ่งที่ดี ที่สวยงาม
ที่เป็นสิ่งแทนใจน้อมไหว้บูชา แด่องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ ก็เท่านั้นหละลูก..
เครื่องไหว้บายศรี ดอกไม้ธูปเทียน ผลไม้ ผ้าไตรจีวร ปัจจัยสี่ต่างๆ ที่จะมาน้อมถวาย เพื่อการสร้างความดี
ก็ไม่มีอะไรต่างกันหรอกลูก เพียงแต่ยุคไหน เขานั้นพากันหยิบยกสิ่งใดขึ้นมา
เป็นสิ่งที่เขานั้นตั้งใจว่าจะน้อมถวาย ก็ถวายไปตามเหตุปัจจัย
แต่ที่สำคัญก็คือ ทำไปแล้วเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า .แค่นั้นเอง จึงไม่มีความแตกต่างอะไรหรอกลูก
การสร้างความดี ทำความดี บนโลกนี้ ก็ล้วนแล้วแต่หยิบเอาสิ่งสมมุติขึ้นมาสร้าง มาทำให้เป็นความดีทั้งนั้นแหละลูก..
ฉะนั้น ทำการสิ่งใดก็ตาม ขอเพียงแค่ เป็นการทำความดี
และทำด้วยความอดทน ขยันที่จะทำความดีนั้นให้สำเร็จ
เพื่อ*ทดสอบจิตแห่งตน และขัดเกลากิเลสตัณหา* ย่อมถือว่า “ใช้ได้”
เข้าใจหรือยังเล่า.. พระยาธรรม
พระยาธรรม : เข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
แสดงว่า ถวายอะไรก็ได้ แล้วแต่ยุคสมัย ของการที่สะดวกที่จะถวายในสิ่งที่มีเหล่านั้น
และทุกอย่างก็ไม่เที่ยงแท้ สิ่งสมมุติทั้งหลาย เสมอ มีค่าเท่ากัน
ทำอะไรก็ได้ ขอให้ปราศจากความลุ่มหลง และเป็น*การฝึกความอดทน ทำความดี เพื่อดับกิเลส *
จึงไม่มีผิด ไม่มีถูก เข้าใจแล้ว เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. วันนี้ เป็นวันสำคัญแห่งศาสนา
พระพุทธองค์ทรงเมตตา หยิบธรรมะทั้ง 3 ตอนนี้ ขึ้นมาแสดงในวันสำคัญเช่นนี้ ...
.. เพราะเหตุใด จึงเลือกธรรมะทั้ง 3 ตอนนี้ หล่ะเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. เพราะว่า ธรรมะทั้ง 3 ตอนนี้ เป็นธรรมที่สำคัญยิ่งนัก
ที่ตอนนี้.. ทุกดวงจิต ที่ปรารถนาจะเข้าถึงความดี ควรทำความเข้าใจ ลูก
ควรที่จะปรับจิตของตน..ให้เข้าถึง *ความไม่เที่ยงแท้* เข้าถึง *กฎแห่งกรรม*
เมื่อมองเห็นความไม่เที่ยงแท้ ก็จะมองความไม่เที่ยงแท้ ที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ไปยึดในอดีต
พิจารณาเรื่องของปัจจุบัน ที่มันเป็นจริงอยู่ ณ ปัจจุบัน มองให้เห็นความจริง ที่ซ่อนอยู่ในนั้น
แล้วก็ประพฤติ ปฏิบัติ ดับกิเลส ตามเหตุแห่งปัจจุบัน โดยไม่ไปยึดถือ เหตุเมื่อ 2000 ปีที่แล้ว
เอามาเป็นเหตุในวันนี้ จะได้ไม่ปิดกั้นนิพพานแห่งตน ลูก
มันคือ ความจริง มันคือ *สิ่งสำคัญ* ที่ทุกคนต้องข้ามตรงนี้ให้ได้ ลูก
ที่หยิบยกเรื่องกฎแห่งกรรมขึ้นมา ให้ทุกคนมองให้เห็นสิ่งที่ดี ที่ทำแล้วก่อเกิด สิ่งไม่ดีที่ทำแล้ว มันก็ก่อเกิด
.ก็เพื่อให้ทุกคน มองให้เห็นเหตุของสิ่งที่ทำให้เกิดผลในวันนี้ ที่เกิดขึ้นกับตน ว่า.. มันมาจากไหน ?
อย่าไปยึดเหตุที่เกิดกับคนอื่น เมื่อครั้งเวลาที่นานมาแล้ว แล้วเอามายึด มาแก้ อยู่กับสิ่งที่มันเกิดอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งมันเป็นเหตุที่ไม่ตรงกัน
พยายามที่จะให้ทุกคน มุ่งความเห็นที่ถูกต้อง ตรงกับสิ่งที่มันเกิด * เพื่อแก้ไขให้ตรงเหตุ*
รู้ให้เท่าทันเหตุ เพื่อจะได้เข้าสู่ *นิพพาน* -ในกึ่งศาสนานี้ได้ ลูก เป็นธรรมที่สำคัญยิ่งนัก**
ถ้าใครข้ามสิ่งเหล่านี้ไม่ได้.. ก็จะไม่สามารถเข้าถึงนิพพานได้เลย
เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ เหตุปิดกั้นนิพพาน.. ลูกเอ๋ย
จงมองเห็นความไม่เที่ยง.. แล้วอยู่กับปัจจุบัน พิจารณาเหตุตามนั้นเถิด
จงมองเห็นกฎแห่งกรรม แล้วพิจารณาเหตุ - ตามที่มันเกิดอยู่ปัจจุบันเถิด
จงมองให้เห็นความเป็นจริง ที่ซ่อนอยู่ในวัฏสงสารนี้
จงมองให้ทะลุความเป็นจริง โดยปราศจากทิฐิแห่งตนเถิด
จงอย่ายึดถือสิ่งใด จนกลายเป็นทิฐิเลย
จงปรับทิฐิ อัตตาแห่งตน.. แล้วทำความเข้าใจในความเป็นจริง
เพื่อดับการเกิดเถิด
ธรรมทั้ง 3 ตอนนี้ สำคัญยิ่งนักในกึ่งศาสนา ลูก
เป็นกำแพงกั้นนิพพานเลยทีเดียวละ
** และก็จะเป็นกำแพงที่เปิด ให้ทุกคนเข้าสู่นิพพานได้.. หากข้ามสิ่งเหล่านี้ได้ ลูก **
จึงนำมาแสดงในวันสำคัญเช่นวันนี้
พระยาธรรมเอย.. พอจะเข้าใจแล้วหรือยังเล่า !
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ .. ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
ที่พระพุทธองค์ทรงย้ำนักย้ำหนา ในสิ่งที่ได้แสดงมา 3 ตอนนี้
ก็เพื่อให้ลูกทั้งหลาย จะได้ไม่ติดอยู่เพียงเพราะแค่.. มีทิฐิ ไม่ยอมรับความจริง..
มองข้ามความจริงเหล่านี้ไป.. เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อน นะเจ้าคะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง เจ้าค่ะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่.. นะเจ้าคะ
สาธุ