ในเช้าของวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ณ ถ้ำพญานาคราช จ.พังงา
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้โอกาสนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น..
จึงได้ถือโอกาสนี้ กราบนอบน้อมเฝ้าขอ ถึงพระพุทธองค์เป็นที่พึ่ง โปรดเมตตาแสดงธรรม
ชี้ทางบอกทางให้เราทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติตาม
ข้าพระพุทธเจ้า จึงได้กล่าวนอบนอบต่อพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า..
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ลูกทั้งหลาย ได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ เพื่อประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญเพียร
ลูกจะขอถึงพระพุทธองค์ ทรงเมตตาประทานโอวาทแก่ลูกทุกคน เพื่อน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม
เพื่อให้เกิดประโยชน์อันสูงสุดแก่ลูกทั้งหลาย และผู้ที่คอยน้อมอนุโมทนาบุญ
ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมนี้ด้วย ทุกๆท่าน ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า ฯ
พระพุทธองค์ : ดีแล้วหละ พระยาธรรม... เทวดา นาค ทั้งหลาย ทุกดวงจิต ในภพภูมิต่างๆ ต่างก็มาสาธุการ
น้อมยินดี ในการเสด็จมา ในคราวครั้งนี้ ของท่านพระยาธรรมิกราช กัน ทุกดวงจิตที่รู้ข่าว..
ต่างก็มายินดี ปรีดา สมกับความตั้งใจ ในการรอคอยมายาวนาน ที่ลูกทั้งหลายได้เดินทางมา
พระยาธรรมเอย.. นี่กาลเวลาผ่านไป จนถึง 2500 กว่าปี ที่พระพุทธศาสนาได้เกิดขึ้นในอินเดีย
และพระธรรมคำสอนก็ได้เผยแผ่ เผยแพร่ ให้ดวงจิตทั้งหลาย ได้อาศัยในการบำเพ็ญเพียรมาตลอด
สืบทอดกันยาวนานมาและทุกดวงจิตก็ได้สร้างสั่งสมบุญบารมี ตามความรู้ความเข้าใจของตน
เพื่อรอ รอว่า ลูกนั้น จะบังเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ และจะมาโปรดดวงจิต ผู้อยู่ในภูมิต่างๆ
โปรดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนแต่ละดินแดน ที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยการมาของลูก
เพื่อมาต่อยอดในธรรม ที่เป็นทางลัดขึ้นสู่*แดนพระนิพพาน*
และบัดนี้ ลูกได้อุบัติบังเกิดขึ้นแล้ว ธรรมคำสอนได้น้อมลงมาจนชัดเจนแล้ว
ประจักษ์แก่โลกแล้วด้วย*พุทธธรรมกึ่งพุทธกาล* และด้วยหลักสูตรแนวการประพฤติปฏิบัติ ที่ลูกนั้นได้นำมาเผยแผ่
ลูกก็ได้เดินทางจาริกไปยังทิศทางต่างๆ รวบรวมพลังคุณงามความดี และได้ทำพุทธพิธีอันสำคัญ
คือ การสร้างพระธาตุเจดีย์ น้อมอาราธนาบารมีพระมหาจักรพรรดิของจักรวาลนี้ ลงมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อทำการ*เปิดโลก
และลูกก็ได้สั่งสมบารมีมาจนดีและถึงพร้อมแล้ว ควรแก่กาลเวลาที่ลูกนั้น จะต้องจาริกลงสู่ภาคใต้
เพื่อบำเพ็ญธรรมในถ้ำแห่งนี้ เพื่อให้ลูกนั้น ได้โปรดดวงจิตทั้งหลาย
เป็นที่แห่งแรกในการมาจาริก ประพฤติปฏิบัติอยู่ในถ้ำ ในหุบเขา เช่นนี้อย่างนี้ หลังจากที่ทุกอย่างก่อเกิดขึ้น
