ชุดวางธรรม : ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
" เรา ไม่ไปทางหน้า
เรา ไม่คืนทางหลัง
เรา ไม่ขึ้นฟ้า เรา ไม่ลงดิน
ไม่...ไปซ้าย ไปขวา
เรา...
จะหยุด อยู่...นิ่ง
ก็คือ...
รู้อยู่...เท่านั้นเอง."
___________________________________________
(หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)
ของจริง นิ่งเป็นใบ้
อย่าสำคัญตนเป็นไตรลักษณ์ก็ดี อย่าสำคัญไตรลักษณ์เป็นตนก็ดี อย่าสำคัญตนเป็นจิต จิตเป็นตนก็ดี อย่าสำคัญตนเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เป็นตนก็ดี
สิ่งทั้งหลายมันลงไปรวมอยู่ที่ "ใจ และ "ผู้รู้"
ไม่สำคัญใจและผู้รู้เป็นตน
ไม่สำคัญผู้รู้และใจมีในตนก็สะดวกดี
เพราะสิ่งทั้งหลายมันลงไปรวมอยู่ที่นั้น ถอนรากถอนโคนอันนั้น ก็ใช้ได้
****************
หลวงปู่หล้า เขมปัตฺโต
... ก า ร ที่ จ ะ ป ฏิ บั ติ
ให้ถึง “ โลกุตรธรรม “ นั้น ไม่ใช่ของง่าย
ไม่เหมือนจำเอาตามแบบจากตำราแล้วเอา
มาพูดคุยกันอวดกัน
... ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นต้องปฏิบัติทางด้านจิตใจ ให้เป็นผู้รู้เอง เห็นเอง ด้วยตนของตนเอง เริ่มตั้งแต่มี
อินทรีย์สังวรขึ้นไป
เพราะ ..บรรดากิเลสน้อยใหญ่เกิดทางอินทรีย์เรานี้
คือ .. ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
... ความชั่วก็ดี ความดีก็ดี
เกิดจากทวารเหล่านี้ เมื่อความชั่วเกิดต้องมี
“ สติ ” รู้เท่าทัน
ละ ป้องกันไม่ให้เกิด
ละ ออกจากจิตจากใจของเรานี้
เอาจิตเอาใจของเรานี้ ละ
เอาจิตเอาใจของเรานี้ ปล่อย
เอาจิตใจของเรานี้ปล่อยวางจากความชั่ว
ทั้งสิ้น ...
... หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ...
ธรรมะ ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา ธรรมสูงสุดล้วนอยู่ล้อมรอบตัวเราอยู่แล้ว ใยต้องไปวิ่งแสวงหา การเจริญวิปัสสนาก็คือ แค่ ตามรู้ตามดู เห็นเพียงสักแต่ว่า จบภพจบชาติ
อย่าไปคิดลังเลสงสัย วิปัสสนาไม่เกิดหากมีความคิด แต่ไม่ใช้ไปห้ามความคิด เพราะมันเป็นความคิดที่จะไปห้ามคิด มันยังเป็นความคิดอยู่ดี แต่ " ให้อยู่ความรู้สึกตัว กับ ลมหายใจ หรือ การขยับกาย " ให้ทําแค่นี้ แค่รู้สึกตัวกับกายไปเรื่อยๆ พอรู้สึกตัวบ่อย จนชิน มันจะเริ่มปรับไปรู้ใจ(จิต)ต่อเอง เราก็รู้ ดูจิตต่อ " แต่แค่ให้รู้ อย่าไปตาม " แค่รู้เห็นเพียงสักแต่ว่า แล้วให้ละสิ่งที่มากระทบ(ผัสสะ)เสีย ไม่ว่ารักโลภโกรธหลง ล้วนทิ้งเสีย "แค่รู้ ไม่ตามรู้" สุดท้าย ปัญญาญาณ หรือ ญาณ ซึ่งเป็นปัญญารู้ธรรมได้เอง(ตรัสรู้) จะค่อยๆบังเกิดขึ้น เห็นไตรลักษณ์ของกายของใจ
Trader Hunter พบธรรม
....วิถีธรรม.....วิถีพุทธ...
เกิด - ดับ
ที่เรียกว่า "เกิดๆ ดับๆ" นี้คืออะไร ?
คือ อารมณ์ ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ดับแล้วมันก็เกิดขึ้นมา ในทางธรรมะเรียกว่า การเกิดดับ มันก็มีเท่านี้
ทุกข์มันเกิดขึ้นแล้ว ทุกข์มันก็ดับไป
ทุกข์ดับไปแล้ว ทุกข์ก็เกิดขึ้นมา
นอกเหนือจากนี้ไป ก็ไม่มีอะไร
มีแต่ทุกข์เกิด แล้วทุกข์ก็ดับไป มีเท่านี้
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว..
จิตของเราก็จะเห็นแต่การเกิด-ดับอยู่เสมอ
เมื่อเห็นการเกิด-ดับอยู่เสมอ ทุกวันทุกเวลา
ตลอดทั้งกลางวัน ตลอดทั้งกลางคืน
ตลอดทั้งการยืน เดิน นั่ง นอน
ก็จะเห็นได้ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ
มีแต่เกิด-ดับอยู่เท่านี้เอง
แล้วทุกอย่างมันก็จบอยู่ตรงนี้..
หลวงปู่ชา สุภัทโท
" ดังนั้น...
แม้เมื่อโยมจากวัดหนองป่าพงนี้ไปแล้ว ก็จงเป็น
ผู้ปฏิบัติให้ธรรมะทั้งหลาย มารวมอยู่...ที่ใจ
มองลงไป...ที่ใจ
ให้เห็น สติ
ให้เห็น สัมปชัญญะ
ให้มี ปัญญา
เมื่อมีทั้งสามอย่างนี้แล้ว มันจะมี...การปล่อยวาง
รู้จัก เกิด แล้วมัน ก็ดับ
ดับแล้ว มันก็เกิด เกิดแล้ว มันก็ดับ
ที่เรียกว่า...
