พิจารณากาย ใน กาย
หาเจอเราที่แท้จริงแล้ว
เรานั้นก็จะมีพลังบุญที่มีความสุข เกิดมาจากจิตกายภายในอย่างแท้จริง เรียกว่า นิพพาน
ลูกจะว่างเว้นจากการต้องการ ต้องการแล้ว ก็จะว่างเว้นจากความสุข ความทุกข์ที่จะมาปนเปื้อนกับเรา
ความสุขที่แท้จริงนั้น คือ การว่างเปล่า ว่างเว้นจาก*ความมีตัวตน* ว่างเว้นจาก*การมีสรรพสิ่ง*...** ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา **
ลูกทั้งหลายเอ๋ย .. ลูกจงฝึกกรรมฐานนี้บ่อยๆเถิดลูก กรรมฐานนี้จะนำพาลูกไปถึงความว่างเปล่า ความไม่มี ความดับสูญ จากการต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง
ติดอยู่กับอะไร เราก็จะเป็นทุกข์อยู่กับอันนั้น
ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา ข้างนอกก็ว่าง ข้างในก็ว่าง ท่องอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. อย่าไปสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย การที่เรานั้นยังติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้นๆ
เพราะหากว่าจิตของเราไม่มีแล้ว สรรพสิ่งก็ย่อมไม่มีอีก
ไปทำสิ่งนี้สิ่งนั้น มีบ้านเรือน มีเวียงวัง มีข้าวของ ทรัพย์สินต่างๆ มีอะไรก็ดี เข้ามาให้เราเห็นอยู่ในกายภายใน เราก็อย่าไปสนใจมัน ให้เอาคำว่า“ว่าง” ตัดออกไปซะ
ข้างนอกว่าง ว่างเว้นจากสรรพสิ่ง ว่างเว้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรอีกแล้ว เพราะไม่มีเรา ไม่มีของของเรา ท่องไปเรื่อยๆ บริกรรมไปเรื่อยๆ
... * ข้างนอกว่าง ข้างในว่าง.. ข้างนอกว่าง ข้างในว่าง *…
แล้วหากว่าเราไปเห็นจิตตัวข้างในของเรา ว่ามีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ เป็นกายแบบนี้ ไปในที่นี้
ญาติก็ไม่มี เพื่อนฝูง พี่น้อง ปัญหา การงาน การเงิน เจ้ากรรมนายเวร ลูกหลานทั้งหลาย ไม่มีในเราอีกแล้ว เพราะขนาดตัวของเราก็ไม่มีเรา
ฉะนั้น ว่างเปล่า แม้จะมีภาพสิ่งใดเกิดขึ้นมา ให้ลูกจงท่องคำว่า “ ว่าง ”
เราจงเอาคำว่า " ว่าง " นั้น กำจัดออกไป เพราะหากว่าว่างแล้ว ไม่มีตัวเราแล้ว จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราอีก เพราะไม่มีเราอีกแล้ว
** ว่าง ข้างในก็ว่าง **
ลูกทั้งหลายเอ๋ย .. ให้จงภาวนาตามนี้เถิดว่า ..
*ข้างนอกว่าง* หายใจออก
*ข้างในว่าง* เมื่อหายใจเข้า
เมื่อหายใจออก ให้ท่องว่า **ข้างนอกว่าง**
เมื่อหายใจเข้า ให้ท่องว่า **ข้างในว่าง**
ท่องอย่างนี้ ตามลมหายใจไปเรื่อยๆ เมื่อมีภาพของญาติ ของเจ้ากรรมนายเวร ของเรื่องนั้นเรื่องนี้ เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่งผุดขึ้นมา
*ไม่มีอะไรเป็นของเราอีกแล้ว* ข้างในก็มีแต่ความว่างเปล่า เราก็จะว่างเปล่าไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ท่องว่า ..
ให้กำหนดไปที่จิตข้างในอีกทีว่า “ว่าง”
หากว่า ว่างของนอก แต่ไม่ว่างข้างในนั้น ก็ยังไม่ไปถึงที่สุด ฉะนั้น เมื่อตัดข้างนอกแล้ว ไม่มีกายสังขาร ทุกอย่างไม่มี..ว่างเปล่า
เมื่อ จิตไม่มี ไม่มีแล้ว ไม่มีกายภายใน ไม่มีจิต ไม่มีตัวตน
อาจมีกายเป็นเทวดา เป็นดวงจิตเล็กๆ หรือจะเป็นในรูปแบบเงาใสๆ จะเป็นแบบไหนก็ดี ตามระดับฌานของแต่ละคน
ตราบใดก็ตามที่ยังมา มีอยู่นั้น ย่อมไม่มีทางที่จะหลุดพ้น
ให้ลูกพิจารณาจิตกายภายใน แล้วหาดูว่า จิตข้างในของเรานั้น เป็นลักษณะแบบไหน
ยังจะมีที่ไปยึดเหนี่ยว ยึดติด มีที่ที่ต้องไป เมื่อมีที่ที่ต้องไป ก็ยังมีที่ที่ต้องมาอีก
หากว่าจิตตรงนั้นยังไม่ว่าง ยังไม่ดับ ยังไม่จบ เราก็ยังจะ " มีเรา " อยู่อีก
จิต ที่เรียกว่าเป็นกายภายใน ที่จะต้องเป็นตัวเวียนว่ายตายเกิด วนเวียนไปในภพต่างๆ ยังเหลือจิตตรงนั้นอีก
แต่วันนี้เราจะสลายมันไปให้หมด มันจะไม่มีอีกแล้ว มันจะดับลงไปแล้ว แล้วถ้าสมมุติว่าวันไหนถ้าเราตายไป ธาตุที่เป็นขันธ์ ๕ เป็นร่างกายของเรานี้ก็จะดับสูญไป
ให้เราสมมุติว่าเรานั้นเหมือนคนตายที่ว่างเปล่า ดับสูญแล้ว ไม่มีร่างกายอีกแล้ว แล้วให้ท่องคำว่า..
