การทําสมาธิ ถอดเทปเทศนา หลวงปู่เจือ สุภโร วัดอโศกการาม
เรื่องสมาธินี้ก็มีการสอนโดยทั่วไป
มีด้วยกันหลายวิธีหลายอย่างหลายประการ สำนักหนึ่งก็สอนอย่างหนึ่งสำนักหนึ่งก็สอนอย่างหนึ่ง ต่างๆ กันไป
ก็ไม่ว่ากันละว่าของใครถูก ของใครผิด
ของใครดี ของใครไม่ดี ต่างคนต่างก็เห็น
นี่อาตมาก็อยากจะเสนอความเห็น
เสนอวิธีให้ทุกคนทดลองทำตามดู
ใครจะทำได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไร
ก็จะรู้ได้ด้วยตนของตนเอง
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ขอให้ตั้งใจ
นั่งขยับกายให้ตรง ทำสติที่กายไว้ให้ดี
ตั้งกายให้ตรงๆทำสติให้รวมอยู่ที่กาย
ทดลองทำสมาธิดู ตั้งกายตรงๆ อย่าอิง อย่าเอียง ถ้าไม่อิงได้ก็ดี ถ้าจำเป็นจะต้องอิงก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าอิง
ทำสติที่กาย รวมสติเข้ามาที่กาย แล้วก็หายใจเข้าก็ให้รู้สึก หายใจออกก็ให้รู้สึก ว่าเราหายใจเข้า ว่าเราหายใจออก
ไม่ต้องเอาใจดูลม
ทุกคนให้เข้าใจว่าสติตั้งอยู่ที่กายนี่ และจิตก็ตั้งอยู่ท่ามกลางอกที่กายนี่ แล้วก็นึกถึงภาพท้องฟ้า นึกว่าเรานั่งอยู่ในที่โล่งๆ เหนือศรีษะเรานี่ก็โล่ง ไปถึงท้องฟ้า เมฆหมอกไม่มี มีท้องฟ้าสีขาวโปร่งโล่งอยู่บนนู้น
นึกเอานะ นึกเห็นเอานะ นึกเห็นธรรมดาๆ เห็นลางๆ ที่เรียกว่า มโนภาพหรือจินตนาการ นั่นแหละ นึกธรรมดาๆ อย่านึกว่าเราทำสมาธิ เรานั่งมีสติอยู่กับกาย
แต่เรานึกถึงท้องฟ้า นึกถึงภาพท้องฟ้าเข้า
ผู้ใดเห็นแล้ว ก็เห็นไว้เฉยๆ เบาๆ นึกเบาๆ ทำเบาๆ อย่างธรรมดาๆ เหมือนไม่ได้ทำสมาธิ นึกธรรมดา เฉยๆ
พอเห็นท้องฟ้าได้แล้วก็ เราก็ให้เห็นอยู่อย่างนั้น หายใจเข้าก็นึกพุท พร้อมกับลมหายใจเข้าด้วย หายใจออกก็นึกโธ พร้อมกับลมหายใจออก
พุทโธๆ แปลว่า เบิกบาน
จิตใจเบิกบานกว้างขวาง หมายความว่าอย่างนั้น กว้างขวาง เต็มโลกเต็มท้องฟ้า
จิตมันนิดเดียว นิ้ดเดียว อยู่ท่ามกลางอก
แต่ความรู้ของจิตมันแผ่ไปเต็มโลก
เรียกว่า จิตใหญ่ จิตกว้าง แผ่ไปเต็มท้องฟ้า รู้ทั่วท้องฟ้า
เรียกว่า จิตใหญ่เต็มท้องฟ้า หมายถึงความรู้ของจิตมันใหญ่
จิตคือผู้รู้
จิตอันหนึ่ง ผู้รู้อันหนึ่ง ความรู้อันหนึ่ง จิตอันหนึ่ง
จิตตั้งอยู่ท่ามกลางอก
ความรู้ของจิตแผ่กระจายเต็มโลกเต็มท้องฟ้า
ให้เข้าใจอย่างนี้
จิตของเราไม่ได้ไปที่ท้องฟ้า
จิตของเราไม่ได้ไปเต็มโลก
ความรู้ของจิตเรา มันแผ่ไปเต็มโลก เต็มท้องฟ้า
จิตของเราตั้งอยู่ที่กายนี้
หายใจเข้าก็นึกพุท หายใจออกก็นึกโธ
รวมเข้าหนึ่ง ออกหนึ่ง เป็นพุทโธ
แปลว่าเบิกบาน แปลว่ากว้างขวาง
และก็ให้หมายความรวมเอาธัมโม สังโฆ
เข้าไว้ในพุทโธนั่นด้วย
ทำอยู่อย่างนี้ เบาๆ หลวมๆ ขยายกายให้หลวม ทำจิตใจให้หลวม ให้เบา ให้สบาย
ตั้งใจทำ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
แล้วก็ให้เห็นท้องฟ้า ให้เห็นลางๆ อยู่อย่างนั้น
อย่าไปตั้งใจให้เห็นชัด!!
