กรรมฐานหลัก
กรรมฐานรับพุทธบารมี - กรรมฐานเข้าสู่พระนิพพาน
กรรมฐานมี 40 กอง - กองละ 3 แบบ
ลูกเอ๋ย.. การทำกรรมฐาน ไม่ว่าสักกี่กอง ท้ายที่สุดแล้วก็คือ “การพักจิต” นั่นเอง
พัก - เพื่อให้จิตมีกำลัง.. มีกำลังเพื่อที่จะนำมาแก้ไขปัญหา
... นั่นคือ ส่วนหนึ่งของการเติมกำลังให้กับจิต …
และเมื่อเราทำสมาธิ เข้าไปมากๆ มากๆ นอกเหนือจิตของเราจะมีพลังแก้ไขปัญหาแล้ว..
ยังจะมีแสงสว่าง คือ ความรู้แจ้ง เกิดปัญญารู้แจ้ง มีสติรู้ทุกอย่าง ที่มันซ่อนอยู่เบื้องหลังความเป็นจริงของชีวิต
เราจะเป็นผู้มีปัญญารู้แจ้ง..
เข้าใจเหตุที่เกิด - เหตุที่ดับ
เข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่าง.. เพราะจิตเรามีพลัง
พลัง ทำให้จิตดวงนั้นสว่าง.. เมื่อสว่าง ก็สามารถส่องแสงทั่วทุกที่ ทุกแห่งหน
-- สิ่งใดที่ถูกซ่อนเอาไว้ในความมืด -- ก็จะถูกเปิดเผยออกมา --
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 19 มีนาคม 2560 ตอนที่ 12 **ทำสมาธิ**
"การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้ เพราะผลมันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้
หลายแนวนั้น เพราะจริตของคนไม่เหมือนกัน จึงต้องมีวัตถุ สี แสงและคำบริกรรม เช่น พุทโธ อรหัง เป็นต้น
เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน เมื่อจิตรวม สงบ แล้วคำบริกรรมนั้นก็หลุดหายไปเอง
แล้วก็ถึงรอยเดียวกัน รสเดียวกัน คือมี วิมุติ เป็นแก่น มี ปัญญา เป็นยิ่ง"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
< สมถกรรมฐาน >
< ความแตกต่างระหว่าง สมถะ และ วิปัสสนา >
#ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสมถกรรมฐาน
– กรรมฐาน หมายถึง ที่ตั้งแห่งการงาน หมายเอาอุบายทางใจ มี 2 ประการ คือ
1) สมถกรรมฐาน (เป็นอุบายสงบใจ) และ
2) วิปัสสนากรรมฐาน (เป็นอุบายเรื่องปัญญา)
– สมถกรรมฐาน หมายถึง ที่ตั้งของการเพ่งเพื่อให้จิตเกิดความสงบ
– คุณลักษณะของสมาธิ มี 4 ประการ คือ
o มีความไม่ฟุ้งซ่าน เป็นลักษณะ
o มีการกำจัดความฟุ้งซ่าน เป็นกิจ
o มีความไม่หวั่นไหว เป็นเครื่องปรากฏ(ผล)
o มีความสุข เป็นเหตุใกล้
– สมาธิเป็นกรรมวิธีที่ใช้กำจัดกิเลสอย่างกลาง คือ นิวรณ์ 5 เพราะขณะที่เข้าสมาธิจนเข้าถึงความสงบ (ฌาน) นั้นย่อมประกอบด้วยองค์ฌาน 5 ซึ่งเป็นคู่ปรับของนิวรณ์ 5 ได้แก่
o วิตก หมายถึง การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐาน เป็นคู่ปรับของถีนะมิทธะ
o วิจาร หมายถึง การประคองจิตไว้ให้อยู่ในอารมณ์กรรมฐาน เป็นคู่ปรับของวิจิกิจฉา
o ปีติ หมายถึง ความอิ่มเอิบใจ เป็นผลที่เกิดจากความสงบของจิต เป็นคู่ปรับของพยาปาทะ
o สุข หมายถึง ความสบายกายและใจ เป็นคู่ปรับของอุทธัจจะกุกกุจจะ
o เอกัคคตา หมายถึง การที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ฌานที่เป็นตัวอัปปนาสมาธิโดยตรง เป็นคู่ปรับของกามราคะ
– การปฏิบัติสมถกรรมฐานมีหลักสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
1) อารมณ์ของสมถกรรมฐาน 40 อย่าง
2) กรรมฐานที่เหมาะกับจริตและอุปนิสัย
3) ประเภทของสมาธิ
4) ขั้นตอนของการปฏิบัติสมถกรรมฐาน