พระยาธรรมเอย.. และถึงแม้ว่าการประพฤติปฏิบัติของลูกนั้น ยังไม่สามารถที่จะทำให้ตนสมบูรณ์ได้อย่าง 100 %
แต่ธรรมที่ลูกน้อมมา นั้น สมบูรณ์แล้ว 100 %
ฉะนั้น ลูกก็เหลือเพียงแต่การฝึกฝน เรียนรู้ศึกษา ในรอบของ “ธรรมะปฏิบัติ”
ต่อไป.. ก็จะลงสู่สนามของการจาริก ประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง
พระยาธรรมเอย.. และการเดินตามรหัสงานแต่ละจุด ก็จะทำให้ลูกเติบโตขึ้นในความดี
แต่ละจุดแต่ละสิ่งที่ทำ จะเป็นย่างก้าว แต่ละย่างก้าวที่จะพาให้ลูกนั้น ไปถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์
ลูกก็จงตั้งใจรับหน้าที่แห่งตน คือ การประพฤติปฏิบัติตามกิจแห่งตนให้ดีที่สุด
ทั้งกิจส่วนรวม กิจที่อยู่ในใจของตน ที่สมมุติว่า เป็นกิจเฉพาะภายในจิตใจแห่งตน
ประกอบให้ดี ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีให้จงได้ ลูกก็จะถึงซึ่งเส้นชัย
พระยาธรรมเอย ลูกนั้น มิได้กลัวหมู่มารแล้ว ลูกนั้น เดินทางเข้ามาใกล้จุดสำเร็จแล้ว
ลูกก็จงตั้งใจทำทุกอย่างตามหน้าที่ของตนต่อไป
ส่วนอีก 5 คน ที่ติดตามมา ลูกทั้งหลาย ก็จงตั้งใจเชื่อฟังคำสอนสั่ง การชี้ทางบอกทาง จากพระธรรมที่เกิดขึ้นในกึ่งพุทธกาล ซึ่งมีพระยาธรรม และท่านพระศรีอริยะเมตไตรยพุทธเจ้า รวมถึงมีพระแม่ผู้เสด็จ เพื่อที่จะช่วยเหลือกอบกู้ดวงจิตทุกคนให้พ้นทุกข์
และลูกทั้งหลาย ก็ถึงรอบที่ได้เข้ามาปฏิบัติ ถือเป็น 5 คนแรก ที่ได้ร่วมการประพฤติปฏิบัติ
แห่งสำนักพระยาธรรมิกราช ที่ได้ก่อเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว ในที่แห่งนี้
ลูกทั้งหลาย เดินตามรอยพระยาธรรมมา พร้อมจิตใจกัน ตั้งมั่นในสัจบารมี
ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ศึกษาธรรม เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน
ถือเป็นเจตนาที่ดี ถือเป็นความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
เป็นวาสนาบารมี ที่ได้สั่งสมไว้แล้ว ก่อนหน้านี้
จงรักษาความดีของตนให้คงอยู่ สั่งสมความดีให้มากเพิ่มขึ้น
อย่าถอยกลับไปสู่สิ่งที่ต่ำกว่าเดิม
ลูกทั้งหลาย ก็จะสำเร็จ ถึงซึ่ง*เส้นชัยแห่งมรรคผลนิพพาน*
อย่างน้อย ก็ให้ทำให้ถึงเส้นทางแห่งความหลุดพ้น เข้าสู่เขตของความปลอดภัย
ลูกเอ๋ย.. ไม่ไกลนักหรอกลูก ฝึกฝนอีกหน่อย ลูกทั้งหลาย มีทุนมาดีพอควร พอเอาตัวรอดได้
หากใช้สติปัญญา ตรึกตรองพิจารณา ใช้ศีลเป็นเกราะป้องกัน นำพาตนให้เดินต่อ ลูกก็ย่อมถึง
เพราะปัญญาที่มีอยู่ ก็พอจะนำพา และชี้ทางตนไปได้ ลูก
ทุกคนมีใจตั้งมั่น มีสติปัญญาตรึกตรองพิจารณา รู้เข้าใจในธรรม ถือว่าทุกคนมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว
ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร ที่จะไปให้ถึงพระนิพพาน
พระยาธรรมิกราชเอย *จาริกบำเพ็ญธรรม* ในถ้ำแห่งนี้ แทนการก่อเกิดทุกสรรพสิ่งในกึ่งพุทธกาล
และเป็นการมาบำเพ็ญ ก่อนที่จะบรรลุธรรม .....