** ข้างนอกว่าง **
ทีนี้ เมื่อข้างนอกว่างแล้ว ให้มานึกถึงดวงจิต หากว่ากายของเราดับสูญไป หมดไปจากข้างนอก ดับกายไปแล้วก็ยังเหลือจิต
เมื่อไม่มีเราแล้ว สรรพสิ่งนั้นไม่มี หากไม่มีเราเสียแล้ว อย่างอื่นก็จะไม่มีอีก
ให้พิจารณาร่างกายดังนี้ ร่างกายนี้ มีโครงสร้างของมัน ประกอบด้วยธาตุ ขันธ์ ทั้งหมด รวมมาเป็นร่างกาย ที่เรียกว่า * เรา *
วันนี้...เราจะไม่มีอีกแล้ว ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา ไม่มีอะไรอีกแล้ว ทุกสิ่งกำหนดไว้ที่ความว่างเปล่า แล้วหลับตาลง นึกขึ้นมาว่า
** ข้างนอกว่าง ข้างนอกว่าง **
ข้างนอกว่างนี้ หมายถึง กายที่เป็นเป็นกายเนื้อของเรา ว่างเปล่า ไม่มีร่างกาย ไม่มีชื่อ
ต่อจากนี้ ให้ทุกๆคนตั้งใจนั่งกรรมฐานตาม ดังต่อไปนี้ ทุกๆคนนะจ๊ะ
ให้ทุกคนนั่งขัดสมาธิ แบมือทั้งสองข้างเอาไว้ที่หัวเข่า แล้วหายใจลึกๆ ให้ทุกคนนึกขึ้นมา เช่นนี้ว่า …
ความทุกข์ทั้งหลาย ญาติทั้งหลาย หนี้สินทั้งหลาย ผู้มีพระคุณทั้งหลาย ภาระทั้งหลาย หน้าที่ทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีนั้น เพราะว่า " มีเรา "
... เมื่อมีเราเกิด จึงมีความทุกข์ มีสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้นตามเรามา แล้วจึงเป็นเหตุให้เราทุกข์อยู่อย่างนี้
เมื่อทุกคนได้มีศีลครอบกายเอาไว้ ไม่ให้กระทำสิ่งบกพร่อง เบียดเบียน กระทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้ว
“ตัวกู ของกู” ที่ตั้งที่เกิดของความทุกข์
.
“… “ตัวกู”แท้ๆ มันเป็นส่วนจิตใจ ส่วนความคิดความนึก ฉะนั้น อย่ามีความรู้สึกคิดนึกยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวกู ว่าเป็นของกู แล้วมันก็หมดกันเท่านั้น ร่างกายก็ไม่มีความหมายอะไร มันก็เป็นเบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์ไปเอง เป็นเบญจขันธ์ที่ไม่มีกิเลส ไม่มีอุปาทานไปเอง
.... ขออย่าให้มีความรู้สึกว่า “ตัวกู” ก็เรียกว่า“ตาย”; ตายอย่างภาษาธรรม แล้วก็..ไม่มีอะไรที่เป็น“ตัวกู” หรือเป็น“ของกู”แล้ว ความทุกข์จะเกิดที่ไหนได้? ความทุกข์มันจะต้องเกิดที่ “ตัวกู ของกู” เสมอ.”
.
พุทธทาสภิกขุ
------------------------
.
อัตตา - อัตตนียา
อหังการ - มมังการ
ตัวกู - ของกู
.
.... “ เราจะพิจารณากันว่า "ตัวเรา-ของเรา" นี้ มันทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมาอย่างไร แล้วเราจะจัดการกับมันอย่างไร เริ่มตั้งแต่ชั้นที่จะทำลายตัวเราชนิดอันชั่วร้าย ให้เหลืออยู่แต่ตัวเราชนิดที่ดีๆ แล้วค่อยๆบรรเทายึดถือในตัวเราชั้นดีให้น้อยลงๆ จนกระทั่งถึงขั้นสุดท้าย คือไม่มีความรู้สึกของ "ตัวเรา-ของเรา" ชนิดใดๆ เหลืออยู่ในใจเลย
.... เรื่องมันก็จบกันเพียงเท่านี้ และเป็นการจบเรื่องหมดทั้งพระไตรปิฎก หรือทั้งหมดในพระพุทธศาสนา แล้วผู้นั้นก็จะประสบสันติสุขอันถาวร ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพเช่นไร
.... เพราะสิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา-ของเรา" นี้ มันเป็นเหตุของความทุกข์ทุกอย่าง สิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา" และ "ของเรา" นี้ ก็มีชื่อโดยภาษาบาลีว่า "อหังการ" และ "มมังการ" ถ้าเป็นคำทางจิตวิทยา จะเรียกว่า "อัตตา" และ "อัตตนียา" ก็ได้ ทั้งหมดนี้ ก็หมายถึง จิตที่กำลังกลัดกลุ้มอยู่ด้วยความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวจัด กำลังดิ้นรนทุกอย่างเพื่อจะทำตามใจตน โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม หรือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีใดๆ
.... "อุปาทาน" คือการยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจ เช่น ยึดมั่นในเบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจ รวมกันว่าเป็น "ตัวตน" และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ อันมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็น "ของตน" หรือที่ละเอียดลงไปกว่านั้นก็ยึดถือจิตส่วนหนึ่งว่าเป็น "ตัวเรา" แล้วยึดถือเอารูปร่างกาย ความรู้สึก ความจำ และความนึกคิด สี่อย่างนี้ว่าเป็น "ของเรา"
.
พุทธภาษิตมีอยู่ว่า...
" เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน นั่นแหละเป็นตัวทุกข์ "
.
.... ฉะนั้น คนที่มีอุปาทานยึดมั่นว่า "ตัวเรา" ว่า "ของเรา" จึงมีเบญจขันธ์ที่เป็นทุกข์ คือแสดงอาการที่ทนได้ยากแก่บุคคลนั้น และแสดงอาการที่น่าเกลียด น่าเอือมระอา แก่บุคคลที่ได้พบเห็นทั่วไป
.... ส่วนเบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้น หาเป็นทุกข์ไม่
.... ฉะนั้น คำว่า บริสุทธิ์ หรือ หลุดพ้น จึงหมายถึง การหลุดพ้นจากอุปาทานว่า "ตัวเรา" ว่า "ของเรา" นี้โดยตรง ดังมีพระพุทธภาษิตว่า "คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้น เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน" ถ้ายังมีอุปาทานก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์ สิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา-ของเรา" นั่นแหละเป็นบ่วงทุกข์ ที่คล้องหรือร้อยรัดผูกพันเราทั้งหลายอยู่ ถ้าเราตัดบ่วงนี้ให้ขาดไม่ได้ อยู่เพียงใด เราก็จะต้องเป็นทุกข์อยู่เรื่อยไป”
.
พุทธทาสภิกขุ
.
# ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. #
คนเราทำไมถึงต้องกลับมาเกิด?
เพราะเราทุกคนมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
กรรม คือผลของการกระทำที่เราได้ทำไว้แล้ว ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม เราจึงมีผลแห่งกรรมนำมาเกิด
โดยธรรมชาติให้เรายืมธาตุ 4 จากดิน น้ำ ลม ไฟ ก่อกำเนิดเป็นร่างกายมนุษย์ และแปรสภาพมาเป็นปัจจัย 4 คืืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เพื่อให้เรามีโอกาสได้มาเรียนรู้ความจริงของการเกิด ความจริงที่เราหลงเข้าไปยึดเอาสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา"เป็นเรา" เมื่อเรายังไม่เข้าใจความจริงนี้ เราจึงจำเป็นต้องกลับมาวนเวียนเกิดเวียนตายต่อไป
ดังนั้นในทุกสภาวธรรมที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบันขณะ เราจำเป็นต้องให้้จิต..ได้เห็นสัจธรรม (ความจริง) เพื่อให้จิตยอมรับความจริงของกายใจตนเอง แล้วยอมสละคืนความหลงยึดมั่น ถือมั่นว่า 'กายใจนี้เป็นเรา เป็นของของเรา'
.
วิมุตติธรรม
การหลุดพ้น ตามแบบพุทธศาสนา
.
❝ คำว่า “เรา” หรือ ความรู้สึกว่า“ตัวเรา” นั้น เป็น"ความรู้สึกของกิเลส"
ที่เป็นเหมือนโคลนที่เข้ามาหุ้มห่อตัวเรา ที่เราได้ล้างออกเรื่อยๆ จนหมดสิ้นไปแล้ว
ความรู้สึกว่า เรา หรือ อุปาทาน นั้น ไม่มีแล้ว เท่ากับซี่กรงหักหมดแล้ว เราจึงออกมานอกกรงได้ เรียกว่าจิตหลุดออกมาได้ หรือจิตพ้นจากอุปาทาน เท่านั้นเอง หาใช่ตัวเราไม่
จิตนั้น ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะจิตนั้นไม่มีความยึดถือตัวมันเองว่า “ตัวเรา” จึงได้หลุดออกมาได้
ท่าน(พระพุทธเจ้า)จึงตรัสว่า “การหลุดพ้นนั้นมีแล้ว แต่ตัวผู้หลุดพ้นหามีไม่ ”
นี่แหละ คือ การหลุดพ้นตามแบบของพุทธศาสนา
.
การหลุดพ้นตามแบบของพุทธศาสนานั้น เราที่เป็นพุทธบริษัทจะต้องเข้าใจให้ดีๆ
ย่อมเป็นการหลุดพ้นอย่างเด็ดขาด ไม่มีเยื่อใยของอุปาทานเหลืออยู่ แม้แต่เล็กน้อย
.
การหลุดพ้นที่ไม่เด็ดขาด ยังมีอุปาทานเหลืออยู่บ้างโดยไม่รู้สึกตัวนั้น เป็นการหลุดพ้นของพวกอื่นเขา หาใช่ของพุทธศาสนาไม่
การหลุดพ้นชนิดนั้นหลุดพ้นแต่เพียงจากความยึดถือที่หยาบๆ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยึดถือชั้นละเอียด
จะต้องทำการปฏิบัติต่อไปอีกขั้นหนึ่ง จึงจะเป็นการบรรลุถึง"นิพพาน“นิพพาน”
.
การพูดว่า “ตัวเรา” ในขั้นนี้ ถ้ามีพูด ก็สักว่าพูด เพราะไม่มีคำ(อื่น)จะพูดเท่านั้น หาได้มีความยึดถือกอดรัดเอาสิ่งที่บริสุทธิ์นั้นมาเป็น “ตัวเรา” อีกก็หาไม่
.
จิตที่หลุดพ้นจากความยึดถือก็หมดทุกข์
เพราะทุกข์มีอยู่ที่จิตซึ่งมีความยึดถือเท่านั้น ❞
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง“หลักหินยาน-มหายาน”
----------------------------------------
.
ไม่มี "คน"
.
"พระพุทธศาสนามุ่งหมายที่จะบอกให้รู้ว่า "ไม่มีคน ที่เป็นตัวเราหรือของเรา"นั้น ไม่มี;
มีแต่ความเข้าใจผิดของจิตที่ไม่รู้ สิ่งที่มีอยู่ก็เพียงแต่ร่างกายกับจิตใจ ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นธรรมชาติ หรือเป็นธาตุตามธรรมชาติ;
มันมีอาการเป็นกลไก mechanism ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ในตัวมันเอง.
ถ้าผิดวิธีก็เกิดความโง่ความหลงขึ้นมา จนให้รู้สึกว่า"มีตัวเรา มีของเรา"
ถ้าถูกวิธีมันก็ไม่เกิดความรู้สึกอย่างนั้น แต่จะเป็นสติปัญญาอยู่ตามเดิม รู้แจ้งเห็นจริงอยู่ตามเดิมว่า"ว่างจากตัวเรา หรือ ของเรา"
และมูลเหตุให้เกิดทุกข์ ก็คือ "ความหลง ความเข้าใจผิดว่ามีตัวเรา มีของเรา นั่นเอง."
.
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมกถาเรื่อง "ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา"
เมื่อ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๔
ณ ชุมนุมศึกษาพุทธธรรม ศิริราชพยาบาล
------------------------------------------
.
"คน" ไม่มี
.
"ว่าโดยความจริงแท้ ( สัจจะ ) ในโลกนี้มีแต่นามและรูป ( นามธรรมและรูปธรรม ) ก็แลในนามและรูปนั้น สัตว์หรือคน ก็หามีไม่ นามและรูปนี้ว่างเปล่า ถูก( ปัจจัย )ปรุงแต่งขึ้น เหมือนดังเครื่องยนต์ เป็นกองแห่งทุกข์ ( สิ่งไม่คงตัว ) เช่นกับหญ้าและฟืน"
.
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ๓/๒๑๖
-------------------------------------------
.
"ทุกข์ นั่นแหละ มีอยู่ แต่ผู้ทุกข์หามีไม่,
การกระทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี,
นิพพานมีอยู่ แต่คนผู้นิพพานไม่มี,
ทางมีอยู่ แต่ผู้เดินทางไม่มี."
.
