_____________________________________(หลวงพ่อพุทธทาส ภิกขุ)
" การกระทบมี
แต่...ผู้กระทบ ไม่มี
ความอยากมี
แต่...ผู้อยาก ไม่มี
ความยึดมั่นถือมั่นมี
แต่...ผู้ยึดมั่นถือมั่น ไม่มี
พระพุทธภาษิต
มีอยู่...อย่างนี้."
ท่านพ่อลี สอนว่า .....
"ยาพิษ ไม่ได้เป็นโทษอยู่ที่ยา มันเป็นโทษที่ตัวเราเองหรือผู้ที่กินเข้าไป เพราะความโง่ คือ อวิชชา ไม่รู้จักพินิจพิจารณาว่า สิ่งใดดีหรือชั่ว คือ ผู้ไม่รู้เท่าในอารมณ์"
ชี วิ ต จ ริ ง มี ข ณ ะ เ ดี ย ว
ชีวิตจริงมีขณะเดียว สำหรับคนรู้สึกตัวไม่มีวัน เดือน ปี มีแต่อกาลิโก อยู่เหนือกาลเวลา กาลเวลาเป็นเรื่องของความคิด คิดเมื่อไหร่ก็มีกาลเวลา ไม่คิดก็ไม่มีกาลเวลา คิดเมื่อไหร่มีความอยาก มีความอยากเมื่อไหร่ก็มีกาลเวลา
เมื่อใดที่เราเข้าสู่ปัจจุบันที่อยู่เฉพาะหน้า กาลเวลาก็จะไม่มี ไม่มีการรอคอยและคาดหวัง ความรู้สึกตัวที่สมบูรณ์จะทำให้เห็นว่าชีวิตมีเพียงขณะเดียว มันไม่ได้อะไรมา แต่มันจะทิ้งอะไร ๆ ไป มันจะสบาย ความรู้สึกเป็นเรา เป็นของเรามันจะหดตัวลง สิ่งสมมุติในโลกจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของเราน้อยลง
เราจะเห็นว่าชีวิตมีเพียงการทำงานของกายกับใจล้วนๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกตรงตามธรรมชาติ เป็นสัมมาทิฏฐิตัวแท้
ให้ฝึกให้มากลองสำรวจดูว่าขณะนี้นั่งสบายไหม ร่างกายเป็นอย่างไร ส่วนไหนกดทับอยู่ รับรู้แค่นี้สติก็เกิดแล้ว ให้สร้างความคุ้นชินกับสภาพง่าย ๆ อันนี้ให้แนบแน่น ฝึ กให้ชำนาญ กับกายเคลื่อนไหว - ใจรู้ทำเล่นๆ ... อย่าจริงจังเกินไป ... การทำให้เกิดความสมดุลนั้นไม่ยาก แต่จิตมักไม่ยอมรับ มันชอบที่จะกระโจนเข้าสู่การคิดนึกบ้าง หดหู่ซึมเซาบ้าง จงฝึกให้คุ้นเคยกับการกระพริบตารู้ กลืนน้ำลายรู้ เคลื่อน เหยียด คู้ ไหว กระทบ สัมผัสรู้ ฯลฯ อย่าเอาผิดเอาถูกอะไร รู้ แ ล้ ว ทิ้ ง รู้แล้วทิ้ง มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้น
พระอาจารย์คมกฤช
จิตว่าง เพราะ...วางกาย
" จง...พิจารณาลงให้เห็นชัดเจน
ดู...ให้ดี สิ่งเหล่านี้กับ จิต
มันสนิทกันมาเป็นเวลานาน ติดกันจมมาเป็นเวลา
นาน จนแยกไม่ออกว่า...
