ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 5 มีนาคม 2563
ตอนที่ 64 **ความมั่นคงของจิต 3 ขั้น**
+ +
ในเย็นของวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563 ณ บ้านไทยเจริญ แดนเกิดพระยาธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามธรรม ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรมถึงเรื่อง สภาวธรรมของความมั่นคง ตั้งมั่นของจิต น่ะเจ้าค่ะ
รู้สึกว่า ดวงจิตของคนเรานั้น มันจะหาที่ตั้งมั่นแห่งจิตไม่ค่อยจะได้ มักจะวิ่งวุ่นตามสภาวะต่างๆภายนอก.. จนหาตัวของตนไม่เจอ ไม่สามารถเป็นตัวตนของตนได้
ลูกจึงจะขอถึงพระพุทธองค์ โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมะ 3 ขั้น ในเรื่องของ “ความมั่นคงของจิต” ให้ลูกได้ฟัง และน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม เผยแผ่ พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ก็ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงเริ่มต้นที่ตัวของตนก่อนเถิด พระยาธรรม..
หายใจเบาๆ ทำใจสบายๆ ให้มันโล่งโปร่ง ให้มันวาง หาความว่าง ความเบาๆ ให้เจอ
เมื่อเจอแล้ว.. ก็ทำจิตใจของตนให้นิ่งเฉย และทรงสภาวะความนิ่งเฉยนั้นเอาไว้
พระยาธรรมเอย.. เมื่อลูกทำได้เช่นนี้ จิตของลูก ก็จะหาความมั่นคงเจอ เพราะจิตจะตั้งมั่น นิ่งเฉย
แต่หากลูกนั้น ไม่สามารถที่จะฝึกฝนตน จนนิ่งเฉย จนจิตนั้นตั้งมั่น ความมั่นคงของจิตย่อมไม่มี
เพราะธรรมดา จิตทั้งหลายผู้ที่ยังไม่สามารถฝึกฝนตน จนมีภูมิต้านทานต่ออำนาจแห่งกิเลสตัณหานั้น.. ก็ย่อมต้องเคลิ้มตาม ไหวตามสิ่งกระทบต่างๆ.. จนหาที่มั่นคงให้กับจิตไม่เจอ
พระยาธรรมเอย.. จิตที่เวียนว่ายตายเกิด เวียนวนอยู่ในวัฏสงสาร.. จึงเป็นจิตที่หาความมั่นคงของจิตไม่ได้ เพราะ..
หลุดลอย ล่องลอย ไปกับสิ่งที่มันไม่มีความแน่นอน มั่นคง
หลุดลอย ล่องลอย ไปกับ..
- สิ่งที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
- สิ่งที่มันไม่เที่ยงแท้ ทั้งรูปธรรม นามธรรม
- สิ่งที่มันหวั่นไหว เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามกระแสสภาวะต่างๆ / ตามเหตุต่างๆที่ให้มันเป็นไป
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. จิตดวงใดก็ตาม - หากว่าไม่ได้ฝึกฝน หรือปล่อยจิตของตนไปตามกระแสแห่งโลก กระแสแห่งวัฏสงสาร - ก็ย่อมจะหาความมั่นคงให้กับจิตไม่เจอ ลูก
เพราะจิตนั้น.. มัวแต่เคลิ้มตามสิ่งที่ไม่เคยมีความมั่นคง
แต่พระยาธรรมเอ๋ย.. ธรรมชาติของจิตนั้น เมื่อได้เกิดขึ้นแล้ว จะไม่มีการแตกดับ สูญสลายตายไป
จะมีก็เพียงแต่ จะคลุกเข้ากับกิเลสตัณหา กรรมวิบาก คลุกเข้าอยู่กับโลก กับวัฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิด
หรือว่าจะฝึกฝน ขัดเกลา ชำระล้างจิตของตนให้สว่างไสว มีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อสิ่งสมมุติทั้งหลายในวัฏสงสารนี้ จนดวงจิตดวงนั้น สามารถหลุดลอยเหนืออำนาจแห่งกิเลสตัณหา การเวียนว่ายเวียนวน
และกลายเป็นจิตที่มีความเป็นสุข เป็นอิสระ อย่างแท้จริง
จิตของคนเรานั้น เมื่อเกิดมาแล้ว.. ก็มีเส้นทาง ให้ได้เลือกเดินตาม เพียงแค่ 2 ทางนี้
เมื่อจิตดวงใด ที่ยังคงเลือกทางแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เวียนวนอยู่ จึงเป็นธรรมดาที่จะหาความมั่นคงของจิตไม่เจอ เพราะจิตจะคอยวิ่งวน ตามเหตุที่พาให้วิ่งไปตามนั้น ตามสภาวะเหล่านั้น
แต่หากว่าเราเลือกทางที่ฝึกฝนจิต ให้รู้ตื่น เข้าใจตามความเป็นจริง ของทุกสิ่งทุกอย่าง จนจิตของเรานั้น หลุดจากโลกสมมุติ เข้าสู่โลกแห่งวิมุติหลุดพ้น
จิตเรา ก็จะหาความมั่นคงของจิตนั้นจนเจอ และก็จะสามารถที่จะมีความมั่นคงของจิตได้
มีทางอยู่ 2 ทางนี้ละ พระยาธรรม.. ที่ให้เลือก ที่จะเดินและนำพาจิตของตน.. ให้เป็นไป
บุคคลผู้ปรารถนานิพพาน และพยายามฝึกฝนทำความดี -- ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ประสบพบเจอกับความมั่นคงได้
บุคคลผู้ที่ปล่อยจิตของตน ให้จมอยู่กับสิ่งสมมุติ -- ย่อมจะหาความมั่นคงของจิตไม่เจอ.. พระยาธรรมเอย
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีความมั่นคงของจิต 3 ขั้น -- จึงเป็นบุคคลผู้ที่เลือกแล้ว ว่าจะเดินออกจากสิ่งสมมุติทั้งหลาย.. มุ่งหน้าสู่หนทางแห่งความหลุดพ้น
เมื่อมีเป้าหมายเช่นนี้ เป็นจุดเริ่มต้น จึงค่อยเข้าสู่ขั้นที่ 1 - คือ การคิดดี พูดดี ทำดี
และเริ่มทำความดีในระดับของศีล 5 คือ เริ่มทำความดี รักษาศีลตั้งแต่ศีล 5 เป็นต้นไป..