เกิด ๆ ดับ ๆนี้ คืออะไร ?
คือ อารมณ์
ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้ว มันก็ดับไป
ดับแล้ว มันก็เกิดขึ้นมา
ในทางธรรมะเรียกว่า...
การเกิด - ดับ มัน ก็มีเท่านี้
ทุกข์ มันเกิดขึ้นแล้ว ทุกข์ มันก็ดับไป
ทุกข์ ดับไปแล้ว ทุกข์ ก็เกิดขึ้นมา
นอกเหนือจากนี้ไป ก็ไม่มีอะไร
มีแต่...
ทุกข์เกิด แล้วทุกข์ ก็ดับไป มีเท่านี้
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิต...ของเรา
ก็จะเห็นแต่...
การเกิด - ดับ อยู่...เสมอ ทุกวัน ทุกเวลา
ตลอดทั้งกลางวัน ตลอดทั้งกลางคืน
ตลอดทั้งการยืน เดิน นั่ง นอน
ก็จะเห็นแต่ว่า...มันไม่มีอะไรจริง ๆ
มีแต่การเกิด - ดับ อยู่...เท่านั้นเอง
แล้วทุกอย่าง มันก็จบ อยู่...ตรงนี้
เมื่อเห็น
อารมณ์เกิด - ดับ อย่างนี้ อยู่...เสมอไปแล้ว
จิตใจ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย
เพราะ...
เมื่อคิดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากมาย
มันมีแต่การเกิดแล้ว ก็ดับ
ดับแล้ว ก็เกิด เกิดแล้ว ก็ดับ มัน มีอยู่เท่านี้
ฉะนั้น...
เมื่อคิดแล้ว ก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน
พอคิดได้เช่นนี้...
ก็จะ...ปล่อยวาง
ปล่อยวาง...อยู่...กับธรรมชาติ
มันเกิด เรา ก็รู้
มันดับ เรา ก็รู้
มันสุข เรา ก็รู้
มันทุกข์ เรา ก็รู้
รู้แล้วไม่ใช่ว่า...
เรา จะไปเป็นเจ้าของสุขนะ
หรือเมื่อทุกข์ขึ้นมา เรา ก็ไม่เป็นเจ้าของทุกข์ เหมือนกัน
เมื่อ ไม่เป็นเจ้าของสุข
(เมื่อ)ไม่เป็นเจ้าของทุกข์
มัน ก็มีแต่การเกิด - ดับ อยู่...เท่านั้น
ก็ปล่อย...
ไปตามธรรมชาติของมัน อย่างนั้นแหละ
เพราะ...มันไม่มีอะไร
อารมณ์ทั้งหลาย...
ที่ว่ามานี้ เหมือนกับงูเห่า ที่มีพิษร้าย
ถ้าไม่มีอะไรมาขวาง มันก็เลื้อยไป
ตามธรรมชาติของมัน
แม้พิษ...
ของมัน จะมีอยู่ มันก็ ไม่แสดงออก
ไม่ได้ ทำอันตรายเรา
เพราะเรา...
ไม่ได้ เข้าไปใกล้มัน
งูเห่า...
ก็ไปตามเรื่องของ...งูเห่า มันก็ อยู่...อย่างนั้น."
____________________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
อวิชชาปัจจยา สังขารา ได้แก่ กษัตริย์วัฏจักร อยู่ในท่ามกลางนี้แหละ อวิชชาเป็นกำแพงล้อมเอาไว้
ตัวอวิชชาจริง ๆ อยู่ในกำแพง
เพราะฉะนั้นจึงติดตามเหล่านี้เข้าไป ติดตามอันนี้เข้าไปเรื่อย ฝึกซ้อมกันเรื่อย พอมันเข้าใจ เข้าใจหลายครั้งหลายหน เข้าใจเรื่อย ๆ เข้าไปก็ตามเข้าไปถึงอวิชชาปัจจยา สังขารา กลายเป็นปัจจยาการขึ้นมาภายในจิตดวงนั้น เรียกว่าอริยสัจสี่ เป็นเต็มตัวแล้วเข้าไปนั้น
แล้วจิตมันตามเข้าไปหลายครั้งก็ไปเห็นต้นตออันใหญ่หลวง คือ อวิชชาปัจจยา ซึ่งเป็นกษัตริย์วัฏจักรภายในหัวใจของเรา เพราะสิ่งอื่นมันปล่อยหมดแล้ว จิตใจว่างไปหมด ทั้งๆ ที่จิตก็ยังไม่ว่างตัวเอง แต่สิ่งภายนอกทั้งหลายมันว่างไปหมด ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ วัตถุต่างๆ นี้ว่างไปหมด ไม่มีในจิตใจ จิตใจกลายเป็นความว่างไปหมดแล้ว เหลือตั้งแต่ภายในตัวเองยังไม่ว่าง
อ่านให้มันถึงอย่างงั้นซินักปฏิบัติ ให้ถึงตัว อะไรยังไม่ว่าง ก็อวิชชาปัจจยา สังขารา ยังสำคัญว่าอันนั้นว่าง อันนี้ว่าง ตัวเองลืมตัวเอง ตัวเองยังไม่ว่าง ให้ย้อนเข้ามาจนกระทั่งถึงตัวจริงของอวิชชา…”
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
หลักปฏิบัติ “ปฏิจจสมุปบาท”
.
…. “ พูดอย่างวิชาหรืออย่างปรัชญา มันก็พูดอย่างหนึ่ง พอถึงปฏิบัติมันก็กลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง คำพูดไม่เหมือนกัน จะยกตัวอย่างเรื่อง “ปฏิจจสมุปบาท” ที่ยืดยาว ที่เราสวดกันยาวๆ นั่นนะ! อวิชชาเกิดสังขาร สังขารเกิดวิญญาณ วิญญาณตลอดสาย นั้นน่ะ! มันเป็นรูปแบบของปรัชญา ให้รู้ว่าอย่างนั้นเป็นปรัชญาที่มีเหตุผล ที่พอจะเห็นแจ้งได้ พอที่จะทำให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาได้...
