“…อันตัวสติ แปลว่า ตั้งมั่น
ตัวสมาธิ ก็แปลว่า ตั้งมั่นอยู่ในความคิด
คอยจ้องอยู่เหมือนแมวคอยที่จะจับหนูนั้นเอง
พอมันคิดปุ๊บ...เราไม่ต้องไปรู้กับมัน
มันคิดแล้วก็หายไป
หมายถึงว่า เมื่อมีสติเห็น-รู้-เข้าใจอยู่...ความหลงไม่มีเลย
เมื่อความหลงไม่มีแล้ว...โมหะ-โลภะ-โทสะ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้
นี้เรียกว่า ‘นามรูป’
คือ เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ เป็นนามที่มันนึกคิดขึ้น
รู้เท่า-รู้ทัน รู้กัน-รู้แก้...คือตัวสติ นั่นเอง
ศีล แปลว่า ปกติ
จิตใจที่ปกติ นั้นแหละเรียกว่า ศีล
ที่พูดนี้ไม่ได้พูดถึงส่วนร่างกาย จะพูดถึงเรื่องจิตใจ
เมื่อเรามาเห็นอยู่อย่างนี้ อันนี้แหละ ตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญา
ไม่ใช่ไปเจริญสติ-ไปทำสมาธินั่งหลับตา
อันนั้นเอาไว้ก่อน...ไม่ต้องพูดถึง
เรื่องเจริญสติแบบแก้ทุกข์ที่ผมเข้าใจ
พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้จริง ๆ นั้น ไม่ต้องหลับตา
ทำการทำงานทุกวิธีได้
ถ้าหากเราเป็นนักเรียน ไปเรียนหนังสือก็ได้
ถ้าหากเป็นครู ไปสอนนักเรียนก็ได้
ถ้าหากเป็นพ่อบ้าน ทำหน้าที่พ่อบ้านก็ได้
ถ้าหากเป็นแม่บ้าน ทำหน้าที่แม่บ้านก็ได้
ถ้าเป็นลูก เราก็ทำหน้าที่ของลูกได้
ถ้าหากเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน หรือตำรวจ ทหาร
ใคร ๆ ทำหน้าที่การงานของตนได้หมดทุกคน
ทำไมจึงว่าทำได้ ?
เพราะเราไม่ได้นั่งหลับตา
ไปไหนมาไหนก็ได้...แต่ให้เรามองดูจิตใจ
จิตใจนี้ไม่มีตัวไม่มีตน
พอมันคิด...เราเห็น-เรารู้-เราเข้าใจ อันนี้เรียกว่า ‘นาม’
นามมันคิดเป็น ‘รูปคิด’ ขึ้นมา
ที่ ‘เห็น’ นั้น...เป็นนามอีกชั้นหนึ่ง
เป็น ๒ ชั้น เรียกว่า ‘นามรูป’
มันคิดขึ้นเอง...เป็นรูป-รูปความคิด
สมมติอย่างนี้ คิดว่าอยากทำนาฬิกา
นาฬิกาเป็น ‘รูป’
แต่ความคิดมาสร้างให้เป็นนาฬิกาคือรูปนี้ อันนั้นคือ ‘นามรูป’
เข้าไปรู้ความคิดที่มันคิดออกมานั้น เราเรียกว่า ‘นามรูป’
วิธีนี้เรียกว่า ‘เป็นวิธีนามรูป’
อันรูปนามนั้นเป็นอันหนึ่ง นามรูปเป็นอันหนึ่ง...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
------------------------------------------------------------------------------------------------
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว...รู้สึกกาย รู้สึกใจ
(ฝาก)
" อย่าส่งจิตออกนอก " ลองหายใจเข้าออกเบาๆช้าๆยาวๆ เอาใจไว้กับกายกับลมหายใจเราเบาๆสบายๆ จิตที่ตั้งมั่น ย่อมไม่ส่งออกนอกไปให้ค่ากับสิ่งใด เมื่อไม่ให้ค่า มองรูป รูปย่อมหมดค่ากับใจ ความนิ่งสงบจะเกิดได้ง่ายๆครับ อย่าเอาใจไว้ที่รูป ให้เอาใจไว้ที่ตัวเรา จะมองเห็นรูปเป็นเพียงภาพที่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหวใดๆ หมดค่ากับใจเรา
