"คือระลึกรู้ทันกัน ในขณะที่จิตเคลื่อนไหวออกสู่อารมณ์ต่างๆ"
ไม่ปล่อยให้จิตเที่ยวกอบโกยเอาอารมณ์มาเผาผลาญตน โดยไม่มีสติตามรักษา
ทั้งการรักษาจิตด้วยสติ
ทั้งการพิจารณาอารมณ์ ดี ชั่ว ที่เกี่ยวข้องกับ*ใจ*ด้วยปัญญา
ผลย่อมเห็นประจักษ์ใจ ในทุกขณะ ที่อารมณ์กับจิตเข้าสัมผัสกัน
และแยกจากกันด้วยอำนาจของสติปัญญา ที่ตามรักษาและแก้ไขกันไปเป็นระยะ
+++++
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
การภาวนา จะได้ผลหรือไม่ได้นั้น ไม่คิดคำนึงให้เสียเวลา
ทำความพยายามรักษาจิต คิดอย่างเดียวว่า
"ทำอย่างไร*สติกับจิต*จึงจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ พระพุทธองค์เจ้าขา... แล้วระดับที่ 3 หละเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอย... ส่วนบุคคลผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ
จนถึงฌานสมาธิขั้นที่ 3 แล้วนั้น
* ถือเป็นผู้ที่ ทรงฌานมากแล้ว*
* ถือเป็นผู้ที่ มีกำลังฌานมากแล้ว*
* ถือเป็นผู้ที่ มีปัญญามากแล้ว*
ฉะนั้น กลุ่มคนที่ 3 นี้ เขาก็จะเริ่มมองเห็น ว่า การทรงฌาน เป็นเรื่องธรรมดา
การรู้ตื่น เป็นเรื่องธรรมดาจิตใจของเขา ก็จะไม่ไปยึดกับสิ่งเหล่านี้เลย
เขาจะเห็น*ทุกอย่างว่างๆ เป็นธรรมดา*
แต่ก็ควรจะระมัดระวังในบางกลุ่ม อย่างนี้ว่า ระวังจะหลง กับสิ่งที่ตนได้มา..
ระวังจะยึดติด กับสิ่งที่ตนได้มา ระวังว่าตนนั้น
อาจจะเผลอหลง ยึด เป็นตัวเป็นตน เป็นอัตตาและสลายตรงนั้นไม่ได้
จึงไปสู่พระนิพพานไม่ได้ บางกลุ่ม ก็มี*ปัญญามาก ก็ทะลุไปเลย*
บางกลุ่ม *ไม่มีปัญญามาก ก็อาจมาหลงยึด หลงติดอยู่ตรงนั้น*
ฉะนั้น การทำสมาธิ เราจึงควรทำอย่างกลางๆ
*ทำภายในให้ได้กำลังออกมาใช้กับการกระทบ* และ
*ทรงพลังอย่างรู้ตื่น ด้วยกำลังฌานภายนอก*
แล้วก็*ตรึกตรองทุกอย่างให้รู้ตื่น*.... *ถอดถอน* กิเลส ตัณหา ทั้งหลาย
ให้ออกจากตัวเราไปให้หมด เพื่อเข้าสู่มรรคผล นิพพานให้ได้
เช่นนี้หละ... พระยาธรรม บุคคลผู้ปฏิบัติ จนถึงขั้นที่ 3 แล้วนั้น
มันไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่หรอกลูก หากดำเนินมาด้วย*ตัวปัญญา*
ก็ย่อมพ้นจาก*ความหลง* แต่บางกลุ่ม บางคน ก็อาจมาติดกับ
*ความหลงดี ยึดดี ถือดี ถือมาเป็นตัวเป็นตน* แล้วก็เข้าสู่พระนิพพานไม่ได้
หากลูกทั้งหลาย ดำเนินมาจนถึงจุดนี้ ก็ผ่อน ก็คลายออกบ้าง ก็แล้วกันนะ
จะได้ไม่เป็นการยึดถือไป เช่นนี้หละ พระยาธรรมเอย...ธรรม 3 ชั้น ธรรม 3 ประการ
ไล่ตั้งแต่ระดับที่ 1- ระดับที่ 2- ระดับที่ 3 ก็ควรดำเนิน เช่นนี้
บุคคลผู้ที่มีกำลังฌานเริ่มต้น ก็ควรค่อยๆฝึก ค่อยทำไป เพราะสมาธิจำเป็นกับเรา
บุคคลกลุ่มที่ 2 เมื่อทำได้แล้ว ก็อย่าหลง อย่าเหลิง อย่าใช้ความอยาก
ความลุ่มหลง ในสิ่งที่ทำ *ให้ตรึกตรอง วางเฉย ทำไปเรื่อยๆ*
บุคคลกลุ่มที่ 3 ส่วนใหญ่ก็จะมีปัญญาเอาตัวรอดได้ แต่ก็มีกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง
ที่อาจก่อให้เกิด*การหลงยึดในสิ่งที่ได้* เป็นตัวตน คลายไม่ออก ก็ให้คลายเสีย
นี่หละ พระยาธรรม... ธรรมะ 3 ขั้น ของหัวข้อธรรมเรื่อง กรรมฐานภายใน และภายนอก
ลูกพอจะเข้าใจแล้วใช่ไหม ถ้าเข้าใจแล้ว ก็จงน้อมไปตรึกตรองธรรมนี้ให้ดี
และนำไปเผยแผ่ คนที่กำลังฝึกสมาธิ ในขั้นต้น - ขั้นกลาง - และขั้นละเอียด
เขาก็จะได้เข้าใจด้วยว่า จะต้องปฏิบัติเป็นขั้นๆไป เช่นนี้
ขั้นที่ 1 ควรวางอารมณ์ และฝึกฝนเช่นไร
ขั้นที่ 2 ควรระมัดระวังอะไร