เป็น *พระพุทธเจ้าน้อย* หรือว่า *อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อย*
เหมือนครั้งสมัยพุทธกาล ที่เรานั้น บำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำ อยู่ในเขา
ทรมานตนฝึกฝนตน พร้อมกับปัญจวัคคีย์ทั้ง 5
เรานั้น ได้ฝึกฝนตน ฝึกฝนทุกอิริยาบถ เพื่อหาทางออกให้เจอ
และเวลาไม่นานต่อจากนั้นไป เราก็ได้ตรัสรู้ที่ใต้ต้นโพธิ์ เป็น*องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า*
ถึงพร้อมด้วยความสว่าง และรู้แจ้ง มากยิ่งกว่าสิ่งใดจะเทียบเท่าบนโลกใบนี้..
และบัดนี้ กาลเวลาหมุนกลับมาถึงกึ่งพุทธกาล *พุทธเจ้าน้อย*บังเกิดขึ้น แสวงหาและเดินตามเส้นทางแห่งตน
จนถึงซึ่งการออกบำเพ็ญ จาริกอยู่ในถ้ำ เพื่อแสวงหาสัจธรรมของทุกสรรพสิ่งให้เปิด
ลูกทั้งหลาย เป็นผู้มาร่วม *เป็นตัวแทนแห่งดวงจิต* ที่ได้รับคัดเลือกมาจากกุศลความดี ที่ได้สร้างสั่งสมไว้แล้ว
ลูกจงตั้งใจเถิดนะ เพราะบัดนี้ พระยาธรรมิกราช
จะเป็นผู้ถึงด้วยธรรมในอีกไม่ช้า อีกไม่นานนักหรอกลูก พระยาธรรมิกราชจะถึงซึ่งความสำเร็จ
* เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อย*
* เป็นผู้มีธรรมอันสูงสุด*
* เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยธรรม*
ลูกทั้งหลาย.. ก็จงตั้งใจบำเพ็ญเพียรตาม รักษาสิทธิของตน อย่าปล่อยให้ตนร่วงสู่จุดที่ต่ำ
แม้จะออกจากพระยาธรรมไป ก็ให้เป็นการไปอย่างสมบูรณ์
แน่นอนหละลูก..ว่า เราไม่ควรยึดติดในตัวครูบาอาจารย์ หรือในบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
แต่เราก็ควรที่จะรักษา ดวงแก้ว ดวงธรรมแห่งความดีของเรา ให้สมบูรณ์ในทุกที่
ฉะนั้น ลูกก็เป็นผู้ที่ถูกส่งเข้ามา เพื่อร่วมฝึกฝนปฏิบัติ ด้วยการวางแนวทางการสร้างบารมีเอาไว้แล้ว
สมบูรณ์ครบถ้วน..จงตั้งใจรักษาศีล ตั้งใจ ฝึกฝนจิตของตน ตามคำชี้ทางบอกทางแห่งพระยาธรรมิกราชเถิดนะ
ลูกก็จะได้สำเร็จตามกันไป ในอีกไม่นาน ในอนาคตอีกไม่ไกลนัก ที่พระยาธรรมิกราช สำเร็จบรรลุธรรม
พระยาธรรมิกราช ก่อเกิดขึ้น แม้ยังไม่สมบูรณ์ด้วยธรรมในตน แต่*สมบูรณ์ด้วยธรรมที่เผยแผ่*
บางสิ่งที่พระยาธรรม ยังต้องฝึกฝนเรียนรู้อยู่ แต่นั่นคือ ในมุมที่พระยาธรรมจะต้องเห็นด้วยตนเอง
และบัดนี้ ธรรมนั้นก็สมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว..
