🔸มีปัญหาสอดเข้ามาว่า เรื่องจะทำตนให้เป็น “สุปะฏิปันโน” นั้นเพียงแค่ไหน เป็นเพศขาวหรือเหลืองหรือดำ อาตมาเข้าใจว่าไม่เป็นปัญหาเรื่องเพศเพราะสุปะฏิปันโนเกี่ยวกับศีล ๕ บริบูรณ์เท่านั้น ไม่ด่างพร้อยและเป็นนิจศีลด้วยและไม่เสียดายล่วงละเมิดด้วย แม้อบายมุขทุกประเภทก็เช่นกัน แม้กามารมณ์จะมีอยู่ก็ยินดีแต่เพียงสามีภรรยาของตนเท่านั้น แม้มีโกรธอยู่ก็ไม่ถึงกับผูกเวรไปสาปแช่งใคร ทั้งเปล่งวาจาออกปากและนึกในใจก็ไม่มีเสียดายเลย จะนุ่งขาวนุ่งดำสำหรับปกกายก็ไม่มีปัญหา
อนึ่งการคบมิตรท่านก็ไม่คบมิตรที่ล่วงละเมิดอบายมุขและก็ไม่ให้กระทบกระเทือนเขาด้วย และไม่สงสัยยินดีในศาสนาอื่นเลย ยอมเป็นยอมตายต่อพุทธ ธรรม สงฆ์ ผูกขาด จองขาด ไม่ถือว่าภูติผีปีศาจจะมาทำอะไรเราได้ ไม่ถือฤกษ์ดียามดี
ความดีหรือไม่ดีมันขึ้นอยู่กับเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤกษ์กับยาม เราคือใจ ใจคือเรา ตามสมมติ ไม่ปฏิเสธสมมติตามส่วนนี้ ส่วนใจเป็นแต่สักว่าใจ กายเป็นแต่สักว่ากาย เวทนาเป็นแต่สักว่าเวทนา จิตเป็นแต่สักว่าจิต ผู้รู้เป็นแต่สักว่าผู้รู้ การปฏิบัติแบบนี้เขาผ่านสุปะฏิปันโนไปแล้ว เมื่อได้สุปะฏิปันโนอยู่ในอุ้งมือ อุ้งมือคือ.. อุ้งมือจิต อุ้งมือใจ อุ้งมือสติ อุ้งมือปัญญา สมดุลกัน อุชุ ญายะ สามีปะฏิปันโน ก็ค่อยเป็นไปเองอยู่ในตัวเพราะเดินร่วมหนทางกันแล้ว...หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
นี่จิตเมื่อรู้เห็น ละถอน ปล่อยวางสิ่งต่างๆ
ไม่หึงหวง ไม่รัก จิตก็มีความสุขความสบายอย่างนั้น
ทั้งๆที่ของอยู่ในตัวก็ตาม ของอยู่นอกตัวก็ตาม
เมื่อจิตไม่มีการรัก การยึด มันสบาย มันเป็นสุข
แต่มันก็ฝึกยากสำหรับเราคนโง่ คนชอบติดชอบข้องชอบแวะ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่แนะสอน
หลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมวโร
"ภาวนาตอนเเรกใช้ไตรรัตน์
( ไตรสรณาคมน์ )
ตอนหลังเปลี่ยนเป็น ไตรลักษณ์
( อนิจา ทุกขัง อนันตา )
จึงจะได้เป็นไตรรัตน์ที่เเท้จริง"
หลงนิมิต
การปฏิบัติเเบบมโนมยิทธิ มีสิ่งที่ล่อเเหลมต่อการก้าวหน้าทางจิตมาก ถ้าเกิดการหลงนิมิตหลงตัวเองจิตเกิดการปรุงแต่งผิดพลาด กลายเป็นการเห็นผิด ถ้าใครไม่มีสติ รู้ทันจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมาก ไม่มีใครสามารถเตือนได้ตนต้องเตือนตัวเองหลวงพ่อให้ข้อคิดว่า " ตนต้องเตือนได้ ใครไม่ต้องเตือน ตนเตือนไม่ได้ ใครเล่าจะเตือน " จะขอยกตัวอย่างบางเรื่อง
