พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าทูลถามธรรม
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้ทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า...
“ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ลูก จะมาขอความเมตตาจากพระองค์ ช่วยชี้ทางสว่างในเรื่องของการทำสมาธิ ในฌานไม่มีรูป
ว่าเราทั้งหลาย.. ควรจะมีการฝึกฝนอย่างไร จะได้เกิดผลที่แท้จริง หน่ะเจ้าค่ะ ?
ขอพระพุทธองค์เมตตาอธิบายธรรมนี้ ด้วยเจ้าค่ะ “
พระยาธรรมเอย.. การ “ มีรูป ” และ” ไม่มีรูป ” มันก็เปรียบเสมือน..
** วัฏสงสาร ** ที่ที่มีสิ่งสมมุติมากมาย เวียนเกิด เวียนตาย ไม่รู้จบ
กับที่ ที่เรียกว่า ** พระนิพพาน ** คือ
ที่ ที่ไม่มี
ที่ ที่ว่างเปล่า
ที่ ที่มี ก็แค่สักว่ามี
** มี กับ ไม่มี ก็เสมอเหมือนกัน **
พระยาธรรมเอย.. ก็เช่นดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ในคลิปที่ผ่านมานั้น คือว่า
การมีรูป ก็อยู่ในรูปแบบของการศึกษาเรียนรู้ ฝึกฝน ทำความเข้าใจในโลกแห่งการมีรูป
โลกสมมุติ การเวียนวน เวียนว่ายตายเกิด คือ การศึกษา ทำความเข้าใจให้รู้แจ้ง
ส่วนการที่เราจะทำ ทำสมาธิ.. เข้าสู่โลกที่ไม่มีรูป
ก็คือ การฝึกฝนตน เพื่อที่จะไปสู่ สิ่งที่ไม่มี คือ “ ความว่างเปล่า ”
ลูกเอ๋ย.. ฉะนั้น ถ้าหากว่าจะฝึกทำสมาธิ ให้เข้าถึงความไม่มี / ให้เข้าถึงความว่างเปล่า
** จึงควรเริ่มต้นด้วยการ ประพฤติ ปฏิบัติ รักษาศีล
ด้วยการฝึกฝนในการฟังธรรม และทำสมาธิในแบบของฌานมีรูป
...ให้ได้ในระดับหนึ่งก็ยังดี ..
หรือถ้าจะให้ดี ก็คือ ให้ได้ทั้ง 4 ฌานเลย
แล้วก็คล่องในฌานสมาธิต่างๆนั้นได้ ก็จะยิ่งดี
ลูกเอ๋ย.. เพราะ* ศีล ธรรม สมาธิ * ที่เป็นขั้นต้นของการฝึกฝนนั้น
จะเป็นพื้นฐานกำลังของจิต ซึ่งจะทำให้จิตนั้นสามารถรู้ เห็น เข้าใจ ในสรรพสิ่งทั้งหลาย
และสามารถที่จะมีปัญญามากพอ ที่จะมาตรึกตรอง ทบทวน ค้นหาความเป็นจริง
พระยาธรรมเอย.. ถ้าเกิดว่า
/ พากันฝึกสมาธิ
/ พากันรักษาศีล ฟังธรรม
/ พากันเข้าใจบ้างแล้วในการประพฤติ ปฏิบัติในระดับหนึ่ง
แล้วมีความตั้งใจที่จะเข้าสู่ฌานไม่มีรูป หรือเข้าสู่ การสลายสิ่งที่มี ให้ไม่มี
จงทำเช่นนี้
พระยาธรรมเอ๋ย.. ในแต่ละวันหนะลูก ให้จงหมั่นพยายามโยกจิตของเรา ไปสู่ “สิ่งที่ไม่มี ”
คือ ให้พิจารณาอยู่เสมอว่า..