…. ทีนี้ พอมาถึงคราวปฏิบัติ มันมีเพียงแต่ว่า มีสติ ในเมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น พูดสั้นๆ ก็ว่า มีสติเมื่ออายตนะทำงาน สั้นๆ เท่านี้ มีแค่นี้ก็พอ
…. ปฏิจจสมุปบาท สำหรับรู้ ยาวเฟื้อย พอปฏิจจสมุปบาทสำหรับปฏิบัติ คือ มีสติ เมื่ออายตนะทำงาน ก็คือ ควบคุมได้ที่ผัสสะ เป็นผัสสะแห่งวิชชาไว้เสมอ ก็คือ ปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทสำเร็จประโยชน์ทั้งสาย ทุกข์ไม่เกิด
…. มีสติเมื่ออายตนะทั้ง ๖ ทำงาน นั่นแหละ คือปฏิบัติ เรียกว่า ปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท
…. ตัวปฏิจจสมุปบาทตั้งสิบสองอาการ สิบเอ็ดอาการ นั่นน่ะ! ยาวเฟื้อย และก็มีเรื่องมาก แล้วก็มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะเป็นไปอย่างนั้นตามธรรมชาติ เมื่อเราจะควบคุมมันเรื่องเหลือนิดเดียว ให้มีสติเมื่ออายตนะทั้ง ๖ ทำหน้าที่ เท่านั้นแหละ ก็ควบคุมปฏิจจสมุปบาททั้งหมดได้”
พุทธทาสภิกขุ
ภัยอันยิ่งใหญ่ของ “ อวิชชา ”
ที่เป็นเหมือน..แม่ของกิเลสทั้งปวง
.
…. “ หลักเกณฑ์ในปฏิจจสมุปบาทมีอยู่ว่า ความทุกข์หรือสังขารทั้งปวงรวมทั้งกิเลสด้วย มีมูลมาจาก “อวิชชา” ถ้าทำลายอวิชชาเสียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งต่างๆที่เป็นกิเลสหรือความทุกข์ก็ดับไปหมด และเรื่องก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น
…. ส่วนในเรื่องของ “สัญโยชน์ ๑๐” นี้ ได้ระบุการละสัญโยชน์เป็นลำดับๆไป กระทั่งละอวิชชาเป็นขั้นสุดท้าย คือขั้นที่ ๑๐ คล้ายๆกับว่ามีกิเลสอีกตั้ง ๙ อย่าง ซึ่งอยู่นอกเหนือไปจากอวิชชา
…. ความจริงหาได้เป็นไปโดยทำนองนั้นไม่ กิเลสและสัญโยชน์ทั้งหลายที่มีชื่อต่างกันเหล่านั้น เป็นสิ่งที่เกิดมาจากอวิชชา มีลักษณะเป็นอาการของอวิชชาในรูปต่างๆกัน จึงได้ชื่อแปลกๆ ตามอาการที่มันแสดงการเกิดมาจากอวิชชานั้น เกิดเสร็จเรียบร้อยอยู่ในภายใน โดยอาการที่เร้นลับเห็นได้ยากที่สุด จึงไม่ชวนให้คิดไปในทำนองว่ามันเป็นพวกอวิชชาด้วยกัน
…. แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่าสัญโยชน์ทั้ง ๙ มีมูลมาจากอวิชชา มีอยู่ได้เพราะอวิชชาอยู่ เช่น...
…. “สักกายทิฏฐิ” เห็นว่ากายนี้เที่ยงแท้เป็นของตน ก็เพราะอวิชชาครอบงำ ทำให้เห็นไปอย่างนั้น
…. “วิจิกิจฉา” ลังเลต่อข้อปฏิบัติที่จะข้ามฟากจากโลกิยะไปสู่โลกกุตตระ เพราะยังอาลัยในโลกิยะอยู่นี้เพราะอำนาจครอบงำของอวิชชาดึงเอาไว้
…. “สีลัพพตปรามาส” คือการจับฉวยเอาสิ่งต่างๆผิดจากความจริง หรือผิดจากความหมายอันแท้จริงนั้น เป็นอาการของอวิชชาอย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว
…. “กามราคะ” มีความกำหนัดในกาม เพราะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่ากามตามที่เป็นจริง
…. “ปฏิฆะ” ความกลัดกลุ้มด้วยอำนาจโทสะ ก็เนื่องมาจากความไม่รู้จักสิ่งที่เป็นมูลเหตุแห่งความกลัดกลุ้มตามที่เป็นจริง จึงไปกลัดกลุ้มเข้า ความไม่รู้ตามที่เป็นจริงนี้ เป็นอาการโดยตรงของอวิชชา ทั้งอย่างหยาบและอย่างละเอียด
…. สำหรับ “รูปราคะ” หรือ “อรูปราคะ” นั้น เป็นเรื่องของอวิชชาชั้นละเอียด คือไม่รู้จักความสุขอันเกิดมาจากรูปและอรูปตามที่เป็นจริงหรือถึงที่สุด จึงหลงยึดถือ เพราะหลงในความประณีตของความสุขประเภทนี้
…. “มานะ” และ “อุทธัจจะ” นั้น คือความไม่รู้จริง และเป็นเรื่องความรู้ผิดอันเกี่ยวกับตัวตนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
…. ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า สัญโยชน์ทั้ง ๙ นั้น หรือ อนุสัยทั้ง ๖ ข้างต้นนั้น ล้วนแต่เป็นลูกของอวิชชาโดยตรง อย่างที่ไม่ควรจะถือว่าเป็นพี่น้องหรือเพื่อนฝูงของอวิชชาเลย
…. ฉะนั้น การฆ่าลูกๆให้ตายหมดหาได้หมายความว่าเป็นการฆ่าแม่ของมันให้ตายด้วยไม่ แม่ของมันยังเหลืออยู่ในฐานะเป็นสิ่งที่จะคลอดลูกทั้งหลายอีกต่อไปไม่มีหยุด
งานขั้นสุดท้ายจึงได้แก่การฆ่าอวิชชา ซึ่งเป็นเหมือนแม่แห่งกิเลสทั้งปวง”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “การตัดสัญโยชน์ ของอริยมรรคทั้ง ๔ “
..ญาติธรรมบางคนสงสัยว่า
มีปัญญาแจ้งในธรรม นั้นเห็นยังไง
เป็นอย่างไรหรือ?
