พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 3 กันยายน 2560
ตอนที่ 165 **พุทธานุสติ แบบที่ ๑**
+ +
ในเช้าของวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะมาเฝ้าทูลถาม ถึงกรรมฐานทั้ง 10 กอง ของหมวดที่ 3* คือ การตามระลึก น่ะเจ้าค่ะ
และการตามระลึกในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมา ให้เราตามระลึกนึกถึงสิ่งนั้น
-เพื่ออะไร เพราะอะไร หรือเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้เข้าใจด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. การตามระลึกนึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เรากำหนดเอาไว้
-- ให้เป็นสิ่งที่คุมจิตของเราให้หยุดอยู่กับสิ่งนั้น..
ง่ายๆเลย ก็คือ เพื่อไม่ให้จิตนั้นฟุ้งซ่าน ไปในทางอื่น..
และอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ..
เมื่อจิตเราระลึกนึกถึงที่ที่มีพลัง - พลังที่มีความบริสุทธิ์ พลังที่มีความดี และมีพลังบวก
คือ พลังงานที่ดี ที่เข้ามาสัมผัสกับจิตของเรา - ที่จิตของเราส่งไปสัมผัสกับสิ่งนั้น
... ก็จะทำให้จิตของเรา ไปในทิศทางที่ดี
ก็เหมือนคบเพื่อนดี นั่นแหละลูก.. เราส่งจิตของเราไปคบเพื่อนที่ดี
- เพื่อนำพาให้เราทำในสิ่งที่ดี -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ก็จิตของเรานี้ ถูกกิเลสและตัณหาครอบงำ จนเรานั้น..
ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง..
-- ก็เลยมีแต่ความรุ่มร้อน ++
วันนี้ ที่ฝึกทำกรรมฐานนั้น ก็เพื่อให้เรานั้น.. สงบ สบาย
จิตของเรา ก็เลยต้องรับสิ่งที่ดี / พลังที่บวก.. เข้ามาเติมในจิต
... เพื่อขจัดพลังที่ไม่ดี ออกไป ++
มันเลยเป็นเรื่องของการ ตามระลึกนึกถึง เพื่อนำพาจิตของเรา..
ให้ไปคบกับเพื่อนที่ดี
ให้เพื่อนที่ไม่ดีนั้น - ถอยออกจากเราไป
.. เช่นนั้น อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
และถ้าจะให้รู้ และเข้าใจ ก็ต้องลองทำเองดู..
- เพราะการที่เราฟังเฉยๆ ก็อาจจะไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย
- เพราะว่า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
... เป็นเรื่องของจิต ที่เรานั้นจะต้องเข้าถึง ด้วยการสัมผัส- ด้วยตัวของเราเอง !
กับข้าวอร่อยแค่ไหน เราก็ไม่รู้หรอกว่าอร่อยยังไง - ถ้าเราไม่ได้กินเอง
รสชาติของมันกลมกล่อมเป็นแบบไหน.. เราก็ไม่รู้หรอก ถ้าเราไม่ได้กินเอง !
ฉะนั้น.. จงพากันฝึกฝน และทำตามนะลูก ลูกก็จะเข้าใจ ลึกเข้าไปมากกว่านี้..
แต่การตามระลึกนึกถึง ก็ให้ประโยชน์หลักๆ 2 อย่าง คือ เช่นนี้ที่กล่าวมานั่นละ.. พระยาธรรม
คือ การคุมจิตของตน.. ไม่ให้ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น
เมื่อจิตอยู่ในที่เดียว ที่ใดที่หนึ่ง - ย่อมสงบ ++
เมื่อจิตนึกถึงที่ที่มีพลัง มีความสุข มีพลังงานที่ดี
-- จิตย่อมได้สัมผัส และน้อมเอาพลังที่ดีนั้น มาสู่ตน..
.. เพื่อนำพาให้ตนทำสิ่งที่ดี ++
เอาละนะ ทีนี้ ลูกจะถามคำถามต่อไป ก็ลองถามดู ว่าจะทำกรรมฐานในแบบไหนต่อ..
