อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้บำเพ็ญซึ้งแล้วซึ่งปัญญาปารมิตาได้เห็นแก่นแท้แห่งธรรมชาติแห่งขันธา เป็นความว่าง เหตุนั้น จึงก้าวข้ามผ่าน พ้นล่วงห้วงแห่งทุกข์ทั้งปวง สารีบุตรปุจฉา ทำอย่างไร หากใครใคร่รู้หนทางสู่ความว่าง พระโพธิสัตว์ วิสัชนาปารมิตานั้น จักต้องมอง แท้จริง ขันธ์ทั้งห้า และความว่าง เป็นเช่นไร สารีบุตร สดับฟัง รูปคือความว่าง ความว่างก็คือรูปนั้น ว่างไม่อื่นไปจากรูป รูปไม่อื่นจากความว่าง สิ่งนั้นเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญา เป็นเฉกนี้เอง สารีบุตร สดับฟัง ธรรม คือ ธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่หมอง ไม่ใส ไม่เพิ่ม ไม่ลด เช่นนั้น ความว่างไม่มีรูป จึงหมด เวทนา สัญญา สังขาร หรือ วิญญาณ ไม่มีจิต ไม่มีรูป รส กลิ่น เสียง ไม่มีตา ไม่มีหู จมูก ลิ้น กาย ไร้อารมณ์ปรุงแต่งตามจินตคิด ไร้ซึ่งโลกผัสสะแห่งดวงตา ดวงใจ และวิญญาณ ไร้ซึ่งความรู้อันไม่มีประมาณ ไร้ซึ้งกาละแห่งความไม่รู้แจ้งจริง ไร้ซึ่งความชราและมรณา จึงจบลงซึ่งสังสาร เกิด แก่ และ ตาย ไม่มีทุกข์ ต้นเหตุแห่งทุกข์ และทางแห่งการสิ้นทุกข์ สุดเขตขอบแห่งการแจ้งรู้ สุดปลายทางแห่งการบรรลุ เพราะไม่มี เพราะสุญแล้ว อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้วางใจ ซึ้งในปัญญาปารมิตา จิตอิสระไม่หวั่นไหว จึงจรไกล ไร้อุปสรรคนานา ความกลัวดั่งสุญ ก้าวล่วงพ้นไปจากมายา เสมือนเพียงภาพที่ลวงตา พระผู้ล่วงนิพพานในสามโลกกาล ผู้วางใจ ซึ้งในปัญญาปารมิตา ได้ตื่นในความตื่นรู้ ไม่มีสิ่งใด ยิ่งกว่า ต่างสัมผัสด้วยปัญญา นี่คือโพธิญาณ ที่เหนือกาล สูงสุดแห่งปัญญา มหามนตราอันศักดิ์สิทธิ์ มหามนตราแห่งความว่างอันยิ่งใหญ่ มหามนตราอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีมนต์ใดยิ่งใหญ่กว่า ดับแล้วซึ่งทุกข์ทั้งปวง คือสัจจะ คืออิสระแห่งปัญญา ไร้เท็จไร้จริง จงเปล่งเสียงมนต์ภาวนา ปรัชญาปารมิตา คเต คเต ปารคเต ปารสังคเต โพธิ สวาหา Avalokiteshvara Bodhisattava when practicing the profound Prajnaparamita, perceived the five skandhas to be empty, and crossed beyond all suffering. Venerable Shariputra said, how ones should practice such path of wisdom. Avalokiteshvara answered, to practice the profound prajnaparamita should see the five skandas and emptiness. Listen Shariputra, form is emptiness and emptiness is form, Form is no other than emptiness, emptiness is no other than form. The same is true for feelings, perceptions, mental formations, and consciousness. Listen Shariputra, dharma is the phenomenon of emptiness. No birth, no cessation, no defiled, no purity, no increase, no decrease. In emptiness there is no form, thus no feeling, perception, mental formation, and consciousness. No mind, no form, no taste, no smell, no sound, no eye, no ear, no nose, no tongue, no body, no objects nor fabrication of mind, no elements of sight, mind, and consciousness. No non-ignorance, no ignorance. No old age and death, thus no extinction of birth, old age, and death. No suffering, cause of suffering, and path to end suffering. No attainment or non-attainment, because of emptiness. Avalokiteshvara Bodhisattava who abides in prajnaparamita the mind is free and not obscured, see no more obstacles. There is no fear, transcending from the false of illusions. Buddhas of the three times who abide in prajnaparamita, are awaken to the unsurpassed enlightenment, thus realize that this is the Perfection of Wisdom. The great transcendent mantra, the great mantra of emptiness, The utmost mantra, the highest mantra, cease all sufferings. Is the truth, the transcendent wisdom surpassing true and false. Let us proclaim the mantra of Prajna Paramita Gate Gate Paragate Parasamgate Bodhi Svaha
926.. ชีวิต.คือ..อะไร?