..ในขณะที่เธอฟังธรรมหรืออ่าน
ธรรมที่อาจารย์แสดงอยู่นั้น
เธอจะอุทาน"อ้อ"เบาๆ หรือว๊าปเล็กๆ
แล้วสัมผัสถึงความโล่งเบาสว่างใสขึ้น
..นั่นหล่ะเกิดปัญญาแจ้งในธรรม
ถึง 3 ระดับ
..ขั้นแรกเมื่อเธอฟังหรืออ่านธรรม
จะเกิด"สุตมยปัญญา" คือปัญญาที่แปลความหมายของสมมุติภาษา
ว่าหมายถึงอะไรในคำพูดคำเขียนนั้น..ปัญญาขั้นนี้ยังเป็นการทำงาน
ของสังขาร..หรือความคิดปรุงแต่ง
..ขั้นที่สอง..เมื่อแปลความแล้ว
ก็นำไปคิดพิจารณาตามคำพูด
หรือบทธรรมที่อ.เขียน ทำให้เกิดความเข้าใจตรงสภาพธรรมมากขึ้น
ปัญญาตรงนี้เรียกว่า"จินตมปัญญา"
ปัญญาขั้นนี้ก็ยังเป็นการทำงานของ
สังขาร..หรือความคิดปรุงแต่ง
..ขั้นที่สาม..เมื่อคิดพิจารณาแล้ว
ก็น้อมเข้ามาใส่ตัว คือน้อมมาดู
ที่กายที่ใจของตนเองในขณะนั้น
ปัญญาที่เกิดจากการน้อมเข้ามาดู
ที่ตัวนี้เรียกว่า"ภาวนามยปัญญา"
ปัญญาขั้นนี้จะเป็นการทำงานของ
ตัวรู้ของจิต ที่อยู่นอกเหนือความคิด
จิตจะเห็นความเป็นจริงในธรรม
ของฝ่ายสังขาร ที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปตามเหตุปัจจัย คือรูปปรุงรูป ธาตุปรุงธาตุ นามปรุงนาม
ความคิดนำสัญญามาปรุงเป็นมายาเรื่องราวต่างๆ เห็นความไม่เที่ยงความไร้ตัวไร้ตนของกายของใจ(ขันธ์ทั้งห้า)
..จิตจึงคลายจากการยึดถือในกาย
ในใจในความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ต่างๆ
จึงรู้สึกถึงความโล่งโปร่งเบาของจิต
..ปัญญาสามระดับนี้ เกิดขึ้นอย่าง
รวดเร็ว โดยไม่มีภาษาใดๆไปบ่งบอก
ว่านี่คือปัญญา..มีเพียงการตระหนักรู้
ที่ร้องอ้อ หรือว้าป คลายแล้วสัมผัส
ปรากฏการณ์ของผลที่เกิดขึ้นแล้ว
คือความว่างโล่งโปร่งสว่างสงบเย็น
ตามสมมุติภาษาที่เทียบเคียงได้นั้นเอง..
..เจริญธรรม..
จิตมี ตัวกู-ของกู มากเหมือน“หมาขี้เรื้อน”
กินอยู่วิเศษอย่างไร ที่ไหน ก็ไม่มีความสุข
.
…. “ ในวันหนึ่งๆ มีทั้งร้อนทั้งเย็น พอมี “ตัวกู-ของกู” ก็ร้อน, พอหมด “ตัวกู-ของกู” ก็เย็น, อย่ามีกิเลสประเภท ตัวกู-ของกู นั่นแหละ มันก็เย็นหรือสบายไปหมด ถ้ามันเหนื่อยแค่กายก็สบายหรือสงบ ไม่มีอะไรจะกินก็ยังสบายใจ สำหรับใจที่มันไม่มี ตัวกู-ของกู
.
จิตที่มี “ตัวกู-ของกู”มาก มันก็เหมือนสุนัขโรคเรื้อน ไม่มีที่ผาสุก จะกินเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มใจได้ คือว่า..มีปัญหาที่ไม่รู้จักอิ่ม มันก็ไม่อิ่มได้ ถึงจะได้กินอย่างไร ได้อยู่อย่างไร ได้นอนอย่างไร ได้อะไรอย่างไร วิเศษอย่างไร มันก็ไม่อิ่มได้ ไม่เย็นได้ นี่..