อะไร เป็นเรา
อะไร เป็นธาตุ เป็นขันธ์
จึงรวมเอามาหมดนี้ว่า...เป็นเรา ทั้ง ๆ ที่ มัน ไม่ใช่เรา
ตามหลัก ของความจริง
ของท่านผู้รู้ไปแล้ว ท่านเห็นอย่างนั้นจริง
แต่ จิตของเรา มัน ฝืนอย่างนี้
เพราะฉะนั้น...เรื่องทุกข์ มันจึงแทรกเข้ามาตามความฝืน
ซึ่งเป็นของผิดนั้น ให้ได้รับความลำบากอยู่...เสมอ
ถ้าเดินตามหลักความจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
ไว้แล้วนี้ และรู้ตามนี้แล้วจะไม่มีปัญหาอะไร
ธาตุ ก็เป็นธาตุ...ขันธ์ ก็เป็นขันธ์
ให้ชื่อมันว่าอย่างไร ก็เถอะ เขาเป็นสภาพ ของเขา นั่นแหละ
เรา เป็นผู้ให้ชื่อเขาว่า นี่ เป็นธาตุ นั่น เป็นขันธ์
นี่ เป็นรูป นั่น เป็นเวทนา นั่น เป็นสัญญา
นี่ เป็นสังขาร นั่น เป็นวิญญาณ
ขอให้ปัญญา รู้...ทั่วถึงเท่านั้นแหละ
มัน หมดสมมุติไปเอง แม้ ไม่ไปสมมุติ
มัน ก็เป็นอาการหนึ่ง ๆ เท่านั้น
เมื่อทราบความหมาย ของจิต เสียอย่างเดียว
เท่านั้น สิ่งนั้น ๆ ก็เป็นความจริงของมันล้วน ๆ
จิต...ก็มาเป็นความจริงของตนล้วน ๆ ไม่คละเคล้ากัน
จง...พิจารณา ให้เห็นชัดอย่างนี้
เห็นสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ค้นลงไป
มัน อะไรกัน จิต...ดวงนี้
ทำไม ? ถึงขยันนัก กับเรื่องเกิด เรื่องตาย
ทั้ง ๆ ที่โลก ก็กลัวกันหนักหนา เราเอง ก็กลัว ความตาย
แต่...ทำไม ? ความเกิดนี้จึงขยันนัก
ตายปั๊บ-เกิดปุ๊บ แน่ ! เกิดปุ๊ก ก็แบกเอาทุกข์
ปุ๊บ แน่ ! ทำไม ? จึงขยันนักพิจารณา ให้เห็น
มัน เกิดไปจากอะไร เรื่องอะไรพาให้เกิด
ถ้าไม่ใช่จาก...จิต ที่มีเชื้อ(อวิชชา)
อันสำคัญแฝงอยู่ ภายในนี้
จะเป็นอะไรพาให้เกิด พาให้ทุกข์
การเกิด เป็นบ่อเกิดแห่ง...ทุกข์
พิจารณาลงไป ค้นลงไป เอ้า ! อะไรจะฉิบหาย ให้เห็น ให้รู้
เพราะ...เรา ต้องการความรู้นี่
อะไร จะฉิบหายลงไปให้มันรู้...
ด้วยปัญญาของเรา รู้...ด้วยจิตของเรา
อะไร มันไม่ฉิบหาย ก็ให้รู้ ด้วยจิตของเรา อีกนั่นแหละ
จะหมดปัญหาอยู่...ที่ จุดนั้น."
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
ความจริงเเล้ว จิตใจของเราไม่มีทุกข์
มันอยู่ของมัน นิ่งๆ เฉยๆ
อันนี้เเหละ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า นิพพาน
คือ จิตใจ เป็นอุเบกขา
.
คำว่า อุเบกขา นี้ หมายถึง วางเฉย
ทำการทำงานไปตามหน้าที่
จิตเป็นอุเบกขานี่เอง ที่เหมือนลูกตุ้ม
หรือ สมอเรือ หรือ เบรครถ
ที่จะคอยถ่วงเอาไว้ให้ภาวะจิตของเรา
อยู่อย่าง สมดุล อยู่ตลอดเวลา
ไม่เอียงหมุนไปตามกระเเสของ ทุกข์ หรือ สุข
เเละจิตใจเช่นนี้เเหละ
คือ จิตใจที่อยู่"เหนือทุกข์...เหนือสุข"
"ไม่ติดอยู่กับดี...หรือชั่ว"
อันนี้เเหละ ที่เรียกว่า อัพยากตาธรรมา
หรือ นิพพาน
ดังนั้น นิพพาน นั้น จึงอยู่ที่ จิตใจ ของคน
พระธรรมเทศนา หลวงพ่อ เทียน จิตฺตสุโภ
จิตผู้รู้ ไม่ใช่นิพพาน