และ ขั้นที่ 3 ควรที่จะดูสภาวะตน ว่าอยู่ในสภาวะแบบไหน และคลายออก
เช่นนี้หละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง
ลูกจะน้อมไปปฏิบัติตาม และเผยแผ่ พระพุทธเจ้าข้าฯ…สาธุ
ธรรมะไตรปิฏก ตอนที่ ๑
ในเช้าของวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2562
พระยาธรรมิกราช ได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน
เพื่อสดับฟังธรรม และถ่ายทอดธรรม
เมื่อพระยาธรรมิกราช ได้เข้าเฝ้านอบน้อม ต่อองค์พระพุทธบิดา
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น
พระยาธรรมิกราชจึงได้กราบน้อมฟังธรรมต่อพระองค์ ดังนี้
พระยาธรรม : ขอกราบนอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าข้าฯ
ลูก จะขอเฝ้าถึงเรื่องธรรม ที่จะแสดงในตอนที่ 1 ของธรรมะไตรปิฎก หน่ะเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกจะขอถึงพระพุทธองค์ โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมให้ลูกได้ฟัง
ในเรื่องของรหัสธรรม ข้อที่ 1 ที่ถอดมาได้ คือ สมาธิภายใน - สมาธิภายนอก
เป็น 3 ขั้น ของการแสดงธรรม พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ก็ดีแล้วหละ พระยาธรรม... ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟัง
ฟังแล้วก็ตั้งใจ ที่จะน้อมไปตรึกตรอง ทบทวน ให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว
ก็จึงค่อยนำไปเผยแผ่ต่อไปนะ พระยาธรรมเอย
พระยาธรรมเอย... *การทำสมาธิ* เป็นสิ่งที่สำคัญ
เป็นสิ่งที่จะทำให้*ดวงจิตของเรา สว่าง ตั้งมั่น มีจุดยืนของตนเอง*
ทำให้*ดวงจิตของเรา สว่างไสว* จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำสมาธิ
และการทำสมาธิ ก็ไม่ได้ยากอะไรหรอกลูก ลองฝึกลองทำดูก่อนนะ
เพียงแค่ให้เรา ลองหา*จุดว่างของจิต ก็คือ การปล่อยวางทุกอย่าง*
หลับตาลง ไม่ต้องตั้งใจแรงจนเกินไป จนเกิดสภาวะของการตึงเครียด
*ให้ลืมไปเลยก็ได้ ว่า เรากำลังทำสมาธิอยู่*
*ปล่อยใจว่างๆ เบาๆ*... *วางเฉย นิ่งเฉย*
แล้วก็เอา*ความรู้สึก*ของเรา ค่อยๆสัมผัสไปกับ*ความนิ่งเฉย* นั้น
*สัมผัสไป เบาๆ* เท่านั้น นะลูก
แล้วก็*สัมผัสไปๆ* จน*จิตของเรา* เริ่ม*รู้สึกจับพลังงาน*ที่เบาๆ นั้นได้
แล้วเราก็*ดูอารมณ์ ว่างๆ เบาๆ เฉยๆ* นั้น ดูมันไปๆอย่างนั้น ทรงอารมณ์ไว้เช่นนั้น
จะทำวันละนิด วันละหน่อย ก็ดี ดีกว่าไม่ทำ มันไม่ได้ยากอะไร ลูก
แค่*ปล่อยใจว่าง ปล่อยกายว่างๆ*...* คลายความยึดติด ความกังวลต่างๆ*ทิ้งไป
แล้วอยู่กับความว่างๆ นิ่งๆ เฉยๆ เช่นนั้น ทำอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
แล้วจะ*ปรากฏเป็นแสงสว่าง เป็นดวงแก้ว หรือว่า เป็นแสงสว่าง*เริ่มเกิดขึ้น
หากทำจน *เกิดกำลังของสมาธิ* แล้ว ก็ทำไปเรื่อย ตัวของเราก็จะเบาขึ้นๆ
แล้วก็จะต้องทรงอารมณ์ไว้เช่นนั้นอยู่บ่อยๆนะลูก ทำบ่อยๆไป บ่อยๆไป
เราก็จะเป็นผู้มีกำลังฌานภายใน เมื่อมีกำลังฌานภายในแล้ว
จิตของเรา ก็จะปลอดภัยจากความรุ่มร้อน เร่าร้อนในระดับหนึ่ง
จิตของเรา ก็จะมีที่ตั้งมั่นแห่งจิตในสมาธิ หรือมีกำลังของจิตนั้นเกิดขึ้น
ชีวิตของเรา ก็จะสงบขึ้น ความฟุ้งซ่านก็จะลดน้อยลง
เมื่อไม่มี ความฟุ้งซ่านมากเหมือนแต่ก่อน เมื่อจิตใจสงบขึ้น
ในยามที่เราดำเนินชีวิตตามปรกติ*พลังความว่างๆ*นั้น
ก็จะทำให้เรา *รู้ตามความเป็นจริง ของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น*
*มีสติตั้งมั่น รู้ตัว รู้ตื่น* อยู่กับสิ่งที่กระทบเข้ามา.
