“อย่าไปบ้ากับชีวิตให้มาก เพราะมันเป็นสิ่งสมมติ
เพราะชีวิตมันไม่มีจริง มันเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
จงทำหน้าที่ให้ดี โดยไม่มีความทุกข์ ให้สงบ เย็น และ เป็นประโยชน์
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องคืนให้กลับสู่ธรรมชาติดังเดิม
แม้แต่ร่างกายที่เราเฝ้าดูแลก็ตาม”
.ท่านพุทธทาสภิกขุ
การปฏิบัติ ที่ดูเหมือนมิได้ปฏิบัติอะไรเลย
คือ การปฏิบัติทางจิตใจ ให้รู้สึกพอใจ
อยู่ในความว่างจากตัวตน ของตน
กระทำหน้าที่ทุกอย่าง กลมกลืน
อยู่กับกฏของธรรมชาติ
ทำงานเพื่อหน้าที่
มิใช่ทำเพื่อประโยชน์แก่ตัวกู-ของกู
_______________________
ปัญหาของคำว่า “ความว่าง”
ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
“เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลก
โดยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อเถิด”
.
…. “คําที่เป็นปัญหามากที่สุดในพระพุทธศาสนาเรา ก็คือคําว่า “ความว่าง” หรือ “สุญญตา” พระนิพพานนั้นถูกเรียกว่าเป็น “ปรมสุญญตา” คือ เป็นความว่างอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือพระนิพพานแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ความว่างอย่างยิ่งนั้นก็เป็นสิ่งสูงสุด, เป็นปัญหาสําคัญ นี้หมายถึงสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความปรารถนา เป็นวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติพระพุทธศาสนา
…. ทีนี้ลดลงมา มองดูถึงการปฏิบัติตามหลักแห่งการปฏิบัติก็มีว่า ให้มองดูสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นสุญญตาหรือความว่างอยู่เสมอ ; ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต - เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลก โดยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อเถิด”. นี้เรียกว่าในทางปฏิบัตินั้นก็ต้องปฏิบัติด้วยการมองให้เห็นความว่างของสิ่งทั้งปวง ที่รวมเรียกกันว่า “โลก” ในที่นี้ ผู้ใดเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง ผู้นั้นไม่มีความทุกข์ ; เพราะจะมองเห็นเป็นสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับไปหมด จึงไม่มีความทุกข์ได้
…. แต่ปัญหามันมามีอยู่ว่า คนทั้งหลายจะมองเห็นโลกเป็นของว่างไปได้อย่างไร? เพราะว่าคนทั้งหลายมองเห็นโลกนี้ว่าเต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ นี้เป็นเครื่องแสดงว่าคําว่า “ว่าง” ในความรู้สึกของคนทั่วไปนั้น; ไม่ใช่อย่างเดียวกันกับคําว่า “ว่าง” ชนิดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเสียแล้ว
…. คําว่า ว่าง ตามความรู้สึกของคนธรรมดาเป็นอย่างหนึ่ง ; คําว่า ว่าง ตามความหมายของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง เราจึงเข้าใจคําของท่านไม่ได้; ในเมื่อท่านบอกให้มองดูโลกโดยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อดังนี้ เราก็ ไม่เข้าใจ. หรือเมื่อบอกว่า นิพพานนั้นเป็นของว่างอย่างยิ่ง เราก็ยังไม่เข้าใจ และยิ่งไม่ต้องการนิพพาน โดยเข้าใจไปว่ามันว่าง ไม่มีอะไร ทั้งที่เราไม่เคยเห็น สิ่งนั้น และไม่เข้าใจในสิ่งนั้น
…. ทีนี้เราลองมาพิจารณากันดู ถึงความหมายของคําว่า “ว่าง” มันขัดขวางกันอยู่อย่างไร ? หรือมันกลับกันอยู่อย่างไร? เราจึงเข้าใจไม่ได้ ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้ก็ต้องระลึกนึกถึงคําที่กล่าวแล้วว่า คําคําเดียวมีความหมาย ๒ อย่าง เสมอไป ; ถึงแม้คําว่า “ว่าง” หรือ “ความว่าง” นี้ก็เหมือนกัน คําว่า ว่าง ทางวัตถุ นั้นก็อย่างหนึ่ง, คําว่า ว่าง ในทางจิตหรือทางนามธรรมนั้นก็อย่างหนึ่ง
…. คําว่า ว่าง ในทางวัตถุนั้นหมายถึงไม่มีอะไรจริงๆ จึงจะเรียกว่า ว่าง, ส่วนคําว่า ว่าง ในทางธรรมะหรือทางที่ไม่ใช่วัตถุนั้น ไม่ได้หมายความว่า ว่าง นั้นคือไม่มีอะไร หมายความไปอีกอย่างหนึ่งว่า คําว่า ว่าง นั้น มันหมายถึง “ไม่มีอะไรที่เราจะต้องสนใจหรือยึดถือ”. ดังนั้น มันจะมีอะไรให้มากมายไปสักเท่าไรก็ตามใจ เราไม่ยึดถือโดยความเป็นสิ่งที่น่ายึดถือ, หรือต้องยึดถือก็แล้วกัน ความว่างชนิดนี้แหละเป็นความว่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน โดยบทที่ว่า “ให้เห็นโลกโดยความเป็นของว่าง”. ในโลกนี้มีอะไรทุกอย่าง หรือว่าจะสรุปแล้วก็คือสิ่งที่เรารู้จักได้ทาง ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ หกทางนี้ แต่แล้วมันมีมากมายหลายหมื่นหลายแสน หลายล้าน หลายพันล้านอย่าง, ถ้ามองดูในทางวัตถุมันก็ไม่ว่าง. แต่ถ้ามองดูในทางธรรมะ ทางสติปัญญา ทางจิตใจ หรือทางปรัชญา ก็อาจจะมองเห็นได้ว่า มันว่างอยู่ในลักษณะหนึ่ง, คือว่างจากการที่จะมีตัวมันเองโดยเด็ดขาด และว่างจากส่วนที่เราจะไปยึดมั่นถือมั่นมันว่า เป็นตัวเรา หรือเป็นของเรา.
…. ที่ว่าเมื่อมองดูด้วยสติปัญญาแล้ว จะเห็นว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่างนั้น ก็เพราะว่า บรรดาสิ่งเหล่านั้นมีความเกิดขึ้นและมีความดับไปเป็นธรรมดา ; มีการเกิดดับอยู่เสมอดังนี้แล้ว ก็หมายความว่าไม่มีตัวตนที่ถาวร, หรือไม่มีตัวตนที่แท้จริง ดังนั้น จึงเรียกว่าว่างจากตัวตนที่แท้จริง แม้ว่าจะมีอะไรเป็นปรากฏการณ์ต่างๆนานาสารพัดอย่าง ปรากฏได้แก่เราทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางจิตใจ ทุกอย่างทุกทางนี้ ; แต่แล้วมันก็ว่างจากความเป็นตัวตนที่แท้จริง, เป็นเพียงมายา ที่ผ่านไปแผล็บ ๆ แผล็ว ๆ เรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุดตามเหตุตามปัจจัยของมันเอง ซึ่งเรียกว่าการเกิดและการดับ. ถ้าใครผู้ใดมองเห็นความจริงข้อนี้ ก็แปลว่าเป็นผู้มองเห็นความว่างในทางนามธรรม หรือทางจิตใจ หรือทางสติปัญญา อาจที่จะเข้าใจได้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “โลกเป็นของว่าง.”
…. ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โลกนี้ว่าง หรือ เป็นของว่าง นั้น ท่านหมายความว่า “ว่างจากตัวตน” หรือ “ว่างจากของตน” ดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง. ถ้ามันมีตัวตน มันก็ควรจะมีความถาวร หรือเป็นตัวมันเองได้ ไม่อยู่ในกระแสแห่งการเกิดดับเรื่อยไปเช่นนั้น , หรือว่า ถ้ามันมีตัวตนเป็นของตน มันก็ควรจะควบคุมตัวเองได้. เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวตน, หรือเป็นไปตามความต้องการของตนได้ จึงเรียกว่า ว่างจากตัวตน ว่างจากของตน ; มีแต่กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป, เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป, ซึ่งเรียกว่า กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้เท่านั้น ดังนั้นจึงเรียกว่า สิ่งเหล่านั้นว่างจากตัวตน หรือว่างจากของตน ; และมีหลักที่จะกําหนดจดจําได้โดยง่ายว่า ที่เรียกว่าว่างนั้น เพราะว่างจากตัวตน หรือ ว่างจากของตน.
…. พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน ให้มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างนั้น ก็คือ ให้เห็นความว่างจากตัวตน และ ของตน อย่างนี้ และที่ตรัสให้มีสติอยู่เสมอ ก็หมายความว่า ให้เห็นความว่างชนิดนี้อย่างแจ่มแจ้งอยู่เสมอไป. อย่าได้เผลอหลงเห็นเป็นตัวเป็นตน ที่น่ายึดถือแต่ประการใดขึ้นมา เมื่อใดเผลอไปเกิดความรู้สึกเห็นเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาแล้ว เมื่อนั้นเรียกว่าเกิด และเป็นทุกข์ เพราะ มีตัวตน ; มีความรู้สึกเป็นตัวตนหรือเป็นของของตน ก็ต้องมีความทุกข์ เพราะความวิตกกังวล ความยึดมั่นถือมั่น”
.
พุทธทาสภิกขุ
หลักธรรมในศาสนาต้องศึกษาให้ครบ ๓ ระดับ
จนถึงชั้นที่ ๓ คือ “เสวยผลด้วยนามกาย”
.
…. “ เธอจงศึกษาให้ครบนะ, ทุกวิธีนะ, นี่ช่วยจําไว้อีกทีซิ จําไว้ให้แม่นยํา ที่ว่าศึกษาให้รู้นี้เขามีอยู่เป็น ๓ ชั้น; ศึกษาให้รู้ มีอยู่เป็น ๓ ชั้น : -
… ชั้นที่ ๑ คือ รู้ อย่างศึกษาเล่าเรียน, รู้อย่างศึกษาเล่าเรียนเขาเรียกว่า “ปริยัติ” เช่น เธอได้ยินได้ฟัง แล้วเธอก็จําได้, เธอก็มีความรู้ ความรู้อย่างนี้เรียกว่ารู้จากศึกษาเล่าเรียน, เป็นขั้นต้นที่สุด
… ที่นี้ รู้ชั้นที่ ๒ รู้ ด้วยการแทงตลอดด้วยปัญญา; เรียกตามคําในทางศาสนาเขาเรียกว่า “แทงตลอดด้วยปัญญา” คือเธอต้องเอาความรู้ที่ได้จากการเล่าเรียน ไปคิด ไปค้น ไปใคร่ครวญ โดยเหตุผล โดยสติปัญญา; จนเห็นจริงด้วยทุกอย่างทุกประการ อย่างนี้เรียกว่ารู้ชั้นที่ ๒ คือ แทงตลอดด้วยปัญญา; มันรู้มากกว่าชั้นแรกคือรู้จากการศึกษาเล่าเรียน
… ทีนี้ รู้ชั้นที่ ๓ นี้ต้องได้ชิมรสของมันเลย. คือ เรารู้อะไรแจ่มแจ้งแทงตลอด ด้วยปัญญาแล้ว, ประพฤติปฏิบัติดู: ได้ผลแห่งการปฏิบัติเท่าไร เราชิมผลแห่งการปฏิบัตินั้น; นี้เขาเรียกว่า “เสวยผลด้วยนามกาย”. คํานี้ แม้จะแปลกอยู่บ้าง แปลกอยู่มาก ก็ช่วยจําเอาไว้ดีกว่า เพราะว่าถ้าจะไปบัญญัติคําอย่างอื่นมันก็ได้เหมือนกันแหละ แต่มันจะมีความยุ่งยากลําบากเกิดขึ้นทีหลัง ทําให้สงสัยหลายอย่างหลายทิศทาง, ใช้คําเดิมๆว่า เสวยผลด้วยนามกาย. เมื่อเรารู้ว่าอย่างนี้ดับทุกข์ได้แน่ แทงตลอดด้วยปัญญาแล้วก็ปฏิบัติดูนะ แล้วก็ผลก็เกิดขึ้น แล้วก็เสวยผลอันเป็นความสุขนั้น ด้วยจิตใจทั้งหมด; จิตใจทั้งหมดเขาเรียกว่า นามกาย, เสวยผลด้วยนามกาย.
… ยกตัวอย่างเช่นว่า เรื่องสําคัญที่สุดในพุทธศาสนา คือเรื่อง “ปฏิจจสมุปบาท” สอนว่าเมื่อตา….ยกตัวอย่างในเรื่องตาก่อน : ตากระทบกับรูป ก็เกิดจักษุวิญญาณ ๓ ประการนี้ทํางานด้วยกัน เรียกว่า ผัสสะ มีผัสสะแล้วก็ย่อมเกิดเวทนา; มีเวทนาแล้วย่อมเกิดตัณหา, แล้วก็ย่อมเกิดอุปาทาน, ย่อมเกิดภพ, เกิดชาติ และเกิดทุกข์ เพียงเท่านี้ ก็เรียกว่า รู้แล้วอย่างเล่าเรียน รู้แล้วอย่างที่บอกให้ สอนให้ หรืออ่านเอาเอง. นี้ รู้อย่างเล่าเรียน, รู้เป็น “ปริยัติ”,
… ทีนี้ก็เอามาแทงตลอดด้วยปัญญาชิว่า ที่ว่าตากับรูปถึงกันเข้าแล้วเกิด จักษุวิญญาณ จริง, ต้องเห็นจริงที่นี้: แล้วเมื่อ ๓ อันนี้มาถึงกันเข้าเรียกว่า ผัสสะ คือการกระทบทางตา, กระทบทางตานี้ ถ้าว่ามันเกิดอวิชชาเมื่อกระทบ ก็เป็นการกระทบที่โง่เขลา, ก็ให้เกิดเวทนาที่โง่เขลา, เกิดความอยากที่โง่เขลา คือ ตัณหา, เกิดตัณหา อยากอย่างโง่เขลา ก็เกิดยึดถือด้วยอุปาทาน, เกิดภพ, เกิดชาติ -เกิดตัวกู แล้วก็เป็นทุกข์, ใคร่ครวญดูด้วยสติปัญญาของตนเอง เอ้อ มันจริงอย่างนี้โว้ย; แต่เป็นเพียงรู้อย่างที่ ๒ คือรู้แทงตลอดด้วยปัญญา; ยังไม่พอ.
… มาถึงรู้ที่ ๓ เธอก็ระวังด้วย “สติ” : เมื่อมีการกระทบทางตา เกิดจักษุวิญญาณ เป็นผัสสะทางตาขึ้นมาแล้ว เรามีสติมีปัญญา มีสัมปชัญญะมาทัน ควบคุมผัสสะ อย่าให้ผัสสะโง่ อย่าให้ผัสสะด้วยอวิชชา, มันก็ไม่เกิดเวทนาโง่, ไม่เกิดความอยากโง่ คือ ตัณหานั้น, มันก็ไม่เกิดความทุกข์ความร้อนขึ้นมา; เราก็เสวยความที่มันไม่เกิดความทุกข์ ไม่เกิดความร้อนขึ้นมา คือยังเย็นอยู่ที่ทางตา ทางใจ ทางอะไรยังเย็นอยู่; เพราะว่าผัสสะของเรามีปัญญา มีวิชชา มีสติ เข้ามาควบคุมผัสสะอยู่, นี้ “เสวยผลด้วยนามกาย” เกิดจากการที่กิเลสไม่เกิดขึ้นในจิตใจ; ก็ชิมรสของมันว่า โอ้ มันเป็นอย่างนี้นี่ : มัน สงบอย่างนี้ มันเย็นอย่างนี้ มันเป็นสุขอย่างนี้ นี่เสวยผลด้วยนามกาย.
… ทีนี้ ในทางตรงกันข้าม ก็คือว่าถ้าเผลอไปยินดียินร้ายในอารมณ์นั้น; เพราะว่าผัสสะไม่มีปัญญา ผัสสะไม่มีสติ ผัสสะไม่มีสัมปชัญญะ, มันก็เกิดเวทนาที่เป็นที่ตั้งแห่งตัณหา, มันก็เกิดอุปาทานและเกิดทุกข์, เป็นทุกข์อยู่เพราะการเห็นทางตา; ก็รู้ชัดด้วยจิตใจว่า อ้าว นี่เป็นความทุกข์ ร้อนเป็นไฟ เพราะทําผิดทางตา นี้ก็เรียกว่า เสวยผลของมันด้วยนามกายเหมือนกัน; แต่ผลฝ่ายผิด ผลฝ่ายที่เป็นทุกข์
… ฉะนั้น เราจะได้รับ จะมีโอกาสเสวยผลฝ่ายถูก คือ เป็นสุข, มีโอกาสเสวยผลฝ่ายผิดคือความเป็นทุกข์ ก็ได้ชิมรสทั้งฝ่ายผิดและฝ่ายถูก, อย่างนี้แล้วก็เรียกว่า ความรู้ขั้นที่ ๓ : ความรู้ที่เป็นการ “เสวยผลด้วยนามกาย”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาคอาสาฬหบูชา หัวข้อเรื่อง “ความถูกต้องของอริยสัจจตถา” จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “สัมมัตตานุภาพ” หน้า ๓๔๒-๓๔๔
“การหลุดพ้น”
ตามแบบของ พระพุทธศาสนา...