** ทุกสิ่งในโลกนี้ เป็นสิ่งสมมุติ แท้ที่จริงแล้ว มันก็ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งนั้น
มันก็ต้องเดินทางเข้าสู่ความไม่มี มันเป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้น..**
- บางอย่าง มันก็สลายก่อนเรา
- บางอย่าง เราก็สลายก่อนมัน
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกใบนี้ - ไม่มีอยู่จริง
ให้หมั่นพิจารณาถึงความไม่มี.. ลูกเอ๋ย
คือ พาจิตของตน ไปแตะอารมณ์ของความไม่มี อยู่บ่อยๆ
เห็นอะไรอยู่ตรงหน้า ก็นึกถึงความไม่มีของมัน
มองให้เห็นความไม่มี ความว่างเปล่า ในสรรพสิ่งทั้งหลาย..
เห็นอะไรก็นำมาพิจารณา ตามสิ่งที่เห็นนั่นแหละลูก
ไม่ว่าจะเห็นต้นไม้สักต้นหนึ่ง.. เราก็มองให้เห็นความไม่มี แห่งต้นไม้นั้น
ต้นไม้ต้นนี้ มันต้นขนาดนี้.. น่าจะอยู่ได้ซัก 15 ปี แล้วละนะ ถึงได้โตขนาดนี้แล้ว
ก่อนหน้า 15 ปี นี้ มันคงไม่มี
มันคงเพิ่งเกิดมา แล้วมันก็ตั้งอยู่ ตามกาลเวลาของมัน
ถ้าสมมุติว่า มันจะมีอายุขัยที่ยืนยาวมาก
ก็ไม่น่าจะเกินซัก 100 กว่าปี, 200 ปี.. มันก็คงจะดับ จะสลายไปละนะ
มันเป็นสิ่งที่ไม่มี ไม่มีอยู่จริง เพราะมันสมมุติขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ มันคงจะโล่ง หรือว่าคงจะว่าง ว่างเว้นจากการมีมัน
ต่อไปในภายภาคหน้า อีก 100 ปี 200 ปี เท่านั้น.. มันก็คงจะดับหาย สลายไป
มองให้เห็นความมีนั้น เหมือนไม่มี คือ
คือ มองต้นไม้ต้นนั้น ให้เห็นหน่ะลูก..
เห็นความมี เหมือนไม่มี
เห็นความไม่มี ที่มันอยู่ในความมี
แล้วก็มองให้เห็นความมี ที่มันจะไม่มี..
แล้วลูกก็จะเข้าใจ คำว่า “ สิ่งสมมุติ ” ต่างๆ
แล้วลูกก็จะเห็น ความว่าง ในสิ่งที่มี
หรืออาจจะเห็นบ้านสักหลังหนึ่ง ที่เขาเพิ่งสร้างใหม่
เมื่อก่อนโน้น ที่ดินตรงนี้มันว่างเปล่า.. แต่ตอนนี้ ได้มีบ้านหลังนี้เกิดขึ้นมา
เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว อีกไม่นานมันก็จะต้องเสื่อม ต้องสลายไป
เห็นก่อนหน้าที่มันจะมี คือ ความว่างเปล่า
เห็นมันมีขึ้นมา แล้วก็เห็นการสมมุติว่ามี
แล้วถ้าเกิดอีกหน่อย.. มันก็คงไม่มี
ให้เราหมั่นพิจารณาให้เห็นทุกสิ่งและทุกอย่าง คือ “ ความไม่มี ” ลูกเอ๋ย
หมั่นทำอย่างงี้ ฝึกฝนอย่างงี้ พยายามโยกจิตของตน..ให้ไปสู่โลกของความไม่มี ลูก
แล้วจิตของเรา เมื่อเข้าไปแตะอารมณ์ของความไม่มีอยู่บ่อยๆ
วันนี้ เราก็ท่องอย่างเดียวเลยว่า..
** ไม่มี ทุกอย่างไม่มีอยู่จริง สรรพสิ่งทั้งหลายว่างเปล่า ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ **
ไม่ว่า..