เลือกเอาสักกองหนึ่ง -ในหมวดนี้.. ก็แล้วกัน
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาอธิบายเรื่อง “ตามระลึกนึกถึง” พระพุทธเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกจะขอกราบทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 21 ในแบบที่ 1*
คือ ระลึกนึกถึงคุณ*พระพุทธเจ้า* เป็นอารมณ์ น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์ โปรดทรงแสดงธรรมเรื่องนี้ ให้ลูกได้น้อมประพฤติ ปฏิบัติตาม ด้วยพระพุทธเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอ๋ย.. การตามระลึกนึกถึง*พระพุทธเจ้า* เป็นอารมณ์
เราก็สามารถระลึกได้หลายรูปแบบ ตามแต่เรานั้นจะสะดวก
แต่วันนี้ จะยกตัวอย่างขึ้นมา 1 อย่าง ก็แล้วกันนะ..
... ก็ลองทำดู
ลูกเอ๋ย.. ถ้าเราเพิ่งเริ่มทำใหม่ๆ ให้เรามองดูพระพุทธรูป - พระพุทธรูปที่เรากราบไหว้ทุกวัน
ที่เป็นองค์สมมุติขึ้นมา เป็นตัวแทนขององค์พระพุทธเจ้า
/ เป็นที่เชื่อมต่อระหว่างจิตของเรา - กับองค์พระพุทธเจ้า
/ เป็นที่ที่เรา นึกว่าที่นั่น คือ องค์พระพุทธเจ้า ที่เราสามารถที่จะมองเห็นส่งจิตเชื่อมต่อไปได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อเรานั้นจะทำกรรมฐาน ก็จงปรับจิต ปรับใจ ปรับกายของเรานั้นให้สงบ
สงบ คือ..
เตรียมพร้อมที่จะทำสมาธิ
บอกตนให้ระลึกรู้ว่า.. ณ ตอนนี้ เรากำลังจะทำอะไรอยู่..
.. เพื่อควบคุมให้ตนอยู่ในขอบเขตของการทำสมาธิ
แล้วก็ให้จำภาพองค์พระพุทธรูปองค์ใดก็ได้ - ที่เราพอจะนึกได้ / ที่เราพอจะจำได้
และภาพแห่งองค์พระนั้น.. ก็ติดตาเราอยู่
หรือถ้าสมมุติว่า เรานึกองค์ไหนไม่ออก.. ก็ให้นึกตามองค์ที่อยู่ตรงหน้าของเรา
ที่อยู่ในห้องพระ อยู่ที่หิ้งพระ
อยู่ในโบสถ์ ในวิหาร ที่ไหนก็ได้ลูก
-- ให้เราตามระลึกนึกถึง *องค์พระพุทธรูป*…
เมื่อหลับตาลง ให้จำองค์พระที่เรานึกถึงนั้น.. ไว้ให้ดี
เมื่อเรานั้น จำภาพแห่งองค์พระได้แล้ว.. เราก็อยู่กับพลังที่สงบ พลังที่เย็น
เอากายสัมผัสนั้น สัมผัสกับพลังที่เย็น.. สบาย
จิต ความจำของเรา ให้ตั้งมั่นอยู่กับองค์พระพุทธรูป..
แล้วเราก็น้อมพลังที่เย็น ที่สบาย ..
.. เข้ามาสู่จิตสู่ใจ
.. สู่ศูนย์กลางกายของเรา
นึกถึงองค์พระพุทธรูป.. อยู่ตรงหน้าของเรา
เราก็น้อมพลังที่เย็น.. เข้าไปสู่ในตัวของเรา
องค์พระพุทธรูป อยู่ตรงหน้าของเรา
... เราก็น้อมพลังเย็นๆ - เข้ามาสู่ตัวของเรา
องค์พระพุทธรูป อยู่ตรงหน้าของเรา
เราก็น้อมพลังเย็นๆ เข้าสู่กายของเรา
จนองค์พระพุทธรูปนั้น.. เริ่มเปลี่ยนสี
สมมุติว่า ถ้าเราจำภาพ พระพุทธรูปสีทอง
องค์พระนั้น ก็จะเริ่มเปลี่ยนสี- เป็นสีเขียว.. สว่างไสว
แล้วก็เปลี่ยนไป เป็นสีเหลืองอ่อน.. สว่างไสว
เปลี่ยนแปลงไป เป็นสีขาว.. สว่างไสว
แต่แสงสว่างนั้น - ก็อยู่ตรงหน้าเรา
เรา ..