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ๓/๑๐๑
ธรรมะชั้นสูง
ให้จิตเป็นสมาธิ ก็เพราะอยากให้ยืนดูสิ่งของมันจึงชัด ถ้าไม่ยืนดู วิ่งไป มันไม่ชัด วิ่งดูสิ่งของ มันไม่ชัด
เหตุฉะนั้น จึงให้จิตเป็นสมาธิตั้งมั่นอยู่ ในลมเข้าออกบ้าง ตั้งมั่นอยู่ในร่างกระดูกบ้าง คุณมีเท่าใด โทษมีเท่าใด ให้เห็นหมดนี่ ถ้าวิ่งดูสิ่งของมันไม่ชัด ..
เหตุฉะนั้น จึงให้เป็นสมาธิบ้าง และไม่ให้ติดอยู่ในสมาธิด้วย และไม่ให้ติดอยู่ในปัญญาด้วย และไม่ให้ติดอยู่ในผู้รู้ด้วย ธรรมชั้นสูง
- ให้ส่งคืนหมดแหน่ะ !!
ผู้พิจารณาธรรมชั้นสูง พร้อมทั้งลมเข้าออก เป็นแต่สักว่ารู้ เป็นแต่สักว่าเห็นอยู่ ไม่มีกลางวันกลางคืน
เพราะเขาจะถอนอุปาทานในทั้งอดีตอนาคต จะไม่สำคัญตัวในที่ใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อเขาไม่สำคัญตัวในที่ใดๆทั้งสิ้น วิญญาณของเขาก็ดับไป จิตของเขาก็ว่าง ธรรมของเขาก็ว่างไปอีกด้วย
- ว่างจากความยึดถือ
สิ้นลมปราณเขาก็เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ไม่มาเวียนว่าย ตาย เกิด ในวัฏสงสารอีก
เพราะไม่มีสิ่งที่จะยึด เพราะว่างไปหมดแล้ว *ว่าง...จากผู้ยึดถือ* ว่างจากเรา จากเขา จากสัตว์ จากบุคคล
ธาตุดินก็ส่งคืนให้ธาตุดิน ธาตุน้ำก็ส่งคืนให้ธาตุน้ำ ธาตุไฟก็ส่งคืนให้ธาตุไฟ ธาตุลมก็ส่งคืนให้ธาตุลม
- ผู้รู้ก็ส่งคืนให้ผู้รู้ จิตก็ส่งคืนให้จิต ไม่เข้าไปแย่ง ไม่เข้าไปจี้ ไม่เข้าไปปล้น
ผู้นั้นก็พ้นทุกข์ในวัฏสงสารเท่านั้น ไม่มีปัญหาอะไรมาก !!
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
"พระนิพพาน" ไม่ใช่ผู้รู้ แต่เหนือผู้รู้ไปไม่มีที่หมาย"
พระนิพพานไม่ใช่ผู้รู้
เหนือผู้รู้ไปจนไม่มีที่หมาย
ถ้าหมายอยู่ ยังไม่ใช่พระนิพพาน
เป็นเพียงความหวังและเจตนา
กำลังเดินทางใจ...มรรคใจเท่านั้น...
ธรรมชั้นนี้เป็นธรรมชั้นสูงมาก
มอบไว้ให้เจ้าตัวแต่ละราย...
เป็นผู้มีสิทธิ์เห็นเองรู้เอง"
"ฆ่าความหลงของเจ้าตัว
ที่มันสำคัญว่า ผู้รู้เป็นตน ตนเป็นผู้รู้
เป็นแต่สักว่ารู้ เป็นแต่สักว่าเห็น"
หลวงปู่หล้า เขตปัตโต
“ ไม่เชื่อก็ได้ แต่ลองไปสังเกตดู !
เวลาที่..ไม่มี“เรา” หรือ“ของเรา”
ไม่มี ตัวกู ของกู เป็นภาวะแห่งความดับสนิทแห่งทุกข์
.
…. “ ไม่เชื่อก็ได้ แต่ลองไปสังเกตดู !
เวลาที่เราลืมไปแม้กระทั่งชีวิต แม้กระทั่งตัวเรานี้ เวลานั้นเราสบายที่สุด พอชีวิตมีเมื่อไร ปัญหาก็มีเมื่อนั้น พอรู้สึกว่า “เรา” มีขึ้นมาเมื่อไหร่ ปัญหาก็ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อนั้น เวลาที่จิตไม่รู้สึกว่า..มีชีวิต มีตัวเรา หรือของเรา หรือ มีอะไร เป็นเวลาที่สบายที่สุด
…. อย่างน้อย เมื่อเราไปเดินอยู่ชายหาด ชายทะเลตามภูเขาตามอะไรก็ตาม มันลืมตัวเรา ลืมชีวิต ลืมการงานของเรา ลืมทุกอย่าง มันเลยรู้สึกสบาย
…. แต่นั่นมันเป็นสิ่งอื่นแวดล้อมและชั่วคราว ทีนี้ เรามาทำให้เป็นอย่างนั้นอย่างถาวรด้วยการกระทำที่เป็นเทคนิคทางธรรมนี้ มันก็จะมีความสุขทำนองนั้นเหมือนกัน แต่ว่า..มากกว่านั้น ถาวรกว่านั้น กระทั่งตลอดไปทีเดียว
…. นี่ ภาวะแห่งความดับสนิทแห่งทุกข์ นั่นคือ ภาวะที่มีหรือปรากฏในขณะที่..ไม่มีตัณหา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “ธรรมที่เป็นหลักสำคัญสำหรับมนุษย์” อบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษา ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๓๐ มกราคม ๒๕๑๑
--------------------------------------------
.
ไม่มีอะไร นั่นแหละ
เป็นเวลาที่มีความสุขที่สุด
.
“.… ในอรรถกถา มีภิกษุองค์หนึ่งบรรลุ “พระอรหันต์ ” เพียงแต่สักว่า..เห็นดอกมะลิป่าร่วงลงมาจากต้น เท่านั้น
….. ดอกมะลิป่า ไม่ใช่มีชีวิตจิตใจ ร่วงตามธรรมดา ธรรมชาติของมัน แต่พระองค์นั้นมองไปแง่ที่มีความหมายไปในทาง… “ไม่เที่ยง ไม่มีความหวังอะไรเลยในสิ่งเหล่านี้ ในสิ่งที่เอร็ดอร่อยสวยงามอะไรนี้” ฉะนั้น จึงเป็นพระอรหันต์ได้ โดยเห็นสิ่งที่มันทำอะไรไปตามธรรมชาติของมัน ไม่มีจิตมีใจอะไร...