จะเป็นบุคคล
จะเป็นข้าวของ สิ่งของ
จะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า
จะเป็นอะไรก็ตาม.. วันหนึ่งมันก็ต้องเสื่อมสลาย และก่อนหน้านั้น มันก็ไม่มี !
ลูกเอ๋ย.. พิจารณาให้บ่อยเลย
ให้เห็นความไม่มี - ที่ซ่อนอยู่ในความมี
และเห็นความมี - ที่มันจะไม่มี
แล้วยึดตัวไม่มี / ตัวว่างนั้น ให้มันว่าง
... ทำจิตของเรา ลูก ให้มันว่าง..
รวมถึงพิจารณา ถึงตัวเรานี้ด้วย ก็ดี !
พิจารณาดูแขน ขา ร่างกาย รูปลักษณ์ของเรา
คนนี้หรือ ที่ชื่อว่า นายเอ หรือว่า นางบี
คนนี้หรือ ที่มีชื่อสมมุติว่า อย่างนี้
ชื่อ ก็สมมุติ
ร่างกายนี้ ก็สมมุติ
สมมุติขึ้นมาว่า เป็นร่างกาย
กายนี้เป็นตัวบุคคลนี้
แต่แท้ที่จริงแล้ว.. ก่อนหน้านี้ มันก็ไม่มี !
และ ถ้าเกิดว่าเราหยุดหายใจเมื่อไหร่ อาจจะเป็นระยะเวลานานหน่อย
หรือว่าสั้นหน่อย..ก็ต้องตายอยู่ดี ไม่เกิน 100 ปี หรอก
แท้ที่จริงก่อนหน้านี้ 100 ปี หลังจากนี้ไป 100 ปี - เราก็ไม่มี
เราก็ว่างเปล่า กายนี้แท้ที่จริงก็ว่างเปล่า !
มองให้เห็น พิจารณาให้เห็นสิ่งที่มี เหมือนไม่มี
มองให้เห็นสิ่งที่ไม่มี ในสิ่งที่มีนั้น.. ลูกเอ๋ย
แล้วก็ไปจับอยู่กับอารมณ์ของ “ ความไม่มี ”
ว่างเปล่า ทุกอย่างว่างเปล่า..
มองให้ทะลุ หนะลูก !
ทะลุร่างกายของเราไป.. ให้เห็นความว่าง
ทั้งที่เรานั่งอยู่ แต่เราก็เห็นความไม่มี ว่างเลย ว่างในตัวเรา
ถ้าเกิดว่าเรา จะนึกถึงพ่อแม่ พี่น้อง
นึกถึงบุคคลที่รักทั้งหลาย เพื่อนฝูง บริวาร
แท้ที่จริง เขาเหล่านั้น ก็แค่สมมุติขึ้นมาในวันนี้
วันหนึ่ง เขาเหล่านั้นก็จะหายไป เหมือนกัน
ไม่ว่า จะเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นคนที่รัก
แม้แต่ลูกที่เราให้ชีวิตเขาเกิดมาเอง
วันหนึ่ง เราก็สลาย เขาก็สลาย เหมือนกัน
ทุกอย่างอยู่ในความไม่มี ว่างเปล่า
ตัวบุคคลไม่มี ไม่มีเลย ว่างไปเสียหมด
ความรู้สึกอย่างนั้นหรือ - เราลองทวนดู..