เหลือเพียงแค่ พระยาธรรมนั้น จะต้องฝึกฝนจิตของตนให้สมบูรณ์ตามธรรมเท่านั้น
ต่อจากนี้ไป จึงเริ่มย่างก้าวใหม่ ด้วย “ธรรมะปฏิบัติ”
ลูกเอ๋ย.. สมบูรณ์ สำเร็จครบถ้วนทุกประการได้เมื่อไหร่
ลูกนั้น ก็จะสามารถที่จะเผยแผ่พระธรรม ให้ขยายกว้างไกลออกไปเรื่อยๆ
จงตั้งใจ ทำในสิ่งที่ตนทำ ให้ดีที่สุด ทำพร้อมด้วย *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
ทำไป ให้พิจารณาให้ทะลุถึงเหตุถึงผลที่ทำ หาคำตอบให้เจอในทุกสิ่งที่ตนนั้นเกิดสภาวะ คือการขัดข้องสงสัยในสิ่งเหล่านั้น ให้เจอด้วยตัวของลูกเอง
ใช้จิตที่ตั้งมั่น ใช้ใจที่บริสุทธิ์ สว่างไสว มองดูเหตุกระทบทั้งหลาย..อย่างรู้ตื่น
ฝึกเช่นนี้ ทำเช่นนี้ แล้วลูกทุกคนก็จะสามารถใช้ดวงตาภายใน มองทะลุแจ่มแจ้งในทุกสรรพสิ่ง ด้วยเหตุด้วยผล
เมื่อ รู้เหตุ รู้ผล อยู่บ่อยๆ เสมอๆ .. ลูกก็ย่อมเป็นผู้ไม่มีสิ่งใดบดบัง ติดค้างในความสงสัย
เมื่อเป็นเช่นนั้น.. ลูกก็ย่อมถึงซึ่งการเป็น ผู้ตัดได้ ละได้ วางได้
ถึงซึ่งเส้นชัย แห่งความสุขความสำเร็จสมบูรณ์
เช่นนี้หละ.. พระยาธรรม
บัดนี้ ลูกได้จำเริญรอยตาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นในรูปแบบรอบกึ่งพุทธกาล
ลูกได้ เป็นพุทธเจ้าน้อย ผู้เดินทางจาริก พร้อมด้วยศิษย์ทั้ง 5 คน ที่ถูกคัดเลือกขึ้นมา
เป็นองค์แทนแห่งการประพฤติปฏิบัติแทนสตรีทั้งหลาย.. ผู้จะเข้ามาบวชในสำนักนี้
ที่จะถือบวชใต้ร่มผ้าสีเขียวทอง อยู่ในสำนักแห่งพระยาธรรมิกราช และถึงซึ่งพระนิพพาน
พระยาธรรมเอย ลูกทั้งหลาย ก็พอจะเข้าใจถึงเหตุและผล อนาคตทั้งใกล้และไกล
เข้าใจทั้งอดีตที่ส่งผลมา เข้าใจเหตุทั้งหลายแล้ว
ก็จงตั้งใจประพฤติ บำเพ็ญธรรมต่อไปเถิดนะ
*ธรรมะวาจา* ได้สมบูรณ์แล้ว ลูก
*ธรรมะสัญญา* ก็พอจะเอาตัวรอดได้ พอจะมีจดจำไว้ในตัวสัญญาบ้าง
*ธรรมะปฏิบัติ* จงดำเนินไป ให้ถึงซึ่งความสุขเถิด
พระยาธรรมเอย.. ไม่มีความสุขใดในโลกนี้ จะเสมอเหมือนกับความสุข ที่จิตนั้นหลุดลอย เหนือทุกสรรพสิ่ง เป็นอิสระสมบูรณ์
เช่นนี้หละลูก พอจะเข้าใจแล้วสินะ.. พระยาธรรมเอย
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่ พระพุทธเจ้าค่ะ...สาธุ
พุทธธรรมกฎแห่งกรรม วันที่ 7 ธันวาคม 2562
ตอนที่ 127 **พระพุทธเจ้าน้อยกับปัญจวัคคีย์**
ความจริงเเล้ว จิตใจของเรา ไม่มีทุกข์
มันอยู่ของมัน นิ่งๆ เฉยๆ
อันนี้เเหละพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า นิพพาน
คือ จิตใจเป็นอุเบกขา คำว่า " อุเบกขา " นี้
หมายถึง วางเฉย ทำการทำงานไปตามหน้าที่
จิตเป็นอุเบกขานี่เอง ที่เป็นเหมือนลูกตุ้ม