….. ถ้าใครดูในแง่ดังกล่าวนี้ออก ก็แปลว่า คนนั้นได้ฟังต้นไม้พูด ได้ยินต้นไม้พูด นี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น...อยู่ในป่าก็ไม่เห็นป่า ถ้าไม่มีสติปัญญา ไปนั่งโคนต้นไม้ก็ไม่ได้ยินต้นไม้พูด
….. ฉะนั้น สร้างสติปัญญาให้เพียงพอ อยู่ตรงนี้ก็จะได้ยินต้นไม้พูด หรือว่าได้เห็นอะไร เห็นต้นไม้แสดงธรรม...
.
ที่นี่(สวนโมกข์) เราให้มีต้นไม้ มีก้อนหิน มีอะไรที่อยู่นิ่งๆ แสดงความสงบอยู่นิ่งๆ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่ทะเยอทะยาน ถ้าเขามองเห็นและเข้าใจ ก็เรียกว่า..เขาได้ยินต้นไม้ ได้ยินก้อนหินพูด ได้ยินหมู่ธรรมชาติพูด ว่า...“ไม่มีอะไร นั่นแหละ เป็นเวลาที่มีความสุขที่สุด” ถ้าเขาทำอย่างนี้ คุยได้เต็มปากว่า การมาที่นี่มันมีอุปนิสัยปัจจัยแก่นิพพาน”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง “ธรรมะเข้ามา ตัวกูออกไป, ตัวกูเข้ามา ธรรมะออกไป” เมื่อ ๔ พฤษภาคม ๒๕๑๑ จากหนังสือ “ธรรมปาฎิโมกข์” เล่ม ๒
---------------------------------------
.
พระไตรปิฎกภาษาไทย อุปาสกสูตรที่ ๕
[๑๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี สมัยนั้น อุบาสกชาวบ้านอิจฉานังคละคนหนึ่ง ถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ ด้วยกิจที่จะต้องทำบางอย่าง ครั้งนั้น อุบาสกนั้นครั้นทำกิจที่จะต้องทำในกรุงสาววัตถีเสร็จแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับอุบาสกนั้นดังนี้ว่า “นานเหลือเกิน อุบาสก ท่านจึงมีเหตุมา ณ ที่นี้ได้”
อุบาสกนั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ประสงค์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคนานแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แต่ว่าข้าพระองค์มัวขวนขวายกับกิจที่จะต้องทำบางอย่าง จึงไม่สามารถเข้ามาเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้”
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
พุทธอุทาน
ความสุขย่อมมีแก่บุคคลผู้ไม่มีอะไร
ผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว เป็นพหูสูต
ท่านจงดูคนที่มีกิเลสเครื่องกังวลกำลังเดือดร้อนอยู่
เพราะคนที่มีความผูกพันกับคนอื่นย่อมเดือดร้อน
.
หมายเหตุ
“ไม่มีอะไร” หมายถึง ไม่มีอารมณ์อะไรในอารมณ์ทั้ง ๕ ที่จะต้องยึดถือด้วยตัณหาว่า “สิ่งนั้นเป็นของเรา” อีกนัยหนึ่ง หมายถึง ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล มีราคะเป็นต้น ( ขุ. อุ. อ. ๑๕/๑๒๐)
.
อุปาสกสูตรที่ ๕
พระไตรปิฎกภาษาไทย(มจร.)
ขุ. อุ. ๒๕/๑๕/๑๙๕
.
# ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. #
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. หากว่าลูกนั้นฝึกกรรมฐานนี้บ่อยๆ จะทำให้ลูกเข้าถึง
สภาวธรรมของนิพพาน คือ การว่างเว้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง
คือ การเบา สบาย ไม่มีอะไรแล้วสักสิ่งสักอย่าง ที่จะทำให้เป็นทุกข์ แล้วก็จะเกิดสติปัญญาขึ้นมาว่า
หากมีอะไร ก็ทุกข์เพราะอันนั้น
เมื่อเกิดสติปัญญาเช่นนั้นแล้ว ลูกก็จะพิจารณาไปถึงว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างมีขึ้นมาเพราะว่า มีเรา
หากว่า "ไม่มีเรา" เสียแล้ว สรรพสิ่งย่อมไม่มี
เหตุเกิดอยู่ที่ไหน ดับที่เหตุนั้น
เหตุเกิดที่เรา จงดับที่เราเถิด
...* เมื่อดับถูกเหตุ เหตุนั้นย่อมดับไป ย่อมไม่มีอีกแล้วในภพนี้ ในภพหน้า
ลูกนั้น จึงจะเป็นผู้ที่เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
“อตมฺมยตา” (อะ-ตัม-มะ-ยะ-ตา)
ไม่สำเร็จมาแต่ปัจจัยนั้นๆอีกต่อไป
“กูไม่เอากับมึงอีกต่อไป”
.
…. “การจะทำจิตให้ขาวรอบได้ ตามหลักของ “โอวาทปาฏิโมกข์” อันสูงสุดนั้น จะต้องมี “อตมฺมยตา” (อะ-ตัม-มะ-ยะ-ตา) อาตมาออกชื่อมาเกือบ ๒๐ ครั้งแล้ว จำได้ไหม? จำได้หรือยัง เรียกว่าพูดจบก็ลืม อตมฺมยตา อตมฺมยตา อตมฺมยตา ซ้ำๆ ซากๆ ไว้ในใจ ว่า “กูไม่เอากับมึงอีกต่อไป” อตมฺมยตา ไม่สำเร็จมาแต่ปัจจัยนั้นๆอีกต่อไป ฉันไม่เอากับแกแล้ว บุญก็ไม่ไหว บาปก็ไม่ไหว ดีก็ไม่ไหว ชั่วก็ไม่ไหว สุขก็ไม่ไหว ทุกข์ก็ไม่ไหว ไม่ไหวทั้งนั้น คือ ไม่เอากับมัน ไม่ผูกพันอยู่กับมัน จะหลุดออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างนี้เรียกว่า “ไม่สำเร็จอยู่กับ...ไม่สำเร็จมาจาก...หรือ ไม่ผูกพันอยู่กับสิ่งนั้นๆ อีกต่อไป….