พอตั้งใจให้เห็นชัด ที่เราเห็นลางๆ อยู่
มันจะหายไปทันที!
มันจะมืดไปทันที!
ถ้าผู้ใดนึกถึงท้องฟ้าแล้วรู้สึกว่ามืด
ก็ดูมืดเฉยอยู่อย่างนั้น นิ่ง เบา
ดูมืด เรารู้สึกว่ามืด ก็คือเราเห็นมืดนั่นเอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่านิมิตทั้งดีและชั่ว
ให้กำหนดไว้ทุกอย่าง
ถ้าเรานึกถึงท้องฟ้า
เราเห็นท้องฟ้าลางๆ นั่นเป็นนิมิตที่ดี
ถ้าเรานึกไปถึงท้องฟ้า รู้สึกว่าท้องฟ้ามืด ก็เรียกว่าเห็นนิมิตชั่ว
นิมิตชั่วนั่นแหละ พระพุทธเจ้าให้กำหนดไว้ เมื่อเรากำหนดไว้เบา เห็นมืดอยู่เบาๆ อยู่อย่างนั้น
มันเบา เบา เบา และนิ่ง เบาด้วย นิ่งด้วย
คือดูนิ่งอยู่ที่เดียวเรียกว่านิ่ง
ดูนิ่งอยู่ที่เดียวด้วย ดูเบาๆด้วย
มีสติห้อมล้อมกายอยู่โดยรอบด้วย
จากนี้ มันเบาพอ นิ่งพอ พอมันเบานิ่ง
ถูกส่วนแล้วก็ ความมืดจะค่อยๆ จางไป
มันจะจางไป เราก็ดูอยู่อย่างเก่า
มันก็จะจางมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น
ปะเดี๋ยวก็จะเห็นท้องฟ้าได้ลางๆ มันเห็นลางๆ
เราก็ดูอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวมันก็จะชัดขึ้น ชัดขึ้น
พอขยายการดูให้เห็นกว้างออก กว้างออก
ความเบา มันก็จะเกิดมากขึ้น
มันเบามากขึ้น มันก็จะเห็นท้องฟ้าชัดขึ้น
ถ้าเราอยากจะเห็นท้องฟ้าชัดเท่านี้
ไอ้ที่เห็นลางๆ มันก็จะลางลงไปอีก
หรือบางทีมันก็มืดไปเลย
มันเห็นลางๆ ก็ดูลางๆ อยู่อย่างนั่นแหละ
ดูให้มันกว้างออก กว้างออก กว้างออก ไปเรื่อยๆ
ถ้ามันยังกว้างไม่ได้ ก็ดูอยู่แค่นั่นก่อน
พอมันกว้างได้สักนิดนึง
ทีหลังเราก็ขยับขยายให้มันกว้างออกไปได้เรื่อยๆ
ความเบา ความสบาย มันก็จะมากขึ้น มากขึ้น
จนเห็นทั่วท้องฟ้า จนเห็นถึงขอบฟ้า จรดดินได้
เห็นถึงขอบฟ้าจดดินได้
สติของเราก็รอบ กว้างขวาง
เหมือนดังที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า
อภิภุยฺย ทิสา สพฺพา อปฺปมาณสมาธินา
ครอบคลุมทิศทั้งปวง ด้วยสมาธิอันหาประมาณมิได้ อย่างนี้
ยถา ปุเร ตถา ปจฺฉา
ยถา ปจฺฉา ตถา ปุเร
ครอบคลุมทิศเบื้องหน้า ฉันใด
คือ สมาธิอันหาประมาณไม่ได้
ก็ครอบคลุมทิศเบื้องหลัง ฉันนั้น
ครอบคลุมทิศเบื้องหลัง ฉันใด
ก็ครอบคลุมทิศเบื้องหน้า ฉันนั้น
นี่เป็นสำนวนคาถาของภาษาบาลี
โดยใจความคือว่า
ครอบคลุมทั้งทิศเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เท่านั้นเอง
แต่กล่าวเป็นคาถา เป็นสำนวน
เหมือนกาพย์กลอนโคลงฉันท์
ก็ใช้ให้เป็นสำนวนไพเราะก็ต้องว่าอย่างนั้น
เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนฉันนั้น
เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างฉันนั้น
ก็หมายความว่า สมาธิแผ่ไปทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง
เบื้องหน้า เบื้องหลัง แล้วก็เบื้องบนเบื้องล่าง
ทั่วหมดทุกทิศ
กลางวันฉันใด กลางคืนฉันนั้น
กลางคืนฉันใด กลางวันฉันนั้น
คือหมายความว่า กลางวันมันสว่าง
เราทำกลางคืนก็ต้องให้สว่างเหมือนกลางวันนั่นด้วย หมายความอย่างนั้น
นี่ สมาธิของเราจะเจริญด้วยอาศัยนิมิต
นิมิตที่ไม่ดีนั่นแหละ นิมิตที่ดำ ที่มืด ที่มันนิ่ง
เรากำหนดไว้ สมาธิของเราก็เจริญ
เมื่อเราเห็นนิมิตนั่นนิ่งอยู่
พอนิมิตนั่นหาย สมาธิของเราก็ล้ม
ถ้าเรายังเห็นอยู่
สมาธิของเราก็ตั้งอยู่ เมื่อเราเห็นอยู่นาน
สมาธิของเราก็ตั้งอยู่นาน
เมื่อสมาธิของเราอยู่นาน สมาธิของเราก็เจริญขึ้น
เพราะงั้นการดูท้องฟ้า การเห็นท้องฟ้าอยู่
ก็เป็นสมาธิอยู่
เมื่อท้องฟ้าหาย สมาธิของเราก็ล้ม เมื่อเรานึกถึงท้องฟ้าอีก เห็นท้องฟ้าอีก
สมาธิของเราก็เกิดขึ้นอีก
แต่เราต้องรู้ว่า จิตของเราอยู่นี่ กายของเราอยู่นี่
ไม่ใช่จิตของเราไปที่ท้องฟ้า อย่าเข้าใจผิดอย่างนั้น
"ความรู้ของจิตมันเห็นท้องฟ้า
เหมือนอย่างตาเรา มองไปเห็นท้องฟ้า
ลูกตาของเราไม่ได้ไปที่ท้องฟ้า
ลูกตาของเรามองเห็นไปถึงท้องฟ้า
ให้เข้าใจอย่างนั้น มันจะไม่เสีย "
สติต้องอยู่ที่กาย จิตต้องตั้งอยู่ที่กาย
แล้วเมื่อเป็นสมาธิแล้ว
อย่าถอดจิตออกไปจากกาย!!
จิตต้องให้อยู่ในกายเป็นนิจ
จึงจะเป็นสัมมาสมาธิ
ถ้าถอดจิตออกไปจากกายเมื่อใด
มันก็ผิดสัมมาสมาธิแล้ว
สัมมาสมาธิต้องเกิดขึ้นพร้อมกับสติปัฏฐาน๔
คือต้องมีสติสัมปัชชัญญะ
ตั้งอยู่ที่กาย ที่จิต ที่เวทนา ที่ธรรม
กายกับจิตจะต้องอยู่ด้วยกัน
จะแยกจิตออกไปจากกายก็เป็นอันผิดทันที
จะต้องมีสติอยู่กับกายกับจิต เพราะแยกจิตออกไปจากกายแล้ว สตินี่มันเป็นอาการระลึกของจิต
มันก็ไม่อยู่ที่กายแล้ว มันก็ไปกับจิต
ถ้าเราถอดจิตออกไปจากกาย
เฉพาะฉะนั้น อย่าถอดจิตออกไปจากกาย
ถ้าเราทำอย่างนี้แล้ว เราเห็นได้อย่างนี้
เราเห็นท้องฟ้าได้ทั่วแล้ว
เราดูไปถึงขอบฟ้าจดดิน ท้องฟ้าของเราก็ไม่หาย
เราดูเห็นขอบฟ้าจดดินรอบดีแล้ว
เราดูแผ่นดินแต่ริมๆ ขอบฟ้าโดยรอบเรื่อยมาถึงที่นั่งของเรา ที่เรากำลังนั่งอยู่ เดินอยู่ ยืนอยู่ นอนอยู่นี้ เห็นได้
เห็นแผ่นดินแต่ริมๆ ขอบฟ้าโดยรอบเรื่อยมาจนถึงที่ ที่เรานั่งอยู่ อย่างนี้แล้ว
ท้องฟ้าก็ไม่หาย ขอบฟ้าจดดินก็ไม่หาย