– อารมณ์ของสมถกรรมฐาน มีถึง 7 หมวด 40 อย่าง ดังนี้
o กสิณ 10 เป็นกรรมฐานว่าด้วยสิ่งทั้งปวง 10 ประการ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีขาว แสงสว่าง และช่องว่าง (อากาศ)
o อสุภ 10 กรรมฐานว่าด้วยความไม่งาม หมายถึง ซากศพที่มีลักษณะต่าง ๆ 10 ประการ
o อนุสติ 10 กรรมฐานว่าด้วยการระลึกถึง พุทธานุสติ (ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า) ธัมมานุสติ (ระลึกถึงคุณขอวพระธรรม) สังฆานุสติ (ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์) สีลานุสติ (ระลึกถึงศีล) จาคานุสติ (ระลึกถึงการบริจาคของตน) เทวตานุสติ (ระลึกถึงธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา) มรณานุสติ (ระลึกถึงความตาย) กายคตานุสติ (ระลึกถึงร่างกายให้เห็นเป็นของไม่งาม เป็นปฏิกูล) อานาปานสติ (การกำหนดลมหายใจ) อุปสมานุสติ (ระลึกถึงพระนิพพาน)
o อัปมัญญา 4 กรรมฐานว่าด้วยแผ่เมตตาจิตไปไม่มีประมาณ เป็นการระลึกถึงธรรม 4 ประการ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
o อาหาเรปฏิกูลสัญญา การกำหนดพิจารณาอาหารให้เห็นว่าน่าเกลียด เป็นปฏิกูล
o จตุธาตุวัฏฐานะ พิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นพียงธาตุ 4
o อรูป 4 ว่าด้วยอรูปกรรมฐาน
– ต้องรู้จักเลือกกรรมฐานที่เหมาะกับจริต
o ราคะจริต คือ ลักษณะนิสัยหนักไปทางรักสวยรักงาม ควรเจริญอสุภะ 10 และกายคตาสติ
o โทสะจริต คือ ลักษณะนิสัยหนักไปทางโกรธง่าย ใจร้อน ควรเจริญอัปมัญญา 4 และ กสิณ 4 (สีน้ำเงิน เหลือง แดง ขาว อย่างใดอย่างหนึ่ง)
o โมหะจริต คือ ลักษณะนิสัยหนักไปทางหลงลืม เซื่องซึม วิตกจริต และฟุ้งซ่าน ควรเจริญอานาปานสติ
o สัทธาจริต คือ ลักษณะนิสัยหนักไปทางศรัทธา ซาบซึ้ง ควรเจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ และเทวตานุสสติ
o พุทธจริต คือ ลักษณะนิสัยหนักไปในทางปัญญา มีความคล่องแคล่ว ชอบคิดพิจารณาหาเหตุผล ควรเจริญ มรณานุสสติ อุปสมานุสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา และ จตุธาตุวัฏฐานะ
o ส่วนที่เหลืออีก 10 คือ อรูป 4 กับกสิณที่เหลือ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ แสงสว่าง เหมาะแก่ทุกจริต
– ประเภทของสมาธิ
o ขณิกสมาธิ คือ สมาธิเป็นขณะ ๆ มั่นคงเป็นขณะ เพ่งอารมณ์เดียว มีเอกัคคตาทำหน้าที่รู้เฉพาะอารมณ์เดียวที่เกิดขึ้นทุกขณะ
o อุปจารสมาธิ คือ สมาธิเกือบ ๆ จะแนบนาน ใกล้ความเป็นฌานเข้าไปอีก
o อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแนบแน่น เรียกว่า เป็นสมาธิในขั้นฌาน คือเป็นสมาธิที่มั่นคง แน่วแน่ ข้ามโคตรกามเป็นฌานแล้ว หมายถึง หมดความรู้สึกทางกามารมณ์ 6
– ขั้นตอนของการปฏิบัติสมถกรรมฐาน
o สมาทานศีล
o ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย
o แผ่เมตตา
o ตัดกังวล
o กำหนดเวลาในการฝึก
o ลงมือฝึก
#ผลที่ได้จากการปฏิบัติสมถกรรมฐาน
– ผลที่ได้จากการปฏิบัติสมถกรรมฐาน จำแนกเป็น 2 ประเภท ตามอำนาจสมาธิ คือ