หรือ สมอเรือ หรือ เบรครถที่จะคอยถ่วงเอาไว้
ให้ภาวะจิตของเราอยู่อย่างสมดุล อยู่ตลอดเวลา
ไม่เอียงหรือหมุนไป ตามกระเเสของทุกข์หรือสุข
เเละจิตใจเช่นนี้เเหละคือ จิตใจที่อยู่เหนือทุกข์เหนือสุข
ไม่ติดอยู่กับดีหรือชั่ว อันนี้เเหละที่เรียกว่าอัพยากตาธรรม
หรือ นิพพาน ดังนั้น นิพพานนั้นจึงอยู่ที่จิตใจของคน
พระธรรมเทศนา หลวงพ่อ เทียน จิตฺตสุโภ
จะรบกวนสอบถามครับ ว่าถ้าเรารู้ว่าใจเราไปคิดเรื่องต่างๆไม่ว่าดีหรือไม่ดี เมื่อเรารู้ตัวว่ากำลังคิด เราควรดึงใจกลับมาอยู่ในอารมณ์ก่อนที่จะหลงไปคิด เพื่อให้ความคิดดับหายลงไป หรือเราแค่รู้ว่ากำลังคิดแล้วไม่ยุ่งอะไรกับความคิด จะคิดต่อหรือไม่คิดก็ไม่ต้องไปยุ่ง แบบไหนถึงเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องครับ
ตอบ:
เมื่อรู้ตัวว่าคิด แสดงว่ามีสติ ความคิดเกิดได้จากการทำงานของจิต สิ่งเดียวที่เห็นการทำงานของจิตได้ คือสภาวะรู้ เมื่อเกิดขึ้นผลคือทำให้เป็นอิสระจากความคิดนั้นได้ ความคิดดับ กลับมาอยู่กับรู้ แค่รู้ แค่รู้สึก... จะคิดต่อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับวิจารณญานของตัวเองจะหยิบยกประเด็นนั้นมาคิดมั้ย ถ้าใช่กระบวนการคิดใหม่นี้จะเป็นการตั้งใจคิด ไม่ใช่เผลอคิดที่เกิดขึ้นมาเอง ไร้เป้าหมายในการคิด เกิดการไหล และหลงจมไปกับความคิด ถ้าเราตั้งใจคิด ความคิดนั้นจะประกอบด้วยสติ มีจุดเริ่มต้น มีกระบวนคิด และความคิดจะจบลงเมื่อเราได้คำตอบ เป็นกระบวนการคิดที่ควบคุมได้ ถ้าเข้าใจเรื่องที่มาของความคิด จะหายสงสัยครับ
(#)หลักการปฏิบัติฯ ...ก็คือระลึกรู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ ..หรือที่พระอาจารย์พูดถึงบ่อยคือ.."รู้ธรรมเฉพาะหน้า"
ก็คือ
(*)ระลึกรู้กายที่เคลื่อนไหว
(*)ระลึกรู้ใจที่เคลื่อนไหว
ในที่นี้ถามถึงเรื่องความคิด..อันนี้เป็นการเคลื่อนไหวของใจ
เราก็แค่ระลึกรู้ว่าใจเราคิด
...ในขณะที่เราระลึกรู้นั้น.แปลว่ามีสติ
ในเบื้องต้นของการปฏิบัติเราอาจจะดึงกลับมาที่ฐานกายก่อนก็ได้ครับ..เพื่อฝึกฐานกายให้มีกำลัง
พอจิตคิดก็แค่รู้ว่าคิด
ไม่ต้องทำอะไรครับ แค่รู้ว่าคิดเฉยๆ มันก็จะตัดการปรุงแต่งที่ยืดยาวออกไปได้ครับ
เราจะเป็นเพียงผู้เห็นกายที่เคลื่อนไหว
เห็นความคิดที่เคลื่อนไหว
เป็นผู้รู้..ผู้เห็น
ไม่ได้เป็นผู้เป็น
ปกติแล้วคนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมจะแยกไม่ได้ ..ตัวเรากับความคิด จะเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่เมื่อฝึกปฏิบัติธรรมแล้ว..จะเห็น 2 สิ่งแยกออกจากกันครับ
Cr. กลุ่มเดินจิต
"ให้รู้ซื่อๆ ตัวรู้ซื่อๆ นี่มันอยู่ตรงกลาง