เมื่อกี้ รู้สึกว่าหงุดหงิด ความรู้สึกหงุดหงิดนั้น ก็หายไป
เมื่อกี๊ รู้สึกว่าเป็นสุข ความรู้สึกว่าเป็นสุขนั้น มันก็ไม่ได้ตั้งอยู่เสมอไป
...เดี๋ยวมันก็ หายไป เหมือนกัน
เมื่อก่อนโน้น เคยได้ชื่อว่า เด็ก
ตอนนี้ ชื่อเด็ก หรือว่าสิ่งที่เขาเรียกว่า เด็กชาย, เด็กหญิง นั้นก็หายไปจากเรา
กลายมาเป็นนางสาวบ้าง นายบ้าง โตขึ้นมาแล้ว
อีกหน่อย ก็คงจะเป็นยายบ้าง ตาบ้าง ปู่บ้าง ย่าบ้าง
และแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็จะ หายไป เป็นแค่บรรพบุรุษ
เป็นแค่สิ่งที่เรียก แล้วก็ จริง ๆแล้ว เราก็หายไปจากคำว่า บรรพบุรุษ นั้นอีก
ทุกสิ่งและทุกอย่างไม่มี ลูกเอ๋ย
ให้พิจารณาให้เห็นความไม่มี ในสิ่งที่มี
สิ่งที่มี ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่มี
ให้จิตของเรา ลูก ไปแตะอยู่กับความว่างเปล่า ตลอด
วันหนึ่ง เราก็คิดอย่างนี้
พรุ่งนี้ เราก็คิดอย่างนี้
มองเห็นหลังคาปฏิบัติธรรม ศาลาปฏิบัติธรรม เราก็มองเห็นว่ามันว่าง
คืออะไรๆ เราก็ทำให้มันว่าง ให้มันไม่มี ลูก
มองไปที่พื้นดิน ก็มองให้เห็นความว่าง ความไม่มี
เพราะวันหนึ่ง เราก็ต้องสลายจากสิ่งที่มีนี้
เราไม่สลายจากมัน มันอาจจะสลายจากเรา
.. เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว เราไปอยู่ที่อื่น..
ที่พื้นดินที่แตกต่างกัน ในสถานที่ที่แตกต่างกันไป…
เราเกิดมาใหม่ ก็มาอยู่ในสถานที่ที่ต่างกันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
ทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะหายไป
ให้เราพยายาม นึกถึงความไม่มี
พาจิตของเรา ให้ไปอยู่ในโลกแห่งความไม่มี โดยการพิจารณา ลูก
ถ้าอยู่ๆ เราจะคิดว่าไม่มี เราจะทำให้ว่างเลย เราคงทำไม่ได้หรอกลูก !
เพราะไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องว่าง
ทำไมมันต้องไม่มี ทั้งที่มันก็มีอยู่
เราไม่สามารถเข้าใจได้หรอกลูก
แต่ถ้าเกิดว่าเรามีพื้นฐานของกำลังจิต คือ
* ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา *
ช่วยนำพาให้จิตของเรารู้แจ้ง เข้าใจแล้ว
เราจะเห็นความไม่มี ในความมีนั้น
เมื่อเราฝึกฝน การไม่มี - ในความมี
เห็นสิ่งที่มี - ว่ามันไม่มี อย่างนี้เรื่อยไป
อาจจะลืมตา หลับตา อาจจะทำอะไรก็ตาม.. ให้เรานึกตั้งอารมณ์เข้าไว้ ลูก
ว่าสิ่งนี้มี.. อีกหน่อยก็จะไม่มี... แท้ที่จริงแล้ว มันว่างเปล่า
สรรพสิ่งทั้งหลาย ว่างเปล่า
แล้วบางที ถ้ามีเวลาก็หลับตา หลับตาแล้วก็ทำเป็นว่า ว่างเปล่า
เอาใจของเรา ไปอยู่ในที่ ที่ไม่มี
เอาความรู้สึกว่า พื้นที่ยืนอยู่ ว่าง
สิ่งรอบข้างเราทั้งหลาย.. ว่าง
กายของเรา ใจของเรา สมอง ความคิด การรับรู้ต่างๆ ว่าง
ทุกอย่าง ว่าง..
เพราะมันไม่มีอยู่จริง
เพราะมันไม่ได้ จะอยู่ตลอดไป
เพราะมันเป็นเพียง สิ่งสมมุติขึ้นมา
ว่าง.. ว่าง..