- นั่งสมาธิเห็นพระไปวิมานเเก้วได้ เเต่สุดท้ายก็ออกนอกทางจิตไม่พัฒนา
- วิมานของผมขึ้นไปดูมา ใหญ่กว่าโลกเสียอีก ( โลกจะอยู่อย่างไร )
- คนที่มาหาหลวงปู่ดู่วันนั้นเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่โรงเรียนชอบว่าผมคอยดูนะขึ้นไปข้างบนเมื่อไรน่าดู ( ถ้าเจอข้างล่าง ( นรก ) จะทำอย่างไร )
- ตอนนี้ผมมีเมียเป็นนางฟ้า กำลังท้องอยู่ ( เมื่อไรจะคลอดเสียที )
- ข้านั่งดูเหล้าของเเก 3 ขวดนั้นขวดกลางสว่างที่สุด ข้าขอไปไว้ที่บ้านเเล้วกัน ( ขวดกลางเเพงที่สุดเพราะเป็นเหล้ามียี่ห้อ )
- พวกหนูนั่งดูเห็นหลวงพ่อโดนของ คนนั้นเป็นคนทำ ( ไม่ถูกกัน เเละใส่ร้ายกัน )
- ดวงหลวงพ่อไม่ค่อยดี พวกเราจะทำการสะเดาะเคราะห์ให้ ( หลวงพ่อบอกข้าก็สวดสะเดาะเคราะห์อยู่ทุกวัน )
- พระองค์นั้นชอบลองของอาตมา บางทีก็ส่งมาให้ของไม่ดี ( บาปมหันต์ )
- เราอยู่กันอย่างบริสุทธิ์มองทุกอย่างให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ตอนนี้มีเมียก็เหมือนเพื่อน ( อยู่ไม่นานเมียก็ท้องเพราะเสียความบริสุทธิ์)
- ผมอธิษฐานไปนิพพานชาตินี้คุณรู้หรือไม่การเเต่งงานทุกข์ที่สุด ( อยู่ไม่นานท่านขอลานิพพานเเต่งงานภายใน3เดือน )
นิมิตที่เเสดงขึ้นนั้นถ้าไม่รู้จักเทียบเคียงตามความจริง ก็จะเกิดหลงนิมิต ติดนิมิต ละนิมิตไม่ได้ เป็นการพายเรืออยู่ในอ่างหลงละเมอเพ้อพก สร้างวิมานในอากาศ ตนเองไม่ก้าวหน้า ไม่พอบางครั้งยังนำอกุศลกรรมมาเข้าตนเอง โดยไม่รู้ตัว
เป็นเรื่องอันตรายมาก บางสำนักท่านถึงไม่ให้ไปยึดติดจวบจนจิตเเข็งเเกร่งพึ่งตนเองได้เเล้ว เพื่อ"ไม่หลง"
ในนิมิตขึ้น
อาจารย์ศุภรัตน์นำเรื่องนี้ไปถามหลวงปู่ท่านตอบว่า
สติเป็นสิ่งสำคัญ ศีลเป็นเกราะป้องกัน ถ้าทำเเล้วปฏิบัติเเล้วนิสัยดีขึ้นใช้ได้ ท่านหมายถึงจิตที่มีการพัฒนาขึ้นหรือไม่ สุดท้ายท่านบอกว่า พอนั่งเห็นตนเอง ก็เอาตัวนั้นน่ะมาดูตัวหลอก ( ร่างกาย ) ว่าประกอบด้วยอะไรบ้างจนเห็นชัด ภาวนาตอนเเรกใช้ไตรรัตน์ ( ไตรสรณาคมน์ ) ตอนหลังเปลี่ยนเป็น ไตรลักษณ์ ( อนิจา ทุกขัง อนันตา )
จึงจะได้เป็นไตรรัตน์ที่เเท้จริง
💓.. ยาวเเต่จริงใจ.. 💐
อ.เกศ #ที่จริงยังไม่เคยเป็นครูอาจารย์ของใครเลย
.... เพราะมันยิ่งใหญ่มาก สำหรับ อ.เกศ เนื้อในแท้จริงของงาน คือ #ปณิธานการโปรดให้พ้นทุกข์...