.... พอไม่มีกิเลสประเภทนี้ มันก็เย็น สงบ สบาย ไปอยู่โคนไม้ก็ยังสบาย อยู่กลางแจ้ง กลางทุ่งนาก็ยังสบาย ถ้ามี ตัวกู-ของกูแล้ว อยู่ในปราสาทมันก็ไม่สบาย”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “ตัวกู ของกู เกิด ก็มีวัฏฏสงสาร ตัวกูดับ ก็มีนิพพาน” เมื่อ ๓ มิถุนายน ๒๕๑๑ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า ธรรมปาฏิโมกข์ เล่ม ๒
ฐานของอวิชชาจริง ๆ คือ อะไร นี่แหละสำคัญ
เพราะเหตุใด เพราะเป็นธรรมที่ละเอียดมาก กิเลสประเภทนี้ละเอียดมาก มักจะสวมรอยให้ผู้ปฎิบัติหลงกลลืมตัว เมื่อเข้าถึงขั้นนั้นแล้ว นั้นแหละ ขั้นที่สำคัญว่าตัววิเศษ ว่าตัวประเสริฐเลิศโลกทั้ง ๆ ที่กำลังเป็นอวิชชาเต็มตัว ไปยกตัวอวิชชานั้นแหละว่าประเสริฐ ว่าเลิศ
มหาสติ มหาปัญญาที่เคยฝึกมาอย่างเกรียงไกรก็กลายเป็นองครักษ์ไปรักษาอวิชชาดวงที่ว่าเลิศประเสริฐ ดวงมีความสง่าผ่าเผย มีความสว่างกระจ่างแจ้ง องอาจกล้าหาญแพรวพราว ไม่มีอะไรเสมอเหมือนไปเสียโดยไม่รู้สึกตัว จึงมีทั้งรักทั้งชอบใจ ทั้งอ้อยอิ่งทั้งสงวนอยู่ในนั้นหมด
นั่นเห็นไหม กิเลสละเอียดขนาดไหน ตั้งแต่ขั้นกายก็ละเอียดพอตัวของมัน ซึ่งแทบล้มแทบตายที่ผู้ปฎิบัติจะผ่านไปได้ กิเลสที่แทรกอยู่กับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เต็มตัวแห่งความละเอียดของมัน
ยิ่งเข้าไปถึงองค์กษัตริย์วัฎจักร ที่พาจิตให้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงในการเกิดการตาย คือตัวอวิชชานี้แท้ ๆ จะไม่ละเอียดครอบโลกธาตุได้อย่างไร แม้ขั้น มหาสติ มหาปัญญา ยังลืมตัวหลงกลไปเป็นองครักษ์รักษาจิตดวงนี้จนได้
คำว่า รักษาจิตดวงนี้คืออะไร คือ มีความรัก ความสงวน ความอ้อยอิ่ง ความติดความพันอยู่ภายในนั้น ไม่ยอมให้อะไรมาแตะต้องได้ เพราะรักมากสงวนมาก
แต่คำว่า สมมติ อวิชชาก็คือสมมติ มหาสติมหาปัญญาซึ่งเป็นสิ่งที่ควรแก่กัน และหมุนตัวอยู่ตลอดเวลา ทำไมจะไม่ทราบความเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลง ความผิดปกติของจิตประเภทที่ว่า อัศจรรย์และเป็นจอมกษัตริย์นั้นได้ในขณะใดขณะหนึ่งเล่า
เพราะจดจ่อ เพราะพิจารณาทั้ง ๆ ที่กำลังรักสงวนและกำลังรักษาอยู่นั้นแหละ หากมีการพินิจพิจารณา มีการสังเกตสอดรู้กันอยุ่ทุกระยะ ๆ ตามนิสัยของสติปัญญาขั้นไม่นอนใจ ไม่นานก็ทราบกลมายาของอวิชชาจนได้ นี่แหละตรงนี้ ตรงที่จะทำลาย
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
จากหนังสือ "เข้าสู่แดนนิพพาน"
ตัวผู้รู้คืออะไร...? ก็คือ ... จิตที่อยู่กับสติ
จิตที่มันมีสติอยู่นั่นแหละ มันมีสติ มีสัมปชัญญะ
มันเกิดร่วมกับจิต ทำงานร่วมกันอยู่ เป็นผู้รู้สภาวะอยู่
ยกตัวอย่างเช่นว่า : กายเคลื่อนไหวแล้ว
ก็มีผู้รู้ไปดูการเคลื่อนไหว มีผู้รู้กำลังไปรู้ถึงการเคลื่อนไหว
นี่เท่ากับว่าความเคลื่อนไหวก็อันหนึ่ง ผู้รู้ก็อี็กอันหนึ่ง
จะต้องระลึกรู้ทั้งสองอันนี้
คือรู้ความเคลื่อนไหว และรู้ตัวผู้รู้ด้วย
ในขณะนั้นๆ ต้องฝึกหัดรู้ ความไหวด้วย รู้ตัวผู้รู้ด้วย
ผู้รู้นั้น กำลังรู้อะไร กำลังรู้ ... ความไหว
เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง
สติที่เกิดขึ้นมาทีหลัง มันก็เป็นผู้รู้เหมือนกัน
แต่มันไปรู้ผู้รู้ ขณะหนึ่งมันไปรู้ความไหว ขณะหนึ่งมารู้ผู้รู้
ก็เหมือนกับมันรู้ตัวมันเอง แต่มันคนละขณะกัน
ผู้รู้อันใหม่มารู้ ผู้รู้อันเมื่อครู่นี้หยกๆ
นี่คือตัวอย่างอันหนึ่ง
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
จิต คือ ผู้รู้
มีผู้ถามว่า การที่จิตวิ่งออกมาไปจับตัวที่ถูกรู้ อาการเช่นนี้ ปฏิบัติได้หรือไม่?