ทุกอย่างว่าง.. โล่งไปหมด
พยายามฝึกอย่างนี้ ลูก ฝึกอย่างนี้บ่อยๆ บ่อยๆ บ่อยๆ
ในแต่ละวัน เห็นอะไร ก็เห็นให้มันว่างไป
อาจจะดูเหมือนคน ที่คล้ายคลึงกันกับว่า “ ทำไมต้องทำแบบนั้น ”
อาจจะดูเหมือนคนไม่มีสติในทางโลก
แต่จริงๆ เรามีสติอยู่เสมอ
** มองเห็นความเป็นจริง **
เห็นองค์พระพุทธรูป ก็มองเห็นความไม่มี ในความมี
เห็นความมีในความไม่มี เห็นมันว่างเปล่า ทุกสิ่งและทุกอย่าง
เห็นลำโพง เห็นต้นไม้ ใบหญ้า ก็มองให้เห็นความไม่มี
หลับตา - เราก็ไม่มี ลืมตา - ทุกสิ่งก็ไม่มี
ไปทำงาน ที่ที่ทำงาน ก็ให้เห็นเพื่อน เห็นพนักงานร่วมกัน
เห็นทุกคนที่มีอยู่ ไม่มี
เห็นความว่าง ที่มันอยู่ในนั้นลูก !
พยายามท่องจำ ทบทวนดูตัวเองเสมอ ให้จิตของตน อยู่ในอารมณ์ของ “ ความไม่มี ”
ไปเข้าห้องน้ำ เห็นขันน้ำ - ก็เห็นความไม่มีในมัน
ห้องน้ำนี้ ก็เห็นความไม่มีในมัน
เห็นทุกอย่าง ให้ว่างเปล่า ว่างเปล่าในจิตของเรา ลูก
ไม่ยึดไม่ถืออะไรซักสิ่ง ซักอย่าง.. ทุกอย่างมัน ว่างเปล่า ๆ
เมื่อทำอย่างงี้ บ่อยๆ หนะลูก
จิตของลูกก็จะค่อยๆเดินทาง ตามการพิจารณาของลูก
เดินทางขยับๆไป สู่โลกที่ไม่มี
ยิ่งเราพิจารณาให้เห็นแจ้ง.. เห็นความเป็นจริงได้มากเท่าไร
จิตเราก็จะยิ่งเดินทางเข้าไป ๆ เข้าไป ๆ.. เข้าไปสู่ในโลกที่มันไม่มีอยู่..
เราก็จะไป ลึกเข้าไป ๆ ลึกเข้าไป ๆ
เมื่อจิตเราไปแตะความรู้สึก หรือว่าไปทรงความรู้สึก ของความไม่มี
เราก็จะเห็นทุกสิ่งและทุกอย่างในโลกนี้ ว่างเปล่า !
แม้ยามที่เราลืมตา เราก็จะมองเห็นความโล่ง ความไม่มี ความว่าง ของมัน
แม้ว่าเราหลับตา เราก็จะเห็นแต่ความโล่ง ความว่าง ความไม่มี ของมัน
แม้แต่ว่า ผู้คนเดินอยู่เยอะแยะมากมาย
เราก็จะเห็นความไม่มี ในผู้คนที่เยอะแยะมากมายเหล่านั้น
แม้แต่ตัวของเรา ก็จะเบาสบาย เพราะไม่มี
เห็นความไม่มี ที่อยู่ในตัวของเรา
รู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ เราก็เห็นความไม่มีในความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์นั้น
เพราะจริงๆ มันไม่มี
เมื่อเรา เข้าไปทรงอารมณ์ของความไม่มีแล้วลูก
ทีนี้ เราก็รู้สึกเบา รู้สึกสบาย..
รู้สึกว่า มันไม่มีเลย มันโล่งไปหมด..