..... ทุกข์ของเวไนย์ทั้งหลายที่ไม่พ้นไปได้ทุกข์จากตัวตนที่ยึดไว้ด้วยความไม่รู้ ละวางเเห่งสัญญา ที่หนาเเน้นเเห่งจิต จึงมีวัฏฏะที่ยาวนาน...ซึ่งได้เฉพาะบุคคลที่เปรียบเสมือนเขาโคเท่านั้น ถ้าจะพูดความพ้น ความเเจ้งเเห่งจิต...
.... เเต่ปณิธานที่มี มีด้วยความเมตตาเเห่งจิต.. และความรักหวังดี ที่เทียมเท่า.. เเม้มีความไม่เสมอภาคของบาปที่สะสมในวิถีการเวียนว่าย เเห่งทะเลทุกข์ก็ตาม.. ปัญญามากน้อยก็หวังดีเท่ากัน.. ประดุจเเสงแห่งพระอาทิตย์
... #ฉนั้นคำว่าครูหรืออาจารย์นั้นเป็นที่คุณลักษณะไม่ใช่เเค่คำนามที่ดูคล้ายๆ...
ถ้า อ.เกศ จะเป็นอาจารย์ใครๆ อ.เกศจะเป็นด้วยคุณลักษณะ.. ไม่ใช่เเค่นาม เรียกว่าอาจารย์ หรือครู
ซึ่งสำหรับ อ.เกศนั้นยากนัก ที่จะเป็นครูของใคร...
เพราะเวลาอ.เกศได้พบเจอกับใคร ในใจหวังเพียงให้เขาพ้นทุกข์เท่านั้นเอง... #หากเเต่สิ่งที่หวังนี้หวังไม่ได้ เพราะการที่บุคคลใดจะพ้นทุกข์ได้นั่นเขาผู้นั้นต้องปฏิบัติเอง... #เราคือผู้ชี้ทางเพียงเท่านั้น..
🔱.. ต่อให้อ.เกศ จะรู้เห็นสิ่งใดก็ตาม รู้หมดทุกข์ศาสตร์ของทางปฏิบัติ ทั้งบอกทั้งชี้ทางไป หากเขาไม่ทำ เขาจะไม่เข้าใจสัจธรรมได้เลย..
.... หากเขาปฏิบัติเเต่ศาสตร์ต่างๆ เเต่จิตละว่างไม่เป็น.. เขาก็จะไม่มีทางเห็นเเห่งธรรมะเเท้จริงของที่เป็นพระนิพพานเเห่งจิตต้นธาตุนั้นได้เลย...✨✨
✅... ฉนั้นความรู้ความเห็นในสิ่งต่างๆ ที่อ.นั้นมี ไม่สามารถจะส่งต่อไปให้ใครได้เลย ไม่สามารถส่งต่อให้ใครหลุดพ้นได้เลย...
จึงมิคู่ควรต้องคำเรียกครูอาจารย์...
เเต่ถ้าหากในนาม... ที่เรียกเพราะเคารพนับถือ เเห่งกิจโพธิจิตในวิถีโปรดในเจตนาที่ดี ในหนทางวิถีที่เดินก็จะเรียกได้ในลักษณะเท่านั้น.. ก็พอจะรับกันได้...💐
เเต่ถ้าจะให้ อ.เกศ มาเป็น อ.ของใคร และให้เชื่อเคารพเพียงเรา นั้นไม่ใช่ วิถี อ.เกศ ไม่เอา
✅ #เพราะธรรมะคือการพิจารณาตามจริง✨✨
ฉนั้นสิทธิที่จะเลือกพิจารณาในหนทางการปฏิบัตินั้น จะเป็นของทุกคนเสมอ...