แผ่นดินเราก็เห็นทั่วอยู่
ทีนี่ เราก็ดูหน้าของเราได้
เราเห็นหน้าของเราทั่วแล้ว หน้าผาก แก้ม คาง
โพรงจมูก เปลือกตา ริมฝีปาก
และใบหูทั้งสองข้าง แล้วก็ดูศรีษะ ท้ายทอย
บ่า ไหล่ หลัง เอว สะโพก ก้น ได้อีก
ดูด้านหลังได้ทั่วแล้ว หน้าของเราก็ไม่หาย
ศรีษะของเราก็ยังเห็นอยู่ ใบหูทั้งสองข้างก็ยังเห็นอยู่
ท้องฟ้าขอบฟ้าแผ่นดิน เราก็ยังเห็นอยู่
เราก็ดูกายด้านหน้าอีก ให้เห็นทั่ว
ตั้งแต่ใต้คาง ที่คอ ที่อก ที่ท้อง ลำตัว ลำแขน ลำขา ตลอดฝ่ามือ ฝ่าเท้า หลังมือหลังเท้า นิ้วมือนิ้วเท้า เล็บมือเล็บเท้า ทุกเล็บได้
เมื่อเราเห็นได้อย่างนี้
สติที่กายของเราก็จะละเอียด เบา
ท้องฟ้าจะโปร่งโล่ง ลมหายใจจะละเอียด เบา
สติที่รู้ลมหายใจก็จะชัดดีขึ้น
ทีนี่ เราก็ดูในรูจมูกอีก
นึกดูสีของลมหายใจเข้าออกในรูจมูก
เราก็จะเห็นสีของลมหายใจ เป็นสีขาวๆ มัวๆ
คล้ายสีหมอก คล้ายไอน้ำ คล้ายควันบุหรี่
คล้ายไอน้ำที่พุ่งจากกระบวยกา
หรือคล้ายกับหมอก เราเดินฝ่าหมอก
เราเห็นหมอก รอบตัวเรา
สีของลมจะเป็นเหมือนอย่างนั้น
ถ้าเราเห็นด้วยสมาธิ
เห็นด้วยตา เราจะไม่เห็น
แต่ด้วยสมาธิเราจะเห็นสีของลมเป็นอย่างนั้น
แล้วเราจะเห็นลมไหล ดูลึกเข้าไป ลึกเข้าไป
ถึงในปาก ในคอ ในอก ในท้อง ถึงไข่ดันทั้งสอง
ไหลไปตามขา ถึงเข่า ถึงเท้า
ถึงออกปลายนิ้วเท้า ทุกนิ้ว เห็นอยู่อย่างนั้น
ท้องฟ้า ขอบฟ้า แผ่นดิน ร่างกาย ก็ยังเห็นอยู่
ลมแต่รูจมูกจนถึงออกปลายนิ้วเท้าก็ยังเห็นอยู่
ดูลมหายใจแยกเข้าไหลทั้งสองข้าง ไหลไปตามแขน
ถึงออกปลายนิ้วมือ ทุกนิ้ว ทั้งสองข้าง
ลมแต่รูจมูกถึงออกปลายนิ้วเท้าก็ยังเห็นอยู่
จึงดูลมแยกขึ้นศรีษะ หายใจเข้ารูจมูก
ส่วนหนึ่งลงปาก ลงคอ ออกปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า
แต่อีกส่วนหนึ่ง มันแยกขึ้นศรีษะ
เต็มทั่วศรีษะ ออกทั่วศรีษะ
ออกทั่วใบหน้า หน้าผาก แก้ม คาง โพรงจมูก
เปลือกตา ริมฝีปาก ใบหู เห็นลมออกทั่วหมด
ดูลมไหลเข้าโคนเส้นผม ไหลไปตามเส้นผม
ออกปลายเส้นผมทุกเส้นผม
ออกท้ายทอย บ่า ไหล่ หลัง
เอว สะโพก ก้นทั้งสองข้าง
เห็นลมหายใจ ออกด้านหลัง ทั่วด้านหลัง
ออกด้านหน้า ทั่วด้านหน้า
ทุกขุมขนหมด
ทำได้อย่างนี้ จะเกิดความเบาสบายมาก
นี่ ดูลมรอบๆ กาย เห็นลมรอบๆ กาย มีอยู่
ดูกว้างออกไป กว้างออกไป
จนเต็มแผ่นดิน เต็มขอบฟ้า เต็มท้องฟ้า ทั่วหมด
จะเกิดความสบายมากขึ้นไปอีก
เกิดความเบามาก ทำอยู่อย่างนี้เนืองๆ
เมื่อทำได้อย่างนี้แล้ว นึกเมื่อไหร่ก็ทำได้