หลวงพ่อปราโมทย์ : บางทีอ้างหลวงปู่นะ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล – ผู้ถอด) อ้างว่าฝึกตามที่หลวงปู่สอนนะ มั่วซั่วเลย ไปเอาปลายทางมาเป็นต้นทาง ต้องฝึกต้นทาง ต้องมีญาณเห็นจิตเหมือนตาเห็นรูป
ตาเห็นรูป ท่านไม่ได้บอกว่าตาเห็นผู้หญิงผู้ชายนะ ท่านสอนให้เห็นสภาวะนั้น คือ ลูกตามันมองเห็นสภาวธรรมคือรูป จิตก็เหมือนกัน จิตก็..เราดูจิตไป เราเห็นจิตเหมือนกับตาเห็นรูปน่ะ ตาของเราคือญาณทัสนะ เราเห็นจิต ก็เป็นนามธรรม ถ้าเห็นจิตก็เป็นตัวนามธรรม จิตไม่ใช่จิตหรอก เป็นนามธรรมอันหนึ่งเท่านั้นเอง เกิดแล้วก็ดับไปๆ ค่อยๆฝึกไปนะ ค่อยๆฝึกไป
หัดแยกธาตุแยกขันธ์เข้า กายส่วนกาย ความสุขความทุกข์ส่วนของความสุขความทุกข์ กุศล อกุศล ก็แยกออกไปส่วนหนึ่ง จิตเป็นคนรู้คนดูก็อยู่ไปอีกส่วนหนึ่ง กระทั่งตัวรู้เองก็เกิดดับ จิตผู้รู้เองก็เกิดดับ จิตผู้รู้ไม่ได้เที่ยง
บางคนนึกว่าจิตผู้รู้นี้แหละคือพระนิพพาน เนี่ยภาวนามานะ เพื่อจะมามีจิตผู้รู้แล้วคิดว่า ตัวผู้รู้นี้แหละคือนิพพาน นี่ครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ (หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ – ผู้ถอด) ว่า ใครเห็นว่า ผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ ใครเห็นว่าจิตเที่ยงเป็นมิจฉาทิฎฐิ ใครเห็นว่าตัวรู้นี้เป็นนิพพานล่ะก็ เข้าใจผิด ท่านบอกว่า ฟากผู้รู้ไป คือพ้นไป ไม่มีที่กำหนดหมาย ถ้าหมายๆอยู่ก็พอเหมือนๆ
เพราะฉะนั้น ถ้ายังจงใจไปรู้ไปดู จงใจรักษา จงใจประคอง ก็เป็นตัวปลอม ไม่ใช่นิพพานตัวจริง มีภายนอก มีภายใน เป็นนิพพานตัวปลอม มีสิ่งซึ่งเป็นคู่ มีข้างนอกมีข้างใน มีสงบมีไม่สงบ ธรรมะที่เป็นคู่ๆไม่ใช่นิพพาน นิพพานเป็นธรรมที่เป็นหนึ่ง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้ดังนี้
ให้เห็นธรรมดาในกฎของกรรมของตนเองก่อน และยอมรับ - ไม่ดิ้นรน - เห็นเป็นธรรมดา เมื่อถูกกระทบจัดเป็นธรรมดาภายใน แล้วจึงจักเห็นกฎของกรรม หรือกฎธรรมดาภายนอก หรือของบุคคลอื่นได้อย่างเด่นชัดเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามากระทบ ล้วนไม่พ้นกฎของธรรมดาไปได้ และอย่าสนใจอารมณ์จิตของผู้อื่น ซึ่งแก้ไขไม่ได้ให้สนใจแต่อารมณ์จิตของเรา ซึ่งแก้ไขได้ด้วยกรรมฐานแก้จริต ๖
จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๗
ฉันถึงบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไร..มนุษย์ก็ดี สัตว์ก็ดี เชื้อโรคเชื้อร้ายก็ดี หากขาดซึ่งอากาศและลมหายใจ..สิ่งเหล่านั้นย่อมอยู่ไม่ได้ ดังนั้นก็ขอให้กำหนดรู้อยู่บ่อยๆ หากจิตเราค่อยๆตื่นขึ้นมา กายเราก็จะค่อยๆตื่นมีกำลังขึ้นมา เค้าเรียกการฟื้นฟูธาตุที่มันเสื่อม ฟื้นฟูศีล ฟื้นฟูจิต..ก็จะเข้าถึงธรรม เมื่อเราทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆก็จะเกิดความชำนิชำนาญ ฌานมันก็จะเติบโตแข็งแรง