✅ไม่มีคนไหนเป็นสิทธิของใคร...🎯
.... #ฉนั้นการรับศิษย์แล้วต้องตีกรอบเปรียบเทียบห้ามห่วงนั้นไม่ใช่เเนวทางวิถีของ อ.เกศ
อ.เกศมีหน้าที่ #ชี้ทางเเห่งประสบการณ์ของการปฏิบัติจริงในวิถีต่างๆ ในศาสตร์ต่างๆตามจริง
#ในสิ่งที่สัมผัสมาทั้งหมดของจริงมาพูดให้พิจารณาตาม.... เพื่อเจริญปัญญาเท่านั่น..
ส่วนเรื่องทำหรือไม่ ตัวท่านเองเท่านั้นคือผู้ลิขิต...
💓💓💓💓💓💓🔱🔱🔱✅✅✅✅✅
... หากใครกล้าจะมาเป็นศิษย์ของ อ. จะต้องข้ามอัตตาตัวตน เหตุผล และความชอบไม่ชอบ ให้ได้เสียก่อน.. 55555
ซึ่งบุคคลที่ได้เช่นนี้เเล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเดินตามใคร เรียกพ้นเเล้ว พร้อมแล้ว หยุดแล้ว พ้นแล้ว สว่างแล้วนั้นเอง...
... #คำว่าครูอาจารย์นั้นเป็นผู้ให้ได้เท่านั้น... เเต่จะมีสิ่งใดเล่า ที่ให้ได้แล้วพ้นทุกข์ได้จริง... หากเป็นครูแล้ว ศิษย์พ้นทุกข์ได้จริง จะยอมเป็นครูให้เเต่คนนั้นจะต้องพร้อมสำหรับธรรม #อย่างมีเเค่หนทางเดียวเท่านั้นที่เลือกเดินก็จะยอมมีศิษย์... 😁
... 🎯🔱💓 #จงอย่าเป็นครูเพื่อครอบใคร...
#เเต่จงเป็นครูด้วยคุณลักษณะที่ควรเรารพ..
#เเละสิ่งเดียวที่จะมอบให้ศิษย์
คือหนทางพ้นทุกข์ไม่ใช่เเน้วทางยึดถือทั้งหลาย..
... ธรรมนี้ครูอาจารย์ควรพิจารณาใหม่นะ... สาธุ
คุรู อาจาริยะ คุณะ คุณา วันทา
ประสิทธิ วิชา บูชามิ
จิตตัง เมวิภา วะอะหัง พลัง โหมิ
นะสติสัม ปัณณัง วิภาวัง บูชา คุณานะ ชิตังเม
ประสิทธิเม ปัญญายะ ธัมมา นะบูชานมัสกา วันทามิ.
.
ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี ล้วนแต่เป็นกิเลส
ไม่ใช่จิตที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่จิตที่จะนำสุขมาให้ ถ้าใจมีรัก
มีโกรธ เมื่อไร ใจก็ยังได้รับความทุกข์อยู่เมื่อนั้น
ความจริงแล้วความโกรธเกิดขึ้นเพราะความรัก เรารักสิ่งใด สงวนสิ่งใด ยึดถือสิ่งใดสิ่งนั้นแหละเป็น "ภัย" ให้ทุกข์
ถ้าเราไม่รัก เราไม่ยินดีในสิ่งนั้นๆ เมื่อสิ่งนั้นๆเกิดวิบัติไป เสียหายไป หรือแตกหักไป ใจก็จะไม่เกิดทุกข์
เพราะความไม่รักไม่ยินดี ไม่ติดข้องในรูปนั้นๆ
เราจะพินิจพิจารณาได้โดยง่ายดาย
เรื่องสิ่งที่เราสละละทิ้งเด็ดขาด ไม่ยินดีหวงแหนในสิ่งนั้นๆ เช่น มูตร คูต หรือน้ำมูกน้ำลายเรา เป็นต้น
เมื่อตกหล่นออกไป เราไม่เคยคิดหวงแหน คนจะมาเหยียบมาย่ำทำลาย หรือสัตว์ มด แมลงจะมากัดมากินอย่างไร เราไม่เคยเสียใจ ไม่เคยเป็นทุกข์
ยิ่งพยายามจะไปหยุด"ใจที่มันดิ้น"เท่าไร
ใจก็ยิ่งดิ้น ดิ้นไปกับความคิดปรุงแต่ง
ยิ่งเป็นการก่อภพก่อชาติใหม่
เพราะเจตนานั้นทำให้ยึดถือเหนียวแน่นมากขึ้น
เพราะเห็นว่าเป็นตัวตนที่สามารถไปบังคับได้
ทั้งที่ความจริงของธรรมชาติ
มันไม่เป็นตัวตนที่อยู่ในอำนาจมาแต่ไหนแต่ไร