ส่วนการเพ่งไปที่รูปนั้นเป็นการใช้สมถะเข้าไปกดเพ่งเอาไว้ จะทําให้ภาพนิ่งได้เพียงชั่วคร่าวครับ พอกําลังเราอ่อนลง มันจะกลับมามีผลกับใจเราอีก ภาพก็จะขยับอีก นี้หล่ะครับ วิปัสสนานั้นละได้ขาดเพราะเข้าไปเห็นความจริง แต่สมถะนั้นละได้ชั่วคราวเพราะเราไปกดข่มเอาไว้
สิ่งที่เรียกว่าตัวเราประกอบด้วยสองส่วนคือรูปธรรมกับนามธรรม ตัวเรามีรูปธรรมมั้ย ใครมี ใครไม่มี มีมั้ย? ใครไม่มีร่างกาย มีมั้ย? มีมั้ยสัตว์ที่ไม่มีร่างกาย มี พวกอรูปพรหม นามธรรมพวกเรารู้จักมั้ย พวกความรู้สึกนึกคิด พวกความรู้สึก พวกความรับรู้ ความรู้สึกก็คือความรู้สึกสุขความรู้สึกทุกข์ ความรู้สึกเฉยๆ การนึกก็คือ ความจำได้ ความหมายรู้ การคิด คือความปรุงดีปรุงชั่ว ความรับรู้ก็คือตัวจิตตัวใจ คือวิญญาณ ความรับรู้ คือนามธรรม
พวกเรามีความรู้สึก นึก คิด แล้วก็ความรับรู้ ๔ อย่าง เรามีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวอยู่แล้ว เราจะมาเรียนรู้มัน เรามีร่างกายอยู่แล้ว เราจะมาเรียนรู้มัน รวมแล้วเป็น ๕ อย่าง เรียกว่าขันธ์ ๕ เรียนรู้ความจริงของขันธ์ ๕ นั่นแหละเรียกว่าการปฏิบัติธรรม
เรียนรู้ว่าความจริงของขันธ์ ๕ เป็นอย่างไร อะไรเป็นความจริงของขันธ์ ๕ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือความจริงของขันธ์ ๕ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาเรียนให้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอขันธ์ ๕ หรือของสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเรานั่นเอง ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
อะไรก็ไม่เที่ยง รูปก็ไม่เที่ยง นามก็ไม่เที่ยง ดังนั้น การดูรูป หรือ การดูนาม หรือ กายก็ไม่เที่ยง จิตก็ไม่เที่ยง
.
" อะไรก็ไม่เที่ยง สุดท้ายดับหมด แล้วเราจะหลงเข้าไปดูแบบยึดถือทําไม "
.
การดูกาย จึงดูเพียงแค่ รู้สึกตัว รับรู้ แต่ไม่เข้าไปอยู่กับกาย ไม่เข้าไปเพ่งกาย แค่ รับรู้ รู้สึก เพียงพอแล้ว
.
จับหลักตรงนี้ดีดีนะ ไปพลาด แล้วเข้าไปดูต่อ จนเลยการจากรู้กาย รู้สึกตัวด้วยกาย เป็นเลยต่อเข้าไปเพ่งแช่ ยึดอยู่กับกาย ซึ่งเป็นการทําที่ผิด
.
การดูจิตจริงแล้ว จึงดูเพียงแค่รู้ว่าอารมณ์เกิด แต่ไม่จําเป็นต้องตามเข้าไปดูต่อ ไม่ต้องรู้ว่าเป็นอารมณ์อะไรเลย เพราะไม่ว่าอารมณ์อะไร สุดท้ายล้วนดับเหมือนกัน
.
จับหลักตรงนี้ดีดีนะ ไปทําพลาด แล้วเข้าไปดูต่อ จนเลยจากการดูจิต ( จิตมีหน้าที่รับอารมณ์ ) จนเลยต่อเข้าไปดูอารมณ์ที่เป็นตัวเจตสิกแล้ว การดูเจตสิกในผู้เริ่มปฏิบัติ ส่วนมากจะไหลตามอารมณ์จนเข้าไปมีตัวตนกับอารมณ์ เลยจากการดูจิต
.