คำว่า“เรา” หรือ ความรู้สึกว่า“ตัวเรา”นั้น เป็นความรู้สึกของ...กิเลส
ที่เป็นเหมือนโคลนที่เข้ามาหุ้มห่อตัวเรา
ที่เราได้ล้างออกเรื่อยๆ จนหมดสิ้นไป
แล้วความรู้สึกว่า“เรา” หรือ อุปาทาน นั้น ไม่มีแล้ว เท่ากับซี่กรงหักหมดแล้ว เราจึงออกมานอกกรงได้ เรียกว่า จิตหลุดออกมาได้ หรือ จิตพ้นจากอุปาทาน เท่านั้นเอง หาใช่ตัวเราไม่
จิต ..นั้นก็ไม่ใช่ตัว “เรา”
เพราะจิตนั้นไม่มีความยึดถือตัวมันเองว่า“เรา” จึงได้หลุดออกมาได้
ท่าน(พระพุทธเจ้า)จึงตรัสว่า “การหลุดพ้นนั้นมีแล้ว แต่ “ตัว” ผู้หลุดพ้นหามีไม่”
นี่แหละ คือ การหลุดพ้นตามแบบของพุทธศาสนา
การหลุดพ้นตามแบบของพุทธศาสนานั้น เราที่เป็นพุทธบริษัทจะต้องเข้าใจให้ดีๆ ย่อมเป็นการหลุดพ้นอย่างเด็ดขาด ไม่มีเยื่อใยของ "อุปาทาน" เหลืออยู่ แม้แต่เล็กน้อย
การหลุดพ้นที่ไม่เด็ดขาด ยังมีอุปาทานเหลืออยู่บ้างโดยไม่รู้สึกตัวนั้น เป็นการหลุดพ้นของพวกอื่นเขา หาใช่ของพุทธศาสนาไม่
การหลุดพ้นชนิดนั้นหลุดพ้นแต่เพียงจากความยึดถือที่หยาบๆ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยึดถือชั้นละเอียด
จะต้องทำการปฏิบัติต่อไปอีกขั้นหนึ่ง จึงจะเป็นการบรรลุถึง “นิพพาน”
การพูดว่า “ตัวเรา”ในขั้นนี้ ถ้ามีพูด ก็สักว่าพูด เพราะไม่มีคำจะพูดเท่านั้น หาได้มีความยึดถือกอดรัดเอาสิ่งที่บริสุทธิ์นั้นมาเป็น “ตัวเรา” อีกก็หาไม่...
จิต ที่หลุดพ้นจากความยึดถือก็หมดทุกข์
เพราะทุกข์มีอยู่ที่จิต ซึ่ง...มีความยึดถือเท่านั้น”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง"หลักหินยาน-มหายาน"
🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸
“สิ่งทั้งหลายที่เรายึดถือเป็น“ตัวตน”ในบัดนี้ ก็คือภาพปรากฏของ..เหตุปัจจัย..ที่เป็นไปตามกระบวนการของมัน
เมื่อ ..เหตุปัจจัยมาสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ ก็แสดงผลเป็นปรากฏการณ์ที่เราเรียก “เป็นตัวเป็นตน” แต่แท้จริงแล้วตัวตนอย่างนั้นไม่มี มีแต่เพียงภาพปรากฏชั่วคราว
ส่วนตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือ กระบวนการแห่งความสัมพันธ์กันของสิ่งทั้งหลายที่คืบเคลื่อนไปเรื่อยๆ เมื่อเหตุปัจจัยเหล่านี้สัมพันธ์กัน แล้วคืบเคลื่อนต่อไป ภาพตัวตนที่ปรากฏนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น ตัวตนที่แท้ ที่ยั่งยืน ตายตัว ที่จะยึดถือครอบครองบังคับบัญชาอะไรๆได้จึงไม่มี
(อัตตา)มันไม่มี เพราะมีแต่ภาพรวมของปรากฏการณ์ที่เกิดจากความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งหลายในกระบวนการของมัน เรียกว่าเป็นเพียง “สภาวธรรม” ไม่เป็นตัวตนของใคร...
นี่คือ ..ความเป็นจริงของกฎธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเรื่อง “ไตรลักษณ์” ขึ้นไว้เป็นหลักที่เด่นว่า...
สิ่งทั้งหลายนี้
“อนิจฺจํ” ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับหาย มีความเปลี่ยนแปลง
“ทุกฺขํ” คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อยู่ในภาวะขัดแย้ง ถ้าคนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความอยาก มันก็ฝืนความปรารถนา แล้วก็..
“อนตฺตา” ไม่เป็นตัวตนของใครได้ ใครจะยึดถือครอบครองสั่งบังคับไม่ได้ เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน หรือดำรงอยู่ตามสภาวะของมัน”
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : “แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา”
หัวข้อ ความจริงมีอยู่ตามธรรมดา
🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸
“ตัวเรา”ไม่มี มีแต่“สภาวะธรรม”ล้วนๆ เป็นแค่...รูปธรรม-นามธรรม (ขันธ์ ๕) เกิด-ดับ สืบเนื่องไปเรื่อยๆ
“...มันก็แค่ธรรมชาติเท่านั้น กายก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง จิตก็เป็นแค่ธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็นสภาวะอย่างหนึ่งเท่านั้น มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ สืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นดับไป ดวงหนึ่งเกิดขึ้นดับไป สืบไปอย่างนี้เรื่อยๆ บังคับไม่ได้(เป็นอนัตตา)...
เป็นแต่“สภาวะธรรม”ล้วนๆเลย รูปธรรม-นามธรรมมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย สืบเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ
“ตัวเรา”ไม่มี ตัวเราไม่มีแล้วความทุกข์อยู่ที่ไหน ความทุกข์อยู่ที่รูปธรรม-นามธรรม อยู่ที่กาย-ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่“ตัวเรา” เพราะกายกับใจ..ไม่ใช่“ตัวเรา”
ฉันนั้น คนใดภาวนาไปจนเห็นกายกับใจไม่ใช่ “ตัวเรา”เนี่ย จะได้เจอสภาวะอันหนึ่ง เป็นสภาวะที่นึกไม่ถึง เรียกว่า “มีธรรมะที่คิดไม่ถึง” ไม่ใช่“มีชีวิตที่คิดไม่ถึง”
ธรรมะที่คิดไม่ถึง ก็คือ มันมีรูปธรรม-นามธรรม แต่..ไม่มี“ตัวเรา”
ความทุกข์มีอยู่ แต่ไม่มีผู้เป็นทุกข์ ทุกวันนี้มันมีผู้เป็นทุกข์ใช่ไหม? พอร่างกายทุกข์เราก็โดดไปรับว่า..ไอ้เนี่ย! ตัวเราทุกข์ พอจิตมันทุกข์ขึ้นมาเราก็โดดเข้าไปรับเอาไว้ เนี่ย! ตัวเราทุกข์ มันมี“ตัวเราทุกข์”ขึ้นมา
ถ้าภาวนาเป็น เห็นกายเห็นใจเขาทำงาน เป็นแค่ “สภาวธรรม” เกิด-ดับ สืบเนื่องไปเรื่อย ไม่ใช่ตัวเรา กายมันทุกข์ไม่ใช่เราทุกข์ ใจมันทุกข์ไม่ใช่เราทุกข์ เราไม่ทุกข์ด้วย ไม่เกี่ยว มันไม่มีเรา
ทุกวันนี้ ที่ยุ่งเหยิงเพราะมัน“มีเรา”ขึ้นมา พอมีเรา มีตัวเราใช่ไหม? ก็ต้องมี “ของเรา” เพื่อจะได้ประกอบตัวเราให้โตขึ้น ทุกอย่างมันจะย้ำ..ให้เรารู้สึกว่า “ตัวเรา” มีอยู่จริงๆ ”
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
ที่มา : หนังสือ “ประมวลธรรมเทศนา” เล่ม ๒
🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸
"คน" ไม่มี
"ว่าโดยความจริงแท้ ในโลกนี้มีแต่นามและรูป(นามธรรม และ รูปธรรม) ก็แลในนามและรูปนั้น สัตว์ หรือ คน ก็หามีไม่ นามและรูปนี้ว่างเปล่า ถูก(ปัจจัย)ปรุงแต่งขึ้น เหมือนดังเครื่องยนต์ เป็นกองแห่งทุกข์ เช่นกับหญ้าและฟืน"
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ๓/๒๑๖
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
ปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายดับทุกข์
"เห็น" ก็เพียงสักแต่ว่า "เห็น" ฯ
"การปฏิบัติเพื่อความดับไปแห่ง "อัตตา" ในขณะที่เผชิญกับอารมณ์ มีรูปกระทบตาเป็นต้นนั้น โดยใจความสำคัญก็อาศัยหลักพุทธภาษิต(ในบาลีพระไตรปิฎก)ที่ตรัสแก่พระพาหิยะว่า...
"ดูก่อน พาหิยะ! เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว ก็ขอให้เป็นเพียงสักแต่ว่าได้เห็น ลิ้มรสแล้ว ก็สักแต่ว่าได้ลิ้ม ได้รับสัมผัสทางผิวกายแล้วก็สักแต่ว่าสัมผัส ดังนี้แล้ว เมื่อนั้น เมื่อใด "เธอ" ไม่มี เมื่อนั้น "เธอ" ก็ไม่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ ไม่ปรากฏอยู่ในโลกอื่น และไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง นั่นแหละคือ ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ละ" ดังนี้ (อุ.ขุ. ๒๕/๘๓/๔๙)
จากพระพุทธภาษิตนี้ เราจะเห็นได้ว่า ในขณะที่มีการกระทบกันกับอารมณ์นั้น มีวิธีปฏิบัติที่จะทำไม่ให้เกิดความรู้สึกว่ามี "ตัวตน" ที่นั่นก็เป็นที่สุดแห่งทุกข์ (คือนิพพาน) ใจความสำคัญของการปฏิบัตินั้นมีอยู่ตรงข้อที่ไม่ทำให้อารมณ์นั้นๆ มีอิทธิพลขึ้นมาในการที่จะครอบงำจิตใจของตน ให้การเห็นเป็นแต่สักว่าเห็น เป็นต้น ไม่ให้การเห็นนั้นปรุงจิตจนเกิดความรู้สึกรักหรือชัง เป็นสุขเวทนา หรือทุกขเวทนาขึ้นมานั่นเอง เรียกสั้นๆ ว่าไม่ให้ปรุงเป็นเวทนาขึ้นมา ให้เป็นสักแต่ว่าการเห็นเฉยๆ แล้วก็หยุดไป กลายเป็นรูปเป็นสติปัญญาเกิดขึ้นมาแทน คือว่าจะจัดการกับสิ่งนี้อย่างไร ก็จัดการไปด้วยสติปัญญา ไม่มีความรู้สึกที่เป็นกิเลสตัณหาหรืออุปาทานว่ามี "ตัวตน" หรือถ้าไม่ควรจัดการแต่ประการใดเลยก็เลิกกัน
การปฏิบัติอย่างที่เรียกว่า "เห็นสักแต่ว่าเห็น" นั้นคือเมื่อได้เห็นสิ่งใดและรู้ว่ามันเป็นอะไรแล้ว ก็ให้มีความรู้สึกหรือความเข้าใจที่ถูกต้องว่า มันเป็นสักแต่ว่ารูปหรือภาพ เช่น เห็นดอกกุหลาบสวยงาม หรือเห็นมนุษย์เพศตรงข้ามที่น่ารักหรือของน่าเกลียดเช่นอุจจาระปัสสาวะ ให้นึกว่ามันเป็นเพียงสักว่ารูปหรือภาพที่ได้เห็น ไม่ปล่อยให้จิตไปถือเอา "ความหมาย" ของมันว่าดีเลวอย่างนั้นอย่างนี้ ชนิดที่ก่อให้เกิดความอยากหรือความเกลียดหรือความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้อย่างนั้นขึ้นมา แล้วก็เลิกกัน จะกระทำอย่างนี้ได้ด้วยการฝึกให้เห็นว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนานั้น เป็นมายาหลอกลวงอยู่เป็นประจำ (แต่สำหรับทุกขเวทนานั้น เป็นผลอีกอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากความยึดมั่นถือมั่นในสุขเวทนาที่ไม่ได้อย่างใจนึก ถ้าความยึดมั่นถือมั่นในสุขเวทนาไม่มีแล้ว ทางที่จะเกิดทุกขเวทนาก็ย่อมไม่มี)
เมื่อสุขเวทนาหมดความหมายไปแล้ว ก็ไม่ยั่วให้เกิดความยึดถืออารมณ์ ในเมื่อได้สัมผัสสิ่งที่ชอบใจ อันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสตัณหา นั่นแหละคือ การเห็นที่สักแต่ว่าเห็น ส่วนการได้ยินที่สักแต่ว่าได้ยิน การได้กลิ่นที่สักแต่ว่าได้ดม ฯลฯ ก็มีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน ซึ่งมีใจความสำคัญอยู่ตรงที่เขาไม่ตกเป็นทาสของสุขเวทนา นี้เรียกว่า...ไม่มี "ตัวตน" อยู่ในโลกนี้ หรือในโลกไหน กลายเป็นความว่างจาก "ตัวตน" เป็นนิพพาน เพราะไม่ก่อเป็น "ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิด" ขึ้นมาได้นั่นเอง
เมื่อสัมผัส (การกระทบ) เป็นเพียงสักแต่การกระทบเฉยๆ แล้วอายตนะ (คือ ตาและรูปที่เป็นที่ตั้งแห่งกระทบนั้น) มันจะไม่มีค่าหรือไม่มีความหมายอะไร นั่นแหละคือความดับไปของอายตนะ เมื่ออายตนะมีลักษณะเป็นหมันไปเช่นนี้แล้ว นามรูปอันเป็นที่ตั้งของอายตนะนั้นก็เป็นหมันไปด้วย เมื่อนามรูปเป็นหมัน วิญญาณธาตุที่ปรุงแต่งนามรูปในกรณีนั้นก็เป็นหมัน เมื่อวิญญาณธาตุเป็นหมัน สังขารที่ปรุงแต่งให้เกิดวิญญาณธาตุนั้นก็พลอยเป็นหมัน เมื่อสังขารเป็นหมัน อวิชชาซึ่งปรุงแต่งสังขารในกรณีนั้นก็เป็นหมัน คือมีค่าเท่ากับไม่มีหรือดับอยู่ ทั้งหมดนี้ก็เพราะอาศัยเหตุนิดเดียวที่มีอยู่ตรงกลางของปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือ ผัสสะที่จะต้องทำให้เป็นหมันไปเสีย เมื่อผัสสะเป็นหมัน จึงไม่เกิดเวทนา ปฏิจจสมุปบาททั้งสายก็เป็นหมัน นี้เรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ "ตัวกู ของกู"
---------------------------------
อานิสงส์ของการรู้ชัด “ปฏิจจสมุปบาท”
“การปฏิบัติจนรู้ชัดใน“ปฏิจจสมุปบาท”นั้น ย่อมมีอานิสงส์พิเศษถึง ๘ ประการ คือ...
๑. ไม่แล่นไปสู่ปุพพันตทิฏฐิ (ว่าเคยมีตัว-ตนในอดีต)
๒. ไม่แล่นไปสู่อปรันตทิฏฐิ (ว่าจักมีตัว- ตนในอนาคต)
๓. ไม่มีความสงสัยในปัจจุบัน (เกี่ยวกับเรื่องมีหรือไม่มีตัวตน)
๔. ไม่มีการกล่าวตามคำแห่งศาสดาของตนดายไป (โดยที่ตนเองมิได้เข้าถึงความจริงข้อนั้นด้วยใจตน)
๕. ไม่มีทางจะกล่าวผิดไปจากที่พระศาสดากล่าว (แม้คำกล่าวประเด็นนั้นตนไม่เคยฟังมาจากพระศาสดาเลย)
๖. ไม่มีทางที่จะหมุนออกไปถือศาสดาอื่นได้ (เพราะจะไม่มองเห็นว่ามีศาสดาอื่นใดที่จะตรัสรู้จริงเท่าศาสดานี้)
๗. ไม่ตื่นตูมในมงคล ตื่นข่าวของสมณพราหมณ์เหล่าอื่นว่ามีสาระอะไร (เพราะพ้นจากการถือมงคลตื่นข่าว ซึ่งล้วนแต่เป็น..สีลัพพตปรามาส)
๘. จะกล่าวอะไรออกไปก็กล่าวตามที่ตนรู้อยู่แก่ใจ รู้แจ้งชัดอยู่แก่ใจเอง (สามํ ญาตํ, สามํ ทิฏฺฐิ, สามํ วิทิตํ, เพราะความรู้ของเขาไม่มีทางที่จะผิดได้ในสิ่งทั้งปวงอีกต่อไป)”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ “อิทัปปัจจยตา” ฉบับปฏิภาค เล่ม ๑
# ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ # รวบรวม.
เรื่องเกี่ยวกับ “ขันธ์ ๕” ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ หรือยังเข้าใจผิดกันอยู่
“เดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกถึงการที่เรา(คือจิต)ไปยึดขันธ์ ๕ แล้วเป็นทุกข์ ไม่รู้สึก ชินชาเหมือนหนอนที่เกิดในพริก อย่างเดียวกันอีก ก็ไม่รู้สึกการที่จิตยึดถือขันธ์ ๕ หรือขันธ์ทั้ง ๕ ถูกจิตยึดถือแล้วก็กลายเป็นของหนักแก่จิต เรื่องนี้มันกระจ่างแจ้งเป็นสันทิฏฐิโกแล้วหรือยัง เราไม่รู้จักแม้แต่ตัวสิ่งที่เรียกว่า “ขันธ์ ๕” ได้แต่ท่อง ยึดเมื่อไร ยึดอย่างไร ก็ไม่มองเห็น ขันธ์ ๕ เกิดเมื่อไรก็ยังไม่เข้าใจ อย่าว่าแต่จะมองเห็นเลย
ขันธ์ ๕ เกิดเมื่อ กาย ใจ อายตนะภายใน ทำหน้าที่
“รูปขันธ์” คือร่างกายนั้น เมื่อมันทำหน้าที่อย่างรูป อย่างกายนั้น จึงจะเรียกว่า “รูปขันธ์เกิด” ถ้ามันไม่ได้ทำหน้าที่ทางกาย ยังไม่เรียกว่า“กายเกิด” หรือ“รูปขันธ์เกิด” เมื่อใดกายหรือรูปนั้นทำหน้าที่ทางกาย ก็เรียกว่ากายเกิด รูปขันธ์เกิด เช่น ดวงตาทำหน้าที่สำหรับการเห็นทางตาขึ้นมา ก็เรียกว่าตาเกิด หู อวัยวะหู ประสาทหู ทำหน้าที่สำหรับจะได้ยินเสียงขึ้นมา ก็เรียกว่า“หูเกิด” จมูก ประสาทในจมูก ทำหน้าที่ได้รู้กลิ่นขึ้นมา ก็เรียกว่า“จมูกเกิด” กายฝ่ายที่เป็นจมูกเกิด เมื่อลิ้นสัมผัสรส รู้รสโดยทางลิ้น ก็เรียกว่าลิ้นนั้นเกิด ร่างกายที่เป็นส่วนลิ้นมันเกิด ก็เรียกว่ารูปขันธ์เกิดได้เหมือนกัน เมื่อผิวหนังสัมผัสอะไร รู้สึกทางผิวหนังขึ้นมา เรียกว่าผิวหนังเกิด เมื่อผิวหนังไม่สัมผัสอะไร มันก็หลับอยู่ มันก็ตายอยู่ เรียกว่ายังไม่เกิด พอผิวหนัง เนื้อหนังร่างกายสัมผัสอะไรข้างนอก ทำความรู้สึกขึ้นมา เรียกว่ากายเกิด จิตเมื่อไม่ได้คิดนึกอะไร ไม่ได้รู้สึกในอะไร ก็เหมือนกับหลับอยู่ ตายอยู่ พอมีอะไรให้จิตสัมผัส จิตก็ทำหน้าที่ ก็เรียกว่า“จิตเกิด”
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เกิดกันเป็นคราวๆ ไม่อาจจะเกิดพร้อมกันได้ เพราะว่าเรื่องมันคนละเรื่อง บางเวลาตาเห็นรูป บางเวลาหูฟังเสียง บางเวลาจมูกดมกลิ่น เหล่านี้ ไม่มีทางจะพร้อมกันได้ แต่ขอให้รู้เถิดว่า มันเกิดเมื่อไรใน ๖ อย่างนี้ เรียกว่าใน ๖ อย่างนี้ก็ได้ เป็นเรื่องของทางกายเสีย ๕ อย่าง เมื่อกายทำหน้าที่ กายเกิด, เมื่อจิตทำหน้าที่ จิตเกิด, นี่ รูปขันธ์เกิด โดยสิ่งทั้ง ๕ นั้นทำหน้าที่
ทีนี้ พอเกิดแล้วก็สัมผัสอารมณ์ที่คู่กับมัน คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มีผัสสะแล้วก็เกิดเวทนา รู้สึกเป็นสุข ทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุข นี่เวทนาเกิด ที่จริงเกิดอยู่ตลอดวันก็ว่าได้ แต่มันเล็กๆน้อยๆ เช่นว่า เวลานี้เรารู้สึกร้อนรำคาญ เพราะอากาศร้อน ผิวหนังมันสัมผัสความร้อน ก็เกิดกายส่วนรูปขันธ์นี้ แล้วก็เกิดเวทนา ที่เป็นทุกข์ไม่ชอบใจที่กายนี้ คือมันร้อนอย่างนี้ เป็นต้น ยังมีอย่างอื่นอีกที่เกิดอยู่ตลอดเวลา เป็นเวทนาพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง เฉยๆบ้าง.
ทีนี้ “สัญญา” สำคัญมั่นหมายไปตามความจำ อะไรมาถึงเข้าก็จำได้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ความจำนั้นจับกลุ่มกัน เกาะรูปกันเป็นตัวสำคัญมั่นหมายอีกชั้นหนึ่งๆ ไม่เพียงแต่จำได้เฉยๆ ความจำนั้นกลายเป็นสำคัญมั่นหมาย ว่านั่น ว่านี่ ว่าสุข ว่าทุกข์ ว่าตัว ว่าตน ว่าเป็น ว่าตาย ว่าอยู่ ว่าได้ ว่าเสีย ว่ากำไร ว่าขาดทุน นี่เป็นไปตามสัญญา มันก็เกิดอยู่เสมอแล้วแต่จะสำคัญลงไปอย่างไร
ทีนี้ “สังขาร” ก็คิด ฉันชอบอันนั้น ฉันเกลียดอันนี้ ฉันต้องการอันนั้น ฉันจะต้องเอาให้ได้ จะต้องเอาอย่างนี้ จะมีแผนการอย่างนี้ ถ้าไม่ได้โดยสุจริตก็จะคดโกงอย่างนั้นอย่างนี้ นี่เรียกว่า “สังขาร” นี่บางเวลามันก็ได้เกิดขึ้นจริง.
ส่วน “วิญญาณ” นั้นเกิดได้บ่อยๆ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ นี้มีอยู่บ่อยๆ เมื่อจิตทำหน้าที่ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็คือวิญญาณอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว สัมผัสลงไปที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะบ้าง สัมผัสในความรู้สึกภายในที่เรียกว่า “ธัมมารมณ์” บ้าง บางทีก็สัมผัสซ้ำลงไปบนความสุขของเวทนาบ้าง ความทุกข์ของเวทนาบ้าง มีทางที่จะเกิดได้หลายชั้น หลายๆชั้น ซับซ้อนเป็นหลายๆคู่ ไม่เพียงคู่ต่อคู่ เหมือนกับตา หู จมูก ลิ้น กาย.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “สันทิฏฐิกธรรมของจตุราริยสัจจ์” เมื่อ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๔
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
ทำไม? ต้องชื่อ “พุทธทาส”
.
.... “อาตมาตั้งชื่อตัวเองว่า “พุทธทาส” แปลว่า “ผู้รับใช้พระพุทธเจ้า” มันมีความหมายอย่างนั้น ก็หมายความว่า ให้มันช่วยเตือนตัวเอง บังคับตัวเอง ผูกพันตัวเอง ให้ทำงานรับใช้พระพุทธเจ้า ให้สุดชีวิตจิตใจ นี่! เรามุ่งหมายตั้งชื่อให้มีความหมาย หรือว่าตั้งนามสกุลก็ตั้งให้มีความหมาย”
.
พุทธทาสภิกขุ
“ปรมัตถ์” ต้องเห็นลึก
พ้นความหมายธรรมดา
ทั้ง ดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ แพ้ชนะ
มันเป็น“สังขาร”เท่ากัน
ล้วนแต่ยึดถือไม่ได้ ยึดถือแล้วเป็นทุกข์
.
…. “ ทีนี้ จะอธิบายให้มันชัดยิ่งขึ้นไปว่า “ปรมัตถ์” อรรถอันลึก ทําให้เห็นว่า ดี ชั่ว ก็เหมือนกัน, กุศล อกุศล ก็เหมือนกัน, อะไรๆที่เป็นคู่ๆคู่ๆ อย่างที่เรียกกันอยู่ในโลกนั้นมันเหมือนกัน ; ดังนั้น จึงไม่แยกเป็นดีเป็นชั่วได้ แต่อภิธรรมแยกดีไปเป็นดี, ดีๆ ที่สุด, แยกชั่วเป็นชั่วๆ ชั่วๆอย่างยิ่ง ชั่วที่สุด, คือมันขยายน้ำหนักความหมายไปตามเดิม แต่ให้มันมากหรือให้มันที่สุด ส่วนปรมัตถ์นี้มันจะดูให้ลึกๆ ลึกๆ, ลึกไปจนพ้นความหมายเช่นนั้น ที่แยกกันเป็นคู่ๆ เช่น ดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ กุศลอกุศล เป็นต้น นี้บางคนอาจจะงง แต่มันก็ไม่ลึกซึ้งจนถึงกับจะต้อง งง ดอก ฉะนั้นคอยฟังให้ดีๆ ก็แล้วกัน
…. เช่นว่า ดีกับชั่ว คนธรรมดาเขาเห็นว่าคนละอย่าง ตรงกันข้าม. นี่คนธรรมดามองตื้นๆ ไม่เป็นปรมัตถ์, คนธรรมดาสามัญมองตื้นๆไม่เป็นปรมัตถ์, แล้วมันก็เห็นว่าดี ว่าชั่ว แล้วก็ยึดมั่นความดีและความชั่ว ถ้ามองอย่าง ปรมัตถ์แล้วก็จะเห็นว่า ทั้งดีและทั้งชั่วมันเป็น“สังขาร”เท่ากัน; ถ้ามันเป็นกรรม เป็นชั้นกรรม มันก็เป็นของปรุงแต่งให้เวียนว่ายตายเกิดเท่ากันเลย, ทั้งดีและทั้งชั่ว นั้นแหละมันปรุงแต่งให้เวียนว่ายตายเกิดเท่ากัน ไม่ใช่มันให้หยุดเสียซึ่งการเกิด, ความหมายว่าดีก็ให้เกิดดี ชั่วให้เกิดชั่ว หวังเกิดดีหวังเกิดชั่ว คําว่าบุญหรือคําว่าบาป มันก็เป็นเครื่องให้เกิด, ให้ปรุงแต่ง ให้เกิด เป็นไปเพื่ออาสวะ ยังเป็นไปเพื่ออาสวะ, สุขหรือทุกข์มันก็เป็นสังขารเท่ากัน มีผลมาจากการปรุงแต่ง, ไปยึดถือเอาแล้วมันกัดเอาทั้งนั้น ถ้าไปยึดถือแล้วมันมีความทุกข์ทั้งนั้น อาตมาใช้คําว่า “ไปยึดถือว่าตัวตนว่าของตนแล้วมันกัดเอาทั้งนั้น” นี่ มองอย่างปรมัตถ์ มันกลายเป็นอย่างนี้
…. ดีกับชั่วมันก็เป็นเรื่องสังขารไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา แต่คนเขาสมมติส่วนที่ถูกใจว่าดี ที่ไม่ถูกใจว่าชั่ว : อะไรพอใจก็ว่าบุญ อะไรไม่พอใจก็ว่าบาป , แต่อย่าลืมว่า ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งบุญทั้งบาป เป็นเรื่องปรุงแต่ง ยึดถือแล้วมีความทุกข์, และมีลักษณะแห่งความทุกข์ ผู้เห็นปรมัตถ์จึงเห็นว่า มันไม่น่ารักเท่ากันแหละ ดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ แพ้ชนะ กําไรขาดทุน เป็นคู่ๆไม่รู้กี่สิบคู่ ล้วนแต่ยึดถือไม่ได้, ล้วนแต่ยึดถือเข้าแล้วเป็นความทุกข์, เป็นไปเพื่อกิเลส, เป็นไปเพื่ออาสวะ, นี่ นักปรมัตถ์เขามองอย่างนี้ ถ้าเป็น นักอภิธรรมมันขยายเขื่อง, ขยายเขื่องออกไปรอบด้าน : ดีๆ ดี ดีจนดีที่สุด ชั่วๆ ชั่วๆ จนชั่วที่สุด มันก็ยังเกลียดชั่วรักดี รักดีเกลียดชั่ว อยู่นั่นแหละ, มันยังอยู่ใต้ความหมายของคําคํานี้ , ดังนั้น จึงไม่ใช่ความหลุดพ้น ต้องอยู่เหนือนั้น
…. เราจะไม่เป็นคนดีคนชั่ว เป็นคนอยู่เหนือความหมายของคําว่าดี ว่าชั่ว, เราจะไม่ต้องเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เราจะไม่เอาทั้งบุญและทั้งบาป ; เพราะว่ามันปรุงแต่งทั้งนั้น เราจะไม่แพ้และไม่ชนะ, เราเป็นผู้ที่ไม่มีการแพ้ไม่มีการชนะ แต่อยู่ตรงกลาง, เราจะไม่ขาดทุนและไม่กําไร, จะไม่ไปยึดถือกําไรจะไม่ไปยึดถือขาดทุน, มีจิตใจเกลี้ยงว่าง ไม่ยึดถือความหมายว่าขาดทุน, ไม่ยึดถือความ หมายว่ากําไร, ไปเทียบดูเองว่ามันสบายกว่ากันเท่าไร
…. ฉะนั้น สิ่งที่เขาบัญญัติกันไว้เป็นคู่ๆคู่ๆนั้น เพราะว่าเขาไปยึดถือความหมายด้านเดียว, กระทั่งถึงว่าเราจะไม่เป็นผู้หญิง ไม่เป็นผู้ชาย ; แต่ก็ไม่ใช่เป็นกะเทย, ไม่มีความหมายยึดมั่นในความเป็นผู้หญิง ไม่มีความหมายมั่นยึดถือในความเป็นผู้ชาย, มีจิตเกลี้ยง มีจิตว่าง, อย่างนี้ เรียกว่ามันเป็นนักปรมัตถ์ ถ้าเป็นผู้หญิงให้มากเข้า, เป็นผู้ชายให้มากเข้า, นั้นมันจะเป็นนักอภิธรรม แล้วปัญหามันไม่จบ.
…. นี่เรากําลังจะพูดกันถึงเรื่องปรมัตถ์ มองให้เห็นว่า ปัญหาทั้งหลาย, ปัญหาคือความยุ่งยากลําบาก กระทั่งเกิดทุกข์ทั้งหลายนั้น มันมาจากความยึดถือ เรื่องดี เรื่องชั่ว, ถ้ามันไม่มีเรื่องดีเรื่องชั่ว, ไม่มีเรื่องได้เรื่องเสีย, ไม่มีเรื่องแพ้เรื่องชนะ, ไม่มีเรื่องกําไรเรื่องขาดทุนแล้ว มันไม่มีปัญหาเลยในโลกนี้ นี่เพราะมีสิ่งที่เป็นคู่สําหรับจะยึดถือให้ยิ่งๆขึ้นไป แล้วแต่ชอบฝ่ายไหน ; นั้นแหละทํา ให้เกิดปัญหา
…. นักปรมัตถ์เห็นว่า บุญก็เป็นอุปธิ; จะเรียกว่า “อาสวะ” ก็ได้, ความหลงใหลในบุญก็เป็นอาสวะชนิดหนึ่ง หรือบุญนี้เป็นของหนัก เป็นอุปธิ คือดี ที่ว่าดีๆดีๆ เป็นของหนัก ไปยึดถือเข้าแล้วเป็นของหนัก เป็นอุปธิ เป็นผู้แบกของหนักเดินไม่รอด. หรือจะใช้คําว่ารวย, รวยก็เป็นอุปธิ ยึดถือในความรวย ความสวย ความมีเกียรติ มีอะไรก็ตาม ที่คนเขายึดถือกันนักนี้ ในชั้นปรมัตถ์ก็เห็นว่ามันเป็นอุปธิ, ฟ้าสางทางอุปธิ แล้วก็คนเขาก็จะไม่หลงยึดถือในสิ่งเหล่านั้น
…. ในชั้นสูงสุด ผู้เป็นนักปรมัตถ์ เห็นอรรถอันลึก ก็จะเห็นว่าสังขตะก็ไม่ไหว, อสังขตะก็ไม่ไหว, ไม่ไหวสําหรับจะยึดถือ, สิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งก็ไม่ไหว ยึดถือแล้วก็กัด, สิ่งที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งคือเป็นอสังขตะ รวมทั้งพระนิพพานด้วย ก็ยึดถือไม่ได้; ถ้ายึดถือก็บ้าเลย เพราะมันไม่มีอะไรให้ยึดถือ, หรือถ้ายึดถือแล้วมันก็ไม่เกิดเป็นสิ่งนั้นขึ้นมาได้ เช่น ยึดถือนิพพานอย่างนี้ มันไม่เป็นนิพพานขึ้นมาได้ ฉะนั้น จึงไม่ยึดถือสังขารหรือวิสังขาร, ไม่ยึดถือสังขตะหรืออสังขตะ, นี่เป็น “ปรมัตถ์”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาคอาสาฬหบูชา ชุด “ฟ้าสางระหว่าง ๕๐ ปี ที่มีสวนโมกข์” ครั้งที่ ๑๙ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ณ ศาลามหานาวา สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา
“ตัวกู ของกู” เกิด ก็มี “วัฏสงสาร”
“ตัวกู ของกู ดับ ก็มี “นิพพาน”
.
…. “ เดี๋ยวนี้ มันพูดด้วยคำมาก ด้วยความหมายมาก แล้วเรื่องมันก็มาก มันมีเรื่องมากจนถึงกับว่า ๘๔,๐๐๐ เรื่อง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ ไตรปิฎกมี ๘๔,๐๐๐ หัวข้อหรือเรื่อง นี้มันมากเกินไป.
…. ฉะนั้น ๘๔,๐๐๐ เรื่องนั้น สรุปได้เพียง ๒ เรื่อง คือ เรื่อง“วัฏสงสาร” กับ เรื่อง“นิพพาน” แล้วแต่เรื่องไหนมันจะพูดถึงกิเลสหรือความทุกข์ เรื่องนั้นก็เป็น “วัฏสงสาร”, เรื่องไหนพูดเรื่องดับกิเลสดับทุกข์ นี่เป็นฝ่าย“นิพพาน” ให้รู้ไว้ว่าพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ เรื่องนี้ ๒ เรื่องเท่านั้น คือเรื่อง“วัฏสงสาร” กับ เรื่อง“นิพพาน” นี้เรามาเรียนโดยตรงจาก“จิตใจ” คือเรื่องวัฏสงสาร กับ เรื่องนิพพาน ๒ เรื่องนี้ก็คือเราเรียน ๘๔,๐๐๐ เรื่องในพระไตรปิฎก.
…. ทุกคนสนใจเรื่อง ๒ เรื่องนี้ ผมอยากจะเรียกว่า เรื่อง “ว่าง” กับเรื่อง “วุ่น” สองเรื่องคือ เรื่องว่าง กับ เรื่องวุ่น จะเอาคำที่สั้นที่สุดพยางค์เดียวก่อน คือเรื่อง “ว่าง” พยางค์เดียว คำเดียว, แล้วก็เรื่อง “วุ่น” คือไม่ว่าง จำ ๒ คำว่า“ว่าง” ว่า“วุ่น” ก่อน.
…. ทีนี้ คำว่า “วุ่น” นี้ หมายถึง“ปรุง” ที่มีความวุ่นวายนั่นแหละ คือมีการปรุงแต่งตามแบบของกิเลส ; เมื่อไม่มีการปรุงตามแบบของกิเลสมันจะ“ว่าง” นี้เรื่องวุ่นก็คือเรื่อง“สังขาร” คือปรุงแต่ง, เรื่อง“ว่าง” คือ“วิสังขาร” คือไม่ปรุงแต่ง.