เป็นเพราะความหลงไปยึด เป็นเรา ของเราต่างหา
ความคิดความปรุงแต่งจะดับลง เพราะหมดเหตุ
หมดสิ่งหล่อเลี้ยงคือตัณหา มันดับลงตามธรรมชาติ
มิใช่มีใครไปพยายามที่จะดับ
เมื่อสามารถเห็นเรื่อยๆไป เกิดๆดับๆ จนใจไม่หมายในความคิด เกิดการคลายออก
จิตเป็นอิสระจากความคิด เห็นรู้ความจริงว่ามีแต่ธรรมชาติล้วน ๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรา ของเราทั้งฝ่ายรูปและนาม
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
#เราอย่าไปยึดว่าจิตเป็นของเราอย่าไปยึดว่าจิตเป็นตัวเป็นตนสักแต่ว่าเท่านั้น
คำว่า #จิตอันนี้เป็นเรือนชานเป็นบ้านช่องเป็นที่อยู่อาศัยของกิเลสเขาอยู่มานานแล้ว
เราต้องการที่จะละ เราต้องการที่จะทำลาย
เราต้องการที่จะฆ่ากิเลส คือ ข้าศึกตัวนี้ให้มันวอดวายลงไป เราจะต้องเผาเสีย เผาเรือนชานบ้านช่องของกิเลสตัวนี้ เอาระเบิดไปโยนใส่มันเลยให้มันวอดวายไป
ในเมื่อข้าศึกวอดวายแล้ว สถานที่นั้นก็ยังอยู่ไม่ได้ วอดวายไปอย่างข้าศึกที่วอดวายไปนั่น
จึงว่าเรา #ไม่ต้องไปหวงแหนทะนุถนอมประคับประคองกลัวจิตของเราจะเสียหาย
กลัวจิตของเราจะเจ็บปวด กลัวจิตของเราจะแตกจะทำลาย กลัวสถานที่ของข้าศึกที่เราหวงแหนนั้นจะหมดสิ้น
คำว่า “ทำลายจิต” ให้ทำลายมันลงไป เราจะไปหวงไว้ทำไม
#จิตดวงเดียวอันนี้ล่ะเป็นฐานที่ตั้งของกิเลส เป็นฐานที่ตั้งของข้าศึก เป็นเรือนชานเป็นบ้านช่องเป็นที่อยู่อาศัยของกิเลส
จึงให้หยั่งเข้าไปในจุดที่กิเลสมันอยู่ หยั่งเข้าไปหาสถานที่ข้าศึกมันอยู่
ในเมื่อเรารู้เห็นสถานที่ของกิเลสแล้ว เราเห็นเรือนรังของกิเลสแล้ว เราจะไปหวงแหนเรือนรังของกิเลส อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
สาวกของพระพุทธเจ้าที่จะไปหวงเรือนรังที่อยู่ของกิเลสไม่มี เพราะหามันมานานแล้ว มาเห็นที่อยู่ของมัน เห็นตัวเห็นตนของมันแล้ว นี่จะไปหวงมันทำไม
กามาสวา ภวาสวา อวิชชาสวา(กิเลสเครื่องมอมเมาให้เกิดความใคร่ กิเลสเครื่องมอมเมาให้เกิดภพ กิเลสเครื่องมอมเมาให้เกิดความไม่รู้ในสภาพความเป็นจริง) เรื่องของจิตทั้งนั้นเป็น ให้ทำลายลงไปในนี้
ไม่ใช่พระพุทธเจ้าทรงว่าต้นไม้เป็นกิเลส อากาศเป็นกิเลส ลมเป็นกิเลส
กามาสวา ดูซิ คำว่า “กามาสวา” คืออะไร อาสวะคือกาม จิตของเราทั้งนั้นที่มันใคร่ ที่มันปรารถนาที่มันต้องการ
แล้วเราจะไปว่าอันอื่นเป็นกิเลสยังไง บุกมันไปเลย บุกเข้ามานี่ๆ
บุกด้วยธรรมะ คือ สติ บุกด้วยธรรมะ คือ สมาธิ ให้มันแน่วแน่มั่นขึ้นมาในนี้
บุกด้วยสมาธิ บุกด้วยวิริยธรรม มีความพากเพียรไม่ถอยจากจุดนี้
ทำอะไรต้องทำให้มันจริง คำว่า เล่น อย่าให้มันมี คำว่า ไม่ตั้งใจ อย่าให้มันมี คำว่า โลเล อย่าให้มันมี
ทำเล่นไม่ตั้งใจโลเลไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้าเลย