- ยังคงอยู่กับพลัง ที่เย็นสบาย
- ยังคงน้อมพลังที่สงบ ความชุ่มเย็น
จิตและความจำ.. เรายังคงจำภาพแห่งองค์พระพุทธรูป
.. ที่ปรากฏขึ้นชัดเจน อยู่ตรงหน้าของเรา
เราก็น้อมพลังตรงนั้น อาจจะเข้ามาแตะบนฝ่ามือ / แตะบนศีรษะของเรา
เหมือนคล้ายกันกับว่า..
องค์พระพุทธรูปนั้น - ส่องแสงสว่างที่เย็นสบาย ลงมาแตะที่ตัวของเรา อย่างนั้น
เราก็อยู่กับสภาวธรรมเช่นนั้น.. ไปเรื่อยๆ
เรายังคงเห็นภาพองค์พระปรากฏขึ้น
- สง่า และงดงาม เป็นแสงสีขาว สว่างไสว -
ตอนนี้.. องค์พระ ก็ขยายใหญ่ขึ้นๆ
จากที่เราระลึกนึกถึง อาจจะเป็นองค์พระพุทธรูป องค์เล็ก ขนาดแค่ 9 นิ้ว
แต่ตอนนี้ องค์พระขยายใหญ่ขึ้น..ใหญ่ขึ้นมา
คล้ายกับว่า เรานี้นั่งอยู่ต่อหน้าองค์พระพุทธรูป ที่มีขนาดใหญ่ เท่ากับหน้าตัก กว้างสัก 2 เมตร
และอยู่ใกล้กับองค์พระมาก
- องค์พระ ก็ตั้งอยู่ตรงหน้าของเรา ลูก -
เรามีความรู้สึกคล้ายกันกับว่า.. เรานั้นเข้าไปสู่พลังแห่งพุทธะ
พลังแห่ง *องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า*
..เป็นแก้วใส เป็นพลังงานที่เย็น และสว่าง.. ระยิบระยับ
เราก็ทรงอารมณ์ตรงนั้นไป จนองค์พระท่านสว่างมาก
บางที เราก็รู้สึกว่า.. ท่านไม่ใช่ แค่พระพุทธรูปแล้ว
ท่าน สามารถที่จะพูดคุยกับเราได้
ท่านนั้น สามารถที่จะขยับตัวได้ เหมือนกับว่าท่านนั้น.. กลายเป็นองค์พระที่มีชีวิตขึ้นมา
เราก็ยังคงนั่งอยู่ต่อหน้าองค์พระพุทธรูป.. อย่างนั้นไป
เราจะรู้สึกตัวเบา สบาย
รู้สึกว่า ที่นั่นเป็นที่อีกที่หนึ่ง เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง
รู้สึกว่า พื้นที่นั่งนั้น.. โล่ง ว่าง.. เบาสบายไปหมด
เหมือนคล้ายกับว่า เราได้ละทุกสิ่ง ปล่อยทุกอย่างทิ้งไป
แล้วได้มาอยู่ต่อหน้าองค์พระพุทธเจ้า
เรานี้ ช่างมีความสุข…
เป็นความสุข ที่ไม่สามารถอธิบายออกมา..
นอกจากต้องให้เข้าไปสัมผัส - ด้วยตัวของตนเอง !
เราไม่สนใจใครแล้ว.. ใครจะเชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจเขา
ใครเขาจะเข้าใจความรู้สึกตอนนี้หรือไม่.. ก็ช่างเขา !
แต่เรานั้น.. รู้สึกดีมาก
เหมือนคล้ายกับว่า มีเส้นพลังงานสีขาว เย็นสบาย
.. ลงมาแตะที่ฝ่ามือของเรา - ยิงพลังลงมาเป็นเส้น
ฝ่ามือของเรา จากที่เป็นเนื้อเป็นหนัง.. กลายเป็นเส้นสีขาว สว่างระยิบระยับ
เราค่อยๆเห็น กายของเรา - แข็ง คล้ายกับก้อนหิน
หรือว่า คล้ายกับก้อนน้ำแข็ง ที่แข็งทื่อ ขยับไม่ได้.. แต่
/ กายนั้น - ใสเป็นแก้ว..