ในการปฏิบัตินั้น หากจิตมีการเคลื่อนออกมา นั้นคือ จิตวิ่งออกมาจากฐานมาเสวยอารมณ์อันเนื่องมาจากเผลอ สติไม่ทัน
แบบนี้ละที่สายดูจิตอื่นพลาดไป เพราะไปตามอารมณ์แล้ว คิดว่านั้นคือการดูจิต
แต่ที่ถูกต้องแล้วหลวงพ่อ
ท่านมีปกติสอนเสมอๆว่า จิตที่จะข้ามภพข้ามชาติได้นั้น จะต้องเป็นจิตหนึ่ง
กล่าวคือ มีตัวรู้อยู่เป็นหนึ่งในอารมณ์เดียว ไม่เป็นสอง
ปกติของปุถุชน มักจิตส่งออกนอก โดยไม่เคยรู้เนื้อรู้ตัวเลย
แต่ผู้ที่ปฏิบัติมาบ้าง มักเผลอสติ ส่งจิตออกนอกโดยไม่ตั้งใจ เนื่องมาจากความไม่รู้นั่นเอง
แท้จริงแล้ว สิ่งที่ถูกรู้นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเผลอสติ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ
นักปฏิบัติโดยมากมักขาดสติ จึงนิยมไปตามสิ่งที่ถูกรู้ จนลืมตัวผู้รู้
แต่ในทางการปฏิบัตินั้น หลวงพ่อเยื้อนท่านสอนลงรายละเอียดมากยิ่งกว่านั้น
กล่าวคือ ทั้งตัวรู้ และถูกรู้ ก็ไม่หมายเอาทั้งคู่
เพราะ ทั้งสองสิ่งนี้ ขนสัตว์โลก พาเวียนเกิดเวียนตายมาแล้ว นับภพนับชาติไม่ได้
ธรรมข้อนี้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยสอนแบบพิสดารว่า...
“ท่านเห็นกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
ท่านเห็นตัวที่อยู่ในกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
หลวงปู้ดูลย์ สรุปความเลยว่า ทั้งตัวที่เห็น และตัวที่ถูกเห็นในกระจกนี่ละตัวเกิด
นิ พ พ า น อ ยู่ ต ร ง ก ล า ง ร ะ ห ว่ า ง ตั ว รู้ กั บ ตั ว ถู ก รู้ นั่นละ”
ดังนั้น สิ่งที่ผู้สนใจปฏิบัติพึงมี คือ ควรพยายามทำจิตให้เป็นหนึ่ง(เอกัคคตารมณ์) ก่อนอันดับแรก เพื่อไม่หลงไหลไปตามสิ่งที่ถูกรู้ ปฏิบัติให้รู้จนมีสติเกิดขึ้นกับตัวรู้จนเด่นชัดด้วยอำนาจของสติ
กล่าวสรุปคือ...
“หากผู้รู้อยู่ไหน ก็ให้มีสติตามไปที่นั้น”
เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติจะพบทางว่า การเรียนรู้จากตัวจิต คือการเรียนรู้จากผู้รู้นี่เอง
เป็นการเรียนลงไปในสิ่งที่เป็นสัจจะ คือของจริงที่มีประจำโลก ไม่เคยหายไปไหน ทั้งพระพุทธเจ้า และหมู่สัตว์ก็มีของจริง คือ จิตดวงนี้เสมอเหมือนกันทุกนาม
การเรียนจากของจริงเช่นว่านั้น ไม่ใช่เรียนจากสิ่งจิตปรุงหลอก หรือที่บางท่านเรียกว่า เงาของจิตนั่นเอง
เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ท่านผู้ปฏิบัติจะค้นพบสัจธรรมอันเป็นความจริงได้เองว่า
ผู้รู้ก็คือ จิต นั่นเอง
ผู้รู้อยู่ที่ใด นั่นก็เรียกได้ว่า จิตก็อยู่ที่นั้นละ
หากเมื่อผุ้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงจิตหนึ่งได้แล้ว
ในขั้นนี้ จิตผู้รู้จะเริ่มทวนเข้าหาจิตเอง เนื่องจากอารมณ์ สังขาร สัญญา ภายนอกออกแล้ว
จิตจะสามารถแตกขันธ์ ออกได้เองว่า สิ่งใดเป็นจิต สิ่งใดเป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้น
แต่ขั้นนี้ เราอาจจะวางไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจิตยังคงไม่มีกำลังในการพิจารณา และวางสิ่งเหล่านั้นลง
แต่จิตจะเริ่มทวนกระแสเข้าไปรับรู้สิ่งต่างๆ โดยสักแต่ว่ารู้ เห็น แล้ววาง
จิตนั้นจะเริ่มเป็นปัจจุบัน เพราะ จะวางสิ่งที่พะรุงพะรัง ไม่กลับหวนนึกถึงอดีต และไม่มีความกังวลกับอนาคต
แต่จิตจะดิ่งไปสู่ปัจจุบัน เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น โดยไม่ยึดถือ
จิตจะวางเอง เพราะเห็นสิ่งที่เป็นจริงแล้ว สิ่งใดที่เป็นเงาของจิต เป็นอารมณ์ เป็นสัญญา เป็นสังขาร ที่รกรุงรัง จิตจะไม่ให้ความสนใจอีก
ดังนั้น ที่ว่าดูจิตๆ บางครั้งนักภาวนามักหลงเข้าไปไปดูอาการของจิต เช่น รู้ว่าโกรธ รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้ว่าดีใจ เสียใจ สิ่งเหล่านี้คือไปรู้สิ่งที่ถูกรู้ทั้งสิ้น ไม่ใช่จิต
เหตุที่เราไปหลงดูเงาในกระจกแบบนี้ ก็เพราะขาดสตินั้นเอง
หากจะกล่าวโดยธรรมดา ก็อาจจะกล่าวได้ว่า จิตเกิดสามารถเกิดนอกฐานที่ตั้งจิตก็ได้ จะไปตั้งที่ไหนก็ได้
แต่เราไม่พึงปฏิบัติเช่นนั้น เพราะจิตเป็นนามธรรม จิตที่สามารถจรไปจรมา นั่นคือ จิตที่วุ่นวาย เร่ร่อน ไม่เป็นหลักเเหล่ง
จิตแบบนี้เองที่ไม่มีกำลัง ไม่สามารถสงบเป็นสมาธิได้ เมื่อไม่มีสมาธิเป็นฐาน ปัญญาก็ไม่เคยเกิด
เหตุที่ต้องสมมติฐานที่ตั้งของจิต ขึ้นมา ก็เพื่อให้ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของจิตนั่นเอง
แต่เหตุที่เราต้องสร้างฐานให้จิตอยู่ทีเดิม ก็เหมือนกับสร้างบ้านให้จิตอยู่ ก็เป็นเสมือนฐานที่ตั้งให้จิตมั่นคง
เป็นการสร้างฐานกำลังของจิตที่เรียกว่าสมาธิ เมื่อเรามีบ้านอยู่หลักแหล่งแล้ว เราจึงเรียกให้ยาม คือ สติสัมปชัญญะ นั่นครับมาเฝ้ารักษาบ้านเราได้
เมื่อจิตไม่เร่ร่อน จนมีความมั่นใจในความปลอดภัย เมื่อนั่น จิตจะตั้งใจเอง โดยไม่ต้องกำหนดใจให้เป็นสมาธิ นี่คือ สมาธิที่แท้จริง
สมาธิที่ต้องเข้าๆออกๆ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ...
สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่เกิดโดยธรรมชาติ ปราศจากความตั้งใจ แต่เป็นภาวะของจิตที่ตั้งมั่น มั่นคงด้วยสติ สติสัมปชัญญะ เป็นสมาธิโดยธรรมชาติ
เหตุผลง่ายๆของการระลึกฐานที่ตั้งของจิต ก็เพื่อ สมมติให้จิตมีที่อยู่ มีที่ตั้งแน่นอน และเป็นเครื่องหมายของการกำหนดสติของเราเท่านั้นเอง
เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว จิตที่ตั้งมั่นอยุ่ในฐานที่ตั้งมั่นของจิต จิตจะมีสติกำหนดจิตอยู่ในฐานที่ตั้งดังกล่าว
หากผูรับฟังสัมผัสทางหู หูก็จะรับหน้าที่รับเสียงไป แต่จิตอยู่ในฐานไม่ออกมารับ หากตาเห็นรูป ตาก็มีหน้าที่รับภาพไป แต่จิตไม่ส่งออกมารับ
ผู้ปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว จะค้นพบว่า จิตมันเหมือนมีชีวิต อีกชีวิตหนึ่งที่ไม่ข้องกับร่างกาย ร่ายกายทำไรๆทำไป แต่ใจก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สนใจ
เมื่อถึงตอนนี้ เราจะแยกออกได้แล้วว่า จิตนั้นมีหน้าที่รับรู้ ส่วนสังขารเค้าก็มีหน้าที่ปรุงแต่ง สัญญาก็มีหน้าที่จำได้หมายรู้
ทุกอย่างทำงานปกติ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับจิต ต่างแยกหน้าที่กันทำ อยู่ด้วยกันแต่ไม่กระทบกัน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากจะกล่าวการเริ่มต้น ก็คงไม่พ้นการกินน้ำเย็น ตามแบบฉบับของหลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
เพื่อให้นักปฏิบัติสามารถกำหนดฐานที่ตั้งของจิตให้ได้ แน่นหนามั่นคง จนกลายเป็นจิตหนึ่งนั่นเอง
ส่วนที่เป็นรายละเอียดต่างๆ นั่น คือ ผลมาจากการที่ผู้รู้สอนเรานั่นเอง
อัศจรรย์ของจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งท้าทายว่า ท่านจงลองมาดูเถิด นับเป็นเวลากว่า 2556 แล้ว บัดนี้ ยังคงทรงพุทธานุภาพไม่เสื่อมสลายไปตามกาล
ธรรมย่อมประจักษ์แจ้งแก่ผู้ลงมือปฏิบัติตตามมรรคผลเสมอ ไม่เสื่อมคลาย...
พระพิศาลศาสนกิจ (พระอาจารย์เยื้อน ขันติพโล)
เจ้าคณะ จังหวัดสุรินทร์ วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
เครดิต เฟสบุ๊ก คณะศิษย์พระอาจารย์เยื้อน
เขมปัญโญคฤหัสถ์ บันทึก
หลักธรรมของหลวงปู่ดูลย์
จิตคิด จิตเกิด จิตไม่คิด จิตไม่เกิด
จิตคิด จิตถูกทำลาย จิตไม่คิด จิตไม่ถูกทำลาย
จิตปรุงแต่ง จิตถูกทำลาย จิตไม่ปรุงแต่ง จิตไม่ถูกทำลาย
จิตแสวงหา จิตถูกทำลาย จิตไม่แสวงหา จิตไม่ถูกทำลาย
จิตปรารถนา จิตถูกทำลาย จิตไม่มีความกำหนัด จิตไม่ถูกทำลาย
ทิ้งหมด รู้หมด ทิ้งหมด ได้หมด
ไม่ทิ้งเลย ไม่รู้เลย ไม่ทิ้งเลย ไม่ได้เลย
ทรงจิตเข้ามรรคจิต แล้วจิตพิจารณาจิต
รู้ธรรมในจิต แล้วถนอมมรรคจิต
จงทำให้ชำนิชำนาญ
จิตอบรมจิต รู้ธรรมภายในจิต แล้วอบรมธรรมในธรรมภายในจิต
ผู้รู้ไม่คิด ผู้คิดยังไม่รู้ รู้แล้วไม่ต้องคิดก็เกิดปัญญา
เอาธรรมมาอบรมธรรม รู้ธรรมในธรรม
เอาธรรมชาติมาปฏิบัติธรรมชาติ ให้รู้ธรรมชาติในธรรมชาติ
เอาธาตุมาปฏิบัติธาตุ ให้รู้ธาตุในธาตุ
เอาธรรมอบรมในธรรม เอาจิตอบรมจิต ให้รู้ธรรมภายในจิต
รู้แล้วละวาง ปล่อยทิ้ง และไม่อาลัย และไม่ยึดมั่นธรรมต่างๆ
ธรรมที่เกิดขึ้นภายในจิต ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว
บาปบุญเปรียบเหมือนมายา เกิดขึ้นแล้วดับ ปล่อยทิ้งทั้งสอง
มีแต่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ้นแห่งความรู้ หุบปากเงียบ อิ่มในธรรม
ธรรมเติมธรรม ไม่มีธรรมนั่นคือธรรม
อย่าปล่อยให้จิตปรุงแต่งมากนัก
ข้อสำคัญ ให้รู้จัก...จิต...ของเราเท่านั้นเอง
เพราะว่าจิตคือ "ตัวหลักธรรม"
นอกจากจิตแล้ว ไม่มีหลักธรรมใดๆเลย
ภาวนามากๆ แล้วจะรู้ถึงความเป็นจริง
เท่านั้นเอง...ไม่มีอะไรมากมาย...มีเท่านั้น
เปล่า...เปล่า...บริสุทธิ์
.