…. ทำเรื่องให้ติดต่อกันให้ดี ว่าเราถือหลักโอวาทปาฏิโมกข์ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้ขาวรอบ จะทำให้ขาวรอบนี้มันจะต้องอยู่..เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์ ถ้าพูดเป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หน่อย ก็ว่า เหนือบวกเหนือลบ เหนือความเป็นบวกเป็นลบ เหนือ POSITIVE เหนือ NEGATIVE เหนือที่เป็นคู่ๆ เป็นบวกเป็นลบนั่นแหละ แล้วจิตมันจะขาวรอบ ถ้าว่ามันเพียงแต่ละชั่วมา ก็เหมือนกับว่าละสีสกปรกต่างๆมา เหลืออยู่เป็นสีขาว ทีนี้ละสีขาวนั้นเสียอีกทีหนึ่ง จนไม่มีสีนั่นแหละ จึงจะเรียกว่ามันขาวถึงที่สุด ขาวถึงที่สุด
…. เดี๋ยวนี้ ทุกคนหลงดี ใครบ้างที่กล้าพูดว่าไม่ชอบดี หรือไม่บ้าดี ถึงมันกำลังบ้าดี มันก็ละอายไม่กล้าพูดว่ากูบ้าดี มันก็ไม่พูดให้ใครรู้ นั่นแหละรู้กันเอง รู้ตัวเองว่ากำลังบ้าดี หลงดี อะไรที่คิดว่าดีก็หลงสิ่งนั้นแหละ สิ่งนั้นแหละมันก็ผูกพันจิตใจ เป็นเครื่องกระตุ้นเป็นเครื่องผลักดันให้กระทำ ยังอยู่ในขอบเขตของตัณหา อุปาทาน หรืออำนาจของ “อวิชชา” โดยหลงไปว่ามีสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวรเป็นตัวตน หมดอวิชชามันก็จะหมดความหลง อย่างนี้จึงจะเป็นอิสระ จะหลุดพ้นออกไปได้ การที่จะหลุดออกไปได้จากสิ่งใด มันก็ต้องหย่าขาดจากสิ่งนั้น อาการที่หย่าขาดกับสิ่งนั้น นั่นแหละ คือ “อตมฺมยตา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ “อตมฺมยตากถา”
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ในสายปฏิบัติธรรม สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ มีกรรมฐาน ทั้งหมด ๒ กอง
กองที่ ๑ คือ การสอนเพื่อให้รับพุทธบารมี พลังจากพระนิพพาน
เพื่อให้ลูกได้ถอดจิตกายภายใน ไปท่องเที่ยวยังสวรรค์ ไปท่องเที่ยวยังโลกทิพย์ เพื่อเกิดปัญญา
รู้ว่าสวรรค์นั้นมีจริง บาป-บุญ มีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นรกมีจริง
แต่กรรมฐานกองที่ ๑ นั้นจะยังไม่เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
แต่เป็นกรรมฐานกองแรกที่สายปฏิบัติธรรมได้นำขึ้นมา เพื่อให้ลูกนั้นได้เจริญปัญญา เจริญศรัทธา
เพื่อให้เข้าถึงความรู้ การพิสูจน์ เพื่อจะนำทางไปถึงการกรรมฐานในรูปแบบที่ ๒ นี้ เพื่อจะเข้าสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย..จงฝึกกรรมฐานนี้บ่อยๆเถิด แล้วลูกนั้นจะรู้ถึงความพ้นทุกข์ จะได้นิพพานสุข ตั้งแต่ยังมีชิวิตอยู่
ความสงบของโลกธาตุภายในและภายนอก
เมื่อครั้งดับสูญจากชาตินี้ไป ก็จะไปถึงนิพพานอย่างแท้จริง
กรรมฐานกองที่ ๒ นี้ เรียกว่า กรรมฐานเข้าสู่พระนิพพาน
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงกระทำตนนั้นให้ถึงความสุข ความว่างเปล่า การไร้ตัวตนเถิด...
การที่โลกธาตุภายในและภายนอกจะเงียบ สงบ สงัด ว่างเปล่า เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แบ่งแยกภายในภายนอก หาขอบเขตไม่ได้ มันก็เกิดจากที่ “ไม่หลงสังขาร”
ไม่หลงไปเป็นสังขาร
ไม่ยึดถือสังขาร
ไม่หลงเอาสังขารมาปรุงแต่งยึดถืออะไร
ไม่เอาสังขารมาปรุงแต่งยึดถือเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา แล้วเอาตัวเราไปพยายามยึดถือสิ่งโน้นสิ่งนี้
ยึดถือสังขาร ยึดถือสิ่งใดภายนอกตัวเรา ยึดถือร่างกาย ยึดถือจิตใจ ยึดถืออารมณ์ว่าง โล่ง โปร่ง เบาสบาย เสร็จแล้วก็หลงสังขาร พยายามเอาสังขารมายึดถือความเงียบ ความสงบ ความสงัดไปทั้งโลกธาตุภายในและภายนอก ล้วนแต่หลงสังขาร เอาสังขารมายึดถือ
ความเงียบ ความสงบทั้งภายในและภายนอกนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่ามันเรียกชื่อว่าอะไร มัน “รู้แก่ใจ” ถ้าปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครไปยึดถือมัน ความพ้นทุกข์ก็เกิดขึ้นตรงนั้นแหละ
ความเงียบ ความสงบทั้งภายในและภายนอก โลกธาตุทั้งภายในและภายนอกมันเหมือนกับเป็นอันเดียวกัน มันเงียบ มันสงัดไปหมดทั้งโลกธาตุ มันว่างไปหมด หาขอบเขตไม่ได้ ไม่ได้มีความรู้สึกว่างภายใน ไม่ได้มีความรู้สึกว่างภายนอก แต่มันเหมือนกับ “ไม่มีอะไรเลย” จริง ๆ
ปล่อยให้มันเป็นอยู่เช่นนั้นแหละ แม้แต่ขันธ์ห้า สังขารที่ยังคิด ยังพูด ยังคุย ยังโต้ตอบ ทำความเข้าใจกับหลวงตาได้ มันก็ไม่สามารถที่จะไปทำอะไรธรรมชาติที่เงียบ สงบ สงัดนั้นเลย
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้ทรงมอบมรดกธรรม อันล้ำค่าไว้ให้แก่ชาวโลก
หนทางที่จะปลดเปลื้องตน จากความทุกข์ทรมานทั้งปวง พบกับความสงบสุขที่แท้จริง