เวลาใดมันไม่คิดก็รู้อยู่
เวลาใดมันคิดก็รู้
เวลาใดมันทุกข์ก็รู้ เวลาใดมันสุขก็รู้
เวลาใดมันร้อนมันหนาวก็รู้
เวลาใดมันปวดมันเมื่อยก็รู้
คือว่ามันเห็นทั้งข้างนอกข้างใน
นี่เรียกว่าเป็นกลาง
ทำอย่างนี้มันสะดวก เมื่อทำสะดวก
มีโอกาสบรรลุธรรม
เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา
การทำลำบากทั้งเครียดทั้งฟุ้งซ่าน
ไปตะครุบอยู่ทั้งสองอัน
มันก็เลยยาก เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา
ถ้าทำอยู่ตรงกลางก็ยิ้มได้
ภาวะที่เห็นนี่มันเป็นภาวะที่ดูสบาย
มันไม่กระทบกระเทือนอะไร
สิ่งเหล่านี้มันสุขก็เห็นดูซิ
มันทุกข์ก็เห็นดูซิ นี่ล่ะองค์มรรค"
หลวงพ่อคำเขียน
จิตตั้งมั่น
ลักษณะและวิธีฝึกฝนจิต
หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตตั้งมั่นนะ ไม่ใช่จิตสงบ คนละอันกัน แต่ในความตั้งมั่น มีความสงบ สงบจากอะไร สงบจากนิวรณ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่สงบจากอารมณ์ ต้องแยกให้ออกนะที่ว่าสงบๆน่ะ ไม่ใช่สงบจากอารมณ์นะ แต่สงบจากนิวรณ์
อารมณ์มีร้อยอารมณ์ก็ได้ พันอารมณ์ก็ได้ หมื่นอารมณ์ก็ได้ ล้านอารมณ์ก็ได้ แต่จิตนั้นสงบจากนิวรณ์ ไม่ถูกยั่วให้ฟุ้งซ่านไป ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ นี่แหละ สงบแบบตั้งมั่นนะ ไม่ใช่สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียวแบบสมถะ คนละอัน
จิตบางชนิดนะ สมาธิบางชนิดนะ จิตไปสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว อารมณ์เป็นหนึ่งจิตเป็นหนึ่ง นี่คือสมถกรรมฐาน สมาธิอีกชนิดหนึ่งนะ จิตเป็นหนึ่งอารมณ์ล้านอารมณ์ก็ได้ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอด จิตเป็นหนึ่งคือเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดูไม่ฟุ้งซ่านตามอารมณ์ไป แต่ไม่ได้เพ่งตัวจิตไว้นะ ถ้าเพ่งตัวจิตเมื่อไหร่ ตัวจิตจะเปลี่ยนสภาพจากผู้รู้ไปเป็นอารมณ์ทันทีเลย จิตจะแปลสภาพจากจิต คือธรรมชาติที่รู้นะ กลายเป็นอารมณ์คือสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปเพ่งใส่จิตด้วย
เราจะต้องฝึกจนกระทั่งจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู อาศัยสติรู้ทันจิตที่ไหลไป จิตไหลไปดูไหลไปฟังไหลไปคิด ไหลไปเพ่ง ยกตัวอย่างหายใจอยู่ก็ไหลไปอยู่ที่ท้องไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ หรือไหลไปคิดเรื่องอื่นเลย หรือไหลไปคิดเรื่องบริกรรมพองหนอยุบหนออะไรขึ้นมา นี่ไหลไปคิด ให้รู้ทันจิตที่ไหลไปคิด จิตรู้จะเกิด หลวงพ่อเทียนจึงสอนนะว่า เมื่อไรรู้ว่าจิตคิด เมื่อนั้นจะได้ต้นทางของการปฏิบัติ หลวงปู่ดูลย์ก็สอนอันเดียวกันบอกว่า คิดเท่าไรก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ไม่ใช่เป็นวิปัสสนานะ เพิ่งจะตั้งต้นเท่านั้นเอง เพิ่งหลุด หมายถึงหลุดออกจากโลกของความคิด หลังจากนั้นต้องเจริญวิปัสสนาอยู่ดีแหละ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แล้วว่า