เมื่อฌานมันเติบโตแข็งแรงแล้ว มันก็จะเจริญวิปัสสนาญาณได้ง่าย แม้จะหลับตาหรือไม่หลับตาก็ดี เมื่อจิตมันตื่นรู้แล้ว ปัญญามันเกิดแล้ว จิตมันจะสอนในตัวของมันเอง ไม่ว่าเราจะเดิน นั่ง หรือนอนก็ตามที เมื่อคราใดจิตเราเข้าถึงความสงบ เมื่อคราใดมีอุบายธรรมอะไรก็ตามที่มันทำให้จิตเรานั้นมันฉุกคิด เข้าถึงข้ออรรถข้อธรรมใดข้อธรรมหนึ่ง ที่ทำให้เราเข้าถึงสติ นี่แลเค้าเรียกว่าผู้ที่มีกระแสพระโสดาบันแห่งพระนิพพาน นี่ก็เรียกว่าย่อมทำจิตนั้นให้ตื่นรู้ ให้พ้นจากภัยในวัฏฏะเสียได้
นั้นการเพ่งรู้อยู่ในกายนี้ เพื่อให้เห็นภัยว่ากายสังขารนี้มันมีแต่ทุกข์ การเกิดมันก็เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป เมื่อเราพ้น..ตื่นรู้แล้วในกาย ที่เราหลับใหลมาเนิ่นนานแล้ว เราควรจะตื่นได้ก็ด้วยอาศัยอำนาจแห่งพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ หรือองค์ภาวนาใดๆก็ตามที่มันถูกจริตถูกวาสนา คือบารมีที่เราเคยทำมา ก็เอามาภาวนาเป็นองค์กำกับกับจิต ให้มันแนบสนิทกับลมหายใจ นี่แลจิตมันจะรวมตัวเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา
เมื่อเราเป็นอย่างนั้นแล้ว..จิตมันจะเข้าถึงปิติและสุข เมื่อมีปิติมีสุขมีความพอใจ..มันก็จะมีความยินดี มีความพร้อมในการประพฤติปฏิบัติ มีความสุขนั่นเอง อันใดเล่าที่เรามีความสุขเราก็จะทำสิ่งนั้นได้นาน เราก็จะมีการพิจารณาธรรมสลับเปลี่ยนไปกับการทรงดูอารมณ์อยู่อย่างนี้ เรียกว่าดูกายก็ดี
ถ้าเราดูกายมีสติ ถ้าจิตเรายังไม่มีกำลังเราก็ดูกายทรงกายไปก่อน ดูกายคือดูลมหายใจเข้าออก ดูอารมณ์ที่มากระทบ ถ้ามีกำลังหน่อย..เราก็ดูจิตคือพิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้น ที่มันมาผัสสะมากระทบ ก็เรียกว่าการพิจารณาธรรม ธรรมอันใดเหล่าใดให้หยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออรรถข้อธรรมมีสติ..ให้พิจารณาเพื่อให้เข้าถึง นั้นการจะไปพิจารณาธรรมได้จิตมันต้องตื่นแล้ว
การจะทำจิตให้ตื่นทำอย่างไร ตื่นพร้อมด้วยมีสติสัมปชัญญะ ต้องรู้ก่อนว่าในขณะนี้เรานั่งทำอะไรอยู่ ถ้าเรานั่งแล้วยังไม่รู้ ยังมีตัวเคลิบเคลิ้ม มีอารมณ์แห่งนิวรณ์เข้ามา เราต้องทำยังไง เราต้องกักเชื้อไว้ก่อน กำหนดลมเข้าไปใหม่ กักมันไว้ก่อน กักเชื้อไว้ไม่ให้เชื้อนั้นกระจาย เค้าเรียกว่าล้างลมเสียออกจากปอด เอาวิญญาณร้ายๆเสียๆออกไป เมื่อจิตสงบนิ่งก็ให้เจริญจิตเมตตาแผ่เมตตาไปซัก ๑ ครั้ง
อ้าว..ลองกำหนดลมเข้าไป กักลมเสียไว้ กักให้สุดที่เราจะสุดได้ แล้วค่อยๆผ่อนลมออกไป สุดมันจะไปสุดที่เหนือสะดือ ทำอย่างนี้จนลมนั้นมันสงบ ถ้าลมมันสงบเป็นอย่างไร ลมในท้องเรานั้นมันจะสงบคือมันจะนิ่ง เค้าเรียกว่าลมมันละเอียด ถ้าลมหยาบจะเป็นอย่างไร ลมในท้องของเรานั้นมันยังกระเพื่อมอยู่นั่นเอง
นั้น การเข้าสมาธิทางลัดตัดตรงเข้าฌานเลย คือการเพ่งลมที่ศูนย์กลางกาย กักลมเสียล้างลมเสียออกจากปอด ทำความรู้สึกให้ทั่วตัวทั่วสังขาร นั่นเรียกว่าสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม เมื่อรู้แล้วกำหนดลม..ถึงที่สุดของลม เราก็ผ่อนลมออกไป ในขณะที่เราผ่อนลมนั้นแล เราควรมีสติทำความรู้สึกตัวให้ทั่วร่างกายสังขาร แล้วไปวางจิตอยู่ทีเหนือสะดือ