บางคนว่า.. ชีวิตคือการเดินทาง บ้างว่า... ชีวิต คือ จิตวิญญาณ บ้างว่า ..ชีวิตคือ การต่อสู้ บ้างว่า ...ชีวิต คือ ความหวัง .... ชีวิต คือ สิ่งที่พระเจ้าสร้าง... ชีวิต คือ เซลล์ๆหนึ่ง... ชีวิต..คือการเรียนรู้ … ชีวิต..คือความไม่แน่นอน .. ชีวิตคือทุกข์ และ ชีวิตก็คือชีวิต ถามต่อว่า เรา เกิดมาเพื่ออะไร คำตอบนั้นหลากหลาย แล้วแต่มุมมองแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ถ้าจะตอบแบบพุทธศาสนา ชีวิต คือ ขันธ์ 5 **และความ จริงของชีวิต คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เราเกิดมา เพื่อหน้าที่ ** เรียนรู้ ปล่อยวาง ขันธ์๕ ..***นั่นคือ เป้าหมายการเกิดมา
**... ในขันธ์ 5 มีทั้งส่วนหยาบและส่วนละเอียด มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ รูป และ นาม .หรือ กาย และ ใจ
ในขันธ์๕ มีอายตนะ 12 (แดนเชื่อมติดต่อของจิต + อารมณ์)
.อายตนะนอกทั้ง๖ คือ..การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การสัมผัส การรับรู้ ..
อายตนะภายใน๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
**โดย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่มีสิ่งใดมากระทบมันก็เป็นเพียงธาตุ
**... รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ถ้าไม่ได้ไปกระทบกับสิ่งใดก็เป็นเพียงธาตุเช่นกัน
** เมื่อธาตุทั้ง 2 ประเภทมากระทบกัน จึงเกิดเป็น..อายตนะขึ้น..
//...ในอายตนะ๑๒ ยังมี ธาตุ ๑๘ ซ้อนอยู่..
#..ธาตุรับ คือ. ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รับรส รับสัมผัสทางกาย รับอารมณ์ทางใจ
# ธาตุกระทบ มี ( สี สัณฐาน), เสียง กลิ่น รส กาย ทางใจ
#. ธาตุรับรู้ . รับรู้ เห็น รูป สี และสัณฐาน + ได้ยินเสียง
+ ได้กลิ่น + ได้รับรส+ รับรู้การสัมผัส + รับรู้ธัมมารมณ์
**..นี่แหละชีวิต..มีทั้งรูปธรรม นามธรรม ล้วนแต่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..จะยึดมาเป็นของเราไม่ได้..