คือพระนิพพานได้ ก็คือสติปัฏฐาน 4
เมื่อท่านทั้งหลาย...ได้อบรมสติปัฏฐาน4 อยู่เนืองๆ
หมั่นเจริญสติ ระลึกรู้สึกตัวขึ้นมาอยู่เสมอ นั่งก็รู้สึกตัว ยืนก็รู้สึกตัว เดินก็รู้สึกตัว
คู้ เหยียด เคลื่อนไหว ก็ระลึกรู้สึกตัวขึ้นมาอยู่เสมอ
ทำให้มากเจริญให้มาก ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไป
เมื่อท่านทั้งหลายพากเพียร อบรมสติปัฏฐาน4 อยู่เนืองๆ
จนสติมีกำลัง เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
อารมณ์อยาบๆต่างๆหลุดออกไป เข้าถึงสภาวธรรมที่ละเอียด
เกิดปีติ เกิดความซาบซ่านเอิบอาบทั่วกาย เกิดความสุขเบาสบาย
เกิดอุเบกขา ความนิ่งสงบตั้งมั่นอยู่
ท่านทั้งหลายก็จะสัมผัสสภาวธรรมของภายใน
ที่เรียกว่า"กายภายใน หรือ นามกาย" นั่นเอง
กายหยาบหรือกายเนื้อเป็นกายภายนอก
แต่เมื่อเข้าถึงระดับของสมาธิ เข้าถึงสภาวธรรมภายใน
ก็จะพบสิ่งที่เรียกว่ากายละเอียด หรือนามกายนั่นเอง
กายภายใน กับ กายภายนอก
ยิ่งสภาวะละเอียดประณีตขึ้นเท่าไหร่
ผู้ปฏิบัติก็จะพบว่า มิติภายใน กับมิติภายนอก มีความแตกต่างกัน
#มิติภายนอกเป็นเรื่องของกายภาพต่างๆ
#ส่วนมิติข้างในเป็นเรื่องของพลังงาน
ตั้งแต่ปีติ ความซาบซ่าน ความสุขเบาสบาย
อุเบกขา ความนิ่งสงบ
#ถ้าเป็นระดับอรูปฌานก็เวิ้งว้างไร้ขอบเขต
อันนี้เป็นมิติของชั้นพลังงาน เป็นกายละเอียด ที่เรียกว่านามกาย
สติปัฏฐานก็จะสามารถรู้ได้ทั้งกายภายใน และกายภายนอก ในเวลาเดียวกัน
รู้ได้ทั้งภายใน และภายนอก
ก็จะพบว่ากายภายนอกมันก็ส่วนหนึ่ง กายภายในก็ส่วนหนึ่ง
เมื่อจิตละเอียดเริ่มรู้สึกได้ไหม? บางทีการเคลื่อนมันไม่สัมพันธ์กันก็มีนะ
โดยเฉพาะเริ่มเข้าถึงจิตที่ละเอียดมากๆหน่อย
โล่งมากๆ บางทีกายภายนอกมันนอนอยู่
แต่กายภายในมันก็เคลื่อนไหวได้ ที่เรียกว่านามกาย
แล้วเมื่อสามารถเปลื้องจิตออกไปได้ ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ
ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง เห็นการแตกดับของรูปนามขันธ์ 5 ได้
กายภายนอกก็แตกดับ รูปนามขันธ์ 5.. แบบหยาบ
กายภายในก็แตกดับ รูปนาม..แบบละเอียด
รูปนามนี้มีทั้งแบบหยาบ และก็แบบละเอียด
ภายใน และภายนอก ก็แตกดับเช่นกัน
มิติภายนอกก็แตกดับ มิติภายในก็แตกดับ
แม้กระทั่งจิตผู้รู้ ที่เป็นวิญญาณขันธ์ก็แตกดับ
ขันธ์ทั้ง 5 มีแต่การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ทุกสรรพสิ่งก็เป็นเช่นนั้นเอง
เมื่อท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ
สามารถถอดถอนตัณหาอุปาทาน
หลุดจากการยึดมั่นถือมั่น
ก็จะสามารถสลัดคืน
สู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติได้
เข้าถึงเนื้อสภาวธรรมที่บริสุทธิ์
มันจะเป็นพลังงานความว่างที่บริสุทธิ์
ที่พ้นจากการปรุงแต่ง
การเข้าถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้
เปรียบเหมือนท่านทั้งหลาย
ได้เข้าถึงแหล่งน้ำที่บริสุทธิ์
ที่สิ่งนี้แหละจะไปชำระล้างน้ำเสียต่างๆ
น้ำดีชำระล้างน้ำเสีย
สิ่งนี้แหละที่จะไปชำระด้านมืดในใจของเรา
ไม่ว่าจะเป็นวิบากกรรม เป็นพันธะต่างๆ
ต้องใช้ความบริสุทธิ์นี้แหละ
ที่ไปชะล้างด้านมืดในใจ
ที่มันสะสมมานับภพชาติไม่ถ้วน
ทุกคนมีทั้งสองด้านเสมออยู่แล้ว
ทั้งด้านมืดและด้านสว่าง
อยู่ที่ว่าด้านไหนจะมีกำลังมากกว่ากัน
หรือว่าอยู่ที่ด้านไหนกำลังให้ผลอยู่
ถ้าเรามีด้านสว่างมากกว่า ก็จะเป็นวิถีดวงจิต
ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นวิถีที่ลอยขึ้นสูง
ตามหลักของธรรมชาติ
ธรรมชาติบริสุทธิ์มันเป็นธรรมชาติที่เบา ก็ลอยขึ้น
ส่วนความมืดเป็นธรรมชาติที่หนัก ก็ดึงลง
ถ้าเรามีด้านมืดมากกว่า
มันก็จะคอยดึงวิถีของดวงจิตนั้นๆ
ให้ดึง ให้ตกต่ำไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ
จนเข้าถึงความบริสุทธิ์ตรงนี้แหละ
ที่จะไปค่อยๆชาร์จชำระด้านมืดในใจ
ต้องค่อยๆชำระกันไป
บทที่ 33 ไม่อาจฝืนชนะกาย *****
"ผู้รู้" เป็นสักแต่ว่า "เรือนร่างของจิต" แต่ "ไม่ใช่จิต"
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งทาง ร่างกาย และ จิตใจ ก็เป็นแต่เพียงว่า "อาการอันหนึ่ง" ที่ "เกิดขึ้น" จาก "จิต" แต่ไม่ใช่ "จิต"
รู้ชัดเจน ก็เหลือแต่ “ความรู้” นี่เรียกว่า “วัฏจิต”
"เชื้อ" ที่จะพาให้ “จิต” ไปเกิด ไปตาย ในภพชาติน้อยใหญ่นั้น ก็คือ “ตัวรู้” ที่อยู่กับ “จิต” กลมกลืนเป็น “อันเดียวกัน” อยู่นั้นแล
เมื่อขาดจากความ “สืบต่อ” กับ "สิ่งภายนอก"
จนกระทั่ง "ในขันธ์" เรียบร้อยแล้วยังเหลือแต่ “จิต”
นั่นคือยังเหลือแต่ “อวิชชา” ...