การวางจิตคือการวางลม..เป็นอย่างไร คือประคองลมให้มันนิ่ง ลมหายใจเข้าหายใจออกเราก็ไม่ต้องไปสนใจมันแล้ว เพราะเรากำหนดรู้ไปแล้ว เราไปวางลมไปวางจิตไว้ที่เหนือสะดือ จนจิตมันนิ่งพอมีกำลัง..ก็ยกจิตขึ้นมาไว้กลางหน้าผาก นี่เรียกว่าการ"เปิดประตูจิต" ญาณทัศนะก็ดี ปัญญาญาณก็ดี "ตัวรู้"ก็ดีมันจะเกิดขึ้นในทางนี้
เมื่อจิตมันมีกำลังพอสมควรแล้วให้เราแผ่เมตตาจิตออกไป การแผ่เมตตาจิตเมื่อเรายกจิตมาที่กลางหน้าผากแล้ว ให้เราเพ่งออกไป เหมือนเรามองไปข้างหน้าแบบลืมตา..แต่เราไม่ได้ลืมตา แต่เรามองไปเหมือนลืมตา นั่นก็เรียกว่า"ลืมตาใน"อยู่ มองออกไปเพ่งออกไปนั่นเอง
ให้อธิษฐานบุญกุศลที่เราได้มาเจริญภาวนาจิต เจริญมนต์ เจริญเมตตา เจริญพระกรรมฐานนี้ ก็ขอบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ที่เราได้ทำแล้ว มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเป็นสรณะนี้ ขอบุญทั้งหลายที่เราทำจงสำเร็จประโยชน์ต่อดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย ต่อเจ้าที่เจ้าทาง พระแม่ธรณี พระเพลิงพระพาย ให้อธิษฐานไป พญามัจจุราช ท้าวเทพจตุโลกบาลทั้ง ๔ ตลอดทั้งดวงจิตวิญญาณที่ยังตกทุกข์ได้ยาก ขอให้ดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้นจงพ้นจากทุกข์จากเวรจากภัย
หรือกรรมอันใดที่เราเคยล่วงเกินกับสรรพสัตว์ดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย ขอให้เค้าเหล่านั้นจงเมตตาจิต จงอดโทษอาฆาตพยาบาทที่จะมีเวรภัย ขอให้เค้าทั้งหลายเหล่านั้นจงมาโมทนาอโหสิกรรมกับเรา และจงได้ประโยชน์มีความสุข พึงได้รับประโยชน์เหมือนที่เราจะได้รับประโยชน์ ขอให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้เจริญจิตอยู่นี้จงเป็นสะพานเชื่อมต่อ เป็นทางบุญทางกุศลให้ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเคยผูกพันเกี่ยวข้องได้อาศัยอำนาจแสงสว่างแห่งพระรัตนตรัย จงนำทางให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏฏะ ตราบจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน ก็ตั้งจิตอธิษฐานไป..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
วิธีการของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่สอนเราให้หนีการกระทบอารมณ์
มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง
มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส
มีกายก็รู้สัมผัสทางกาย
มีใจก็คิดนึกปรุงแต่ง...ห้ามไม่ได้
แต่เมื่อมันกระทบอารมณ์แล้วนะ
เกิดสุขให้ “รู้” เกิดทุกข์ให้ “รู้”
เกิดกุศล-อกุศลให้ “รู้” ไป
แล้วเราจะเห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น...ดับทั้งสิ้น
ที่พระพุทธเจ้าสอนเนี่ยมุ่งมาตรงนี้
.