การปฏิบัติปารมิตาทั้ง ๖ และการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดที่คืบหน้าทีละขั้นๆ
แต่พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่ เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และ ลืมตา ต่อ"จิตหนึ่ง" นั้นเท่านั้น และ ไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือพุทธะที่แท้จริง พุทธะและสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตคือพุทธะ
116. มหาปัญญา ..มหาปรัชญาปารมิตา
“ปรัชญา” คือ ปัญญา “ปารมิตา” คือ บารมี.. แปลว่า พระสูตรหัวใจ การบำเพ็ญปัญญาบารมี
"มหาปรัชญาปารมิตาเป็นปัญญาอันใหญ่หลวง สูงสุดใหญ่ยิ่ง อยู่ในสภาวะที่ ไม่หยุด ไม่ไป และไม่มา"
//.. พระนาคารชุน ได้รับคัมภีร์ “ปรัชญาปารมิตาสูตร” จากนาคเมืองบาดาล ซึ่งเหล่านาคก็ได้รับคัมภีร์ “ปรัชญาปารมิตาสูตร มาจากพระอานนท์ ในสมัยพุทธกาลอีกที
**...เนื้อหากล่าวถึง...พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เทศนาพระสารีบุตร..ให้พิจารณาขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
+...มนุษย์ ต่างก็มีปัญญาเท่าเทียมกัน แต่เวลาเปล่งอานุภาพกลับต่างกัน เพราะมีกิเลสบดบัง จึงได้ชื่อว่า "ฉลาด" และ "โง่เขลา" คนทั่วไป ติด "ดีชั่ว" ปัญญาจึงมิอาจเปล่งประกายอานุภาพออกมาได้อย่างเต็มที่
**...คนเป็นจำนวนมากต้องตกไปสู่อบายภูมิเพราะไม่มี "สติ" ปล่อยให้ปัญญาความคิด กระทำความชั่วจนกิเลสพอกหนา บดบังปัญญาเดิมแท้ (เป็นกลาง) ด้วยอำนาจของปัญญาอันสูงสุด ย่อมมีอนุภาพ ตัด "ความดี" หรือ "ความชั่ว ทิ้งไปได้ทันที
//....ปัญญาอันสูงสุด จึงสามารถตัดอุปาทาน ซึ่งยึด "ขันธ์ห้า" อันได้แก่ "รูป" เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" ทิ้งไปได้ จิตพุทธะ จึงเปล่งประกายออกมา
โลภะจึงกลายเป็น ศีล
โทสะจึงกลายเป็น สมาธิ
โมหะจึงกลายเป็น ปัญญา
ภาวะเดิมแท้ของจิตพุทธะ มีความสำรวมเป็น "ศีล สมาธิ ปัญญา" พร้อมมูลอยู่แล้ว
**... บางคนผู้มีปัญญาสะสมมานาน ดอกบัวพ้นน้ำแล้ว รอเพียงแสงพระอาทิตย์ส่องลงมาเท่านั้น...เมื่อได้สดับพระสูตรนี้ .... ใจของเขาจะสว่างโพลง "บรรลุฉับพลัน" ทันที
ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร 摩訶般若波羅蜜多 คือพระสูตรที่สำคัญและเป็นที่นิยมยิ่งในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ชื่อ "ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร" มีความหมายตามตัวอักษรว่า "พระสูตรอันเป็นหัวใจแห่งปฏิปทาอันยวดยิ่งแห่งความรู้แจ้ง" ในภาษาอังกฤษมักแปลโดยสังเขปว่า "หฤทัยสูตร" (The Heart Sūtra) ---------------------------------------- **บทสวด** กวัน จื้อ ไจ้ ผู ซ่า สิง เซิน ปวอ เหย่อ ปวอ หลัว มี่ ตวอ สือ เจ้า เจี้ยน อู่ อวิ้น เจีย คง ตู้ อี๋ เชี่ย ขู่ เอ้อ เซ่อ ลี่ จื่อ เซ่อ ปู๋ อี้ คง คง