ทีนี้..จิตของเรา ก็ไปอยู่ในโลกแห่งความไม่มี
พอไปอยู่ในโลกแห่งความไม่มี และทรงฌานตรงนี้เอาไว้..
ความรู้สึก ก็ไม่มี ผู้คนก็ไม่มี โลก จักรวาล วัฏสงสารไม่มี
ไม่มีซักสิ่ง ซักอย่างเลย ว่างเปล่า..
เมื่อเราทรงฌานตรงนี้ได้ เราก็จะสามารถเข้าสู่ฌานไม่มีรูปได้ อย่างสบายๆเลย ลูก
เพราะเราหมั่นฝึกทุกวันๆ ทุกวันๆ หมั่นพิจารณาทุกวันๆ
ทุกสิ่งและทุกอย่าง ทุกอย่างที่ขวางหน้าเรา - เราพิจารณาตลอด
เราฝึกอารมณ์จิตของเรา ให้อยู่ในความไม่มี ในความว่างตลอด
ถ้าเกิดว่าเรา จะทำกรรมฐาน ในรูปแบบของ * ฌานที่ไม่มีรูป * เราก็ทำได้ง่ายซิลูก..
พอเราหลับตาปุ๊บ - เราก็อยู่ในอารมณ์ของความไม่มีอยู่แล้ว.. ว่างไปหมด
** เราจะเข้าสู่ฌานได้ง่ายมาก ลูก.. ถ้าเราฝึกอยู่อย่างงี้ บ่อยๆ
ถ้าเกิดว่า เราไม่ได้ฝึกเช่นนี้ เราจะหลับตา แล้วก็เอาความไม่มี มาเป็นอารมณ์
เอาความว่างมาเป็นอารมณ์.. บางทีมันก็ฝึกได้ยากหน่อยลูก !
เพราะว่า ความไม่มี ความว่างนั้น อยู่ๆจะนึกขึ้นมาเลย บางทีมันก็นึกไม่ออกหรอกลูก
นอกจากเราต้องได้ฝึกฝนจิตของเรา ให้จิตของเรานั้นไปอยู่ในโลกแห่งความไม่มี
ไปซึมซับสภาวธรรมตรงนั้นเข้ามา จนเกิดความว่าง
ว่างในจิต ในใจของเรา ว่างในทุกสิ่งและทุกอย่าง
หลับตาก็ว่าง ลืมตาก็ว่าง
เดินก็ตัวเบาหวิว เหมือนลม ว่าง ลูก ไม่เห็นมีอะไร
เมื่อนั้น หละลูก.. เราเข้าฌาน ก็จะง่าย
เพราะเราใช้ปัญญา ในการถอดถอนทุกสิ่งและทุกอย่าง ที่มันสมมุติมี
จนมันกลายเป็นไม่มีแล้ว..เพราะเราได้โยกจิตของเรา ไปสู่โลกที่ไม่มี ด้วยปัญญาของเราแล้ว
ได้ตัด ได้ถอด ได้ถอนหมดแล้ว ก็เหมือนเราอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว !
เราแค่หลับตา แล้วก็ทำให้อารมณ์ละเอียดมากขึ้นเท่านั้นเอง…
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การจะเข้าสู่ฌานไม่มีรูป ควรฝึกอย่างนี้ แหละลูก
ควรที่จะ * มีศีล มีธรรม มีสมาธิ * ในระดับหนึ่งของ “ฌานมีรูป”
หรือจะฝึกให้ถึง *ฌาน 4* เลย ก็จะได้รู้แจ้ง เข้าใจ
จะได้มีพลังของจิต ที่ทำให้พิจารณาได้ลึกเข้าไปยิ่งกว่าอีก !
แล้วก็ทบทวน นึกเห็นสิ่งที่ไม่มีนี้อยู่ตลอด
จนจิตของเรา โยกไปอยู่ในโลกที่ไม่มีแล้ว
เมื่อเราทำสมาธิ ในรูปแบบของการทรง “ ฌานไม่มีรูป ”
เราก็จะทำได้ง่าย เช่นนี้หละ พระยาธรรมเอย..