แล้วค่อยๆ *เห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมดา* ไม่ไปกระทบ วิ่งตามเขา
เราก็จะเป็น ผู้ทรงฌานสมาธิภายใน คือ ว่างๆเบาๆ ไม่ตึงเครียดเกินไป
แค่ฝึกทำให้ใจว่าง ฝึกเช่นนั้นบ่อยๆ แล้วสมาธิภายใน ก็จะช่วยสมาธิภายนอก
ทำให้จิตของเราก็จะสงบ รู้ตื่นกับทุกสิ่งที่โดนกระทบ เช่นนี้หละนะ
พอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็ลองประพฤติปฏิบัติตามดู มันจะเบา มันจะสบาย
มันจะมีความสงบเกิดขึ้นแก่จิต และมันก็จะมีปัญญา และสติรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ
การดำรงชีวิต จะง่ายขึ้น ชีวิต จะเข้าถึงความสุขมากขึ้น สิ่งใดที่ไม่ดี ก็จะเริ่มห่างหาย
จากเราไป สิ่งใดที่ดีๆ ก็จะเริ่มเข้ามาหาเรา เช่นนี้นะ
พระยาธรรมเอย... นี่หละ คือธรรมะชั้นที่ 1 ในหัวข้อของการ ประพฤติปฏิบัติ
ให้ตนเป็นผู้มีฌานภายใน ฌานภายนอก
คือ การฝึกสมาธิ ขั้นของบุคคล ผู้ที่ยังไม่เคยประพฤติปฏิบัติ
หรือยังทำได้แต่น้อยให้ฝึกเช่นนี้ ให้ทำความเข้าใจตามนี้ก็แล้วกัน
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์
ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์เจ้าขา... แล้วธรรมะขั้นที่ 2 หล่ะเจ้าคะ ที่พระองค์จะทรงโปรด
ดวงจิตทั้งหลายที่ปฏิบัติอยู่ในระดับกลางๆ พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดีนะ
ต่อไป การทำสมาธิ ขั้นที่ 2 หรือการฝึกฝนตน จนถึงการทำสมาธิในขั้นกลางๆ แล้ว
ก็จะสามารถที่จะข้ามพ้นจุดเริ่มต้น ดังที่กล่าวไปเมื่อกี๊นั้น ไปได้แล้ว
จนถึงจุดที่เข้าใจในสมาธิละเอียดขึ้น
แต่คนกลุ่มนี้ เขาก็จะมีความอยาก เป็นที่ตั้ง เพราะว่า เริ่มเข้าฌานได้ เริ่มเห็นแสง
เริ่มเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ จิตของเขาจะเริ่มเพลิดเพลินไปกับสมาธิมากขึ้น
ทีนี้ จิตกลุ่มนี้ อาจก่อให้เกิดการหลงฌาน จนตนนั้นไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิต
โดยปรกติได้ คือ เจอปัญหาอะไร ก็จะเข้าสู่ฌาน หรือหนีไปทำสมาธิ
หรือจะอยู่แต่ในสมาธิ ใครพูดด้วย ทำอะไร ก็ไม่ทำ ปล่อยทุกอย่างภายนอกทิ้งไป
บุคคลผู้ที่ปฏิบัติเรื่องของสมาธิ มาได้ระดับกลางๆ เช่นนี้ ควรที่จะฝึกฝนตนให้รู้ตื่น
เช่นนี้นะ ให้ระวังว่า จะหลงฌาน ลูก
ฝึกปฏิบัติทรงฌานภายในแล้ว ก็ต้องฝึกทรงฌานภายนอกด้วย
*ฝึกรับกระทบ แต่ไม่กระทบ*
*ฝึกทรงฌาน เพื่อเอากำลัง*
และฝึก *รับกระทบ แต่ไม่กระทบ* ต้องฝึกแบบนี้..
เพื่อดัดตัวเอง ไม่ให้เป็นผู้หลงฌาน ติดไปในฌาน
หรือบางทีในกลุ่มนี้ จะมี*ความอยาก*เข้ามาเจือปนอยู่ด้วย คือ
อยากจะทำ อยากจะนั่ง อยากจะเห็น อยากจะรู้ อยากจะทรงฌาน ได้มากกว่าเดิม
ความอยากเหล่านี้ จะเกิดขึ้น
เมื่อความอยากเหล่านี้ เกิดขึ้น เราจงรู้ทันมัน อย่าให้ความอยากเหล่านี้เกิดขึ้น
ให้มองเห็นสมาธิ เป็นของธรรมดาแล้วก็*ทำไป สั่งสมไป เป็นธรรมดา*
ไม่ต้องตื่นเต้น หรืออยากได้จากการทำฌานให้เกิดขึ้น ปล่อยใจเป็นกลางๆ
เพราะเมื่อไหร่ที่เกิดความอยากขึ้นนั้น สมาธิก็จะหายไป ลูก
ความตึงเครียดก็จะเกิดขึ้นแก่เรา
การทำไม่ถึง..การที่จิตนั้น จะถูกรบกวนจากการอยากทำๆ นั้น ก็จะมีเกิดขึ้น
ทำให้เราเข้าถึงความสงบได้ยาก หรือถ้าเข้าถึงแล้ว ก็จะหลงไปในฌาน
ไม่รับกระทบ เพราะมัวแต่อยากได้ฌานอยู่นั่นหละ
ฉะนั้น ก็*จงมีสติระลึก ตามรู้ตัวอยู่เสมอ*นะลูก
ในกลุ่มที่ปฏิบัติมาจนถึงขั้นที่ 2 แล้วนะ จงตั้งใจทำ แต่จงอย่าจริงจัง จนเกิดกิเลส
ตัณหา หรือการลุ่มหลง ยึดติดไปในสิ่งที่กำลังจะทำ จง*ทำอยู่บนทางสายกลาง*...