คัดลอกจากหนังสือปลวงปู่ฝากไว้
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล.
เราพิจารณา ให้รู้ชัดเจน และปล่อยวางไว้ตามความจริงของมัน จะสุขก็ให้รู้ตามความจริงของมัน สุขเกิดขึ้น สุขดับไป สุขเป็นไตรลักษณ์ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ดับไป ทุกข์เป็นไตรลักษณ์ รูปเป็นไตรลักษณ์ สัญญาเป็นไตรลักษณ์ สังขารเป็นไตรลักษณ์ วิญญาณเป็น ไตรลักษณ์ ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นความจริงอันหนึ่งๆ
รุ้แล้ว ถอนตัวเข้ามา อยู่เป็นอิสระ อย่าไปยุ่ง อย่าไปแบก ไปหาม นี่เรียกว่า "ปัญญาค้นดูให้เห็นชัดเจน"
เมื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้รอบตัวหมดแล้ว มันไม่ไปไหน สติปัญญาจะหมุนติ้วเข้าไปสู่จิต ตัวลุ่มหลงที่กลมกลืนกับ "อวิชชา" นั่นแหละ นั่นแล บ่อแห่ง "อวิชชา"แท้ บ่อแห่งความเกิดแท้ บ่อแห่งความเปลี่ยนเสื้อ เปลียนแสง เปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติ เปลี่ยนอยู่ที่ตรง "จิต" นั่นแหละ
เอ้า สติปัญญา ค้นเข้าไป ทำลายมัน รังของ "อวิชชา" มันฝังอยู่ในจิตนี้ เมื่อแยกออกได้หมดแล้วด้วยสติปัญญา ทางฝ่ายขันธ์ก็ย้อนเข้าไปถึง "อวิชชา ปัจจะยา สังขารา" อวิชชา ปัจจะยา จริงๆ มันมาจากไหน ใครเป็นอวิชชา? ถ้าไม่ใช่ผู้ที่รู้ ซึ่งเต็มไปด้วยความหลงฝังอยู่ภายในตัวนั้น
ปัญญาสอดแทรกเข้าไป พิจารณาเข้าไปให้เห็นธรรมชาตินี้ คือ อะไรกันแน่? มันก็ไตรลักษณ์ดีๆ นั่นเอง พวกกิเลสตัณหา อวิชชาจะเป็นอะไรไป ให้พิจารณาตรงนี้ ตอนนี้เรียกว่า พิจารณา "จิต" ให้เป็นไตรลักษณ์ เช่นเดียวกันไมผิด ถ้าเราาถือว่าเป็นตนแล้ว ก็เท่ากับเรากินปลาทั้งก้าง หรือกินไก่ทั้งกระดูก กินข้าวทั้งเปลือก โดยไม่เลือกเฟ้น จะเป็นอันตรายแก่ใครเล่า คิดให้ดีก่อนจะกลืนลงไป ไม่งั้นตาย เพราะก้างและกระดูกขวางคอ
ที่ว่าจิตเป็นไตรลักษณ์ตอนนี้ คือ จิตมีส่ิงที่เป็นไตรลักษณ์ครอบงำอยู่นั่นเอง เราจะถือว่าจิตเป็นตนขณะนั้นไมได้ ต้องพิจารณาตรงนั้น ให้เห็นความจริงของไตรลักษณ์ ซึ่งมีอยู่ภายในจิต
เราเห็นแต่ไตรลักษณ์ที่มีอยู่ตาม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่เราต้องการเห็นไตรลักษณ์อันละเอียดแห่ง "สมมุติ" ฝังอยู่ภายในจิต จึงต้องพิจารณา "จิต" เช่นเดียวกับพิจารณาอาการทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เป็นไตรลักษณ์ ดูให้เห็นจริงด้วยสติปัญญา สิ่งที่มันไม่อาจทนทานอยู่ได้ ด้วยอำนาจของปัญญาผู้ทำลาย มันจะสลายตัวลงไป คือจะแตกกระจายลงไป สิ่งที่เป็นความจริงโดยธรรมชาติของตัว สิ่งนั้นจะคงอยู่ เช่น "ผู้รู้"
เมือ่สิ่งจอมปลอมทั้งหลายสลายตัวลงไปแล้ว ผู้รู้นี้จะทรงตัวอยู่ กลายเป็นผู้รู้ที่บริสุทธิ์ขึ้นมา ผู้นี้ ไม่ฉิบหาย ผู้นี้ไม่เป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ก็หมดปัญหาในขณะที่กิเลสอาสวะทั้งหมดสิ้นสุดไปจากใจ
คำว่า "ไตรลักษณ์" ภายในใจจึงหมดไป เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภายนอกก็ตาม ภายในก็ตาม รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ย่อมหมดปัญหาไป เมื่อ "อวิชชา" สิ้นไปจากใจโดยเด็ดขาดแล้ว
เมื่อจิตพ้นจาก "สมมุติ" แล้ว อะไรๆ ก็เป็นความจริงไปตามๆกัน ไม่มีอะไรเป็นปัญหาตอ่ไปอีก เพราะใจไม่สร้างปัญหาให้แก่ตัวเอง เนื่องจากสติปัญญารู้รอบขอบขัดแล้ว
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"จงพยายามเปลี่ยนเสื้อให้ทันสมัยก่อนตาย"