ส่วนในผู้ที่ปฏิบัติจนชํานาญมากๆ แล้วดูเจตสิกอารมณ์ต่างๆ เห็นรายละเอียดของอารมณ์ จะว่ามีประโยชน์ ก็เพียงแค่รู้สึกตื่นเต้นดี ได้เห็นรายละเอียดของใจ แต่พอเห็นบ่อยๆ ก็รู้ว่าถ้าเพลินก็ติดตรงนี้ได้อีก จึงเห็นว่า ไม่จําเป็นต่้องตามไปดูเจตสิกหรืออามรณ์ทั้งหลาย เพราะสุดท้าย ดับเหมือนกันหมด ตัดออกที่ต้นทางเลย จบเลยดีกว่า
.
เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ผู้ที่ชํานาญแล้วฝึกอย่างอื่นแล้วเจริญ ก็ไม่แปลก เพราะต่างจิตก็ต่างใจ. แต่รายละเอียดหลักต้องใกล้เคียงกันครับ
ทำความรู้สึกตัว ทำความตื่นตัวอยู่เสมอ
รู้ทั้งการเคลื่อนไหวทางรูปกายก็ให้ รู้
และจิตใจมันนึกมันคิดก็ให้ รู้
ทำอย่างนี้แหละ ทำบ่อยๆ
ไปไหนมาไหนก็ทำอย่างนี้บ่อยๆ
ไม่ต้องคิดวิตกกังวลอะไรทั้งหมดเลย
มันคิดมาแล้วก็ปัดทิ้งไปเลย เราอย่าไปรู้กับมัน
อันนี้เป็นวิธีฝึกหัด เมื่อเราฝึกหัด
ความเคยชินมันมีครับ ความเคยชินมันมี
พอดีจิตใจมันไหวตัวขึ้นมา เราจะ รู้ ทันที
เมื่อเรา รู้ ทันทีแล้ว ความคิดมันก็เลยไม่ได้ปรุง
มันก็เลยไม่มีทุกข์
พระธรรมเทศนา หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
“…พอดีเรารู้จักเรื่อง ‘นามรูป’ แล้ว
เราจะรู้จักว่า ‘วัตถุทั้งหลายที่มองเห็นด้วยตา จับถูกด้วยมือ
มันเป็นอาการชนิดหนึ่ง เช่น บ้านเรือน
ก็มีการผุพัง เปลี่ยนแปลงได้’
บัดนี้ วัตถุอันนี้เป็นวัตถุชนิดหนึ่ง...ซึ่งมันมีจริง
วัตถุ แปลว่า มีจริง มีจริง ๆ เห็นจริง ๆ รู้จริง ๆ เข้าใจจริง ๆ
วัตถุ หมายถึง ของจริงที่มีอยู่ มีอยู่หมดทุกคน
อันนี้ชื่อว่าการเขย่าธาตุรู้ของบุคคล...มีอยู่แล้วทุก ๆ คน
แต่เมื่อเราไม่เห็นนั้น ชื่อว่า ‘เราไม่มี เราไม่เข้าใจ’
แต่ความจริงมันมีอยู่แล้ว
เมื่อเราดูอยู่นี้แหละ
เราเห็น ‘อ้อ ! วัตถุ...หมายถึงตัวจริง จิตใจหรือว่าชีวิตก็ตาม’
ปรมัตถ์ (หมายถึง) เรากำลังเห็นความมีอยู่-เป็นอยู่นี้แหละ
มันคิดขึ้นมา ‘อ้อ ! อาการเปลี่ยนแปลงของมันเป็นอย่างนั้น’
ประเดี๋ยวมันคิดเรื่องนั้นขึ้นมา...อันนี้เป็น ‘อาการ’ ของความคิด
‘เอ้อ ! เป็นวัตถุ-เป็นปรมัตถ์-เป็นอาการชนิดหนึ่ง’
เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้แหละ เรียกว่า ‘เราเห็นธรรมชนิดหนึ่ง’
เห็นธรรมแบบนี้เพื่อไปปราบความโลภ-โกรธ-หลง ให้หมดไป
มรรค...มรรคเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์