*สักแต่ว่า*ทำ* และก็ทำไปเรื่อยๆ จะทำมากก็ได้ จะทำน้อยลงมาหน่อยก็ได้
แต่จงอย่าปล่อยให้ตน เกิดความหลง ในการทำมาก หรือทำน้อย
เกิดความอยากในการทำเหล่านั้นนะ
ก็คือ กลุ่มที่เดินทางมาจนถึง การทำสมาธิในขั้นกลางนี้ มันจะมีความอยาก
มันจะมีความหลง เข้ามาทดสอบ แล้วก็อาจทำให้เราเกิดความอยาก
เกิดความหลง เกิดความเร่งรีบ จนก่อให้เกิดความเครียด ความทุกข์
ก่อให้เกิดการทำผิดพลาด ทรงอารมณ์ผิดพลาด ในช่วงระหว่างกลางๆ นี้
ฉะนั้น ควรระมัดระวังตนหน่อย *ทำ ...ก็สักแต่ว่าทำ*
*สมาธิสงบแล้ว ...ก็รู้ว่าสงบแล้ว*
แล้วก็เอาไปใช้ในการทำสมาธิภายนอกด้วย คือ
*เมื่อได้รับผลกระทบ ให้พิจารณาถึงสิ่งที่กระทบ*นั้น ให้รู้ตื่น และแตกฉาน
แล้วก็ทำไป ดำเนินไป เช่นนั้นหละนะ
กลุ่มคน ที่ประพฤติปฏิบัติ ถึงสมาธิ ขั้น 2 ควรปฏิบัติตามเช่นนี้ ก็แล้วกัน... พระยาธรรม
เคล็ดการปฏิบัติของ หลวงพ่อเทียน
รูปกายนี้ มันเคลื่อนมันไหวอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยหยุดนิ่ง ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ มันจะเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ ผมเลยเอามาทำเป็นจังหวะ ทำจังหวะ : ยกมือเข้า เอามือออก ยกมือไป เอามือมา ฯลฯ เพื่อเป็นการเรียกร้องให้มีสติมั่นคงอยู่กับรูปกาย อย่างนี้ ตลอดไปถึงจิตใจคิดนึก สองอันนี้เป็นเชือกผูกสติเอาไว้ เมื่อความคิดเข้ามา เราเห็น-รู้ กำมือ เหยียดมือ ยกไป ยกมา นี้ก็รู้ แต่ไม่ต้องเอาสติมาจ้องตัวนี้ อย่าเอาสติมาคุมตัวนี้ ให้เอาสติไปคุมตัวความคิด คำว่า "ไปคุม" คือ ให้คอยดูมัน ดูไกลๆ ดูสบายๆ อย่าไปดูใกล้ๆ มันจะเป็นการเพ่ง ไม่เป็นมัชฌิมา จึงว่า - ทำใจไว้เป็นกลางๆ พอมันคิดปุ๊บ - ทิ้งไปเลย
เพียงดูความคิดนี่แหละ เพียงความเคลื่อนไหวนี่แหละ มันเป็นเอง ความเป็นเองมันมีอยู่แล้ว พร้อมแล้วที่จะปรากฏในคนทุกคนได้
พุทธะ จึงแปลว่า ผู้รู้ รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม รู้ธรรมก็คือรู้ตัวเรา กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด เข้าใจธรรม เมื่อรู้อันนี้แล้วก็เลยรู้บาป รู้บุญ บาปก็คือโง่นั่นเอง คือไม่รู้ คืออยู่ในถ้ำ มืดอยู่นั่นแหละ ถ้าเราออกจากถ้ำได้ เรามาอยู่ปากถ้ำ อยู่ข้างนอกถ้ำ เราก็สามารถมองเห็นอะไรได้ทุกอย่าง
พุทธศาสนาจริงๆ นั้นคือ ตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญาที่ฝึกฝนทำดีแล้วนั่นแหละ ตัวพุทธศาสนามีในตัวคนทุกคน แล้วแต่บุคคลนั้นจะประพฤติปฏิบัติให้มันปรากฏขึ้นหรือเปล่า เป็นเรื่องของบุคคลนั้น
การรู้เฉยๆ นี้ยังไม่เห็นความคิด รู้เรื่องรูปนามนี่ยังไม่เห็นความคิด มันคิดจากไหนไม่รู้ มันคิดแล้วมันก็เข้าไปในความคิด รู้ไปเรื่อยๆ รู้แต่ดี ชั่วไม่รู้ อันนี้เป็นปัญหาที่ทุกคนควรจำเอาไว้
ความรู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบุญ ความไม่รู้เป็นรากเหง้าของบาป
การรู้สึกตัวนั้น เป็นไม้ขีดไฟ เทียนไขนั้นก็คือ มันคิดเรารู้ เราพยายามจุดสองอย่างนี้ จุดแล้วก็สว่างขึ้นมา ก็เดินหนีออกจากถ้ำ ไม่เข้าไปอยู่ในถ้ำ ถึงจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ ก็ต้องไม่ให้มันมืดต่อไป ต้องรู้สึกตัวทันที นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม
การรู้สึกตัวนี้ ให้รู้สึกลงไป เมื่อมันไหวขึ้นมาให้รู้สึกตามความเป็นจริงที่มันเคลื่อนไหวนั้น เมื่อมันหยุดก็ให้รู้สึกทันทีว่ามันหยุด อันนี้เรียกว่า สงบ สงบแบบรู้สึก
การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย คือ การเจริญสติ สมาธิ คือ การตั้งใจ
ที่เราต้องการความสงบ หรือพุทธะ เราไม่ต้องไปทำอะไรให้มาก เพียงให้ดูต้นตอของชีวิต เมื่อมันคิดมาอย่าเข้าไปในความคิด ให้ตัดความคิดออกให้ทัน
ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่นนั้นเรียกว่า ความสงบ
ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำขึ้น เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที เนื่องจาก สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น บุคคลนั้นจะไม่มีมัน ทั้งๆ ที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว
การแสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี แสวงหาตัวเรานี่ ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ นี่แหละ จะรู้จะเห็น