ปู๋ อี้ เซ่อ เซ่อ จี๋ ซื่อ คง คง จี๋ ซื่อ เซ่อ โซ่ว เสี่ยง สิง ซื่อ อี้ ฟู่ หยู ซื่อ เซ่อ ลี่ จื่อ ซื่อ จู ฝ่า คง เซี่ยง ปู้ เซิง ปู๋ เมี่ย ปู๋ โก้ว ปู๋ จิ้ง ปู้ เจิง ปู้ เจี่ยน ซื่อ กู้ คง จง อู๋ เซ่อ อู๋ โซ่ว เสี่ยง สิง ซื่อ อู๋ เหยี่ยน เอ่อ ปี๋ เสอ เซิน อี้ อู๋ เซ่อ เซิง เซียง เว่ย ชู่ ฝ่า อู๋ เอยี่ยน เจี้ย ไหน่ จื้อ อู๋ อี้ ซื่อ เจี้ย อู๋ อู๋ หมิง อี้ อู๋ อู๋ หมิง จิ้น ไหน่ จื้อ อู๋ เหลา สื่อ อี้ อู๋ เหลา สื่อ จิ้น อู๋ ขู่ จี๋ เมี่ย เต้า อู๋ จื้อ อี้ อู๋ เต๋อ อี่ อู๋ สว่อ เต๋อ กู้ ผู๋ ถี ซ่า ตว่อ อี ปวอ เหย่อ ปวอ หลัว มี่ ตัว กู้ ซิน อู่ กว้า ไอ้ อู่ กว้า ไอ้ กู้ อู๋ โหยว ข่ง ปู้ เอวี่ยน หลี เตียน เต่า เมิ่ง เสี่ยง จิ้ว จิ้ง เนี่ย ผัน ซัน ซื่อ จู ฝอ อี ปวอ เหย่อ ปวอ หลัว มี่ ตวอ กู้ เต๋อ อา โน่ว ตวอ หลัว ซัน เหมี่ยว ซัน ผู ถี กู้ จือ ปวอ เหย่อ ปวอ หลัว มี่ ตวอ ซื่อ ต้า เสิน โจ้ว ซื่อ ต้า หมิง โจ้ง ซื่อ อู๋ ซั่ง โจ้ว ซื่อ อู๋ เติ๋ง เติ่ง โจ้ว เหนิง ฉู อี๋ เชี่ย ขู่ เจิน สือ ปู้ ซวี กู้ ซวอ ปวอ เหย่อ ปวอ หลัว มี่ ตวอ โจ้ว จี๋ ซวอ โจ้ว เอวีย คะเต คะเต ปารคะเต ปารสังคะเต โพธิสวาหา ---------------------------------------- คำแปล ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผู้ประกอบด้วยโลกุตรปัญญาอันลึกซึ้ง ได้มองเห็นว่า โดยธรรมชาติแท้แล้ว ขันธ์ทั้งห้านั้นว่างเปล่า และด้วยเหตุที่เห็นเช่นนั้น จึงได้ก้าวล่วง พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ สารีบุตร รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่าง ก็ไม่ต่างไปจากรูป รูปคือความว่างนั่นเอง และความว่างก็คือรูปนั่นเอง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นดังนี้ด้วย สารีบุตร ธรรมทั้งหลาย มีธรรมชาติแห่งความว่าง ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง ไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก ไม่ได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง ดังนั้น ในความว่างจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา หรือสัญญา ไม่มีสังขาร หรือวิญญาณ ไม่มีตาหรือหู ไม่มีจมูกหรือลิ้น ไม่มีกายหรือจิต ไม่มีรูปหรือเสียง ไม่มีกลิ่นหรือรส ไม่มีโผฏฐัพพะหรือธรรมารมณ์ ไม่มีโลกแห่งผัสสะ หรือวิญญาณ ไม่มีอวิชชา และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่ และความตาย ไม่มีความทุกข์ และไม่มีต้นเหตุแห่งความทุกข์ ไม่มีความดับลงแห่งความทุกข์ และไม่มีมรรคทางให้ถึง ซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์ ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องลุถึง พระโพธิสัตว์ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา จะมีจิตที่เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระจาก อุปสรรคสิ่งกีดกั้น พระองค์จึงไม่มีความกลัวใดๆ ก้าวล่วงพ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตา ลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด พระพุทธในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผู้ทรงวางใจในโลกุตรปัญญา ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้น อันเป็นภาวะที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่ง ดังนั้น จงรู้ได้เถิดว่า โลกุตรปัญญา เป็นมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่ เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นยิ่งกว่า เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นใดมาเทียบได้ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง นี่เป็นสัจจะ เป็นอิสระจากความเท็จทั้งมวล ดังนั้น จงท่องมนต์แห่งโลกุตรปัญญา คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา ไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิง ลุถึง การรู้แจ้ง ความเบิกบาน ---------------------------------------- อธิบายเพิ่มเติม : คาถาตอนท้ายพระสูตร ที่ว่า "คะเต คะเต ปารคะเต ปารสังคะเต โพธิสวาหา" หรืออาจแปลโดยคร่าวๆ ได้ว่า "จงไป จงไป ไปถึงฝั่งโน้น ไปให้พ้นโดยสิ้นเชิง บรรลุถึงความรู้แจ้ง หะเหวย!" อย่างไรก็ตาม ต้นฉบับในภาษาต่าง ๆ มักละไว้ ไม่แปลคาถานี้ ตามตำนานฝ่ายจีนระบุว่า คณาจารย์ชาวอินเดียที่เดินทางมาประกาศพระศาสนาในแผ่นดินจีน ไม่แปลคาถานี้เพราะท่านทราบดีว่า ไม่มีทางที่จะทำได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายความนัยอันลี้ลับของคาถานี้ บทสวดเพิ่มเติม : 00heartsutra00.blogspot.com/2010/09/blog-post_4614.html?m=1
927. การบรรลุธรรม.. กับ..ดวงอินทรีย์
..
อินทรีย์ แปลว่า.. ความเป็นใหญ่ .. ในกายเรา มี ดวงอินทรีย์ 22 หรือ..ความเป็นใหญ่ ของการสะสมบารมีเพื่อการบรรลุธรรม นั้นเอง
๑ ดวงอินทรีย์การรับรู้มี 6 ดวง ( เห็น – ฟัง- ดมกลิ่น – สัมผัส- ลิ้มรส- ทางใจ)
๒.ดวงอินทรีย์สภาพมี 3 ดวง มี สภาพของหญิง + สภาพของชาย + ความเป็นอยู่
๓.ดวงอินทรีย์เวทนา มี 5.ดวง ( ความสุข- .ความทุกข์- .ความดีใจ- ความเสียใจ- ความวางเฉย
** (ความเป็นใหญ่ 5 อย่างนี้จะทำให้เกิดความรู้สึก คือ เวทนาทั้งส่วนของกายและใจ)
๔ ดวงอินทรีย์พละ มี5 ดวง (.ความศรัทธา- .ความเพียร- ความระลึก— .ความตั้งใจ- .ปัญญา
( ** ถ้า พละ 5 สมบูรณ์ แสดงว่า พร้อมที่จะบรรลุธรรมแล้ว)
*๕**ดวงอินทรีย์ในความรู้ มี ๓ ดวง คือ
5.1 รู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ (โสดาปัตติมรรค)-
5.2 ความเป็นใหญ่ในความรู้ คือ (โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล และอรหัตมรรค)
5.3-.. ความเป็นใหญ่ในผู้รู้แล้ว คือ (”อรหัตตผล.”)