…. เรื่องวุ่น หรือปรุงแต่ง ก็คือเรื่อง “วัฏสงสาร” นั่นเอง เพราะปรุงแต่งก็คือปรุงแต่งให้ลงอยู่ ๓ ระยะ คือ เกิดกิเลส แล้วก็กระทำกรรม แล้วก็ได้รับผลกรรม เป็นความทุกข์ นี่คือ“วัฏฏะ ไตรวัฏฏะ” กิเลส เช่นความอยากเป็นต้น ก็ทำให้เกิดการกระทำกรรม มโนกรรมคือเพียงแต่คิดไม่ได้ทำด้วยปากหรือมือเท้า เพียงแต่คิดนี่เป็นมโนกรรม ก็เป็นกรรม แล้วก็มีผลกรรม คือทำให้มีความทุกข์โดยตรง หรือความทุกข์โดยอ้อม ถ้ามันวุ่นก็ต้องถือว่าทุกข์ หัวเราะอยู่หรือเต้นรำอยู่ก็เรียกว่าวุ่น มันก็ต้องเป็นความทุกข์ มันอยู่นิ่งไม่ได้ มันแสร้งทำแสร้งปรุงทั้งหมดคือไม่ให้ทุกข์, ส่วนเรื่องไม่วุ่น คือว่าง คือไม่วุ่น ไม่ปรุง ว่างนั้นคือนิพพาน วุ่นนั้นคือวัฏสงสาร.
…. เลิกตัวหนังสือมาก เลิกคำพูดมากๆ เลิกการศึกษาเล่าเรียนมากๆ กันไว้ชั่วคราว คือว่าอย่าไปนึกถึงมัน จะเรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก อย่าเพิ่งไปนึกถึงมัน นั่นสอนกันอีกระบบหนึ่ง ซึ่งมันผิดหลักธรรมชาติ ไม่ได้ยึดตัวธรรมชาติเป็นหลัก ยึดหนังสือ ยึดคำพูด ยึดการบัญญัติ แต่งตั้ง(สมมุติ)ต่างๆเป็นหลัก เรื่องมันจึงมาก.
…. นี่ให้ตั้งต้นแบบธรรมดาสามัญ คือยึดเอา“ธรรมชาติ”เป็นหลัก โดยเรานึกถึงเมื่อครั้งพุทธกาล ที่มีคนไปหาพระพุทธเจ้า ไปสนทนาครู่เดียว หรือบางทีก็ไม่ถึงครู่ก็เป็น“พระอรหันต์”ก็มี เป็นพระอรหันต์ไป คนที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วก็เป็นพระอรหันต์ที่ตรงนั้น นั้นไม่ได้เรียนเรื่อง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ดอก ก็เรียนเรื่องนี้ เรื่องที่เราว่า คือเรื่อง “ว่าง” เรื่อง”วุ่น” แล้วก็รู้จักทำให้มันว่าง ก็เท่านั้นเอง เป็นพระอรหันต์ที่ตรงนั้นก็มีมากเหมือนกัน แล้วการแสดงธรรมเพียงครั้งเดียวทำให้คนได้ดวงตาเห็นธรรม จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน มันก็เรื่องเห็นเรื่องนี้แหละ คือเริ่มมีความรู้ความเข้าใจถูกต้องในเรื่องนี้ อย่างถูกต้องเด็ดขาดลงไป คือ “วุ่น”เป็นอย่างไร? “ว่าง”เป็นอย่างไร? แต่ถ้ามันมากกว่านั้นคือ ทำให้จิตหายวุ่นเป็นจิตว่างไปด้วยได้ก็คือเป็นพระอรหันต์ ถ้าเพียงแต่เห็นแนวโดยประจักษ์โดยแน่ใจ โดยไม่เปลี่ยนความคิดอีกต่อไป นี้เรียกว่าได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน นี่ก็เริ่มรู้เรื่องว่าง เรื่องวุ่น โดยชัดเจน โดยแน่นอน โดยประจักษ์.
…. ฉะนั้น จึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ คือเอาตัวธรรมชาติมาเป็นบทเรียน เอาความรู้สึกในจิตใจเป็นบทเรียน เมื่อใดจิตมีการปรุงแต่งเป็น “ตัวกู ของกู” เป็นความวุ่น ในขณะนั้น“วัฏสงสาร”ปรากฏ ; ขณะใดไม่มีอะไรปรุงแต่ง ไม่มีกิเลสเป็น“ตัวกู ของกู” ขณะนั้น“นิพพาน”ยังคงปรากฏอยู่....”
.
พุทธทาสภิกขุ
“ต้องจัดการกัน
ที่นี่ และ เดี๋ยวนี้
ให้จิตใจกลายเป็นสิ่ง
ที่มีความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป
โลกนี้จะเป็นอะไรก็เป็นไป
แต่ว่า “จิตใจ” นี้
ทุกข์กับเขาไม่เป็นก็พอแล้ว”
.
พุทธทาสภิกขุ
----------------------------
.
โลกนี้มีแต่คนบ้า
จึงต้องพึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า
.
…. “ ที่ว่า โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่จะทําให้ตายอยู่ตลอดเวลานี้ ก็ได้แก่สิ่งที่กล่าวแล้ว คือความประมาท คือความไม่รู้, คือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ของคนในโลกที่มากขึ้น จนทําให้โลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้า คือคนตายแล้ว นทางวิญญาณ. คนที่เราเรียกกันว่า “คนบ้า” ในที่นี้ ก็คือคนที่ตายแล้วในทางวิญญาณ คือในทางจิตทางใจนั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่มีสาระอะไรเหลืออยู่ จึงเรียกว่าเป็นคนตายแล้ว
…. โลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้า คือคนที่ตายแล้วในทางจิตทางวิญญาณ : แล้วพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าจะอยู่ร่วมกันในโลกนี้กับเขาได้อย่างไร? ก็ต้องพึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ทําความไม่ตายดังกล่าวแล้ว ก็คือไม่ต้องเป็นบ้าและไม่ต้องตาย นี่แหละ คือข้อที่จะต้องรับศึกษา ประพฤติปฏิบัติ ให้ลุถึงความไม่ตาย, กลายเป็นคนที่ไม่ตาย: เพียงแต่ศึกษาและปฏิบัติอยู่นี้ยังไม่พอ มันยังตายได้, ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่นี้มันยังตายได้; เผลอนิดเดียวมันก็ตายด้วยความประมาท ด้วยความอวดดี ด้วยความยกหูชูหาง ที่มีความรู้มากขึ้นนั่นเอง มันก็ตายไป เพราะการศึกษาเล่าเรียนที่เรียกว่าดีนั่นเอง
…. ถึงแม้การปฏิบัติก็เหมือนกัน เมื่อยังปฏิบัติอยู่มันยังไม่พ้นตาย , แต่เผลอเข้ามันอาจจะตายได้ เพราะการปฏิบัติที่ยึดมั่นถือมั่น, เป็นการปฏิบัติของเราที่ดีกว่าของใครอย่างนี้เป็นต้น ; มันก็กลายเป็นคนตายเพราะการปฏิบัตินั้น เพราะฉะนั้น ต้องเรียนให้ถูกวิธี ต้องปฏิบัติให้ถูกวิธี จนประสบความสําเร็จในเรื่องนี้
…. บรรลุถึงธรรมะที่เป็นความไม่ตายโดยแท้จริง คือธรรมะชนิดที่ทําให้หมดความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกู นั่นเอง. ถ้าถึงธรรมะข้อนี้แล้ว “ ก็ไม่มีตัวกูหรือของกูเหลืออยู่สําหรับที่จะตาย”. นี้เรียกว่า เราได้กลายเป็น “คนไม่ตาย”; ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเล่าเรียนอยู่ หรือปฏิบัติอยู่ หรือทําอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ : นั้นยังเป็นคนตายเมื่อไรก็ได้, นี่แหละคือความไม่ประมาทอันแท้จริง
.
โลกเป็นอย่างไรก็ตาม จิตใจต้องทุกข์ไม่เป็น
…. เราจะรอให้โลกนี้หมุนกลับไปสู่ความสงบโดยลําพังของโลกเองนั้นมันก็ไม่ไหว ; มันยังอีกนานนัก เราตายแล้วตายอีกกี่ร้อยชาติมันก็ยังจะไม่ถึงยุคแห่งความสงบนั้นด้วยซ้ำไป ฉะนั้น ต้องจัดการกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ ให้จิตใจกลายเป็นสิ่งที่มีความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป.
โลกนี้จะเป็นอะไรก็เป็นไป,
แต่ว่า “จิตใจ” นี้
ทุกข์กับเขาไม่เป็นก็พอแล้ว,
ทุกข์กับเขาไม่ได้ก็พอแล้ว
…. ถ้าเรียนธรรมะในพระพุทธศาสนา ก็จงเรียนเพื่อความเป็นอย่างนี้เถิด. ถ้าจะปฏิบัติในธรรมะในพระพุทธศาสนา ก็จงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนี้ เถิด ถ้าได้บรรลุธรรมะอะไรในการปฏิบัตินั้น ก็ให้ได้บรรลุธรรมะ คือความเป็นอย่างนี้เถิด อย่าให้เป็นอย่างอื่นเลย
…. จงระมัดระวังรักษาสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเราให้ดี ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจ เกิดขึ้นอย่างไร เมื่อไร, ก็ต้อง “มีสติ” ที่เพียงพอสําหรับจะไม่ให้เผลอตัว ปรุงขึ้นมาเป็นความยึดมั่นถือมั่น;
เป็นผู้ปฏิบัติชนิดที่ได้เข้าถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คือ ธรรมชาติที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นอยู่ตลอดเวลา ทําตนเป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียวก็พอแล้ว ;
สิ่งใดเป็นความยึดมั่นถือมั่น ก็ศึกษาให้เข้าใจ, แล้วอย่าให้สิ่งชนิดนี้เกิดขึ้นมาได้ ให้อยู่ด้วยอาการปกติตามธรรมชาติที่บริสุทธิ์มาแต่เดิม. นี่คือ สติ หรือผลของการใช้สติ ระวังไม่ให้เกิดการปรุงแต่งใหม่ๆ ขึ้นมา, ที่เรียกว่า กิเลส ตัณหา และความทุกข์ นี้ไม่ใช่ธรรมชาติเดิม, นี้ไม่ใช่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์, เป็นของใหม่ : ปรุงแต่งขึ้นมาด้วยความเผลอสติ...”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายชุมนุมล้ออายุ หัวข้อเรื่อง “เครื่องรางกันบ้า” บรรยายเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๑ กัณฑ์ค่ำ บนเขาพุทธทอง จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ชุมนุมล้ออายุ เล่ม ๑” หน้า ๒๘๘-๒๘๙,๓๐๗-๓๐๘
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม. ##
“พระพุทธศาสนามุ่งหมายจะให้สัตว์ทั้งหลายอยู่ได้ในท่ามกลางกองทุกข์โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะอาศัยความรู้และการปฏิบัติในเรื่อง“สุญญตา”นั่นเอง หาใช่เพื่อความเมามายในสวรรค์วิมานตามที่มีการโฆษณาชวนเชื่ออยู่ตามวัดวาอารามต่างๆทั่วไปไม่”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “หลักสุญญตา เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนทุกชั้น” เมื่อ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๐๔ จากหนังสือ “ตัวกู ของกู”
การเห็น "สุญญตา" ทำให้ไม่กลัว"ความตาย" หรือ "ความตายไม่มี"
"ความตาย" จุดรวมของความกลัว
ความตายก่อความกลัวใหญ่หลวงแก่คนธรรมดาสามัญ เป็นจุดรวมของความกลัวทุกชนิด เช่น กลัวสัตว์ร้าย กลัวผี กลัวโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่กลัวตายเสียอย่างเดียวเท่านั้น คนเราก็แทบจะไม่กลัวอะไรเลย และจะเป็นอยู่ด้วยจิตใจที่แสนจะสงบเย็น
เพราะฉะนั้น การทำให้ความตายกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย จึงย่อมเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ถ้าใครทำได้ถึงที่สุด ก็จะทำให้ชีวิตนี้มีแต่กำไร ไม่มีทางขาดทุนเลย
ผู้ที่รู้สึกว่า"ความตายไม่มี"นั้น นับว่าเป็นคนมีบุญอย่างสูงสุดแล้ว เราจะทำอย่างไรความตายจึงจะไม่มี หรือมีค่าเท่ากับไม่มีสำหรับเรา
"สุญญตา" ความว่างจาก"ตัวตน"
สิ่งที่สามาถทำจิตให้ไม่กลัวความตายเด็ดขาดจริงๆนั้น ต้องเป็นเรื่อง สัจจธรรม หรือ "ปรมัตถธรรม" โดยตรง และถึงขั้นที่สุดด้วย ฉะนั้น จึงตกเป็นหน้าที่ของ "สัมมาทิฏฐิ" ชั้นที่เป็น"โลกุตตรปัญญา" ที่สามารถมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ " สุญญตา "( ความว่าง )ได้อย่างชัดแจ้ง
การเห็นอนัตตาของกายและใจ จะทำให้เห็นความ"ไม่มีตัวตนที่ถาวร" มีแต่"นามธรรม"(จิตใจ) อันเป็นธรรมชาติคู่กับ"รูปธรรม"(ร่างกาย) ซึ่งก็ไม่มีตัวตนอันแท้จริงเหมือนกัน
ชีวิตจึงเป็นเพียงกระแสของธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ไหลเรื่อยไป จนกว่าจะหมดเหตุหมดปัจจัย.