/ ผ้าที่สวมใส่อยู่ - ก็กลายเป็นแก้วใส..
/ ตัวของเราที่นั่งอยู่ - ก็กลายเป็นแก้วใส..
ทีนี้ เราเอาความรู้สึก กลับมาดูกายของเรา
หน้าของเรา - เป็นแก้ว
ดวงตาที่หลับตาอยู่ - ก็เป็นแก้วใส
ตัวของเรา - เป็นแก้วใส.. สว่างไสว
เราก็ยังคงน้อมพลังอย่างนั้น ไปเรื่อยๆ..
จนกายของเรา ที่รู้สึกว่า มันหนักที่ตรงจุดใดจุดหนึ่ง ที่ใดที่หนึ่ง
... มันเบาไปหมด ไม่มีความหนัก..
ตรงจุดไหนของร่างกาย ที่เรารู้สึกว่ามันมืด รู้สึกว่าไม่สว่าง
... มันก็สว่างไสวไปหมด
เหมือนกับว่า เรา..
/ อยู่ในโลกที่เย็นสบาย
/ อยู่ในโลกที่ไม่มีความหนักเหนื่อย - ไม่มีความมืดมน
/ อยู่ในโลกที่มีแต่ แสงสว่าง
องค์พระพุทธรูปที่อยู่ตรงข้างหน้าของเรา - ก็สามารถเปลี่ยนเป็นปางปรินิพพาน
คือ เป็นองค์พระนอน องค์พระยืน หรือว่า เป็นปางไหนก็ได้.. เปลี่ยนไปมา ++
บางที เราก็จะเห็น เป็นองค์พระพุทธเจ้า มีผิวกาย เป็นแสงสว่างแวววาว
มีรูปลักษณ์ รูปร่างคล้ายคลึงกันกันมนุษย์ เดินจงกรมอยู่ตรงหน้าของเรา
เราก็ดูภาพต่างๆเหล่านั้นไป.. นึกถึงแต่องค์พระพุทธเจ้า
ที่เดินไปเดินมา อยู่ตรงหน้าของเรา
เปลี่ยนเป็นปางนั้น ปางนี้ - อยู่ตรงหน้าของเรา
แสงสว่าง ระยิบระยับ
พื้นที่เรานั่ง.. ก็สว่างไสว
ที่ที่เราอยู่.. สว่างยิ่งนัก
จนอาจจะเห็นพระพุทธรูป หลายๆพระองค์ - เป็นร้อย เป็นพันพระองค์
สว่างไสว.. ส่องแสงลงมาที่ตัวของเรา
เราสุขแล้ว สบายแล้ว..
*กิเลส และตัณหา* ออกห่างจากเรามากแล้ว
... เพราะตอนนี้เราได้เข้าถึง พลังชุ่มเย็น
ได้รับพลังแห่งพุทธบารมี ขององค์พระพุทธเจ้า ส่งพระบารมีลงมา
ปกคลุมจิต กาย และใจของเรา จนหมด
กิเลสตัณหาใด..ไม่มีในเรา
เราก็เลยโล่งว่าง เบาสบาย
สุขยิ่งนัก ที่อยู่ตรงนี้ !
เราก็รับพลังเช่นนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าว่าเรานั้น.. จะต้องการที่จะถอยออกจากฌาน
หรือว่า จะทำให้ความรู้สึกค่อยๆสลายหายไป - ดับเข้าไปในความไม่มี
มองภาพแห่งองค์พระพุทธรูป เห็นแสงระยิบระยับเหล่านั้น..
แล้วก็เข้าไปสู่ความสว่าง โล่ง ว่าง - ที่มันไม่มี
หรือว่า เมื่อเราน้อมพลังพุทธบารมีจนเต็ม.. ซึ่งก็เป็นกสิณแห่งการมีแสงสว่าง
หรือว่า มีการน้อมรับแสงสว่าง จนเต็มกำลังของจิตของเราแล้ว…
เราจะอธิษฐานขอพลังพุทธบารมี..