ให้ลืมตาทำ เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติของมัน ตาก็ไม่ต้องบังคับให้มันหลับ ให้มันกะพริบขึ้นลงได้ตามธรรมชาติ เหลือบซ้ายแลขวาก็ได้ มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมกับธรรมชาติ และมันก็รู้กับธรรมชาติจริงๆ
หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้ เป็นหนทางที่ง่าย เหตุที่ยาก เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง เราจึงมีแต่ความลังเล และสงสัย
การที่เราเคลื่อนไหว แปลว่าปลุกตัวเราให้ตื่น เมื่อมันคิดให้มันรู้ ความรู้มันจะไปดับโทสะ โมหะ โลภะ จะดับความยึดมั่นถือมั่น แล้วจิตใจเราก็เป็นปกติ เมื่อเป็นปกติแล้วสิ่งใดมาถูกเรา เราจะรู้สึกทั้งหมด เมื่อรู้สึกแล้วเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดออกจากกัน-คนไม่มี นี่แหละที่ว่าพระพุทธเจ้าฆ่าคนให้ตาย มีแต่ชีวิตของพระล้วนๆ ชีวิตของพระไม่มีเกิด ไม่มีตาย
วิธีการยกมือขึ้น คว่ำมือลง เป็นวิธีเจริญสติ เป็นวิธีเจริญปัญญา เมื่อได้สัดได้ส่วนสมบูรณ์แล้ว มันจะเป็นเองไม่ยกเว้นใครๆ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เด็กๆ ก็ทำได้ ผู้ใหญ่ก็ทำได้ นุ่งผ้าสีอะไรก็ทำได้ ถือศาสนาลัทธิอะไรก็ทำได้ เรียกว่า ของจริง
วิปัสสนา คือ การเห็นแจ้งรู้จริง เห็นอะไร? ก็เห็นตัวเองนี่เอง กำลังนั่งอยู่ พูดอยู่ในขณะนี้ เห็นจิตใจมันนึกคิดอยู่เดี๋ยวนี้ อันนี้แหละเป็น "วิปัสสนา" จริงๆ
คำว่า "วิปัสสนา" นั้นเป็นเพียงชื่อเท่านั้นเอง แต่ตัวจริงของวิปัสสนานั้น ตามตัวหนังสือแปลว่า รู้แจ้ง-รู้จริง รู้แล้วต่างเก่าล่วงภาวะเดิม ว่าอย่างนั้น ถ้าหากรู้แจ้ง-รู้จริง เราจะไปเสียเวลาดูฤกษ์งามยามดีกันทำไม จะไปไหว้ผีไหว้เทวดากันทำไม ถ้าหากรู้แจ้งรู้จริงแล้วก็ไม่ต้องกลัวใครทั้งหมด
การที่เราเห็นความคิดนี่เอง เป็นต้นทางพระนิพพานแล้ว เมื่อมันคิดวูบขึ้นมา เราก็เห็นปั๊บ อันกระแสความคิดนี้มันไว ไวกว่าแสง ไวกว่าเสียง ไวกว่าไฟฟ้า ไวกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อได้เห็นสมุฏฐานความเร็ว ความไวของความคิดแล้ว เรียกว่า อรรถบัญญัติ
การเห็นการรู้ความคิด เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน การรู้คือการเข้าไปในการคิดและความคิดก็คงดำเนินต่อไป เมื่อเราเห็นความคิด เราสามารถหลุดออกมาจากความคิดนั้นได้
เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะ ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป แล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
การทำความรู้สึกตัวนั้น จึงมีอานิสงส์มาก ถ้าหากไม่รู้สึกตัวในขณะไหนเวลาใดแล้ว เรียกว่าคนหลงตน ลืมตัว หลงกายลืมใจ คล้ายๆ คือเราไม่มีชีวิตนี่เอง
ให้ดูใจ เมื่อคิดขึ้นมา เห็น รู้เข้ามา ทำความเคลื่อนไหว มันจะวาง วางใจ มันจะมาอยู่กับความรู้สึก เมื่อมาอยู่กับความรู้สึกแล้วปัญญามันจะเกิด คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะปัญญา
ตัวนึกคิดนี่แหละคือสมุทัย มรรคคือการเอาสติมาดูความคิด นี่คือข้อปฏิบัติ
ให้เห็นความคิด อย่าไปห้ามความคิด และอย่าไปยึดไปถือ ให้ปล่อยมันไป นี่คือการเห็นความคิด คิดแล้วให้ตัดปุ๊บเลย เหมือนการวิดน้ำออกไปจากก้นบ่อ ทำอย่างนี้นานๆ เข้า สติจะเต็มและสมบูรณ์ คิดปุ๊บเห็นปั๊บ อันนี้แหละคือระดับความคิด ที่เรียกว่า ปัญญา ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด
แท้จริงแล้วนั้น กิเลสมิได้มีอยู่จริง แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด เมื่อเราเห็นใจอย่างชัดเจน โมหะก็จะไม่มีอยู่
หลักพุทธศาสนาจริงๆ สอนให้ละกิเลส คือความอยากนี้เอง แต่ตัวที่มันอยาก เรากลับไม่เห็น ไม่รู้ เราต้องดูจิตดูใจ ให้เข้าใจทันทีว่า เออ…กิเลสเกิดขึ้นแล้ว ต้องเห็นที่ตรงนี้
คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น สอนให้เราประพฤติปฏิบัติ เพื่อทำลายความหลงผิด ความหลงผิดเกิดขึ้นนั้น ท่านว่าเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเรามีความโกรธ ทุกข์เพราะเรามีความโลภ ทุกข์เพราะเรามีความหลง ถ้าเราไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลงแล้ว เราก็ไม่ต้องมีทุกข์ ทำการทำงานอะไรก็ต้องไม่มีทุกข์
เปิดเผยความลับของ “โลก” และ “ชีวิต”
ต้องเข้าใจสิ่งนี้ก่อน เพื่อที่จะได้เข้าใจ “ธรรมะ”
.
“ ความลับของสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” ตามแบบของพระพุทธเจ้า
ที่เรียกว่า ความลับ ของสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” นี้ มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับการพิจารณา การศึกษา การมอง การเข้าใจ ในลักษณะอย่างนี้ ดังนั้น ขอให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หกอย่างนี้ไว้ให้ดีๆ ทุกเรื่องมันจะเกี่ยวกับสิ่งทั้ง ๖ อย่างนี้ทั้งนั้น
.
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ ถ้าเรียกเป็นภาษาบาลี ก็เรียกว่า “อายตนะ” มันมีความหมายว่า เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับการสัมผัส ถ้ามันอยู่ข้างใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เรียกว่า “เครื่องสัมผัส” คือเครื่องมือที่จะทำให้เรารู้จักสิ่งข้างนอกได้นั่นแหละ เขาเรียกว่า “อายตนะข้างใน” หรือ “อายตนะภายใน” เขียนให้ถูกๆ จำให้ดีๆ ว่า อายตนะภายใน เครื่องมือที่มีไว้สำหรับสัมผัสโลกข้างนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ข้างใน แล้วก็มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ อยู่ข้างนอก. มันจึงมีการสัมผัสกันเป็นคู่ๆ จึงเรียกส่วนที่อยู่ข้างนอกว่า “อายตนะภายนอก” ถ้าเรารู้จักสิ่งทั้ง ๖ นี้ดี เราก็จะรู้จักสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” ดีที่สุด
.
ขอให้จำไว้ ขอให้สนใจ และขอให้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา ตลอดชีวิต จนกว่าเราจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” เดี๋ยวนี้เรารู้จักคำว่า อายตนะ แปลว่า สิ่งซึ่งจะต้องรู้จัก สิ่งซึ่งอาจจะรู้จักได้ คือตัวเรามีอายตนะภายในตัวนี้ ๖ อย่าง สำหรับสัมผัสกับอายตนะที่อยู่นอกตัวเราอีก ๖ อย่าง นี่เป็นตัวเรื่อง เป็นวัตถุ ( คำว่า วัตถุ ในภาษาธรรมะหมายถึง เรื่อง,ที่ตั้งเรื่อง / ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ ) เป็น object ของเรื่องทั้งหมด รวมทั้งเรื่องที่จะต้องศึกษาด้วย
.
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เป็นข้อๆ หรือเป็นหลัก เป็นทฤษฎี หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่จะเรียก อย่างหนึ่งๆ เช่น ตรัสว่า..โลกทั้งหมดมารวมอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้ากล่าวให้สั้น ก็ว่า..โลกทั้งหมดรวมอยู่ที่อายตนะ ท่านได้ใช้คำว่า “โลก” แล้วท่านขยายความออกไปว่า มนุษย์โลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก นรกโลก อะไรโลกก็ตามใจ ทุกโลกนี้มันรวมอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่า “อายตนะ” นี้ ขอให้ทำความรู้สึกในใจให้กว้างๆอย่างนี้ไว้ก่อน ว่ามันจะเป็นเทวดา มาร พรหม ยักษ์ มนุษย์ อะไรก็ตาม โลกทั้งหมดมันรวมอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมายความว่า ถ้ามันไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่านั้นแหละ โลกมันก็ไม่มี โลกไหนมันก็ไม่มี...”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “ความลับของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต” บรรยายอบรมนักศึกษาวิทยาลัยครูสงขลา เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ จากหนังสือชื่อ “ความลับของชีวิต”
---------------------------------------
สิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” เป็นอย่างไร?
.
“สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้น มีกระแสที่ไหลไป ไหลไป จะเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่าเรายืนดูในที่สูง ก็เห็นน้ำในแม่น้ำไหลไป ไหลไปในลำน้ำ ไหลไปๆ มีอะไร ไปอย่างไร ยืนดูแล้วก็เห็นกระแสที่มันไหลไปนั้น ถ้าตามดูไปได้ตลอดเวลา ตลอดกระแส ก็จะมีความรู้มีความเข้าใจ กระทั่งว่า..สิ่งนั้นไปถึงทะเลหรือไม่ กระทั่งว่า..มันไปจมเสียกลางทาง หรือกระทั่งว่า..มันไปติดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เน่าผุพังอยู่ที่ตรงนั้น หรือว่ามีใครลากเอาท่อนไม้ท่อนนั้นในกระแสน้ำนั้นขึ้นบกเสีย ไม่มีโอกาสที่จะไปตามกระแส
.
ชีวิตนี้มันก็มีการไหลในทำนองเดียวกัน เป็นกระแสแห่งการปรุงแต่งตามส่วนของมันๆ ที่เป็นส่วนของวัตถุหรือร่างกาย มันก็มีกระแสไหลไปตามแบบของวัตถุ ก่อตัวขึ้นมาอย่างไร มีเหตุปัจจัยอย่างไร ปรุงแต่งขึ้นมาอย่างไร งอกงามขึ้นมาอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงก็เหมือนกับกระแสแห่งการไหล นี้เป็นเรื่องทางวัตถุที่มีกระแส
.