การเห็นสุญญตา กล่าวคือ การเห็น นาม และ รูป หรือสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของ"ว่างจากตัวตน"โดยสิ้นเชิง จะทำให้เห็นความ"ไม่มีการเกิด"ของอะไรๆทั้งสิ้น ไม่มีใครเกิดมาเสียตั้งแต่แรก แล้วจะมีใครตายได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความตายจึงไม่มี
การเห็นสุญญตาทำให้ไม่มีตัวคนเรา หรือตัวตนของใครเลย มีแต่ " สุทฺทธมฺมา ปวตฺตนฺติ : ธรรมชาติล้วนๆไหลไป "
จิตไม่มีความรู้สึกยึดว่า เราเกิดขึ้น เรามีอยู่ เราดับไป
ฉะนั้น "ความตายจึงไม่มี" สำหรับจิตที่มองเห็นสุญญตาอย่างถูกต้อง."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง "ตายก่อน ก่อนตาย ชีวิตที่ชนะ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย"
ถ้าเข้าใจเรื่อง "ความว่าง" ในพุทธศาสนาไม่ได้ ก็น่าเสียดายที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้รับผลในสิ่งที่ควรจะได้รับ
"คำว่า "ว่าง" นี้ หมายถึงว่างในทางนามธรรม ทางจิตใจ ทางสติปัญญา ไม่ใช่ว่างทางวัตถุ คือว่างไม่มีอะไร ว่างในทางนามธรรม หรือทางสติปัญญา ทางธรรมะหรือทางปรัชญา แล้วแต่จะเรียกนี้ หมายความว่า จิตกำลังว่างจากความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าเป็น"ตัวตน" "ของตน" และไม่มีความทุกข์เลย
จิตนั้นรู้อารมณ์ทุกอย่าง เสวยอารมณ์ทุกอย่าง พิจารณาอารมณ์ทุกอย่าง หรือแม้ที่สุด รู้รสบริโภคอารมณ์ทุกอย่าง แต่ก็ไม่โง่ ไม่หลงด้วยอวิชชา ไปมีความยึดมั่นถือมั่นว่า"ตัวตน" หรือ "ของตน" แม้ในขณะที่รู้อารมณ์ รับอารมณ์ เสวยอารมณ์ พิจารณาอารมณ์ ก็ทำไปด้วยสติปัญญา ไม่ได้เผลอเป็นกิเลสตัณหายึดมั่น อย่างนี้ แม้ว่าจิตนั้นจะกำลังทำการงานในทางจิตอย่างวุ่นตัวเป็นเกลียว ก็ยังเรียกว่าจิตว่างอยู่นั่นเอง เพราะมันยังว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัว เป็นตน หรือเป็นของๆตน
จิตอย่างนี้ไม่มีความทุกข์ จิตอย่างนี้เฉลียวฉลาด สามารถปฏิบัติการงานที่จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ลุล่วงไปด้วยดี ดังนั้น จึงไม่มีความเสียหาย ไม่มีการขาดทุน มีแต่การได้ผลดี เป็นกำไร มีความก้าวหน้าในทางการงาน และได้รับผลเป็นความพอใจ เป็นความสุข สงบเย็นอยู่เสมอ
นี่แหละ คือใจความสำคัญสั้นๆของสิ่งอันมากมายที่พระพุทธเจ้าท่านประทานให้แก่เรา เราเป็นคนโง่คนหลงเสียเอง ทำให้สิ่งที่ง่ายๆ สั้นๆ นั้น กลายเป็นของหายากและยืดยาดไป
ถ้าเราไม่เข้าใจผิดในเรื่องนี้ มีการศึกษามาดีและเพียงพอแล้ว เราก็จะเข้าใจได้ และเห็นว่าเป็นเรื่องเพียงเรื่องเดียว เป็นเรื่องสั้น เป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องอยู่ในวิสัยที่เราจะเข้าใจได้ และเป็นเรื่องที่จำเป็นแก่คนเราในชีวิตประจำวัน แต่ละวันๆ จะต้องมีจิตอย่างนี้ คือ มีจิตที่ประกอบไปด้วยสติปัญญาและไม่มีความทุกข์ จิตที่ประกอบไปด้วยสติปัญญานั้น ทำให้ทำการงานได้ดี จิตที่ไม่ประกอบไปด้วยความทุกข์นั้น คือภาวะที่เราต้องการไม่ว่าในกรณีไหนและเมื่อไร
มนุษย์มีความสามารถขจัดทุกข์ได้ด้วยตนเอง
เราต้องมีความแน่ใจว่า เรานี้ไม่ใช่เกิดมาเพื่อทนทุกข์ เราจะต้องเลือกเอาข้างฝ่ายที่ไม่มีความทุกข์ไว้ก่อน เราจึงพยายามไปแต่ในทางที่จะไม่มีความทุกข์ ทุกอย่างทุกทางทุกประการ ถ้าเป็นเรื่องความทุกข์แล้ว เราพยายามตีตัวออกห่าง พยายามที่จะไม่ข้องแวะด้วยเลย"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนาหัวข้อเรื่อง "ธรรมจักษุ-ดวงตาที่เห็นธรรม" แสดงในวันอาสาฬหบูชา ณ สวนโมกขพลาราม ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๐๙
นี่คือ “ความจริง” อันเป็นที่สุด
ของสิ่งที่เรียกว่า“ชีวิต”มนุษย์
"เมื่อคนไม่รู้ทันความจริงของธรรม ก็นำความทุกข์ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติมาเป็นทุกข์ของตัว
"ทุกขํ" ทุกขังในไตรลักษณ์นี้ เรามักไปมองคำว่าทุกข์เป็นความเจ็บปวดเสีย ที่จริงทุกข์เป็นสภาพตามธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย หรือเป็นสภาวะตามธรรมชาติ คืออาการที่สิ่งทั้งหลายไม่สามารถคงอยู่ในสภาพเดิม
บางทีแปลว่า stress หรือ conflict คือภาวะที่มันมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ-ปัจจัยหรือองค์ประกอบต่างๆที่ เกิด-ดับ บีบคั้น ขัดแย้ง กันอยู่ตลอดเวลา แล้วทุกข์ก็เป็นภาพรวมที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านั้น
สิ่งทั้งหลายเป็นองค์รวมที่เกิดจากองค์ประกอบต่างๆมาประชุมกัน เมื่อองค์ประกอบแต่ละอย่างเกิดขึ้น-ดับไป เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา องค์รวมนั้นจึงไม่สามารถคงสภาพเดิมอยู่ได้ เพราะเมื่อองค์ประกอบแต่ละอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป ก็จะเกิดการขัดแย้งกันเป็นความกดดันภายใน แล้วก็จะต้องคงอยู่ไม่ได้
สภาพที่ขัดแย้ง ฝืน กดดัน คงอยู่ไม่ได้ ทั้งหมดนี้เรียกว่า "ทุกข์" ซึ่งเป็นสภาวะธรรมชาติในสิ่งทั้งหลาย เมื่อเราใช้ศัพท์นี้กับภาวะในใจคน ก็จะมีความหมายว่าเป็นภาวะที่จิตถูกกดดันบีบคั้น ก็คืออันเดียวกัน
จะเห็นว่าทุกข์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ในสิ่งทั้งหลายนี้ ก็มีความหมายหนึ่ง คล้ายๆกับทุกข์ในใจของเรา ทุกข์ในใจของเราก็คือ ภาวะที่ถูกบีบคั้น กดดัน ขัดแย้ง ไม่สบาย ทนไม่ไหว ทีนี้ ในสิ่งทั้งหลายทุกข์ก็คือภาวะที่จะต้องผันแปรเปลี่ยนแปลงไป เกิดความขัดแย้ง กดดัน ทนอยู่ไม่ได้
ส่วน "อนตฺตา"(อนัตตา) ก็อย่างที่พูดไปแล้วว่า คือดำรงอยู่หรือเป็นไปตามสภาวะของมันอย่างนั้นๆ ซึ่งใครจะไปยึดถือ ยึดครองเป็นตัว เป็นของตัว อย่างใดไม่ได้จริง ถ้าเป็นสังขารก็เป็นเพียงภาพรวมของปรากฏการณ์แห่งกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง มิใช่เป็น"ตัวตน"ที่ยั่งยืนมั่นคงอยู่อย่างนั้นตลอดไป
เรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกับกฎทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีอยู่ตามธรรมดาในธรรมชาติ ไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่ ใครมีปัญญาสามารถก็ค้นพบแล้วก็เอามาบอกกัน
เรื่อง อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา นี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เป็นความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาของมัน ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิด พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้มาค้นพบ เปิดเผยอธิบาย วางเป็นระบบไว้
ตรงนี้แหละ ที่มาโยงเข้ากับ "อริยสัจ" คือเมื่อสิ่งทั้งหลาย ทั้งโลก รวมทั้งชีวิตของคนเรานี้ เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งๆ มันก็เป็นไปตามกฎธรรมชาตินี้ ที่ว่ามีความไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงทุกเวลา มีความกดดันขัดแย้งภายใน คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ และเป็นไปตามเหตุปัจจัย ปรากฏรูปลักษณ์ไปต่างๆ ยักย้ายไปตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์กันนั้น อย่างร่างกายของเรานี้ก็เปลี่ยนไป ตอนเป็นเด็กหน้าตาอย่างหนึ่ง อายุมากขึ้นมาก็เปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่ง
เมื่อสิ่งทั้งหลายเป็น อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ตามธรรมดาของมันอย่างนี้ ก็มีคำถามว่า มนุษย์จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร คือ จะปฏิบัติหรือสัมพันธ์กับธรรมชาติ กับโลก กับชีวิต ที่เป็นไปตามกฎธรรมชาตินั้นอย่างไร
มนุษย์อาจจะสัมพันธ์กับมันด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
"อวิชชา" คือ ภาวะที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ไม่รู้ทันความจริงของสิ่งนั้นๆ
"ตัณหา" คือ ความอยากความปรารถนาต่อสิ่งต่างๆ โดยไม่รู้ทันความจริงของมัน
"อุปาทาน" คือ การเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ให้เป็นอย่างที่ตัวต้องการ เอาความปรารถนาของตนเป็นตัวกำหนด
ถ้ามนุษย์เข้าไปสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลาย หรือพูดง่ายๆว่า สัมพันธ์กับโลกและชีวิตด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็จะเกิดปัญหาขึ้นกับชีวิตของตัวเองทันที ทุกข์ที่เป็นสภาพอยู่ในธรรมชาติตามธรรมดาของมัน คือ เป็นความขัดแย้ง คงอยู่ไม่ได้ ในสิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงคืบเคลื่อนไปนั้น ก็จะเกิดเป็นสภาวะที่กดดัน ขัดแย้ง ขึ้นในจิตใจของมนุษย์ ตอนนี้ ทุกข์ในธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมดา กลายมาเป็น"ทุกข์"ปรุงแต่งในใจของเรา
ที่จริงมันเป็นทุกข์อยู่ตามธรรมดาในธรรมชาติ แต่เมื่อเราไปสัมพันธ์ปฏิบัติต่อมันไม่ถูก จึงเกิดเป็นทุกข์ในใจของเราขึ้นมา และเมื่อสืบค้นดูก็จะรู้ว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ของเราในกรณีนี้ ตัวนี้แหละที่ท่านว่าเป็น "สมุทัย" คือเหตุแห่งทุกข์ ตอนนี้สมุทัยมาเเล้ว
"สมุทัย" นี้ ถ้า(พระพุทธเจ้า)ตรัสแค่บทบาทหน้าโรง ก็เอา"ตัณหา"เป็นตัวแสดง แต่ถ้าตรัสแบบเต็มโรง จะยกเอา"อวิชชา"เป็นตัวกำกับหลังโรง ขอให้ดูเวลาตรัส ว่าอะไรคือ"สมุทัย" พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๒ แบบ
แบบที่ ๑ ตรัสว่า สมุทัย ได้แก่ ตัณหา คืออธิบายง่ายๆสั้นๆว่า "สิ่งทั้งหลายมันไม่เป็นไปตามใจอยากของคุณหรอก เมื่อคุณสัมพันธ์กับมันด้วยความอยาก คุณก็ต้องเป็นทุกข์เอง"
แต่เบื้องหลังตัณหา คือความอยาก หรือความตามใจตัวนี้ ตัวการที่แท้ก็คือ "ความไม่รู้เท่าทันความจริง" ซึ่งเป็นเงื่อนไขเปิดช่องให้ปัจจัยต่างๆเข้ามาหนุนกันในการที่จะให้ปัญหานั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น
แบบที่ ๒ จึงตรัสแบบกระบวนการที่เริ่มต้นจาก"อวิชชา" ว่าอวิชชาเป็นปัจจัยพื้นฐานของปัญหาหรือทุกข์ สมุทัยที่แท้จริงเป็นกระบวนธรรม (ธรรมปวัตติ) ตามกฎปฏิจจสมุปบาทว่า "อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา" ซึ่งประมวลว่าทั้งหมดนี้คือสมุทัยแห่งทุกข์
ตอนนี้จะเห็นได้ว่า กฎธรรมชาติ มาสัมพันธ์กับมนุษย์แล้ว
ตอนแรก พูดเริ่มจากกฎธรรมชาติก่อนว่า ความจริงของธรรมชาติมันมีอยู่ตามธรรมดาของมัน สิ่งทั้งหลายดำเนินไปตามกฎธรรมชาตินั้น เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ตอนนี้ มาถึงคน คือในการที่คนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น ถ้าเกี่ยวข้องโดยมี อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นตัวกำหนด ก็จะเกิดปัญหา มีทุกข์ขึ้นมา
อันนี้ คือ อริยสัจ ข้อที่ ๑ และข้อที่ ๒ คือ การสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายซึ่งมีศักยภาพที่จะให้เกิดทุกข์ ด้วยอวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน ซึ่งเป็นสมุทัย คือตัวเหตุ แล้วก็เกิดทุกข์ในตัวคนขึ้นมา คือก้าวจากทุกข์ในสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมชาติ มาเป็นทุกข์ในใจของเรา
นี่คือ วิธีพูดแบบย้อนกลับโดยเอากฎธรรมชาติเป็นจุดเริ่มต้น โดยเริ่มที่ "สมุทัย" คือมนุษย์ไปสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายไม่ถูกต้อง โดยสัมพันธ์ด้วย อวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน ก็เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา"
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากธรรมนิพนธ์ "ถ้ารู้จักพระพุทธศาสนา ความสุขต้องมาทันที"
“ วิมุตติ - ความหลุดพ้น ”
.
“ วิมุตติ - ความหลุดพ้น คือ เกลี้ยงเกลาไปเสียจากสิ่งที่มันรบกวน ย่ำยี ทำอันตราย จนกว่าจะถึงที่สุด, ถึงที่สุดมันหลุดพ้นไปจาก “ตัวกู-ของกู” ตัวกู-ของกูไม่เกิดในจิตใจต่อไป นี่เรียกว่า “วิมุตติแท้จริง”
.
ถ้า เดี๋ยวเกิดตัวกูเรื่องนั้น เดี๋ยวเกิดตัวกูเรื่องนี้ เกิดของกูเรื่องโน้น วันหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยครั้ง นี้ก็เรียกว่ามันจมอยู่ในความผูกพันในวัฏฏสงสาร
.
บาลีว่า วินาชาติ - ว่าชาติสิ้นแล้ว คือการเกิดแห่งตัวกูมันสิ้นแล้ว จะโดยเนื้อหนังร่างกายโดยจิตใจมันก็สิ้นแล้ว
วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ - การประพฤติที่ดีที่สุดเราประพฤติแล้ว
พฺรหฺมจริยํ แปลว่า ประพฤติที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีอะไรสูงกว่านี้
วุสีตํ - เราประพฤติแล้วเสร็จแล้ว
กตํ กรณียํ - สิ่งที่จะต้องทำนี้ทำเสร็จแล้ว บรรดาสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์จะพึงกระทำหรือต้องกระทำก็ตาม ทำเสร็จหมดแล้ว
อิทสฺสตํ นาปราย - อะไรที่จะต้องทำเพื่อดีที่สุดนั้นไม่มีอีกต่อไป...
.
นี่ คนที่ไปได้จนถึงนั่น มันอยู่เหนือความตาย เหนือปัญหา เหนืออะไรทุกอย่าง...”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “สิ่งที่เรียกว่า วิปากธรรม ในพุทธศาสนา” บรรยายเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๑๖ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ ธรรมศาสตรา ”
---------------------------------
หมายเหตุ : ( ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ )
( ตัวอย่าง ) พระพุทธองค์มักจะตรัสในตอนท้าย เมื่อมีผู้ฟังธรรมจากพระองค์แล้วได้บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ เช่น...
.
…...“ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดภิกษุละอวิชชาได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น เธอไม่ยึดมั่นกามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน เพราะกำจัดอวิชชาได้แล้ว วิชชาจึงเกิดขึ้น เมื่อไม่ยึดมั่น เธอก็ไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง เธอก็ปรินิพพานเฉพาะตนนั่นแล เธอรู้ชัดว่า “ ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป”
.
อย่างนี้ เป็นต้น
.
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม. ##
ตาโลก เห็นโลก ตาธรรม เห็นธรรม
เมื่อใดเห็นแจ้ง “โลกุตตรธรรม” สิ่งทั้งปวงในโลกจะเหมือนกันทุกสิ่ง
.
…. “ โลกียธรรม และ โลกุตตรธรรม ตั้งอยู่ปรากฏอยู่เป็นคู่กันเสมอ แต่เพราะเหตุที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามธรรมดาของเรา เป็นแต่เพียงเครื่องมือที่จะสัมผัสได้กับพวกโลกิยธรรมเท่านั้น เราจึงไม่อาจเห็นโลกุตตรธรรม ซึ่งมีอยู่พร้อมกันในที่นั้นเอง ตา หู ตามธรรมดาดังกล่าวนี้ เห็นโลกโดยรอบตัวเฉพาะด้านนอก จึงให้ผลเพียงด้านนอก และให้เกิดผลกระท้อนอย่างอื่นๆสืบไป ก็ล้วนแต่ด้านนอกทั้งนั้น เรามีตาเห็นรูปทั้งปวง เช่น เห็นโคมไฟฟ้า เห็นประตู เห็นหน้าต่าง ตู้หนังสือ และอื่นๆ ในสถานที่นี้ ความรู้สึกที่ได้จากตาเช่นนี้ เพียงว่านั่นดวงโคม นั่นประตู นั่นหน้าต่าง นั่นเป็นสิ่งนั้น นี่เป็นสิ่งนี้ ล้วนแต่ต่างกัน เช่น โคมไฟฟ้าต่างจากตู้หนังสือ ตู้หนังสือต่างจากโต๊ะ เป็นต้น สิ่งใดงามหรือถูกใจก็ชอบ บอกว่าพอใจ อยากมี อยากได้ สิ่งใดไม่งามก็ไม่ชอบ อยากให้ไปพ้นหูพ้นตา หรือดูกีดเกะกะไปเสียทั้งหมด และนี่ เป็นผลที่ตาหูเป็นวิสัยแห่งโลกียะได้ก่อให้เกิดขึ้น.
.
…. ความรู้สึกจับฉวยเอาด้วยใจ จนเกิดผลกระท้อนเป็นความสบายใจและไม่สบายใจเช่นนี้ เป็นเสมือนเปลือกที่งอกซับซ้อนห่อหุ้มดวงใจยิ่งขึ้นทุกที จึงยากที่แสงสว่างแห่งโลกุตตรธรรมจะส่องเข้าถึง ต่อเมื่อใดได้อาศัยวิธีอันประเสริฐ กระทำตาหูตามธรรมดาให้เป็นอินทรีย์ชั้นพิเศษ สามารถเจาะแทงเพิกถอนเปลือกหุ้มนี้เสียได้ เห็นลักษณะอันเร้นลับที่เป็น“ด้านใน”ของสิ่งทั้งปวง เมื่อนั้นจะมองพบโลกุตตรธรรมในทันที และก็มองเห็นได้ที่โคมไฟฟ้า โต๊ะ ตู้หนังสือ เก้าอี้ และอื่นๆเหล่านี้ เช่นเดียวกันอีกนั่นเอง แต่เป็นการมองข้ามพ้นโลกด้านนอกเข้าไปถึงด้านใน การมองตามวิธีนี้เห็นแปลกกัน(ต่างกัน) คือ เห็นเป็นสิ่งเดียวกันหรือเหมือนกันไปหมด เช่น โคมไฟฟ้าก็เหมือนกับตู้หนังสือ ตู้หนังสือก็เหมือนกับโต๊ะ โต๊ะก็เหมือนกับเก้าอี้ อะไรๆก็เป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวเหมือนกันไปหมด ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระท้อนหรือความถูกใจ หรือความไม่ถูกใจ ไม่ก่อให้เกิดความพอใจหรือความไม่พอใจ ไม่รัก ไม่ชัง ไม่กระหายดิ้นรน ไม่แสดงความรู้สึกแปลกประหลาดอันใดหมด
.
…. สรุปความว่า ผู้ที่ตาหูอันเป็นวิสัยโลกิยะ ย่อมมองเห็นด้านนอก เป็นสิ่งทั้งหลายแตกต่างกันนานาประการ แต่ตาหูชนิดที่เป็นวิสัยแห่งโลกุตตระ ย่อมมองเห็น“ด้านใน” เห็นทุกๆสิ่งเหมือนกันหมด ไม่เห็นความงามในสีหรือสัณฐานของสิ่งต่างๆในโลก แต่ได้ทะลุไปเห็นใจความสำคัญ คือที่เรียกในภาษาธรรมะว่า “สามัญญลักษณะ” มันทำให้สิ่งทั้งปวงในโลกเหมือนกันทุกสิ่ง
.
…. “สามัญลักษณะ”นั้น คือลักษณะทั่วไปแก่สิ่งทั้งปวงในโลก ได้แก่สภาพแห่งความแปรผัน ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ความที่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้วเป็นของ“น่าระอา” และความเป็น“อนัตตา” คือหาจุดกลางที่เป็น“ตัวตน”อันเป็นสาระอันใดมิได้
.
…. ภาพหรือลักษณะอันนี้ ได้ปรากฏเด่นชัดอยู่เองแล้วที่สิ่งทั้งปวงในโลก แต่มนุษย์เราได้ไพล่ไปมองภาพที่เป็นรูปร่างทรวดทรงที่งามหรือไม่งามไปเสีย จึงไม่เห็นภาพแห่ง“สามัญญลักษณะ” ดุจเดียวกับเมื่อมองเห็นเก้าอี้ก็ย่อมมองไม่เห็นความปราศจากเก้าอี้ ฉันใด ก็ฉันนั้น
.