และเว้นจากการทำความชั่วทั้งหลาย..
ค่อยๆ ฝึกฝนไปเช่นนี้ เป็นขั้นที่ 1 - ของบุคคลผู้ที่จะสามารถมีความมั่นคงของจิตได้ ลูก
คือ พูดดี ทำดี คิดดี มีศีลตั้งแต่ระดับศีล 5 ขึ้นไป
แม้จะทำความดีที่ละเอียดมากยังไม่ได้ แต่ก็พอมีความดีในระดับหนึ่ง -- ที่จะพาให้ตนนั้น ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 1 - แห่งความดีที่จะพาตนไปสู่ความมั่นคงของจิตนั้น
จะไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป..
-- จิตนั้นมีความมั่นคง เที่ยงแท้แน่นอน ++
แล้วก็ฝึกฝนทำความดี เช่นนี้ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ.. จนเข้าสู่ขั้นที่ 2 ของการทำความดี
ทีนี้ ก็ยิ่งตั้งใจทำความดีละเอียดมากขึ้น มั่นใจมากขึ้น
ความลังเลสงสัยลดลง เหลือเพียงเล็กน้อย
และตั้งใจทำความดีที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อละกิเลสตัณหาทั้งหลาย...
จิตเหล่านั้นตั้งมั่นในความดี และความดีก็จะเป็นความมั่นคงของจิตในวันต่อไปๆ ที่ฝึกฝนขัดเกลากิเลสจนหมด
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้เดินทางถึงขั้นที่ 2 แห่งความมั่นคงของดวงจิตนั้น
-- จึงเป็นบุคคลที่ฝึกฝนทำความดีได้ละเอียดเพิ่มมากขึ้น และก็ไม่มีความลังเลสงสัยในการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เพียงแต่อาจสงสัยเล็กน้อย ในบางสิ่งที่ตนประสบพบเจอ หรือได้รับ
-- แต่ก็ไม่เป็นผลทำให้ต้องหยุดทำความดี ก็จะยังคงมั่นใจทำความดี ดำเนินไปๆ..
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย..
และก็จะฝึกฝนกันเช่นนี้ จนดวงจิตในกลุ่มนั้น สามารถที่จะทำความดีได้ โดยที่ไม่ต้องตั้งท่า ตั้งใจว่า จะทำความดี
... แต่ความดีเหล่านั้น อยู่ในจิตในใจ ++
ลูกเอ๋ย..
ทำดีจนเป็นนิสัย
ทำดี ไม่หลงดี ยึดดี
ทำดีอยู่เหนือดี
ทำดีอย่างรู้ตื่น
เห็นทุกอย่างสักแต่ว่า..
รู้ตื่นรู้แจ้ง ไม่มีความยึดติดในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. จึงถึงซึ่งความมั่นคงในจิต อย่างแท้จริง - ในขั้นที่ 3
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่ปล่อยจิตให้หมกมุ่นอยู่กับกิเลสตัณหา คลื่นของโลก วัฏสงสาร
-- ย่อมจะหาความมั่นคงให้กับจิตไม่เจอ..
การที่เริ่มต้นทำความดี ในแต่ละขั้น ตามที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น คือ
ในขั้นที่ 1 --
/ ทำดี รักษาศีล ในระดับที่ตนพอจะทำได้ ตั้งแต่ศีล 5 ขึ้นไป..
/ และไล่ขึ้นมาตามระดับ คือ การทำความดีอย่างมั่นใจ และมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำ
/ ปราศจากซึ่งการลังเลสงสัย ในการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจริงหรือเปล่า ?
แต่ก็อาจมีสงสัยเล็กน้อยในบางสภาวะ บางสิ่งที่ตนเจอ
... แต่ไม่เป็นเหตุให้หยุดทำดีได้ แล้วก็ทำจนรู้ตื่น รู้แจ้ง เข้าใจ -- จิตนั้นจึงถึงซึ่งความมั่นคง
พระยาธรรมเอ๋ย.. ธรรมชาติจิตนั้นเกิดขึ้นมา ก็มีความมั่นคงของจิต คือ ไม่แตกดับ
แต่จิตมัวแต่หลุดลอย คลุกเข้ากับกิเลสตัณหา กรรมวิบาก
ขาดการฝึกฝน -- จิตจึงหลุดลอย ไม่มีความมั่นคง
แต่เมื่อฝึกฝนให้ดีแล้ว จิตนั้นย่อมถึงซึ่งความมั่นคงของจิต ไม่แตกดับ เกิด-ตาย ไม่ทุกข์เศร้าหมองอีกต่อไป - จิตย่อมจะสว่างไสว
เช่นนี้ พระยาธรรมเอ๋ย..
พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติ และเผยแผ่ เพื่อหาที่มั่นคงของจิตให้เจอ
ให้จิตของลูกทั้งหลาย.. ตั้งมั่นอยู่ในที่ที่มั่นคง แห่งแสงสว่างของดวงจิตที่รู้ตื่น
....จะได้ไม่ทุกข์อีกต่อไป พระพุทธเจ้าค่ะ..
สาธุ