จงนำธรรมนี้ ไปเผยแผ่เถิดลูก
** การทรงฌาน ไม่ใช่เรื่องยากหรอกลูก ถ้ารู้วิธีในการทำ **
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ถ้าอย่างนั้น ตอนที่เราทำสมาธิในฌานมีรูป
เราจะสามารถนำเอาพลังความไม่มีนั้นมาใช้ด้วย ได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?
เพราะบางที ตอนที่เรานั่งฝึกฌานมีรูปก็ตาม หน่ะเจ้าค่ะ
มันจะชอบมีเรื่องญาติบ้าง เรื่องพี่ เรื่องน้อง เรื่องเพื่อนฝูง
สารพัดเรื่อง หน่ะเจ้าค่ะ.. ที่จะเข้ามากระทบเราตลอด
ถ้าเราจะใช้ความว่างตรงนี้ ดันออกไป โดยที่เราไม่ต้องเอาอะไร
เราจะทรงฌานเฉพาะในรูปฌานที่เรากำหนดจิตขึ้นมา เท่านั้น
เราจะสามารถใช้ด้วย ได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. ย่อมใช้ได้อยู่แล้วหละลูก
การตัดสิ่งทั้งหลายออก.. แล้วให้เหลือแต่อารมณ์ทรงสมาธิ -- ก็เป็นสิ่งที่ใช้ได้ลูก
สามารถพิจารณาตัด และถอดถอนความมี ต่างๆทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นการมีร่างกาย มีญาติ มีพี่ มีน้อง มีทุกสิ่งและทุกอย่าง..
ตัดออกไป ให้เหลือเพียงแค่อารมณ์ฌาน ที่เราตั้งจิตบริกรรมอยู่..
หรือตั้งจิตเป็นนิมิตในฌานนั้นอยู่.. เท่านั้นก็พอ
ก็จะช่วยให้เราเข้าฌานได้ง่ายขึ้น แม้เป็นการฝึก “ ฌานมีรูป ” ก็ตาม.. ลูก
พระยาธรรม :: ถ้าอย่างนั้น ถ้าเราบริกรรมสิ่งที่ไม่มี
แล้วก็ให้เราทรงอารมณ์เห็นความไม่มีบ่อยๆ เราก็จะสามารถช่วยเราให้เข้าฌานได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่ฌานมีรูป
เราก็จะเกิดผลที่ดีขึ้น อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?
พระพุทธองค์ :: ถูกต้องแล้วละลูก ฝึกทบทวนดู
เพียงแต่คนที่ไม่มีพื้นฐานของสมาธิ หรือของจิตที่มีพลังอยู่แล้ว
ก็จะไม่สามารถพิจารณาออก เท่านั้นเอง
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
สรรพสิ่งทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ทำควบคู่กันไป ได้ทั้งนั้น
ถ้าเกิดว่าเรามีสมาธินิดหน่อย หรือมีกำลังของสมาธิแล้ว
เราก็สามารถพิจารณา ถึงความไม่มี ความว่าง
ความว่าง และความไม่มี จะกลับมาช่วยให้พลังสมาธิเรา มากขึ้นๆ
จนถึง* ฌาน 4 * ของฌานมีรูป
เมื่อเราทรงฌาน 4 ของฌานมีรูป - เราก็จะยิ่งมีพลังเห็นความไม่มี
แล้วก็จะทะลุเข้าไปสู่โลกของความไม่มี อย่างแท้จริง
เข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมเรื่องนี้
และให้ลูกได้ฟัง และนำไปเผยแผ่
ไว้วันพรุ่งนี้ ลูกจะมาเฝ้าทูลถามธรรมใหม่ น่ะเจ้าคะ
สาธุ