ทีนี้ มองดูในทาง“จิต” มันก็มีการปรุงแต่งอีกนั่นแหละ มีอะไรถึงกันเข้า เกิดความรู้สึกทางจิต แล้วก็ปรุงกันต่อไป ให้ไหลไปตามเรื่อง อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกถึงกันเข้า ก็เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ และเกิดทุกข์ ก็เรียกว่าเป็นการปรุงแต่ง เป็นการเปลี่ยนแปลง มีกระแสของการเปลี่ยนแปลง ไหลไปจนเกิดความทุกข์ หรือในทางที่ตรงกันข้ามก็ไม่เกิดความทุกข์ เพราะมันมีการปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงในทางที่ตรงกันข้าม
.
ความปรุง(สังขาร)ทำให้เกิดทุกข์
ทีนี้ เรามาดูกันตรงที่ว่า มันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรจึงจะไม่เกิดทุกข์ หรือว่าที่มันเกิดทุกข์ กันก่อนดีกว่า แล้วจึงดูว่าที่มันไม่เกิดทุกข์นั้นอย่างไร มันจะง่ายดี
.
เมื่อมีการกระทบทาง“อายตนะ” (อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, อายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ บางทีก็เรียกว่า “อารมณ์ ๖”) เช่น ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส เป็นต้น ในโอกาสนั้นเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วว่ากระทบ ถ้ามันไม่มี"วิชชา"เข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ปรุงแต่งไปในทางธรรมชาติ ธรรมดา ที่ไม่มีวิชชาเข้ามาเกี่ยวข้อง คือมันจะเกิดเวทนาสำหรับให้ยินดียินร้าย เวทนาทำให้โง่ นี่จิตมันก็ไปตามทางของ"อวิชชา" มีเวทนาอย่างนี้แล้วมันก็ปรุงแต่ง เกิดตัณหา เกิดความอยาก ที่น่าพอใจก็อยากได้ ที่ไม่น่าพอใจก็อยากทำลาย เป็นตัณหาขึ้นมา คือความอยากตามอำนาจของอวิชชา มีความอยากแล้วก็เกิดความรู้สึกเป็น"กูผู้อยาก"ขึ้นมา นี้ก็เป็นอุปาทาน จนกระทั่งว่าเข้มข้นๆ เป็น"ตัวกู-ของกู"ที่เข้มข้น เป็นภพขึ้นมา เป็นชาติขึ้นมา ชาติแห่งตัวกูที่เต็มที่ หรืออุปาทานที่แก่จัด จนคลอดออกมาเป็น“ตัวกู” สำหรับจะวุ่นวายภายนอก "ตัวกู"ที่แสนจะโง่เขลา อย่างนี้ มันก็ทำอะไรไปตามความโง่เขลานั้นๆ มันก็ไปเอานั่น เอานี่ เข้ามาเป็นของกู จนเกิดเรื่องเกิดราว เป็นความยุ่งยากลำบาก ทนทุกข์ทรมาน เอาอะไรๆของธรรมชาติมาเป็น"ของตัวกู" เช่น เอาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของธรรมชาติ มาเป็นเกิด แก่ เจ็บ ตาย “ของกู” แล้วมันก็ได้ความทุกข์เองแหละ ได้ความทุกข์เองอย่างสาสมกันทีเดียว สาสมกับความโง่ ที่ไปเอาธรรมชาติมาเป็น"ของกู" ในลักษณะที่เหมือนกับว่าแย่งชิงเอามา ปล้นเอามา หลอกลวงเอามา นี่คือ "กระแสของชีวิต" ตามธรรมดาที่มีอยู่ในคนเรา แต่ละวัน แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ตลอดชีวิต มันก็ได้รับความทุกข์"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “กระแสแห่งชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องรู้จัก” บรรยายเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ ธรรมะคือสิ่งพัฒนาชีวิต ครั้งที่ ๔
---------------------------------------
.
เพราะเห็นแก่เหยื่อ จึงกลืนเบ็ดของมาร
.
พระพุทธองค์ทรงตรัส...
“ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนพรานเบ็ด ซัดเบ็ดที่เกี่ยวเหยื่อลงไปในห้วงน้ำลึก. ปลาที่เห็นแก่เหยื่อตัวใดตัวหนึ่งจะพึงกลืนเบ็ดนั้นเข้าไป.
.
ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยอาการนี้แหละ ปลาที่กลืนเบ็ดตัวนั้น ถึงแล้วซึ่งความพินาศ ถึงแล้วซึ่งความฉิบหายเพราะพรานเบ็ด แล้วแต่พรานเบ็ดนั้นใคร่จะทำตามอำเภอใจอย่างใด.
.
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น, เบ็ด ๖ ตัวเหล่านี้มีอยู่ในโลก เพื่อความฉิบหายของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อฆ่าสัตว์ทั้งหลาย.
เบ็ด ๖ ตัวนั้นเป็นอย่างไรเล่า?
เบ็ด ๖ ตัวนั้น คือ รูป ที่เห็นด้วยตาก็ดี, เสียง ที่ฟังด้วยหูก็ดี, กลิ่น ที่ดมด้วยจมูกก็ดี, รส ที่ลิ้มด้วยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะ ที่สัมผัสด้วยกายก็ดี, และธรรมารมณ์ ที่รู้แจ้งด้วยใจก็ดี, มีอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ที่ยวนตายวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ และเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ, ถ้าภิกษุเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งอารมณ์ ( ๖ อย่างนี้ ) มี รูป เป็นต้นนั้นไซร้ ;
.
ภิกษุ ทั้งหลาย ! ภิกษุนี้เราเรียกว่า "ผู้กลืนเบ็ดของมาร" ถึงแล้วซึ่งความพินาศ ถึงแล้วซึ่งความฉิบหาย แล้วแต่มารผู้มีบาปใคร่จะทำประการใดแล."