- เพื่อรู้กรรมในอดีต
- เพื่อรู้สิ่งที่ติดขัด และเราต้องเผชิญพบเจอต่อไปในภายภาคหน้า
- เพื่อรู้สวรรค์ รู้นรก
- เพื่อรู้กฎแห่งกรรม รู้กิเลส และตัณหา ในตัวของเรา - ที่ยังมีอยู่
เราก็สามารถที่จะน้อมเอาพลังงานเหล่านั้น.. มาเป็นสิ่งที่นำพาจิตของเรา
หรือว่าฉายภาพฉากแห่งกรรม
การไป และการมาของจิตเรา.. ให้เรานั้นดูได้ด้วย
-- ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล.. พระยาธรรมเอย ++
การทำสมาธิ ด้วยการตามระลึกนึกถึงองค์พระพุทธเจ้า -ในแบบที่ 1*
ก็ให้ลองทำกันเช่นนี้ ก็แล้วกัน.. พระยาธรรม
ปรับจิตใจให้สบาย พร้อมทำสมาธิ
แล้วก็ระลึกนึกถึงองค์พระองค์ใดองค์หนึ่ง - ที่เราพอจะจำภาพได้
ดูจนกว่า.. องค์พระนั้นจะเปลี่ยนสี หรือว่าขยายตัวใหญ่ขึ้น หรือว่าเล็กลง
แล้วก็น้อมพลังแสงสว่างจากองค์พระนั้น จนกว่ากายของเราจะสว่างไสว
เบาลอย และ สบาย
จิตนั้น.. เป็นสุข
ถ้าเราจะสลายตัว เพื่อเข้าสู่ฌาน ที่ลึกเข้าไปกว่านั้นอีก
เราก็สามารถตั้งอารมณ์อยู่กับอากาศ - กับความว่าง - กับสิ่งที่ไม่มี
ถ้าเกิดว่า เราต้องการที่จะใช้กำลังของฌานนี้มาพิจารณา
ตามรู้อดีต รู้อนาคต.. ก็สามารถอธิษฐานได้ ++
และหากเราข้องใจในสิ่งใด.. เราก็สามารถที่จะถาม หรือว่าทูลถาม..
* องค์พระพุทธรูป
* องค์พระพุทธเจ้า ที่อยู่ตรงหน้าของเรา
พระยาธรรมเอย.. บางคน อาจจะไม่เคารพบูชาพระพุทธรูป - แม้จะเป็นชาวพุทธ
แต่นั่น.. ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ ความคิดของเขา.. ลูกเอ๋ย
แต่ในมุมมองความคิดที่ดี หรือว่าในความจริง..
** องค์พระพุทธรูป ก็คือ สิ่งสร้างขึ้นมาแทนองค์พระพุทธเจ้า **
เพื่อให้จิตที่หยาบของเรา ที่ไม่ละเอียดพอที่จะนึกออก นึกได้นั้น
- ได้ใช้เป็นสิ่งที่จะนำพาจิตของเรา จูน เชื่อมเข้าหา องค์พระพุทธเจ้า..
องค์ที่ละเอียดเข้าไป สูงขึ้นไป
… ที่อยู่ในที่ละเอียด ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยจิตที่หยาบ หรือกายหยาบ ..
ฉะนั้น.. เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราเอาองค์พระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง**
จิตเราเชื่อมต่อพระพุทธรูป.. ก็เหมือนจิตนั้นส่งผ่านไปเชื่อมต่อองค์พระพุทธเจ้า
-- จึงสามารถทำกรรมฐาน ด้วยการตามระลึกนึกถึง*องค์พระพุทธเจ้า* ให้เป็นอารมณ์ --
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกลูก !
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
แล้วองค์พระพุทธรูป.. ก็จะสามารถส่งพลังกลับคืนมาหาเรา - ผ่านองค์พระพุทธรูป
... อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. เมื่อจิตของเรา เชื่อมต่อไปสู่ที่ที่มีพลังงานที่ดี หรือว่าไปสู่องค์พระพุทธเจ้าได้..