*****..การดูดวงอินทรีย์เพื่อการบรรลุธรรม
**** ถ้าอินทรีย์ 5 พละ5 โตเท่ากัน ผู้นั้น มีความพร้อม ในการเข้าสู่”โลกุตตระ”(บารมีถึง) จะสามารถบรรลุธรรมได้
***....ส่วนการบรรลุธรรม..ระดับไหน ต้องดู ดวงไหนโตกว่ากัน ถ้ายังโตไม่เท่ากันหมด บางคน จึง บรรลุธรรม ได้ในระดับ โสดาบัน -สกิทาคามี -อนาคามี ..เท่านั้น
***....ถ้ามีอุปนิสัยที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ในชาตินี้... 3 ดวงนี้..จะต้องโตเท่ากัน...**
ลองถามตนเองได้นะว่า..ตัวเรามีดวงอินทรียืชัดหรือยัง โตหรือยัง สมัคคีญาณเท่ากันหรือยัง..นั่นคือ..คำตอบว่า..เรา..ใกล้ถีงเส้น กับคำว่า."บรรลุธรรม"..แค่ไหน สาธุ
928.พิจารณาอริยสัจ เพื่อเป็น พระอริยบุคคล
... การจะก้าวเข้าสู่อริยภูมิ (ภูมิแห่งความประเสริฐ) จำเป็น ต้องพิจารณาอริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) โดย ใช้สมาธิ ปัญญา ตาญาณ..แทงตลอดอริยสัจ..พร้อมกับเดินสมาบัติ(มีฌาน)
**..เมื่อ ภาวนา เจริญปัญญา รู้แจ้งในพระสัจธรรมดังกล่าว จึงได้ เห็นความจริง จึงละสังโยชน์เบื้องต่ำ คือ สักกายทิฏฐิ +วิจิกิจฉา และสีลพตปรามาสได้ จึงบรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบัน (คำว่า.ละสักกายทิฏฐิ.ไม่ได้ละหมด.ละได้ตามระดับปัญญา)
**...เมื่อเดินจิต นิ่ง สงบ เข้าฌาน ดูอริยสัจต่อไปอีก จิตละเอียดขึ้น ปัญญาละเอียดขึ้น เห็นจริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ชัดขึ้น ๆ จึงสามารถ ละ โลภะ โทสะ และโมหะ จนเบาบางลงมากแล้ว..ก็ได้บรรลุมรรคผล เป็น”พระสกิทาคามี”..(ละสังโยชน์3 เท่ากับพระโสดาบัน)
**...เมื่อเดินจิต นิ่ง สงบ เข้าฌาน ดูอริยสัจต่อไปอีก จิตละเอียดขึ้น ปัญญาละเอียดขึ้นไปอีก เห็นจริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ชัดขึ้นไปอีก จน สามารถละกามราคานุสัย(กาม) และปฏิฆานุสัย(โกรธ)ได้อีก... ก็ได้บรรลุมรรคผลเป็น”พระอนาคามี” (ละสังโยชน์ได้ ๕ ข้อเด็ดขาด)
***.....เมื่อเดินจิต นิ่ง สงบ เข้าฌาน ดูอริยสัจต่อไปอีก จิตละเอียดขึ้น ปัญญาละเอียดขึ้นไปอีก เห็นจริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ชัดแจ้ง ทั้งในแง่สัจจญาณ- กิจจญาณ- และกตญาณแล้ว สามารถสามารถละ สังโยชน์เบื้องสูงอีก 5 ประการ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชาได้โดยเด็ดขาดแล้ว ก็บรรลุมรรคผลเป็น”พระอรหันต์ขีณาสพ “
**...ผู้มีทิพยจักขุญาณอันละเอียด ย่อมมองเห็นกายในของพระอรหันต์ (กายทิพย์พิเศษ ) ใสละเอียด และมีรัศมีสว่างอยู่ตลอดเวลา และผู้เข้าถึงพระอรหันต์ ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า **ตัวท่านเอง ได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว..(อาสวักขยญาณ)
**..ดังนั้นท่านใดไม่ได้เดินวิปัสสนา ย่อมไม่มีปัญญาเพียงพอ จะเห็นความจริง เมื่อไม่เห็นความจริง จึงยังหลงอุปทานยึดมั่นในสมมุติ..เมื่อยังหลงสมมุติ จึงย่อมไม่หลุดพ้น เมื่อยังไม่หลุดพ้น ย่อมวนเวียนเกิดตาย เมื่อวนเวียนเกิดตาย ย่อม พบเจอทุกข์..ต่อไปมิจบสิ้น..