ให้พากันเข้าใจความหมายของคำพูดอันนี้ แล้วพากันประพฤติปฏิบัติตามด้วยความไม่ประมาท
แล้วจะเห็นคำว่า “จิตทรงไว้ซึ่งความอัศจรรย์” นี่ จะเห็นว่าจิตนั้นอัศจรรย์ขนาดไหนเพียงไร
...
หลวงปู่แบน ธนากโร
ต้องปฏิบัติ ให้จิตรู้เอง
จิตจะรู้หรือจิตจะหลงนะ ห้ามมันไม่ได้ บังคับมันไม่ได้ นี่คือการเห็นอนัตตา เราสั่งมันไม่ได้ มันไม่ใช่เราหรอก จิตจะหลง มันก็หลงของมันเอง จิตจะโลภ ก็โลภของมันเอง จิตจะโกรธ ก็โกรธของมันเอง จิตจะเป็นยังไงมันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหล่ะ จิตจะรู้ขึ้นมา ก็รู้ได้เอง จงใจรู้ก็ไม่ใช่อีกแล้ว แต่เราก็ต้องฝึกจนกระทั่งมันได้รู้ขึ้นมานะ
หลวงพ่อปราโมทย์
หากเพลินอยู่กับอายตนะเท่ากับเพลินอยู่ในทุกข์
สิ่งที่นับว่าเป็นของหนัก เป็นของที่มนุษย์ต่างต้องแบกกันไป และยากจะปล่อยวางนั่นก็ธาตุขันธ์ สิ่งที่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นก็คือ "ตัวของเรานี่เอง"
มนุษย์มีความกลัวตาย จึงยึดถือร่างกายเอาไว้
มนุษย์อยากได้ อยากมี จึงได้ยึดถือทรัพย์สมบัติเอาไว้
มนุษย์ต้องการความรัก จึงได้หวงแหนสิ่งของหรือคนที่ตนเองรักไว้
มนุษย์ต้องการการยอมรับ จึงได้แสวงหาอำนาจและยึดมันเอาไว้
เพราะเหตุนี้เอง ร่างกายที่สมบูรณ์ เงินทองมหาศาล ความรักที่สมหวัง ชื่อเสียง เกียรติยศจึงเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เกิดความยึดมั่นถือมั่น มันคือสุขที่ทำให้จิตเพลิดเพลิน
แต่แท้จริงแล้วสุขนั้นพร้อมจะกลับเป็นทุกข์
หรือเรียกอีกอย่างก็คือ "ความทุกข์ที่ชื่อว่า สุข นั่นเอง"
ในอดีตกาลมีชายหนุ่มสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองร่ำรวย
ทั้งสองเกิดในตระกุลสูง
รูปร่างหน้าตาหล่อเหลามีแต่สาวหมายปอง
แต่เมื่อทั้งสองใช้ชีวิตไปและอยู่กับสิ่งเพลิดเพลิน การระบำรำฟ้อน ละครต่าง ๆ รวมถึงชีวิตที่สุขสบายนั้น ทั้งสองกลับเกิดความเบื่อหน่ายสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา
ทั้งสองจึงไปบวชแสวงหาความจริง แต่กลับพบว่าสิ่งที่อาจารย์สอนนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ
ทั้งสองจึงสัญญากันว่า หากใครได้พบเส้นทางที่จะทำให้พ้นทุกข์จากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ขอให้นำมาบอกกัน
และทั้งสองก็ได้พบกับพระบรมศาสดาผุ้ชี้ทางแห่งความหลุดพ้นได้
ชายหนุ่มทั้งคู่กลายเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาของพระพุทธองค์ในเวลาต่อมา
พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร นั่นเอง
"ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่ในจักษุ (ตา)
ผู้นั้นเท่ากับเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์...
ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่ในโสตะ (หู)
ผู้นั้นเท่ากับเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์...
ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่ในฆานะ (จมูก)
ผู้นั้นเท่ากับเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์...
ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่ในชิวหา (ลิ้น)
ผู้นั้นเท่ากับเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์...
ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่ในกายะ (กาย)
ผู้นั้นเท่ากับเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์...
ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่ในมนะ (ใจ)
ผู้นั้นเท่ากับเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์...
เรากล่าวว่า
ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์
ผู้นั้นย่อมไม่หลุดพ้นไปได้จากทุกข์ ดังนี้"
พุทธวจนะในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
"เกิดผัสสะ ใจสั่นไหว"
คือเกิดผัสสะทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ส่งผลสู่ใจคือเกิดเวทนา ให้รู้ทัน... ถ้าไม่รู้ทัน มันจะเลยเป็นตัณหา อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ตามมา
(พระเตลกานิเถระได้กล่าวภาษิตเหล่านี้ว่า)
เราได้มีความเพียร ค้นคิดธรรมอยู่นานหนอ
เมื่อสอบถามสมณพราหมณ์ ก็ยังไม่ได้ความกระจ่างใจ
ในโลกนี้ ใครเล่า เป็นผู้ถึงฝั่ง ใครเป็นผู้บรรลุธรรม
ที่หยั่งลงสู่อมตะ เราจะปฏิบัติตามธรรมของใคร
ซึ่งจะเป็นเหตุให้รู้แจ้งปรมัตถธรรมได้
เรามีความคิดคือกิเลสอยู่ภายใน เหมือนปลากินเบ็ด
ทั้งถูกผูกด้วยบ่วงคือกิเลส เหมือนท้าวเวปจิตติอสูร
ถูกผูกด้วยบ่วงของท้าวสักกะจอมเทพ
เรากระชากบ่วงคือกิเลสนั้นไม่หลุด จึงไม่พ้นไปจาก
ความเศร้าโศกและความร่ำไรรำพันนั้น ใครในโลกนี้
จะช่วยแก้เครื่องผูกคือกิเลส ประกาศทางตรัสรู้ให้เราได้
เราจะปฏิบัติตามธรรมของใคร คือสมณะหรือพราหมณ์
หรือใครผู้แสดงธรรมเป็นเหตุกำจัดกิเลส ที่จะลอยชราและมรณะเสียได้
จิตของเราถูกร้อยไว้ด้วยความลังเลสงสัย ประกอบด้วยความแข่งดีมีกำลัง ถึงความกระด้าง เพราะใจประกอบด้วยความโกรธ ถูกความโลภคอยทำลาย
เชิญท่านดูลูกศรคือทิฏฐิ ๓๐ ประเภท อันมีธนูคือตัณหา
เป็นสมุฏฐานเนื่องอยู่ในอก มีกำลังทำลายหทัยอยู่เถิด
การไม่ละทิฏฐิที่เหลือเป็นอันถูกลูกศร คือความดำริผิด
ให้อาจหาญ เราถูกยิงด้วยลูกศรคือทิฏฐินั้นหวั่นไหวอยู่
เหมือนใบไม้ไหวเพราะต้องลม บาปกรรมตั้งขึ้นภายในเรา