…. ภาพแห่ง“สามัญญลักษณะ” ได้ส่องแสงแจ่มแจ้งยิ่งกว่าแสงอาทิตย์สักพันดวงรวมกัน แต่แม้กระนั้น ภาพแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็ยังไม่กระทบสายตาของมนุษย์ธรรมดาได้ ด้วยเหตุนั้น จึงมองข้ามพ้นไปเสียทางอื่น คือคงมองเห็นนั่นเห็นนี่ ชนิดที่ให้เกิดความพอใจหรือความไม่พอใจอยู่ร่ำไป ต่อเมื่อมีตาพิเศษดังกล่าวแล้วเกิดขึ้น จึงไม่เห็นรูปเขียวรูปแดง น่ารักไม่น่ารัก เป็นต้นนั้นๆ เห็นแต่แสงอันแจ่มจ้าจากสิ่งทั้งปวง ซึ่งส่องอยู่เป็นอย่างเดียวและเป็นอันเดียวกันทั้งหมด คือ แสงแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั่นเอง.
.
…. โต๊ะก็ส่องแสงจ้า และเป็นชนิดเดียวกับโคมไฟฟ้าส่องแสง ตู้หนังสือก็ส่องแสงชนิดเดียวกับเก้าอี้ส่องแสง อะไรๆก็ส่องแสงชนิดเดียวกันหมด ไม่มีแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น “ผู้ที่เห็นพุทธธรรมแล้ว ย่อมเห็นสิ่งทั้งปวงในโลกเป็นเพียงสิ่งๆเดียว” โลกทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งๆเดียว คือ ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ในใจต่างๆนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน มีการเป็นมาและเป็นไปอย่างเดียวกัน เป็นแต่กฎแห่งเวลาและขนาด ( Time and Space ) ทำให้รู้สึกแตกต่างกัน และอวัยวะที่ใช้สัมผัสก็สัมผัสได้เพียงชั้นที่เป็นมายาภายนอก ของสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น เมื่อเห็นสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นอันเดียวกัน และเป็นเพียงเกลียวแห่งความหมุนเวียน ของสิ่งที่เป็นเหตุผลของกันและกัน โดยไม่มีหยุดหย่อน จนกว่าจะดับ อย่างเดียวกันดังนี้แล้ว ทั้งโลกก็ยังเหลือแต่ “ธรรมดา” ตัวเดียวเท่านั้น ความไม่ข้องใจ ไม่เข้าไปผูก ไม่ยึดถือไว้ด้วยใจ ก็จักพลันเกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องมีการพากเพียรหรือขอร้องให้เกิดขึ้น เช่นเดียวกับที่จุดไฟขึ้นเป็นแสงสว่าง ความมืดก็หายตัวไปเอง ฉันใด ก็ฉันนั้น.”
.
พุทธทาสภิกขุ
" ศีล ๕ "
"ปุถุชน" กับ "พระโสดาบัน"
สามารถระงับ "ภัยเวร" ได้ ที่รู้กันมากอีกอย่างหนึ่ง ก็ว่า.. ท่านระงับ "ภัยเวร" ทั้งหลายได้
อริยสาวกสฺส ปญฺจ ภยานิ วูปสนฺตานิ โหนฺติ = ภัยทั้งหลาย ๕ ของพระอริยสาวกนั้นเข้าไปสงบรำงับแล้ว
"ภัยทั้งหลาย" ในที่นี้ หมายถึง "ความทุศีล" โดยเฉพาะศีล ๕ นี้แหละ เรียกว่า "ภัย" หรือ สิ่งที่ควรกลัว ๕ ประการ
ปญฺจ ภยานิ = ภัยทั้งหลาย ๕ ประการ
อริยสาวกสฺส = ของพระอริยสาวก
วูปสนฺตานิ = เป็นธรรมชาติที่เข้าไปสงบรำงับแล้ว
ก็แปลว่า อันตรายที่มันจะเกิดแก่คนเรา ๕ ประการ เนื่องมาจากการกระทำ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และ สุราเมรยมัชชะ ฯ นี้ หมดแล้ว ถูกกระทำให้ระงับไปแล้ว เกิดขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่าท่านมีสติปัญญา มีศรัทธาอย่างที่ว่ามาแล้วนั่นเอง
ในพระบาลี(บาลีพระไตรปิฎก)บางแห่ง ในสูตรบางสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดง "องค์แห่งความเป็นพระโสดาบัน" ไว้สั้นๆที่สุด ว่า.. ภัย ๕ ประการของท่านนั้นระงับแล้ว
บางคนจะฟังไม่เข้าใจว่า ถือศีล ๕ ได้บริสุทธิ์ เด็ดขาด นี้เป็นพระโสดาบันได้เชียวหรือ?
ถ้าเขารู้ว่าการมีศีล ๕ ของพระโสดาบันนั้น มีถึงขนาดที่ว่า.. "ระงับภัยโดยสิ้นเชิง ไม่เป็นภัยขึ้นมาได้อีกต่อไปแล้ว" ย่อมหมายความว่า จิตใจหรือสันดานของพระโสดาบันนั้นเปลี่ยนไปมาก.
แต่ในที่นี้ เราจะระบุไปแต่เพียงว่า ..
"จะทำความผิด ๕ ประการนั้นไม่ได้อีกต่อไป"
โดยไม่ต้องมีเจตนาที่จะเว้น มันก็เป็นการเว้นอยู่ในตัว. อย่างนี้ จึงจะเรียกว่า "วูปสนฺต" คือ "เข้าไปสงบรำงับแล้ว"
แม้คำว่า "เชื้อ" หรือ "รกราก" ที่จะทำให้ทำผิดในศีล ๕ ประการนี้ มันถูกถอนไปหมดแล้ว ก็เลยไม่มีทางอีกแล้วที่ว่า พระโสดาบันจะผิดศีล ๕ ประการ
ฉะนั้น จึงพูดได้อย่างที่คนไม่ค่อยเข้าใจ หรือไม่ค่อยยอมเชื่อว่า ถือศีล ๕ ได้บริสุทธิ์ก็เป็นพระโสดาบันได้.
แต่ถ้าว่าที่จริง ก็ควรจะพูดอย่างอื่น พูดอย่างพระพุทธเจ้าตรัสนี่แหละถูกต้อง ว่า .. " ภัย ๕ ประการสงบรำงับแล้ว "
ถ้าจะพูดว่า .. ถือศีล ๕ ได้บริสุทธิ์นี้ มันยังฟังยาก เพราะคำว่า "ถือ" นี้ มันต้องหมายถึงเจตนา มันต้อง "มีเจตนา" มันจึงจะเป็นการถือ แต่ถ้า .. ยังเป็นเจตนาหรือมีเจตนาอยู่ มันยังไม่สงบรำงับแน่
เพราะฉะนั้น มันจะกลายเป็นว่า พูดแล้วจะไม่เชื่อว่า ต้องไม่ถือศีล ๕ นั่นจึงจะเป็นพระโสดาบัน หรือไม่ถือศีล ๕ แต่ มันกลับมีศีล ๕ เพราะว่า .. รกรากของการทุศีล ๕ นั้นมันถูกทำลายไปหมดแล้ว
ฉะนั้น ท่านไม่ต้องถือศีล ๕ " ... ไม่มีเจตนาที่จะถือศีล ๕ แต่ มันก็ผิดศีล ๕ ไม่ได้อีกต่อไป.
ส่วนคนธรรมดานี้มันต้อง "ถือ" ต้องถือให้เคร่ง ต้องตั้งเจตนาจะถือให้เคร่ง นี้มันยังเป็นปุถุชนอยู่ และเมื่อยังมี "ถือด้วยเจตนา" อยู่อย่างนี้ มันก็สมบูรณ์ไม่ได้ เพราะมันยังมีเรื่องมารบกวนอยู่ตลอดเวลา
เพราะว่าไม่ได้ทำลาย "ต้นเหตุให้ทุศีล" นั้นเสียด้วยอำนาจของปัญญาเหมือนพระโสดาบัน
นี่ .. ความของปุถุชนที่ถือศีล แล้วมันมีไม่ได้ ส่วนพระโสดาบันไม่ถือศีล แต่กลับมีศีลสมบูรณ์ มันต่างกันอย่างนี้ ... "
๙ มีนาคม ๒๕๑๗
"ความรู้สึก"ทุกชนิด "ที่เป็นไปในทางผิด" ล้วนแต่มีมูลมาจาก 'อวิชชา' ทั้งนั้น
ที่มีความโลภ
ก็เพราะ..ไม่รู้ว่า...ไม่ควรโลภ
ที่มีความโกรธ
ก็เพราะ..ไม่รู้ว่า...ไม่ควรโกรธ
ที่มีความหลง
ก็เพราะ..ไม่รู้ว่า...ไม่ควรหลง
ความโลภ ความโกรธ ความหลง จึงมีมูลมาจาก "อวิชชา"
" น่าประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ใครๆก็พยายามแสดงตนว่าเป็นผู้รู้จัก"อวิชชา" และให้ความหมายของอวิชชากันไปเองตามชอบใจ ดูประหนึ่งว่า เขาเป็นผู้เข้าใจหรือรู้จักอวิชชาอย่างแจ่มแจ้ง แต่แล้วก็เป็นที่น่าขบขัน ที่ความรู้นั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว และยังแถมเข้ากันไม่ได้ กับความหมายของอวิชชาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้
อวิชชา ไม่ได้หมายถึงความไม่รู้อะไรเลยแต่เพียงอย่างเดียว กลับจะหมายถึงรู้อะไรมากมายไม่มีที่สิ้นสุดด้วยซ้ำไป แต่เป็นความรู้ผิดทั้งนั้น คือเห็นกลับตรงกันข้ามไปหมด เช่น เห็นมูลเหตุของความทุกข์ เป็นมูลเหตุของความสุขไป อย่างที่เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เขาไม่เห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง ว่าความทุกข์นั้นมันอะไรกันแน่ อะไรเป็นมูลเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ สภาพที่ปราศจากความทุกข์จริงๆนั้นเป็นอย่างไร และวิธีปฏิบัติอย่างไรคนเราจึงจะเข้าถึงสภาพที่ไม่มีความทุกข์
เราอาจจะกล่าวได้ว่า ความรู้ชนิดใดๆมากมายเท่าใดก็ตาม ถ้าปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง ต้องถือว่าเป็นอวิชชาทั้งนั้น ถ้าจะมีคำแปลที่ถูกต้องรัดกุมของคำว่า
"อวิชชา" แล้ว จะต้องแปลว่า ธรรมชาติที่ปราศจากความรู้ชนิดที่จะดับทุกข์ได้ หรือ กล่าวว่า สภาวะที่ปราศจากความรู้ที่ดับทุกข์ได้ นั่นแหละคือ"อวิชชา" ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้โดยเฉพาะ คือ ตรัสเอาความไม่รู้อริยสัจทั้ง ๔ ว่าเป็นอวิชชา หมายความว่า แม้เขาจะมีความรู้มากมายเท่าไร อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าไม่รู้อริยสัจทั้ง ๔ แล้ว ก็ถูกจัดว่าเป็นอวิชชา
ฉะนั้น จึงทำให้เรามองเห็นได้ชัดเจนอีกว่า โลกกำลังอยู่ใต้กะลาครอบของอวิชชา หรือ ความรู้ที่ไม่ใช่วิชชาของพระพุทธเจ้า จึงไม่สามารถจะช่วยชาวโลกได้ ในที่สุดก็เข้าทำนองที่เรียกว่า "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" กล่าวคือ ความรู้ชนิดนั้นจะกลายเป็นเครื่องทำให้โลกาวินาศอยู่ภายใต้ความรู้นั่นเอง.
พุทธทาสภิกขุ
จากหนังสือ " ตัวกู - ของกู "
ตถตา ตถาตา ความเป็นเช่นนั้นเอง
"จะได้พิจารณากันดูต่อไปว่า คำว่า "เช่นนั้นเอง" นี้ จะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร คนที่รู้คำว่า "เช่นนั้นเอง" นั้น มาจากคำบาลีว่า "ตถาตา", ตถาตาก็แปลว่า เช่นนั้นเอง หรือ ความเป็นเช่นนั้น, นี้จะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอย่างไร
ถ้าเคยได้ยินได้ฟังมา ก็จะรู้ว่าเป็นคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า "ตถาคตจะเกิดหรือจะไม่เกิดขึ้น ธรรมธาตุนั้นก็มีอยู่แล้ว ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" อย่างนี้ก็มี.
บางทีพระองค์ก็ตรัสว่า ธรรมธาตุนั้น คือความที่มีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น, แล้วก็ตรัสปฏิจจสมุปบาท ตั้งแต่อวิชชาปัจจยาสังขารา เป็นต้นไป จนจบ แล้วก็ทรงสรุปความว่า "นี้คือ ความเป็นอย่างนี้ คือเป็นตถาตา, นี้เป็น อวิตตถา นี้คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนี้ หรือว่าอนัญญตา นี้ไม่เป็นอย่างอื่นไปจากความเป็นอย่างนี้, ธัมมัฏฺฐิตตา นี้เป็นความตั้งอยู่โดยธรรมดา, ธมฺมนิยามตา นี้เป็นกฎตายตัวของธรรมดา, หรือว่าอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เป็นการอาศัยซึ่งกันเกิดขึ้น ดังนี้ คำพูดมันหลายคำ แต่สรุปให้เหลือสั้นเข้ามาคำเดียว ก็คือคำว่า "ตถาตา" แปลว่า ความเป็นเช่นนั้น หรือจะเรียกว่าเช่นนั้นเอง.
"เช่นนั้นเอง"นี้ ทรงแสดงไว้ด้วยพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็มี ทรงแสดงไว้ด้วยปฏิจจสมุปบาทตลอดสาย ก็มี ทรงแสดงไว้ด้วยอริยสัจ ๔ ก็มี ที่ทรงแสดงไว้ด้วยอริยสัจ ๔ นั้น ท่านกลับจะเรียกสั้นเข้ามาอีกเพียงว่า "ตถา" ก็แปลว่า "เช่นนั้น" แสดงด้วยปฏิจจสมุปบาทท่านใช้คำว่า "ตถาตา" หรือ "ตถตา" แปลว่า "ความเป็นเช่นนั้น" ขาดไปพยางค์หนึ่งก็ไม่เป็นไร เนื้อความยังเท่าเดิมว่า "มันเป็นเช่นนั้น"
#พิจารณาดูความหมาย "เป็นเช่นนั้น"
ที่นี้ ก็มาพิจารณาดูกันถึงความหมายของคำว่า "เป็นเช่นนั้น" ก็หมายความว่า มันไม่ผิดไปจากนั้น มันไม่เป็นอย่างอื่น จากนั้น เพราะว่ามันเป็นกฎตายตัวของธรรมดา มันเป็นการตั้งอยู่โดยธรรมดา คือความที่มันอาศัยสิ่งนี้สิ่งนี้แล้วจึงเกิดขึ้น.
ดูที่พระไตรลักษณ์ก่อน ว่าสังขารไม่เที่ยง สังขารเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา นี่ ความที่มันไม่เที่ยง คือมันเป็นเช่นนั้น, ความที่มันเป็นทุกข์ คือมันเป็นเช่นนั้น, ความที่มันเป็นอนัตตา คือความเป็นเช่นนั้น ; ฉะนั้น ความเป็นเช่นนั้นก็คือ ความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ถ้าผู้ใดเข้าใจ ผู้นั้นจะเห็นว่าความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา นั่นแหละคือ ความเป็นเช่นนั้น นี่จำไว้ทีหนึ่งก่อนว่า ที่ว่าเป็นเช่นนั้น ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา.
ทีนี้ ถ้าว่าจะพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท ความเป็นเช่นนั้นมันอยู่ตรงที่ว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร-สังขารให้เกิดวิญญาณ-วิญญาณให้เกิดนามรูป-นามรูปให้เกิดอายตนะ-อายตนะให้เกิดผัสสะ-ผัสสะให้เกิดเวทนา-เวทนาเกิดตัญหา-ตัณหาให้เกิดอุปาทาน-อุปาทานให้เกิดภพ-ภพให้เกิดชาติ-ชาติให้เกิดทุกข์ทั้งปวง. นี่ความเป็นเช่นนั้นเอง มันยาวหน่อยมันไล่ติดกันไปยาวหน่อย แต่สรุปความแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาททั้งปวงนั้น ก็สรุปเหลือได้เป็นเพียงคำคำเดียวว่า "เป็นเช่นนั้น" คือ "ตถตา" อีกเหมือนกัน.
แล้วไปดูที่อริยสัจจ์ ๔ ความทุกข์เป็นอย่างนี้, เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, หนทางให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, ก็ชี้ชัดลงไปอย่างนี้ๆ ก็หมายความว่า "มันเป็นเช่นนั้น" มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เหตุให้เกิดทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความดับทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ มันจะเป็นแต่เช่นนี้ๆ อย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ฉะนั้น จึงเรียกอริยสัจจ์ทั้งสี่นี้ว่า "ตถา" หรือ "ตถตา" ด้วยเหมือนกัน.
ฉะนั้น คำว่า "ตถาตา" จึงได้แก่พระไตรลักษณ์ ได้แก่ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่อริยสัจจ์ ๔ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำไมจะไม่เรียกว่า นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งสรุปเข้ามาเหลือเพียงคำคำเดียวว่า "ตถตา" คือความเป็นเช่นนั้น แม้จะใช้คำว่า "ตถาตา" ก็ยังเป็นคำที่มีความหมายอย่างเดียวกัน."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : โอวาทแก่คณะนักศึกษารวมกันหลายคณะ เนื่องในวันสิ้นปี ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม ไชยา เมื่อ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒ เวลา ๑๙.๓๐ น.
# ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ # รวบรวม.
ถ้าเป็น “ พระอรหันต์ ” จะเป็นอย่างไร?
.
“ ถ้าเป็นพระอรหันต์ ก็หมายความว่า อยู่เหนือความเป็นอะไร เหนือบวชหรือเหนือไม่บวช, เหนือหนุ่ม-เหนือแก่, เหนือความเป็นหญิง-เหนือความเป็นชาย เขาเรียกว่าเหนือไปทั้งหมดที่มันเป็นคู่ๆ เหนือแพ้-เหนือชนะ, เหนือการได้-เหนือการเสีย, เหนือดี-เหนือชั่ว, เหนือบุญ-เหนือบาป, เหนือสุข-เหนือทุกข์ ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นคู่ๆเหล่านี้อีกต่อไป ก็เลยพ้นจากความที่จะถูกบัญญัติว่าเป็นอะไร
.