ไม่ใช่มุ่งปรุงแต่งจิตให้ว่างๆ ไม่ได้มุ่งปรุงดี
แต่มุ่งให้จิตได้เรียนรู้ว่า
“สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา”
ที่ปัญจวัคคีย์ได้ยินธรรมจักรก็เข้าใจธรรมะขึ้นมาว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา
นี่คือ เส้นทางของพระพุทธเจ้า
ไม่หนีการกระทบอารมณ์
แต่กระทบอารมณ์ไปแล้ว จิตปรุงอะไรขึ้นมา
ปรุงชั่ว ปรุงดี ปรุงว่าง ปรุงอะไรก็ตามเถอะขึ้นมา
มีสติรู้เท่าทันลงไป แล้วเราจะเห็นว่า
สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ
นี่คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนปัญจวัคคีย์
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ
“ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ”
(ยัง กิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะ ธัมมันติ)
สิ่งใดส่ิงหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดแหละมีความดับเป็นธรรมดา
.
คำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งหมายถึงอะไร?
คือ Something สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้นมา
แล้วทั้งหมดนั้นต้องดับ
มันเกิดขึ้นมาเมื่อมีการกระทบ
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ถ้ามันไม่กระทบนะ จิตมันก็อยู่ในภวังค์ไม่ขึ้นมาทำงาน
มีก็เหมือนไม่มี เพราะฉะนั้นเรามีตาเราก็ดู
มีหูเราก็ฟัง มีใจเราก็คิด
แต่เมื่อมันตาดู หูฟัง ใจคิดนะ
แล้วเกิดสุขให้ “รู้” เกิดทุกข์ให้ “รู้”
เกิดกุศลให้ “รู้” เกิดอกุศลให้ “รู็”
แล้วเราจะรู้เองว่าทุกสิ่งที่เกิด ดับทั้งสิ้น
ไม่ใช่ฝึกเพื่อไม่ให้เกิด ไม่ใช่ฝึกเพื่อจะรักษาเอาไว้
ไม่ได้ฝึกเพื่อจะไล่สภาวะทั้งหลายไม่ให้เกิด
หรือที่เกิดแล้วให้ดับไป
รู้อย่างที่เขาเป็นไปเรื่อยๆ อันนี้ค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆ
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
อยู่คนเดียว
อย่าหลงสมาธิอย่างเดียว
อย่ามักมากในกรรมฐาน
ให้รู้จักประมาณในสมาธิและปัญญา
จิตติดสังขาร ไม่ใช่สังขารติดคน
สังขารเป็นธรรม จิตเป็นอนัตตา
จิตที่ควรข่ม ก็ขอให้ข่มไว้
จิตที่ควรเดิน ก็เดินฯ
ให้พิจารณากาย
อย่าติดหนัง ให้ลงถึงฐาน
จึงจะถอนมิจฉาทิฏฐิของตนได้
ถ้าจิตยินดีในรูป หนัง สัณฐานแล้ว
ผิดอริยสัจสี่ ผิดมรรค
+++++
หลวงปู่หลุย จันทสาโร
รุ้อดีต รุ้อนาคต รุ้ทุกเรื่องของผุ้อื่น
เเต่จะมีความหมายอะไรถ้าไม่รุ้กิเลสเเห่งตน..
เห็นสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็น ทำได้ทุกสิ่งที่บ้างคนทำไม่ได้
เเต่จะมีความหมายอะไรถ้าทำจิตตัวเองให้พ้นทุกข์ไม่เป็น
เวลาเจอผัสสะ(อารมณ์มากระทบ รักโลภโกรธหลง) ให้ "แค่รู้" แล้วละทิ้งเลย อย่าไปตามรู้ตามดูต่อไปเรื่อยๆ เป็นการไปเพลินกับอารมณ์
เรื่องนี้สําคัญนะครับ เป็นทริกของการปฏิบัติเลยก็ว่าได้ เพราะเวลาสอนมักเลี่ยงที่จะใช้คําว่าให้ " ตามรู้ " กันไม่ได้เพราะต้องตามรู้จริงๆ แต่ความหมายนะเขาไม่ได้ให้ไปตามรู้ต่อๆๆไป แค่ให้ รู้แล้วจบ รู้แล้วจบ รู้แล้วจบ เป็นแบบนี้ ไม่ใช้ไปตามยึดดูรู้ไปเรื่อย อย่างนี้มันยึดรู้เป็นทั้งเพ่งเป็นทั้งคิดรู้ วิปัสสนามันไม่เจริญ หลุดไปทําผิดกันตรงนี้เยอะ แล้วก็ค้างอยู่ตรงนี้ ปัญญาญาณจึงไม่ก้าวหน้ากันเสียที
Trader Hunter พบธรรม