พลันให้ผลเป็นไปในร่างกาย ที่มีผัสสายตนะ ๖ ทุกเมื่อ
เรายังไม่พบหมอที่จะช่วยถอนลูกศรของเรานั้นได้เลย
ทั้งหมดนั้นก็ไม่สามารถใช้เครื่องมือแพทย์ต่างๆ
ศัสตรา เวทมนต์ และยาอื่นๆ ถอนลูกศรนั้นได้
ใครเล่าไม่ต้องใช้ศัสตรา ไม่ทำร่างกายให้เป็นแผล
ไม่เบียดเบียนร่างกายทุกส่วน จักถอนลูกศรคือกิเลส
ซึ่งเป็นลูกศรโดยปรมัตถ์ ที่เสียบอยู่ภายในหทัยของเราออกได้
ผู้ลอยโทษที่เป็นพิษ(คือกิเลสมีราคะเป็นต้น)เสียได้
จัดว่าเป็นใหญ่ในธรรมแท้ ประเสริฐสุดช่วยชี้มือ(คืออริยมรรค) บอกที่บก(คือนิพพาน) ให้แก่เราผู้ตกห้วงน้ำใหญ่ คือสงสารที่ลึก
เราได้จมลงในห้วงน้ำใหญ่คือสงสาร ซึ่งมีดินเหนียวคือธุลี
มีราคะเป็นต้น ที่ไม่สามารถจะนำออกได้ เป็นที่แผ่ไปแห่งมายา ความริษยา ความแข่งดี และความง่วงเหงาหาวนอน ความดำริทั้งหลายที่อาศัยราคะ เป็นเหมือนห้วงน้ำใหญ่ มีอุทธัจจะเป็นเมฆคำรน มีเมฆหมอกคือสังโยชน์ ๑๐ ย่อมนำเราผู้มีความเห็นผิดไป
กระแสตัณหาไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง
ทั้งตัณหาดังเถาวัลย์ก็ผลิขึ้น
ใครจะพึงกั้นกระแสตัณหาเหล่านั้นได้
ใครเล่าจักตัดตัณหาดังเถาวัลย์นั้นได้
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เชิญท่านทั้งหลายทำเขื่อน
อันเป็นเครื่องกั้นกระแสตัณหาเสีย อย่าให้กระแสตัณหา
ที่เกิดแต่ใจ พัดพาท่านทั้งหลายไปเร็วพลันดังกระแสน้ำ
พัดพาต้นไม้ที่อยู่ริมฝั่งไป
พระศาสดาทรงมีพระปัญญาเป็นอาวุธ
อันหมู่ฤๅษีอาศัยแล้ว เป็นที่พึ่งสำหรับเราผู้มีภัย
กำลังแสวงหาฝั่งคือนิพพาน จากที่มิใช่ฝั่งได้อย่างนี้
พระองค์ได้ทรงประทานบันได ที่นายช่างทำดีแล้ว บริสุทธิ์
ทำด้วยไม้แก่นคือธรรมอันมั่นคงแก่เรา ผู้กำลังถูกกระแส
ห้วงน้ำ(คือตัณหา)พัดไป
และรับสั่งว่า อย่ากลัวเลย เราได้ขึ้นปราสาทคือสติปัฏฐาน พิจารณาเห็นหมู่สัตว์ ผู้ยินดีในร่างกายของตน ที่เราจักได้รู้ในกาลก่อนโดยเป็นแก่นสาร
เมื่อคราวที่เราได้เห็นทาง (คือวิปัสสนา)
ซึ่งเป็นอุบายสำหรับขึ้นเรือ (คืออริยมรรค)
แล้วไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตน จึงได้เห็นท่าที่ดีเยี่ยม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงทางอันยอดเยี่ยม
เพื่อไม่ให้เป็นไปแห่งบาปธรรมคือทิฏฐิและมานะเป็นต้น
ซึ่งเปรียบเหมือนลูกศรเกิดแต่ตน ทั้งเกิดแต่ตัณหาที่นำไปสู่ภพได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำจัดโทษที่เป็นพิษได้
ทรงช่วยบรรเทากิเลสเครื่องร้อยรัดของเราที่นอนเนื่อง
อยู่ในสันดานครอบงำสันดานอยู่มาเป็นเวลานาน