.
พระบาลีไตรปิฎก
สฬา. สํ. ๑๘/๑๙๗/๒๘๙
-----------------------------------
.
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ (อารมณ์ ๖/อายตนะภายนอก ๖) พระพุทธองค์ทรงเปรียบดั่ง“มหาสมุทร” ที่สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ลอยคออยู่ ดังมีพุทธวจนะ ว่า...
.
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยตา เสียงอันจะพึงรู้ด้วยหู กลิ่นอันจะพึงรู้ด้วยจมูก รสอันจะพึงรู้ด้วยลิ้น โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้ด้วยกาย..ธรรมารมณ์อันจะพึงรู้ด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่..น่ารัก นี้เรียกว่า “มหาสมุทร” ในวินัยของพระอริยเจ้า
.
โลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ส่วนมากหลงใหลติดใจอยู่ในมหาสมุทรนั้น จึงยุ่งดุจด้ายของช่างหูก เป็นปมดุจกระจุกด้าย เป็นพงดุจหญ้าปล้องและหญ้ามุงกระต่าย หาล่วงอบาย ทุคติ วินิบาต วัฏฏสงสารไปได้ไม่
.
บุคคลใด คลายราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้ว บุคคลนั้นชื่อว่า ข้ามมหาสมุทรนี้ ซึ่งมีทั้งสัตว์ มีทั้งผีเสื้อน้ำ มีทั้งคลื่นและภัย ที่ข้ามได้แสนยากได้แล้ว”
.
สมุทรสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย
๑๘/๒๘๗-๒๘๘/๑๙๑
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม. ##
" การรู้ธรรม เห็นธรรม
หมายถึงมีสติรู้...เท่าทัน
รู้เท่าทันความคิด และอารมณ์
ที่เกิดขึ้นในจิต ในปัจจุบัน
แม้ว่า เราจะไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ตาม
ถ้าความคิดของเรา เกิดขึ้น
จิตมีสติ...กำหนดตามรู้
สามารถประคับ ประครองจิต
ให้อยู่ ในสภาพปกติได้ตลอดเวลา
อันนี้คือ สิ่งที่เราจะพึงได้จากการปฎิบัติธรรม
เรา มุ่งสู่จุดที่เราเรียกว่า...สติสัมปชัญญะ
ในเมื่อสติสัมปชัญญะตัวนี้
กลายเป็นมหาสติ
เป็นสติพละ
เป็นสตินทรีย์
เป็นสตินวินโย
ตัวสติสัมปชัญญะ
จะกลายเป็นองค์แห่ง...ปัญญา."
----------------------------------------------------------------
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน)
ในยามที่อารมณ์โกรธ วิ่งเข้ามากระทบใจ
อาวุธร้ายแรงที่สามารถทำลายทุกอย่างให้พินาศลงได้
แลสามารถทำร้ายให้ก่อเกิดความเจ็บปวด ทรมานได้อย่างฉับพลัน แลฉับไวที่สุด
นั่นคือ "การกล่าววาจาที่ไร้สติออกมา ด้วยกำลังแห่งโทสะ"
ดังนั้น..จงหมั่นระลึกรู้ ด้วยการกำหนดรู้ในสภาวะอารมณ์ที่มากระทบใจ
ให้เท่าทันด้วยสติ แลอุบายแห่งปัญญา
อันประกอบไปด้วยอารมณ์ใจแห่งเมตตาเป็นที่ตั้ง
ลูกต้องรู้จักฝึกนิ่งให้ชิน
ฝึกทนให้ได้
ฝึกเข้าใจในความเป็นไปต่างๆ ของโลก
หมั่นภาวนา หมั่นทำให้เกิดขึ้นในหัวใจ ลูกก็จักรู้เท่าทันสภาวะอารมณ์โกรธ
แล้วในวันหนึ่ง..ใจของลูกก็จักอยู่เหนืออารมณ์โกรธ แลจักชนะความโกรธ
ได้อย่างแน่นอน
#พระธัมมสรโณ
เบื่อหน่าย แบบใด จึงจะถือว่าเป็นอาการคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น อันจะนำไปสู่ ความหลุดพ้น
หลายคนบ่นว่าเบื่อหลายอย่างในชีวิต เบื่อหน่ายเรื่องทางโลก แต่ความเบื่อหน่ายที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจะต้องมีรากฐานอย่างไร ?
ความเบื่อหน่ายจนเกิดความไม่ยึดมั่นถือมั่นจะนำไปสู่ความหลุดพ้น แต่ความเบื่อหน่ายเพราะไม่ถูกใจก็ยังเป็นความยึดติดแบบหนึ่ง ความเบื่อหน่ายทางธรรมะจะเป็นไปในทาง"เฉย" คนที่เบื่อหน่ายแล้วกระสับกระส่ายเพราะความไม่ชอบใจนั้นจะไม่ทำให้หลุดพ้น
ความเฉย ต้องเกิดจากความไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะเขาใจว่า "มันเป็นเช่นนั้นเอง" ไม่ใช่เพราะไม่เห็นประโยชน์อะไรแก่ ตน เหมือนเพชรเม็ดหนึ่งไก่เห็นเข้าก็ไม่สนใจ แต่ถ้าข้าวสารเม็ดหนึ่งไก่เห็นเข้าก็สนใจ
อาการคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น เพราะเห็นความจริงแห่งสิ่งนั้น ๆ คือ เข้าใจว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วเกิดความเบื่อหน่ายจนเกิดความรู้สึกเฉย ๆ จึงจะนำไปสู่ความไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยสมบูรณ์
หลวงพปู่พุทธทาส ภิกขุ สวนโมกขพลาราม