‘มรรค’ คือ เราเอาสติมาคอยดูความคิด...เป็นข้อปฏิบัติ
คือ เราปฏิบัติอะไรก็ได้ (ทำอะไรอยู่ก็ตาม) คอยดูอยู่อย่างนี้
ไม่ใช่เอามือปฏิบัติ...มือนี้ต้องทำการงานตามหน้าที่ของเรา
แต่ใจนั้น...เราต้องคอยดูตัวความคิด
‘มรรค’ จึงเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์
เมื่อเราเห็นสมุฏฐานของมัน, เรียกว่า(ต้อง)สมมติอีก
คนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ไม่เคยรู้-เห็น
และไม่เคยได้ปฏิบัติ...จะไม่รู้เลย
เราต้องมาว่าสมมติ อุปมาหรือเปรียบเทียบให้ฟังอีก
สมมติคนไม่เคยเห็นวิธีใช้ไฟฟ้า ไปเปิดไฟ
เขาไม่รู้จักวิธีเปิดไฟ...เขาก็ไปจับเอาหลอด
ไปหมุน ๆ อยู่อย่างนั้น หมุนจนตาย...หลอดไฟก็ไม่สว่าง
ตอนนี้ต้องดูให้มันแน่นอนลงไป
(หลอดไฟ)มันไม่ติด
เพราะไม่ใช่สมุฏฐานต้นกำเนิดของไฟอยู่ที่นั่น
คนนั้นเรียกว่า ‘ไม่รู้จักสมุฏฐานของความคิด’
จึงคิดว่า โมหะ-โลภะ-โทสะ มีอยู่เป็นประจำ
พวกนี้จึงว่าไปอย่างนี้
แต่ความจริงคนที่จะรู้ว่า โมหะ-โลภะ-โทสะ ไม่มี
เพราะว่าเราเห็น
บัดนี้ถึงเวลาแล้ว...จะไปติดความสว่าง
(หลอดไฟติด, หลอดไฟสว่าง)
เราไม่ต้องจับหลอดไฟ
ไปจับสวิทซ์ไฟ...มันก็ทำความสว่างที่หลอดโน้น
อันนี้ก็เหมือนกัน ความจริงแล้วเราไม่ต้องไปว่ามัน
ความโกรธ-ความโลภ-ความหลง มันไม่มี...แต่ขอให้เรามีสติ
เมื่อเรามีสติคอยดูจิตใจอยู่...อันตัวสตินี้มันมีอยู่แล้ว
มันมีความตรงกันข้ามอยู่อย่างนี้
เมื่อเรามีสติคอยระมัดระวัง ดูจิตดูใจอยู่
ความจริงแล้วความหลงไม่มี
เมื่อความหลงไม่มี...โทสะจะเกิดขึ้นอย่างไร ?
เกิดขึ้นไม่ได้...เพราะมีสติคุมอยู่แล้ว
(เมื่อความหลงไม่มี)...โลภะจะเกิดมาในรูปใด ?
มาไม่ได้...เพราะปัญญารอบรู้อยู่แล้ว
อันนี้เราเห็นสมุฏฐาน...ต้องปฏิบัติอย่างนี้
เมื่อปฏิบัติอย่างนี้...เราต้องคอยดู ดูมันอย่างนี้แหละ
มันจะเกิดปัญญาแว๊บขึ้นมา
มันจะเกิดความดีใจ ไม่ใช่ใจดีนะ...ดีใจ
แล้วภูมิใจว่าตัวเองรู้ธรรม-เห็นธรรม-เข้าใจธรรมอย่างซาบซึ้ง
ปราบความหลงผิดได้แล้ว...เกิดปิติ
อันปิติอันนี้ มันจะมาชักชวนให้เราลืม
ลืมต้นเหตุสมุฏฐานของความคิด
เมื่อเราไปติดปิติแล้ว...เราลืม
อันนี้ชื่อว่า ‘ถูกน้อย’ เพราะมันจะไปติดตัวปิติ-ความสุขนั้น
มันจะปราบความหลงไม่ได้
ตัวนี้มันยังเป็นการเอาหินทับหญ้าอยู่…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