.. องค์พระพุทธเจ้า.. ก็เชื่อมต่อกลับมาสู่เราได้เหมือนกัน ลูก
พระยาธรรม :: ถ้าอย่างนั้น องค์พระพุทธรูป ก็คือ สิ่งเชื่อมต่อระหว่างจิตของเรา ไปหาองค์พระพุทธเจ้า องค์จริงๆ
... เพราะว่า จิตของเราจะตั้งมั่นอยู่กับพระพุทธรูป ซึ่งก็นึกถึงพระพุทธเจ้า.. แบบนั้นหรือเจ้าคะ ?
พระพุทธองค์ :: ถูกต้องแล้วละ.. พระยาธรรม
ก็เลยต้องฝึกกันไป อย่างนี้ละลูก
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
แล้วถ้าเป็นสมัยที่ไม่มีพระพุทธรูป ล่ะเจ้าคะ.. เราจะทำยังไงดี ?
พระยาธรรมเอย.. เดี๋ยววันพรุ่งนี้ ก็จะแสดงในแบบ “ที่ไม่ได้นึกถึงพระพุทธรูป” ก็แล้วกัน
เพราะมันเป็นเรื่องของจิตที่ละเอียดอ่อน เข้าไป
ในแบบที่ 1*.. ก็ให้ฝึกฝน ทำกันในแบบที่จิตนั้น ยังไม่ค่อยฝึกฝนมา
อย่างนั้นละ พระยาธรรม.. เข้าใจหรือยัง ลูก
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
แล้วถ้าอย่างนั้น คนที่เขาเป็นศาสนาพุทธ - แต่เขาไม่เคารพพระพุทธรูป
... เป็นยังไงหรือเจ้าคะ มันจะเกิดผลยังไงหรือเจ้าคะ ?
พระพุทธองค์ :: ไม่เป็นไรหรอกลูก ก็แล้วแต่ ความรู้ความเข้าใจของแต่ละคน
เขาอาจจะไม่ได้ยึดเอาพระพุทธรูป - เป็นที่ตั้งแห่งจิต
แต่เขา **อาจจะยึดเอาธรรมคำสอนสั่งขององค์พระพุทธเจ้า หรือระลึกนึกถึงองค์พระพุทธเจ้า** เลย..
-- เพื่อปฏิบัติตาม - ก็สามารถเข้าถึงความดีได้ เหมือนกันลูก ++
แต่หากจะมีโทษมีกรรมนั้น.. ก็คือ เราเห็นเส้นทางของเราว่า “ถูก”
และเราก็เลยไปเบียดเบียน กล่าวว่าผู้อื่น ว่า “ผิด”
แล้วก็..
ไปทำร้ายทำลาย - พระพุทธรูป
ไปทำลาย - ความดีของผู้อื่น
-- นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่จะทำให้เป็นบาป เป็นกรรม !
พระยาธรรมเอย.. คือ หมายถึงว่า เดินเส้นไหน.. ก็ถึงเหมือนกัน
แต่ว่า.. เราอย่าคอยแต่แวะไปในเส้นทางของผู้อื่น แล้วไปเบียดเบียนเขา / ว่าเขา
/ กล่าวติเตียนเขาในทางที่ไม่ดี
... แค่นั้นละลูก
การตามระลึกนึกถึงองค์พระพุทธเจ้า จะมีองค์พระพุทธรูปหรือไม่ - ก็ไม่ผิดอะไร
... ถึงนิพพานเหมือนกัน **
ขอเพียงให้เคารพบูชาองค์พระพุทธเจ้า ด้วยการ..
/ ประพฤติ ปฏิบัติ ตามคำสอนสั่ง
/ อยู่ในกรอบขอบเขต ของศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา
/ ไม่ทำในสิ่งที่เบียดเบียนผู้อื่น
/ และตนนั้น ก็ขยันทำความดี - เพื่อล้างกิเลสแห่งตน / เพื่อดับการเกิด
... เท่านั้น ก็ไม่ผิดอะไร ..
เดินทางไหน.. ก็ถึงเหมือนกันลูก
ขอเพียงแค่.. ** อย่าสร้างกรรมเบียดเบียนกันและกัน.. ก็พอ **
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ เข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมให้ลูกฟังในวันนี้.. เจ้าค่ะ
สาธุ