จะนั่งนอนยืนเดินก็ทำได้หมดทุกโอกาส
หลับตา ลืมตา ก็จะทำได้
พูดคุยอยู่ก็จะทำได้
ฟังเขาคุยอยู่ก็จะทำได้
ดูหนังดูละครก็จะทำได้
ดูโทรทัศน์ก็จะทำได้
ตาดูโทรทัศน์ แต่ใจเห็นนิมิตเหล่านี้อยู่
ใจก็จะเป็นสมาธิอยู่
ดูหนังดูละครได้
ไม่หลงไปตามอาการแสดงของหนังละคร ที่แสดงนั้น
กลับจะมองเห็นกิเลสของตัวละครตัวหนังที่แสดงนั้น
ความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัดยินดีต่างๆ
ในการดูหนังดูละครนั้น มันก็จะเกิดขึ้น
การดูหนังดูละครอย่างนั้น
มันก็จะเกิดเป็นบุญ เป็นกุศล เกิดปัญญาได้
ถ้าเราทำสมาธิได้ขนาดที่ว่านี้
ทำอยู่ทุกโอกาสที่เรานึกได้ บุญกุศลก็จะเกิดขึ้น
ปัญญาก็จะเกิดเจริญมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น
ต่อไปวิปัสสนาก็จะเกิดขึ้น จนถึงมรรคผล
เป็นโสดา สกิทาคามี อนาคา
เป็นฆราวาส ก็ถึงอนาคา
จะเป็นพระ เป็นเณร ก็จะถึงอรหันต์ได้
เอาละถึงฆราวาส ก็ถึงอรหันต์ได้
แต่ว่าเมื่อถึงอรหันต์แล้ว
ก็จะมีชีวิตอยู่เป็นฆราวาสได้เพียงเจ็ดวัน
ถ้าเป็นผู้ชายก็บวชพระบวชเณรเสียก่อนเจ็ดวัน
ก็จะอยู่ได้จนถึงอายุขัย
พระพุทธศาสนาแม้จะล่วงกาลผ่านเวลามาช้านาน
ถึง ๒๕๐๐ กว่าปี เช่นนี้ก็ตาม
แต่ว่ามรรคผลนิพพานก็ยังไม่เสื่อม
มรรคผลนิพพานมีอยู่ทุกกาลทุกสมัย
พระพุทธเจ้าจะเกิดก็ตาม ไม่เกิดก็ตาม ก็มีอยู่
แต่ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าไม่เกิด
ไม่มีใครสามารถแสดงอุบายวิธี
ให้เทวดา มนุษย์ ปฏิบัติตามให้ถึงมรรคผลได้
เมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น
จึงมาแสดงอุบายวิธี
ให้เทวดามนุษย์ปฏิบัติถึงมรรคผลได้
บัดนี้คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ยังมีอยู่
คำสอนทั้งปวงเป็นคำสอนที่แสดงอุบายวิธี
ที่จะให้เทวดามนุษย์ได้ปฏิบัติ
ให้ถึงความสิ้นทุกข์ทั้งสิ้น
คำสอนทั้งปวงไม่ได้มีจุดประสงค์อย่างอื่น
ประสงค์เพื่อให้เทวดามนุษย์ได้ปฏิบัติตาม
เพื่อให้ถึงความสิ้นทุกข์
คือให้ถึงมรรคผล
เป็นโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์เป็นที่สุด
สิ้นทุกข์ทั้งปวง
ถึงนิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุขอันเยี่ยมยอด
เป็นนิรันดร ไม่มีระหว่าง เป็นอนันตกาล
ไม่มีการสิ้นสุดเลย
แสดงมาใน ปหานคาถา ก็พอสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการนะฉะนี้
ถอดเทปเทศนา หลวงปู่เจือ สุภโร — ที่ สำนักสงฆ์ หลวงปู่เจือ สุภโร
ภาพ วัดศรีษะทอง จ.นครปฐม