o ผลเบื้องต้น คือ จิตใจสงบ มีสติคอยกำกับให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ มีความตั้งมั่นในการงานได้เพิ่มขึ้น มีผลดีต่อสุขภาพร่างกาย มีความสุขใจ ทำให้อยู่ในสังคมอย่างปกติสุข มีจิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่น
o ผลเบื้องสูง คือ สามารถกำจัดสิ่งที่รบกวนจิตใจ ฌานสมาบัติ (จิตที่เข้าอยู่ในฌานได้นาน) อภิญญา (อำนาจพิเศษทางจิต) เป็นพื้นฐานโดยตรงที่จะก้าวไปสู่การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
– ลำดับอำนาจของสมาธิ
o การเกิดนิมิต 3 ประการ คือ
บริกรรมนิมิต เป็นนิมิตที่ผู้ปฏิบัติสร้างขึ้น กรรมฐาน 40 อย่างใดอย่างหนึ่ง
อุคคหนิมิต เป็นนิมิตที่เกิดต่อจากบริกรรมนิมิต เป็นนิมิตติดตา คือ กรรมฐานที่ปรากฏเด่นชัดทั้งลืมตาและหลับตา
ปฏิภาคนิมิต เป็นนิมิตที่ชัดเจนมาก สามารถขยายเล็กหรือใหญ่ได้ ผู้ที่จะได้ฌานจะต้องปฏิบัติจนถึงปฏิภาคนิมิตจึงจะผ่านเข้าสู่อัปปนาสมาธิได้
o การเกิดฌาน ผู้ใดที่ปฏิบัติถึงขั้นอัปปนาสมาธิเท่ากับขณะนั้นมีองค์ฌาน 5 เกิดขึ้นสมบูรณ์ องค์ฌานทั้ง 5 นี้ เป็นธรรมที่ทำหน้าที่ข่มนิวรณ์ 5
รูปฌาน (ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน) ปฐมฌาน มีองค์ฌานครบ 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา และจะละออกไปขั้นละ 1 อย่าง ตามลำดับ
การเข้าฌานสมาบัติ ผู้ที่จะเข้าฌานสมาบัติได้ต้องเป็นผุ้ที่มีวสี 5 (วสี หมายถึง ความคล่องแคล่วในการเข้าฌาน)
o การเกิดอภิญญา ผู้ที่ได้ปัญจมฌานอันเป็นฌานชั้นสูง ที่เรียกกันว่า อภิญญา หมายถึง จิตที่มีอำนาจในการรู้อารมณ์ 6 เป็นพิเศษ เป็นอำนาจของสมาธิที่มีกำลังแก่กล้า
San Nirvana
๑. โดยสภาวธรรม
สมถะ มีสมาธิเกิดขึ้น คือ เอกัคคตาเจตสิก ที่ให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว
วิปัสสนา ทำให้เกิดปัญญา รู้รูป-นาม ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
๒. โดยอารมณ์
สมถะ มีนิมิตบัญญัติเป็นอารมณ์กรรมฐาน เช่น ปฐวีกสิณ เป็นต้น
วิปัสสนา มีรูป-นาม เป็นอารมณ์ เพราะรูป-นามมีความเกิดดับ ซึ่งเป็นความจริงตามธรรมชาติ
๓. โดยหน้าที่
สมถะ มีหน้าที่ในการกำจัดนิวรณ์ ๕ ทำให้จิตมีความสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นต้น
วิปัสสนา มีหน้าที่ในการกำจัดอวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งสภาวธรรม ตามความเป็นจริง
๔. โดยอาการที่ละกิเลส
สมถะ ละกิเลสโดยอาการที่ข่มไว้ เป็นวิขัมภนปหาน
วิปัสสนา ละกิเลสโดยอาการขัดเกลา เป็นขณะๆเป็นตทังคปหาน
๕. ชนิดของกิเลสที่ถูกละ
สมถะ ละกิเลสชนิดกลาง คือ ปริยุฏฐานกิเลส
วิปัสสนา ละกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยกิเลส
๖. โดยอานิสงส์
สมถะ ทำให้อยู่สุขด้วยการข่มกิเลสไว้ และให้ไปเกิดในพรหมโลก
วิปัสสนา เพื่อละวิปลาสธรรมและทำให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ คือ พระนิพพาน และเข้าถึงความไม่เกิดเป็นที่สุด
สมถะ กับ วิปัสสนา เป็นมรรค คือเป็นอุบายหนทางดับทุกข์ เพราะว่า"วิชชากับวิมุตติ" ทั้ง ๒ นี้ จะบังเกิดขึ้นได้ก็อาศัย สมถะกับวิปัสสนา จึงเป็น "ภาเวตัพพธรรม" ว่าเป็นธรรมอันควรที่สัตว์จะต้องให้เกิดขึ้นจงได้ฯ