"อวิชชา" นี้ท่านเรียกว่า "เชื้อ" ....
“เชื้อแห่งวัฏจักร” มีอยู่ที่ “จิตนี้”
"ปัญญา" พิจารณาลงไปที่ “จุดนั้น”...
ความสว่างคืออะไร ดูให้ดีว่า ความสุข-สุขอะไร
เป็น “สุขอวิชชา” หรือเป็น “สุขวิชชา”
“สุขสมมุติ” หรือ “สุขวิมุตติ” “สงบตัวจากความคิด”
ลงไปสู่ “ความรู้” อันเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกันกับกิเลส”
“กิเลสเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิต”
"เชื้อ" ที่พาให้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ได้ถูก "ถอนพรวด" ขึ้นมาแล้วจาก “จิต”
เหลือแต่ “วิมุตติจิต” เท่านั้นที่นี่ เป็น “จิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ”
เมื่อ "ดับอวิชชา" แล้ว มัน "ดับไปหมด"
"จิต" ที่นอกเหนือไปจากกฎ "อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา" แล้ว
นั่นคือ "ผู้พ้นภัย" ... พ้นโลกพ้นตรงนี้
"จิต" เป็น "ธรรม"... "ทั้งดวง" ...
"ธรรมกับจิต" เป็นอันเดียวกันแล้ว
ท่านจึงว่า "ธมฺโม ปทีโป ความสว่างกระจ่างแจ้งในจิต
ที่ปราศจากแล้วจากกิเลส เป็นความสว่างกระจ่างแจ้ง
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนในโลกทั้งสามนี้"
.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อจิตก้าวเข้าถึงขั้น "ว่าง" ย่อมรู้ชัดว่า ความกลัวเกิดขึ้นจาก "สังขาร" ผู้ปรุงเป็นสัตว์ เป็นเสือ เป็นเปรต เป็นผีต่างๆ ขึ้นหลอกหลอนตนให้กลัว แล้วก้เชื่อสังขารจอมหลอกหลอนจนหาที่ปลงที่วางไม่ได้ จิตที่ว่างย่อมไม่กลัว เพราะรู้สาเหตุและ
รากฐานทีทำให้เกิดความกลัวประจักษ์แล้ว ได้แก่ สังขาร ความคิดปรุง ซึ่งเกิด และดับ อยู่ในใจโดยเฉพาะ ไม่ถึงกับเป็น มโนภาพ ต่างๆ อันเป็นสิ่งที่น่ากล้า หรือน่ากลัว ขึ้นมาหลอกหลอนตน
คำว่า "จิตว่าง" หมายถึง ว่างจากรูปภาพภายนอก ที่เคยปรุงเป็นคู่กับใจอยู่เสมอ เช่น รัก ชอบ หรือ โกรธเคืองให้ผู้ใด ใจย่อมคิดปรุงเรื่อง และภาพของคนน้ันอยู่เสมอ เป็นต้น เรียกว่า "ภาพภายนอก"
ส่วน "จิตว่าง ทั้่งภายนอก ทั้งภายใน" แม้ตัวจิตเองก็ไม่ยึดไม่ถือ ทั้งว่าง ทั้งปล่อยวาง โดยประการทั้งปวงนี้ คือ จิตหมดอุปาทานทั้งภายนอกและภายใน
ถ้าเป็นพระหรือใครก็ตามบรรลุถึงธรรมขั้นนี้ ในคร้ังพุทธกาลเรียกว่า "บรรลุพระอรหัตตผล" เป็นพระอริยบุคคลขั้น "อเสขะ" ไม่ต้องศึกษาเพื่อละเพื่อถอนกิเลสใดๆ อีกต่อไป
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
คำว่า "จิต" จิตอันนี้ก็ปิด
ปิดอะไร... ปิดอะไร?
ก็ปิดคำว่ามรรคผลพระนิพพานนั่นเอง
ทำลายให้มันสลาย ทำลายให้เป็นของว่าง
ทำลายให้หมดให้สิ้น
มีตัวมีตนตรงไหน ๆ มีอะไรเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ๆ
เป็นตัวเป็นตนก็คือของที่เกิดขึ้นนั้นหละ
ถึงจะไม่มีตัวมีตนแต่ "อันเกิดขึ้น" นั้นหละเป็นตัวเป็นตน
เพราะใจของเรานี่เห็น ใจของเรารู้ เรียกว่าเป็นตัวเป็นตนในลักษณะที่เป็นนามธรรม
เพราะอัตตา อัตตาก็เป็นนามธรรมแต่อันนั้นก็เป็นตัวเป็นตน
อะไรโผล่ขึ้นมา ๆ ๆ จับหัวมันมาตัด ๆ เอาฆ้อนทุบหัวให้มันสลัดให้มันแตกให้พังไปเลย
ฆ้อนคืออะไร ฆ้อน คือ สติ ฆ้อนคืออะไร ก็คือปัญญา
สติปัญญานี้ทุบมันไม่หยุดนี่ ตลอดสาย ตลอดทุกขณะ ทุบสิ่งที่เกิดขึ้น ๆ ทุบสิ่งที่ไปปรากฏขึ้น ไอ้สิ่งที่รู้... สิ่งที่รู้อันนี้ ก็ทุบลงไปไม่ใช่หวง
สิ่งที่รู้... สิ่งที่รู้อยู่นี้ไม่ใช่หวง อันนี้ก็เป็น "สักกายทิฏฐิ" อันนี้ก็เป็นการหวง
ยึด "จิตตัว" เป็นเรา
ยึด "ผู้รู้" ว่าเป็นเรา...ยึด!!
ยึดว่าเป็นเราใช้ไม่ได้ทั้งนั้น
ท่านจึงว่าจิตสักแต่ว่าจิต ธรรมสักแต่ว่าธรรม
เห็นมั้ยหละ! มหาสติปัฏฐาน
"จิตสักแต่ว่าจิต ธรรมสักแต่ว่าธรรม"
ไม่ใช่เห็นจิตแล้วพอใจ เห็นธรรมแล้วก็สักว่าพอใจ
**********
องค์หลวงปู่แบน ธนากโร
ที่มาจากไฟล์เสียง "ดับที่จิต"
ระหว่างนาทีที่ 30.43-32.42