ชาวบ้านก็สมมุติไปตามเรื่อง จะเรียกท่านว่าเป็นอะไร คือว่า..ชาวโลกจะเรียกท่านว่าอย่างไรก็ตามสมมติของโลก ก็เรียกไป แต่จิตใจของท่านอยู่เหนือความเป็นอย่างนั้นทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงถือว่าท่านอยู่เหนือการที่จะถูกเรียกว่าอะไร
.
จะเรียกว่าผู้ชายก็ไม่ได้ เพราะความต้องการอย่างผู้ชายจะไม่มีเหลืออยู่เลย ถ้าเป็นพระอรหันต์ผู้หญิง ก็จะเรียกว่าผู้หญิงก็ไม่ได้ เพราะไม่มีความต้องการอย่างผู้หญิงเหลืออยู่เลย จะเรียกว่าเป็นคนดีก็ไม่ได้ เพราะไม่ต้องการจะดีอะไร ไม่ต้องมีดีอะไร ไม่อยากจะดีอะไร ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นความดี จะว่าคนชั่วก็ไม่ได้ มันอยู่เหนือที่จะเป็นคนชั่วได้
.
ควรจะสนใจคำพูดชนิดนี้กันไว้บ้าง จะเข้าใจจุดหมายปลายทางของพระอรหันต์ได้ง่ายขึ้น จะมีใครมาทำให้แพ้ก็ไม่ได้ และจะไม่ชนะอะไรด้วย จะไม่ต้องการชนะอะไรด้วย ไม่ต้องการบุญ แล้วก็ไม่มีการทำบาป มันอยู่เหนือบุญเหนือบาปอย่างนี้ ไม่ต้องการความสุขไม่ต้องการความทุกข์ ความสุข(สุขเวทนา)ก็ไม่มีความหมาย ความทุกข์(ทุกขเวทนา)ก็ไม่มีความหมาย ฉะนั้น จึงเรียกว่าไม่ใช่คนเป็นสุขหรือคนเป็นทุกข์ จะพูดกันสักวันหนึ่งก็ได้ว่าท่านที่เป็นพระอรหันต์นั้นจะอยู่เหนือ “การบัญญัติ สมมติ” ของชาวโลก ที่จะไปสมมุติบัญญัติให้ว่าเป็นอะไร...”
.
พุทธทาสภิกขุ
ตาโลก เห็นโลก - ตาธรรม เห็นธรรม
.
“ โลกียธรรม และ โลกุตตรธรรม ตั้งอยู่ปรากฏอยู่เป็นคู่กันเสมอ แต่เพราะเหตุที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามธรรมดาของเรา เป็นแต่เพียงเครื่องมือที่จะสัมผัสได้ กับพวก โลกิยธรรม เท่านั้น เราจึงไม่อาจเห็น โลกุตตรธรรม ซึ่งมีอยู่พร้อมกันในที่นั้นเอง ตา หู ตามธรรมดาดังกล่าวนี้ เห็นโลกโดยรอบตัวเฉพาะด้านนอก จึงให้ผลเพียงด้านนอก และให้เกิดผลกระท้อนอย่างอื่นๆสืบไป ก็ล้วนแต่ด้านนอกทั้งนั้น เรามีตาเห็นรูปทั้งปวง เช่น เห็นโคมไฟฟ้า เห็นประตู เห็นหน้าต่าง ตู้หนังสือ และอื่นๆ ในสถานที่นี้ ความรู้สึกที่ได้จากตาเช่นนี้เพียงว่า นั่นดวงโคม นั่นประตู นั่นหน้าต่าง นั่นเป็นสิ่งนั้น นี่เป็นสิ่งนี้ ล้วนแต่ต่างกัน เช่น โคมไฟฟ้าต่างจากตู้หนังสือ ตู้หนังสือต่างจากโต๊ะ เป็นต้น สิ่งใดงามหรือถูกใจก็ชอบ บอกว่าพอใจ อยากมี อยากได้ สิ่งใดไม่งามก็ไม่ชอบ อยากให้ไปพ้นหูพ้นตา หรือดูกีดเกะกะไปเสียทั้งหมด และนี่เป็นผลที่ตาหูเป็นวิสัยแห่งโลกียะได้ก่อให้เกิดขึ้น.
.
ความรู้สึกจับฉวยเอาด้วยใจ จนเกิดผลกระท้อนเป็นความสบายใจและไม่สบายใจเช่นนี้ เป็นเสมือนเปลือกที่งอกซับซ้อนห่อหุ้มดวงใจยิ่งขึ้นทุกที จึงยากที่แสงสว่างแห่งโลกุตตรธรรมจะส่องเข้าถึง ต่อเมื่อใดได้อาศัยวิธีอันประเสริฐ กระทำตาหูตามธรรมดาให้เป็นอินทรีย์ชั้นพิเศษ สามารถเจาะแทงเพิกถอนเปลือกหุ้มนี้เสียได้ เห็นลักษณะอันเร้นลับที่เป็น “ด้านใน” ของสิ่งทั้งปวง เมื่อนั้นจะมองพบโลกุตตรธรรมในทันที และก็มองเห็นได้ที่โคมไฟฟ้า โต๊ะ ตู้หนังสือ เก้าอี้ และอื่นๆเหล่านี้ เช่นเดียวกันอีกนั่นเอง แต่เป็นการมองข้ามพ้นโลกด้านนอกเข้าไปถึงด้านใน การมองตามวิธีนี้เห็นแปลกกัน(ต่างกัน) คือ เห็นเป็นสิ่งเดียวกันหรือเหมือนกันไปหมด เช่น โคมไฟฟ้าก็เหมือนกับตู้หนังสือ ตู้หนังสือก็เหมือนกับโต๊ะ โต๊ะก็เหมือนกับเก้าอี้ อะไรๆก็เป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวเหมือนกันไปหมด ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระท้อนหรือความถูกใจ หรือความไม่ถูกใจ ไม่ก่อให้เกิดความพอใจหรือความไม่พอใจ ไม่รักไม่ชัง ไม่กระหายดิ้นรน ไม่แสดงความรู้สึกแปลกประหลาดอันใดหมด
.
สรุปความว่า ผู้ที่ ตา หู อันเป็นวิสัยโลกิยะ ย่อมมองเห็นด้านนอก เป็นสิ่งทั้งหลายแตกต่างกันนานาประการ แต่ตาหูชนิดที่เป็นวิสัยแห่ง โลกุตตระ ย่อมมองเห็น“ด้านใน” เห็นทุกๆสิ่งเหมือนกันหมด ไม่เห็นความงามในสีหรือสัณฐานของสิ่งต่างๆในโลก แต่ได้ทะลุไปเห็นใจความสำคัญ คือที่เรียกในภาษาธรรมะว่า “สามัญญลักษณะ” มันทำให้สิ่งทั้งปวงในโลกเหมือนกันทุกสิ่ง
.
“สามัญลักษณะ” นั้น คือลักษณะทั่วไปแก่สิ่งทั้งปวง ในโลก ได้แก่สภาพแห่งความแปรผัน ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ความที่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้วเป็นของ“น่าระอา” และความเป็น “อนัตตา” คือหาจุดกลางที่เป็น“ตัวตน”อันเป็นสาระอันใดมิได้
.
ภาพหรือลักษณะอันนี้ ได้ปรากฏเด่นชัดอยู่เองแล้วที่สิ่งทั้งปวงในโลก แต่มนุษย์เราได้ไพล่ไปมองภาพที่เป็นรูปร่างทรวดทรงที่งามหรือไม่งามไปเสีย จึงไม่เห็นภาพแห่ง “สามัญญลักษณะ” ดุจเดียวกับเมื่อมองเห็นเก้าอี้ก็ย่อมมองไม่เห็นความปราศจากเก้าอี้ ฉันใด ก็ฉันนั้น
.
ภาพแห่ง “สามัญญลักษณะ” ได้ส่องแสงแจ่มแจ้งยิ่งกว่าแสงอาทิตย์สักพันดวงรวมกัน แต่แม้กระนั้น ภาพแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็ยังไม่กระทบสายตาของมนุษย์ธรรมดาได้ ด้วยเหตุนั้น จึงมองข้ามพ้นไปเสียทางอื่น คือคงมองเห็นนั่นเห็นนี่ ชนิดที่ให้เกิดความพอใจหรือความไม่พอใจอยู่ร่ำไป ต่อเมื่อมีตาพิเศษดังกล่าวแล้วเกิดขึ้น จึงไม่เห็นรูปเขียวรูปแดง น่ารักไม่น่ารัก เป็นต้นนั้นๆ เห็นแต่แสงอันแจ่มจ้าจากสิ่งทั้งปวง ซึ่งส่องอยู่เป็นอย่างเดียวและเป็นอันเดียวกันทั้งหมด คือ แสงแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั่นเอง.
.
โต๊ะก็ส่องแสงจ้า และเป็นชนิดเดียวกับโคมไฟฟ้าส่องแสง ตู้หนังสือก็ส่องแสงชนิดเดียวกับเก้าอี้ส่องแสง อะไรๆก็ส่องแสงชนิดเดียวกันหมด ไม่มีแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น “ผู้ที่เห็นพุทธธรรมแล้ว ย่อมเห็นสิ่งทั้งปวงในโลกเป็นเพียงสิ่งๆเดียว” โลกทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งๆเดียว คือ ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ในใจต่างๆ นั้นเป็นสิ่งเดียวกัน มีการเป็นมาและเป็นไปอย่างเดียวกัน เป็นแต่กฎแห่งเวลาและขนาด ( Time and Space ) ทำให้รู้สึกแตกต่างกัน และอวัยวะที่ใช้สัมผัสก็สัมผัสได้เพียงชั้นที่เป็นมายาภายนอก ของสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น เมื่อเห็นสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นอันเดียวกัน และเป็นเพียงเกลียวแห่งความหมุนเวียน ของสิ่งที่เป็นเหตุผลของกันและกัน โดยไม่มีหยุดหย่อน จนกว่าจะดับ อย่างเดียวกันดังนี้แล้ว ทั้งโลกก็ยังเหลือแต่ “ธรรมดา” ตัวเดียวเท่านั้น ความไม่ข้องใจ ไม่เข้าไปผูก ไม่ยึดถือไว้ด้วยใจ ก็จักพลันเกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องมีการพากเพียรหรือขอร้องให้เกิดขึ้น เช่นเดียวกับที่จุดไฟขึ้นเป็นแสงสว่าง ความมืดก็หายตัวไปเอง ฉันใด ก็ฉันนั้น.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ปาฐกถาเรื่อง “วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม” ณ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๘๓ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม “ชุมนุมปาฐกถาชุดพุทธธรรม”
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
ความสุข ไม่ว่าชนิดไหน มาจาก“ความสงบ”ทั้งนั้น
สุขอื่นนอกจากความสงบนั้น ไม่มี
.
“ ความสงบนั้น เมื่อกล่าวตามนัยแห่งตัวอักษร ย่อมหมายถึง ความที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเดือดพลุ่งขึ้นมาแล้วได้ยุบสงบลงไป. ความเดือดพลุ่งขึ้นมาเป็นฝ่ายความทุกข์ หรือที่เราสมมติเรียกกันว่า ความทุกข์. ส่วนความยุบสงบลงไปเป็นฝ่ายสุข หรือสมมติเรียกว่าสุข.
.
ชื่อว่าความพอใจหรือความสุขแล้ว ไม่ว่าชนิดไหน ย่อมมาจากความสงบทั้งนั้น ถ้าเป็นความสงบชนิดแท้ ความสุขก็พลอยแท้ไปด้วย. ถ้าความสงบเทียม ความสุขนั้นก็น่าสงสาร. ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกล้ายืนยันพระพุทธภาษิตนั้นได้อีกว่า “สุขอื่นนอกจากความสงบแล้ว เป็นไม่มี”
.
ทําไมสุขอื่นนอกจากความสงบ ไม่มี ? ทั้งนี้ เพราะมีความจริงสั้นๆว่า สิ่งอื่นไม่สามารถกลบทับ หรือข่ม หรือตัดรากความอยากความปรารถนาของจิตใจได้ จึงไม่ทําให้เกิดรสที่ชาวเราสมมติกันว่าความสุข
.
เมื่อพิจารณาถึงอาการ ย่อมจะเห็นได้ว่า สิ่งที่ไม่สงบหรือลุกโพลงนั้น จะต้องไหล ลุก และ เผาไหม้ เรื่อยไป จนกว่ามันจะซาลงและสงบ, ส่วนสิ่งที่สงบย่อมตรงกันข้าม เช่น น้ำที่สงบย่อมไม่ไหล ลมที่สงบย่อมไม่พัดไป ไฟที่สงบย่อมไม่ลุก ดินที่สงบย่อมไม่มีการเผาไหม้ ดังนี้เป็นต้น”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ปาฐกถาธรรม ชุดที่ ๒ เรื่อง “ความสงบ คือ พุทธธรรม” แสดงเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๘๕ ณ พุทธสมาคม กรุงเทพมหานคร
---------------------------------
.
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี
.
พุทธศาสนสุภาษิต
.
หมายเหตุ ( ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ )
สนฺติ (สันติ) หมายถึง ความสงบ, ความระงับดับหายหมดไปแห่งความ
พลุ่งพล่านเร่าร้อนกระวนกระวาย, ภาวะเรียบรื่นไร้ความสับสนวุ่นวาย, ความระงับดับไปแห่งกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความเร่าร้อนว้าวุ่นขุ่นมัว,
ในสุภาษิตนี้ " สนฺติ " เป็นคำไวพจน์คำหนึ่ง(คือคำที่ใช้เรียกแทนกันได้) ของ "นิพพาน"
“บุญที่ที่ประกอบด้วยความยึดมั่นถือมั่นนี้
เป็นบุญเหมือนกัน แต่มีค่าไม่ได้ส่วนที่ ๑๖ ครั้ง
ของการเจริญเมตตา การเจริญเมตตานี้
คือมันไม่เห็นแก่ตัวตน มันเห็น แก่ผู้อื่น
มีความรักผู้อื่นเป็นสากลคือเจริญเมตตา
บุญที่เกิดจากการเจริญเมตตานี้เป็นบุญที่มาก”
พุทธทาสภิกขุ
ปัญญา วิชชา วิชา ความรู้ ตรัสรู้
ในภาษาไทย กับ ภาษาธรรม(บาลี)
แตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร?
.
…. “คําว่า “ปัญญา” คํานี้แปลว่า รู้ทั่ว หรือ รู้รอบ คล้าย ๆ กับคําว่า “ปริญญา” แปลว่า รู้รอบ หรือ รอบรู้ ถ้าเป็นภาษาบาลีละก็ เขาจํากัดไว้แต่ในทางฝ่ายถูกหรือฝ่ายดี, แต่ในภาษาไทยนี้ปล่อยไว้กลางๆ คําว่า ปัญญา ในภาษาไทย หรือแม้คําว่า ปริญญา ในภาษาไทยก็เหมือนกัน คือปล่อยไว้กว้างๆ มีความรู้ขนาดปริญญา แล้วไปทําบาปก็ได้ ไปทําผิดก็ได้ ; แต่เท่าที่ใช้อยู่ในภาษาบาลีเท่าที่เห็นอยู่ เมื่อใช้คําว่า ปัญญา หรือ ปริญญาแล้ว ไม่มีใช้ไปในทางผิดเลย, ใช้ไปในทางถูกต้อง ที่จะถึงไปนิพพานท่าเดียว ฉะนั้น จึงต้องพูดกันให้ชัดลงไปว่า หมายถึงปัญญาในความหมายของภาษาไหน กันมากกว่า
…. ทีนี้ ก็จะพูดเลยไปถึงคําว่า “วิชชา” ซึ่งเป็น “ความรู้อย่างแจ่มแจ้ง” ในภาษาบาลีเขาหมายถึง รู้ถูก และรู้ชนิดที่จะตัดกิเลสได้เลย. แต่คํานี้เมื่อถ่ายออกมาเป็นภาษาไทยว่า “วิชา” ก็ดู วิชา ในภาษาไทย คํานี้ไม่แน่ว่าจะเป็นวิชาอะไร อาจจะเป็นวิชาขโมยของของเขาก็ได้; ไม่ตรงกับคําว่า วิชชา ทั้งที่เป็นคําๆเดียวกัน ฉะนั้น ต้องรู้เท่าไว้ อย่าให้ภาษามันเล่นตลก หลอกลวงเราได้
…. ถ้าพูดถึง “วิชชา” ซึ่งตามธรรมดาก็มักจะเขียนตัว ช สองตัวบ้าง ช ตัวเดียวบ้าง ก็หมายถึงรู้เรื่องที่ลึกซึ้ง ที่จะตัดกิเลสได้ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ ; นี้ก็เป็นปัญญาในระดับที่จะตัดกิเลสได้ สูงไปกว่าปัญญาธรรมดา แต่ในภาษาไทยก็ยังไม่ปลอดภัย เพราะใช้ “วิชา” ในความหมายที่กว้างเกินไป; เช่น วิชาเลข วิชาวาดเขียน วิชาใช้อาวุธศาสตรา อะไรนี้
…. มีคําอีกคําหนึ่งที่ว่าเป็นยอดสุดของปัญญา ก็คือ “ตรัสรู้” ซึ่งเป็นภาษาไทย แปลว่า ตรัสรู้ อย่างนี้ไม่เคยใช้ในทางผิดเลย ; ภาษาไทยที่ตายตัวเหมือนกัน ใช้แต่ในทางถูก นี้ก็หมายถึง ตรัสรู้เป็นพระอริยเจ้า หรือเป็นพระพุทธเจ้า ตามปรกติใช้อย่างนี้ การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คือ มีปัญญาถึงที่สุด ขนาดตรัสรู้แล้วก็เป็นพระพุทธเจ้า
…. ในภาษาบาลี ความรู้มีอยู่หลายคํา แต่ก็จะแปลกหูสําหรับนักศึกษาทั่วไป อย่างนี้ ; นี่ก็ไม่ต้องเอามาพูดถึงให้ยุ่งหรือรําคาญ ใช้แต่คําว่า ตรัสรู้ นั่นแหละ เป็นการรู้แจ้งแทงตลอด, เป็นการรู้อย่างแทงตลอด, แล้วก็จะหมายถึงความรู้ที่ผ่านไปในความรู้สึก แล้วเป็นไปอย่างถูกต้อง เป็นไปอย่างถึงที่สุด
…. “ความรู้” ในภาษาบาลี เราหมายถึงความรู้ที่เราอ่านหนังสือ ก็มี, แล้วได้ยินได้ฟังมาหรือค้นคว้าอะไรได้มา ก็เป็นความรู้ : แต่ไม่เคยรู้แจ้งแทงตลอด คือไม่เคยผ่านสิ่งนั้น เช่น เราเรียนเรื่องมรรค ผล นิพพาน อย่างนี้ เราเรียนด้วยตัวหนังสือได้ : แต่จิตไม่เคยผ่านความหมดกิเลส หรือนิพพาน, เป็นแต่ความรู้ชนิดที่เราได้ยินได้ฟัง หรือว่า เราคิดนึกคํานวณเอา. แต่ที่พูดถึง ตรัสรู้ ในที่นี้ ก็หมายถึง ผ่านไปด้วยจิตใจจริงๆในเรื่องนั้น ในสิ่งนั้น นี่อาการของคําว่า “รู้แจ้งแทงตลอด”
…. จะยกตัวอย่างง่ายๆที่สุด ก็เช่นว่า เกลือนี้ เมื่อเรายังไม่ได้กิน เราได้ยินแต่เขาบอกว่ามันเค็ม เราก็ได้แต่ความรู้ว่าเกลือมันเค็ม ; มันเป็นความรู้ที่เลื่อนลอยหรือฝันไปเท่านั้น ว่าเกลือมันเค็ม จนกว่าเมื่อไรเราได้กินเกลือเข้าไปจริงๆ ก็จะรู้ว่าเค็มคืออย่างนี้ๆ ถึงแม้ว่าเราได้เคยกินเกลือมาแล้ววันหลังเราพูดถึงคําว่า เค็ม หรือ คําว่า เกลือ อีก เราก็ยังไม่ค่อยจะรู้สึกความเค็มซึ่งเป็นรสของเกลือมากเท่ากับที่เกลือกําลังอยู่ในปาก
…. นี่ไปคิดดูให้ดี ความรู้มันเกิดเป็นหลายระดับขึ้นมา ความรู้ที่มาจากความรู้สึกผ่านไปโดยตลอดนี้คือ ความตรัสรู้ รู้แจ้งแทงตลอด, เป็นปัญญาสูงสุด แล้วก็เป็นไปแต่ในทางดีอย่างเดียว”
.