"ให้พึงทำความรู้สึกตัว ในการ
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด หลับ ตื่น ฯลฯ"
ที่นี้อยู่ที่เราจะตั้งใจพากเพียรเอาเอง ในเรื่องรู้สึกตัว
อย่ามัวแต่คาดหวัง คาดหมายว่าเป็นอย่างไร ลองดำเนินก่อน
อาจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลของ การรู้สึกตัว
ทรงตรัสอีกว่า" เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร
ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ย่อมละความดำริพล่าน
ที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น"
การมีธรรมเอกนั้นก็คือการมีจิตตั้งมั่นนั่นเอง
เมื่อมีจิตตั้งมั่นแล้วย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง
ตรงนี้เราต้องปฏิบัติให้รู้ได้ด้วยตนเองนะ
อย่ามัวแต่ฟัง อ่านแล้วคิดตามอย่างเดียวนะ
ฝาก
" บางฅนเมื่อมา...ภาวนา
ตอนเย็น ก็นั่งสมาธิ เดินจงกรม
ก็นึกว่า...เขาได้ภาวนาแล้ว
ยังไม่ใช่ เท่านี้
ความเป็นจริงการภาวนา...
คือสติ...ติดต่อก้น ให้เป็นวงกลมตลอดเวลา
ให้มีสติอยู่...สม่ำเสมอ
ให้รู้ ให้เห็น
ให้เห็นอาการ ที่มันเกิดขึ้นมาในจิต...ของเรา
เห็นเกิดขึ้นมา...
อย่าไปยึดมั่น อย่าไปหมายมั่น
ปล่อยมัน
วางมัน ไว้เช่นนั้น
ปฏิบัติเช่นนี้ เร็ว เร็วมาก
มีแต่...เห็นอารมณ์เท่านั้นแหละ
อารมณ์ ที่ชอบ
อารมณ์ ที่ไม่ชอบ
ทุกวันนี้เราทุกฅนน่ะ ไม่รู้จักกิเลสตัณหา
มีฅน ฅนเดียวนั่นละ
ที่มันหลอกตัว(เรา)อยู่ วัน ยังค่ำ
ดูซิ เราเกิดมามีอะไรไหม ?
มีฅน ฅนเดียวนั่นแหละ มันมาให้เรา
หัวเราะ อยู่ที่นี่
ร้องไห้ อยู่ที่นี่
โศกเศร้า อยู่ที่นี่
วุ่นวาย อยู่ที่นี่แหละ มันก็คือฅน ฅนเดียวกัน
ถ้าเรา...
ไม่พิจารณา
ไม่ตามดูแล้ว ยิ่งไม่รู้จักมัน
มันก็เกิดทุกข์อยู่...ตลอดเวลา
(อารมณ์)ได้มา ก็เคยเสียอยู่
(อารมณ์)เสียแล้ว ก็เคยได้มาอยู่
ก็พลอยสุข กับมัน ทุกข์ กับมัน
ยึดมั่น หมายมั่น กับมันตลอดเวลาอยู่ เช่นนี้
เพราะ...ไม่ดูมัน
ไม่ พิจารณา
ของทั้งหลายนี้...
ไม่ได้ อยู่ที่อื่น มันอยู่ที่ ตัวเรา
ถ้าเรา...
พิจารณาที่ตัวเราอยู่ เช่นนี้
เรา จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ของเรา."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)