พุทธทาสภิกขุ
พึงมองดูชีวิตโดย “ปริทัศน์” (อย่างรอบด้าน)
มองให้เห็น “ความเป็นเช่นนั้นเอง”
เพื่อชีวิตไม่ต้องทรมาน
.
…. “ ธรรมะหรือชีวิตนั้นมันก็เป็นสิ่งเดียวกัน หรือถ้าเราจะแยกออกจากกันก็โดยมุ่งหมายเฉพาะส่วนๆ ถ้ามองดูทีเดียวกันใน ฐานะที่ว่าเป็นธรรมะหรือธรรมชาติแล้ว มันก็เป็นสิ่งเดียวกันได้ ซึ่งเราอาจจะมองได้หลายแง่หลายมุม
…. ดังนั้น ขออย่าเพิ่งรังเกียจหรือรําคาญ ด้วยคําว่า “ปริทัศน์” ซึ่งเป็นคําใหม่ๆ ประดิดประดอย, คล้ายๆกับประดิดประดอยขึ้นมาพูด เพื่อให้เป็นคู่กับคําต่างประเทศ. แต่เราจะถือเอาประโยชน์ของคําว่า ปริทัศน์ : ปริ แปลว่า รอบๆ ทัศน์ แปลว่า เห็นหรือดู ดูแล้วเห็น, ปริทัศน์ ก็คือ ดูกันอย่างรอบด้าน ; ไม่เท่าไรคําพูดชนิดนี้มันก็จะกลมกลืนกันไปในภาษาธรรมดา แล้วก็ชินไปเอง เราเอาแต่ความสะดวกในการพูดจา , เช่นคําว่า ปริทัศน์ นี้ มันมีความหมายว่า ดูชนิดที่รอบด้าน ทั่วถึง ทั้งในส่วนลึก ซึ่งดูด้วยตาธรรมดาไม่เห็นก็ดูได้ด้วยตาแห่งปัญญา ข้างบน ข้างล่าง ด้านข้าง โดยรอบ ดูเห็นเป็นสิ่งที่เนื่องกัน
…. เหมือนอย่างว่า จะดูโลกนี้ทั้งโลก ถ้าดูเห็นหมดมันก็เนื่องกันเป็นหนึ่งโลก หรือโลกเดียว แต่การมองนั้นมันก็ยาก, ไม่รู้ว่าจะไปยืนมองที่ตรงไหน เราต้องเลือกหาที่ที่มันจะเห็นได้มากที่สุด อย่างว่าเราจะดูวิวให้ได้มากที่สุด เราก็ขึ้นไปมองดูบนยอดภูเขา เราก็เห็นวิวนั้นได้มากกว่าที่จะมองดูที่ตีนเขา ; ขึ้นไปดูบนยอดเขาสุด มองเห็นไปถึงทะเล, ถ้าน้ำใสดีก็มองเห็นถึงก้นทะเล, หรืออาจจะคํานวณถึงก้นทะเลได้ดีกว่าที่จะยืนมองดูที่ตีนเขา
…. ดังนั้น เรามีวิธีที่จะมองดูอะไรให้เห็นโดยรอบด้านอย่างนี้ ก็ควรพยายาม แต่ที่กล่าวนี้ มันเป็นเรื่องธรรมะชนิดที่ไม่มีตัวตน
ที่จะมองด้วยตาธรรมดาไม่ได้ แต่จะต้องมองด้วยตาแห่งจิตใจ หรือที่เรียกว่า “ตาของปัญญา”, ปัญญาจักษุ คือ ตาของปัญญา แล้วมองเห็นธรรม; ดังนั้นจึงเรียกว่า “ธรรมจักษุ” คือตาสําหรับจะมองเห็นธรรม. ชีวิตนี้เป็นสิ่งเดียวกับธรรม เราจึงต้องใช้ตาที่เรียกว่า ปัญญาจักษุ หรือ ธรรมจักษุ มองดูให้รู้ให้เห็นมากเท่าที่จะทําได้, เราก็จะรู้จักสิ่งทั้งปวงดีขึ้น รวมทั้งตัวเองด้วย
…. การที่ไม่มองเห็นสิ่งทั้งปวง ก็คือไม่รู้จักสิ่งทั้งปวง, ความไม่รู้จักก็ทําให้เข้าใจผิดต่อสิ่งเหล่านั้น จึงเกิดการแบ่งแยกไปตามความเข้าใจผิด คือไป หลงรัก บางอย่าง หลงเกลียด บางอย่าง หลงชอบใจ บางอย่าง ไม่ชอบใจ บางอย่าง กลัว บางอย่าง กล้าในบางอย่าง, เรียกว่าเป็นความโง่เสมอกัน
…. ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา กระทั่งทําลายล้าง เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นความโง่ชนิดหนึ่งๆ มาจากการที่ไม่มองเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง เพราะว่าถ้ามองเห็นตามที่เป็นจริง มันก็จะมองเห็น “ความเป็นเช่นนั้นเอง” ของสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นมีความเป็นเช่นนั้นเองของมัน แต่ละอย่างๆ ทุกสิ่ง
…. การมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทุกสิ่งนั่นแหละ คือหัวใจของพระพุทธศาสนา; บางคนไปยึดติดตําราหนังสือหนังหามากเกินไป จนไม่รู้ว่าหัวใจของพุทธศาสนาอยู่ที่ไหน พูดสําหรับคนทั่วไป ที่ไม่ประสีประสาต่อธรรมะ ก็อยากจะพูดว่า “จงมองให้เห็นสิ่งทั้งปวงตามที่มันเป็ฌนจริง” ก็คือมองเห็น “ความเป็นเช่นนั้นเอง” ของสิ่งทั้งปวง
…. อย่างไรเรียกว่ามองเห็น, อย่างไรเรียกว่ามองไม่เห็น? ก็ตอบได้อย่างกําปั้นทุบดิน อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ถ้ายังมองเห็นเป็นของน่ารัก น่าโกรธ น่าเกลียด น่ากลัว เป็นต้น, แยกกันอยู่เป็นอย่างๆแล้ว ก็เรียกว่า “ยังมีความโง่อยู่” ยังมองไม่เห็น. ถ้ามองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของมันตามธรรมชาติ ไม่อาจจะเกิดความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว เป็นต้นแล้ว นั่นแหละเรียกว่ามองเห็น, ไม่ต้องมีใครมาบอกว่าเห็นหรือไม่เห็น เราจะรู้สึก รู้จักได้เองว่า มองเห็นหรือมองไม่เห็น
…. ถ้ามองไม่เห็น มันก็กลุ้มอยู่ด้วยความโง่ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงอาการออกมาว่า เป็นเรื่องความยินดียินร้าย จนเกิดกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่ง, อยู่อย่างคนมีกิเลสตลอดเวลา, มีชีวิตชนิดที่ทนทรมาน นับตั้งแต่ทนทรมานด้วยความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ความสงสัย ความมืดมนต่อสิ่งต่างๆ ที่แวดล้อมตัวเองอยู่ เป็นอย่างน้อย, จนกระทั่งความรู้สึกเป็นกิเลสชนิดที่รุนแรง เป็นโลภะ โทสะ โมหะ หรือเป็นราคะ โกธะ โทสะ โมหะ แล้วแต่จะเรียก ก็เรียกว่าเป็นกิเลสด้วยกันทั้งนั้น, เกิดมาจากความไม่เห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง. มันโง่ที่จะเอา ก็เรียกว่า โลภะ หรือราคะ, มันโง่ที่จะทําลายเสีย ก็เรียกว่า โทสะ หรือ โกธะ, มัน โง่จนไม่รู้จะทําอย่างไร ได้แต่วนเวียนอยู่รอบๆ ก็เรียกว่ามันมี โมหะ
…. เราลําบากอยู่ด้วยเรื่อง โลภะ โทสะ โมหะ กันอย่างนี้ ขอให้ดูให้ดี คําว่าดูให้ดีก็คือดูอย่างมี “ปริทัศน์” คือการเห็นโดยรอบด้าน, โลภะ โทสะ โมหะ เกิดอยู่กับใจก็ไม่มองเห็น มีแต่ความโง่ทําให้เดือดร้อนไปตามแบบของคนมีโลภะ โทสะ โมหะ, งุ่นง่านอยู่เหมือนกับคนบ้า นี่เรียกว่าลําบากอยู่ด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เป็นชีวิตชนิดที่ทรมาน, ไม่เป็นชีวิตที่น่าพอใจ น่าชื่นอกชื่นใจ”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาคมาฆบูชา ครั้งที่ ๗ หัวข้อเรื่อง “มองดูปริทัศน์แห่งชีวิตในทุกแง่ทุกมุม” เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ธรรมะเล่มน้อย” หน้า ๒๐๐-๒๐๒
ความรักผู้อื่นนั่นแหละ..
เป็นความหลุดพ้น หรือ สันติสุข
คือ มันเบียดเบียนกันไม่ได้...
มันทำลาย "ความเห็นแก่ตัว"
- พุทธทาสภิกขุ -
}
.
-------------------------------------------------------------
"พระพุทธภาษิตใน สังยุตตนิกาย
ตรัสไว้ในตอนหนึ่งเป็นใจความว่า
(ทั้งสภาวธรรม สัจจธรรม ปฏิปัตติธรรม และปฏิเวธธรรม)
ที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น
มีปริมาณมากเท่ากับใบไม้หมดทั้งป่า
.
ส่วนธรรมที่ทรงนำมาสอนนั้น
เท่ากับใบไม้เพียงกำเดียว
จากใบไม้หมดทั้งป่านั้น,
.
กล่าวคือ
เฉพาะเรื่อง**#อริยสัจสี่**
ในส่วนที่เป็นการปฏิบัติที่นั้นเอง.
.
อีกแห่งหนึ่งตรัสไว้ในบาลี อลคัททูปมสูตร มัชฌิมนิกาย
มีขอบเขตแคบเข้ามาอีก
โดยตรัสว่า
"ตถาคตกล่าวสอนแต่เรื่องความทุกข์ และความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เท่านั้น.
.
" ในบาลี จูฬตัณหาสังเขยยสูตร มัชฌิมนิกาย
ได้ตรัสไว้อย่างรัดกุมถึงที่สุด
โดยตรัสไว้เป็นใจความว่า
คำสอนของพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น
.
สรุปลงได้เป็นประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียว
ว่า "สพฺเพฺ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย"
ซึ่งแปลว่า
“สิ่งทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่น ว่าเป็นตัวตนหรือของตน”
ดังนี้
.
จากพระพุทธภาษิตเหล่านี้
ทำให้เราสรุปความได้ว่า
“ธรรม”
ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น
คือหลักความจริงที่ว่า
.
(๒.๑) #ธรรมชาติทั้งปวง
#ทั้งที่เปลี่ยนแปลง__และ__ไม่เปลี่ยนแปลง
#เป็นสิ่งที่ใครจะไปถือเอาว่า_เป็นตัวตนหรือเป็นของตน_ไม่ได้
,
.
(๒.๒) #กฎของธรรมชาติมีอยู่ อย่างเด็ดขาดว่า
ถ้าไปยึดถือหรือมั่นหมายสิ่งใด ว่าเป็นตัวตนหรือของตนก็ตามเข้าแล้ว
จะต้องเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ขึ้นมาทันที
ไม่โดยตรงก็โดยเร้นลับ,
.
(๒.๓) ดังนั้น #หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ
ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติก็คือ กระทำสิ่งต่างๆ ที่ควรกระทำ
และรับผลแห่งการกระทำนั้นๆไป
โดยไม่ต้องมีความยึดถือว่าตัวตน หรือของตน
ดังที่กล่าวแล้ว,
.
(๒.๔) #เรามีชีวิตอยู่ด้วยกันในโลกนี้_ด้วยความยินยอมกันได้ทุกประการ
โดยไม่ต้องเบียดเบียนกัน
เพราะไม่มีความยึดมั่นสิ่งใด โดยความเป็นของตนหรือเป็นตัวตน
นั่นเอง.
.
นี้คือตัว “หลักธรรม”
.
และตรงตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสว่า
"สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย"
แปลว่า “ธรรมทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น”
ดังที่กล่าวมาแล้ว”
.
เมื่อจิตหลุดพ้น จากความยึดมั่นถือมั่น
ซึ่งหลงยึดมั่นในคุณค่า อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน
ตามสมมติสัจจะว่า "ตัวตน" แล้ว
ดี-ชั่ว บุญ-บาป กิเลส-โพธิ หรือ อะไร
ที่บัญญัติกันว่า เป็นของคู่ ตรงกันข้ามนั้น
ก็จะเป็นของที่เท่ากัน หรือ เป็นสิ่งเดียวกัน
เช่น เป็นเพียงสังขารเสมอกัน
เป็นสมมติบัญญัติที่เท่ากัน เป็นต้น.
.
พุทธทาสภิกขุ
ท่านพุทธทาสภิกขุ
ปาฐกถาเรื่อง “#สิ่งที่เรา_ยังสนใจกันน้อยไป”
.
แสดงท่ามกลางที่ประชุมใหญ่
พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก
เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๐๙
.
-------------------------------------------------
.
" ไตรลักษณ์ "
ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อย่างของสิ่งทั้งปวง
มีพุทธพจน์แสดงหลักไว้ในรูปของกฎธรรมชาติ
ว่าดังนี้
"ตถาคต(พระพุทธเจ้า)ทั้งหลาย จะอุบัติหรือไม่ก็ตาม
ธาตุ(หลัก)นั้นก็ยังคงมีอยู่
เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม ว่า
(๑) สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
(๒) สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์
(๓) ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา
.
ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว
จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ
ตั้งเป็นหลัก เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่ายว่า
" สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง...สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์
...ธรรมทั้งปวง เป็น...อนัตตา..."
( องฺ. ติก. ๒๐/๕๗๖/๓๖๘ )
.
.
หมายเหตุ :
คำว่า 'สังขาร' ในไตรลักษณ์นี้
ต้องเข้าใจว่าต่างกับ 'สังขาร' ในขันธ์ ๕
( ขันธ์ ๕ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ )
คือ
• ในขันธ์ ๕ 'สังขาร' = ความดีความชั่วที่ปรุงแต่งจิตใจ
.
• ในไตรลักษณ์ 'สังขาร' = สิ่งทั้งปวงที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง
หรือที่เกิดจากส่วนประกอบต่างๆประชุมกันเข้า
#จะเป็น_รูปธรรมหรือนามธรรม ก็ตาม
คือเท่ากับขันธ์ ๕ ทั้งหมด
.
.
คำว่า"#ธรรมทั้งปวง" แยกได้เป็น ๒ อย่าง
คือ
๑. สังขตธรรม
ได้แก่
#ธรรมที่มีปัจจัยหรือสภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง
สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่งสรรค์ขึ้น
สิ่งที่ปัจจัยประกอบเข้า
หรือ #สิ่งที่ปรากฎและเป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"สังขาร'
ซึ่งมีรากศัพท์และคำแปลเหมือนกัน
หมายถึงสภาวะทุกอย่าง ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ
ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
#ทั้งที่เป็น_โลกียะ_และ_โลกุตตระ
ทั้งที่ดีที่ชั่วและที่เป็นกลางๆทั้งหมด
เว้นแต่ นิพพาน
.
.
๒. อสังขตธรรม
ได้แก่
#ธรรมที่ไม่มีปัจจัย__หรือสภาวะไม่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง
#ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า'วิสังขาร'
ซึ่งแปลว่า สภาวะปลอดสังขาร
หรือสภาวะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
หมายถึง นิพพาน นั่นเอง
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป.อ. ปยุตฺโต )
จากหนังสือ"ไตรลักษณ์"
.
-------------------------------------------
.
( เครดิต
เนื้อหา : เพจ ธรรมะเพื่อทางพ้นทุกข์ ฯ
รูป : เพจ ธรรมวินัย )