กาย กิเลส กรรม จิต ความว่าง
ถ้าเกิดว่าเราตายตอนนั้น อารมณ์นั้น เราก็จะไปสู่พระนิพพานได้เลย จะไม่ใช่การหลงในฌานเพราะมันเป็นอารมณ์แห่งการถอดถอนจิตออกจากกิเลสทั้งหมดแล้ว และถ้าเราฝึกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เราก็จะเข้าใจ เข้าใจถึงอารมณ์พระนิพพาน เข้าใจถึงอารมณ์ของกิเลสตัณหา กรรมวิบากต่าง ๆ ว่ามันเป็นแบบไหน เราจะรู้แจ้งเข้าใจในความเป็นจริงของคำว่าเรา เราจะเจอตัวเราที่แท้จริงและมีพลังของเราอย่างแท้จริง เราจะเจอสิ่งที่มันหลอกเราตลอดมา คือกรรมของเราบ้าง กายของเราบ้าง วิญญาณ สังขาร สัญญา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันจะหลอกเราไม่ได้อีกต่อไป
พระยาธรรมเอย กายของเรานี้ จิตของเรานี้ มันซับซ้อนอย่างนี้หละลูก มันโดนทับถมหลายชั้น มันโดนหลอกหลายอย่างว่า มันคือเรา จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เราหรอกลูก เราทิ้งมันไปได้ เรามีแค่เราเดียวเท่านั้น คือดวงจิต เช่นวันนี้ที่ลูกขึ้นมาเข้าเฝ้า ดวงจิตของลูกก็สว่างไสว ลูกก็มาถามคำถามเพื่อจะได้รับคำตอบ แต่ที่ลูกยังรู้สึกสิ่งนั้น สิ่งนี้ คิดเรื่องนั้น เรื่องนี้ ก็เพราะลูกมาแบบไม่ได้ตัดสัญญา ไม่ได้ดับในสิ่งที่เป็นกายที่เชื่อมต่อมาสู่จิตทิ้งไป ลูกก็เลยยังมีความรู้สึกเหล่านั้นเป็นธรรมดา แต่ดวงจิตและตัว ของลูกโดยแท้จริงก็คือคนที่สว่างไสวอยู่บนนี้หละ พอจะเข้าใจอย่างนี้แล้วหรือยังเล่า พระยาธรรมเอย
สาธุเจ้าข้า ลูกพอจะเข้าใจอย่างละเอียดชัดเจนแล้วพระพุทธเจ้าข้า กายนี้ จิตนี้ ไม่ใช่ของคู่กัน เราไปแล้วเราก็ต้องเอาจิตอย่างเดียว ไม่ต้องไปเกี่ยวกับกาย กับวิญญาณ สังขาร สัญญาต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นก็เพราะว่าเรารู้สึกเหล่านั้น และเราก็ไม่ต้องไปสนใจมัน เราสนใจ อย่างเดียวก็คือดวงจิตอันสว่าง เข้าใจอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าข้า กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ไขข้อข้องใจ ให้ลูกหนะเจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ ลูกจะน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติตามนะเจ้าค่ะ สาธุ
พระยาธรรมเอย คนๆ หนึ่งนั้นเขาจะมีสิ่งที่เข้ามาเป็นความคิดให้กับเขานั้นหลายสิ่ง พระยาธรรมเอย จงพิจารณาอย่างนี้เถิดว่า ร่างกายของเรานี้เขาก็มีสมอง คือสังขาร ความคิด ปรุงแต่ง อยู่ในร่างกาย เขาก็มีวิญญาณ คือเวลาได้รับอะไรกระทบเข้ามา ผ่านหู ผ่านตา ผ่านทางผิวหนัง ทางกาย เขาก็จะรู้สึกได้ ความรู้สึกที่ผ่านทางกายคือทางวิญญาณที่อยู่ในกายหน่ะลูก มันกระทบผ่านเข้ามาปุ๊บ ถึงแม้สมองของเราไม่ได้ปรุงแต่ง ตาม เราก็รับรู้อยู่ อย่างนี้ ฉะนั้นมันสิ่งที่มันไม่เกี่ยวกับร่าง ไม่เกี่ยวกับใจหรือจิตใจของเรานั้น ไม่เกี่ยวกับดวงจิตของเรา
พระยาธรรมเอย วิญาณนี่ก็ส่วนหนึ่งแล้ว ที่ลูกบอกว่าเหตุใดเล่า จึงมีความรู้สึกผ่านเข้ามาได้อีก ก็เพราะว่าจิตเชื่อมกับกายอยู่ กายก็มีวิญญาณอยู่ มันก็เลยยังรับรู้สิ่งนั้น สิ่งนี้ ได้ยินเสียง ได้รู้สึกสัมผัส ร้อนเย็นก็ยังรู้สึกทั้งหมดในกายนี้ตามที่วิญญาณที่พาส่งเข้ามา ให้เรารู้สึก ต่อไปก็ยังมีสังขาร สังขารคือความคิดปรุงแต่ง เราก็ยังมีสมองที่อยู่ในกายนี้ เหมือนบางคนที่เขานั้น อาจจะไม่มีความรู้สึกอะไร เกี่ยวกับเรื่องของสมอง ความคิดปรุงแต่ง นอนไม่รู้เรื่อง อันนั้นคือสังขารในร่างกายพังไป เสียไป ทีนี้เมื่อการทำงานในร่างกายบกพร่องไป ก็เลยไม่มีการปรุงแต่งใดในกายนั้น แต่ว่าก็ยังมี สิ่งที่อยู่ในดวงจิตอีก แต่ทีนี้ เราก็มาดูว่า อันที่สองคือจิตมันจะปรุงแต่งได้ก็คือความคิด คือสังขารสิ่งที่มันเกิดขึ้นจากสมองในร่างกายเรา อย่างนี้ ในร่างกายเรา ในสมองเรานี้ มันยังปรุงแต่งได้อยู่มันยังรับรู้สึก สุขทุกข์ มันยังรับรู้อาการทางกายมาปรุงแต่งได้ อยู่ มันก็เลยเป็นอีความรู้สึกหนึ่ง ที่มันจะนึกคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้นอกเหนือจากจิตเรา ไม่เกี่ยวกับจิตเรา
พระยาธรรมเอย นอกเหนือจากสังขารคือตัวปรุงแต่งแล้วนั้น มันก็ยังมีวิญญาณอีก มันก็ยังมีสัญญาอีกตัวหนึ่ง สัญญาคือการที่เรานั้นจดจำ ความจำมั่นหมาย หมายรู้สิ่งนั้น สิ่งนี้ จำอดีตได้ นึกถึงอนาคตได้ว่าเราจำไว้ว่าเราจะไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นต้น ตัวสัญญาก็ยังมีข้อมูลเยอะแยะมากมาย เกี่ยวกับเรื่องนั้น เรื่องนี้ บันทึกเอาไว้ ในสมองของเรานั่นแหละ เก็บเอาไว้ในตัวเราในกายหยาบนี่แหละ ในร่างกายนี้หละ ทีนี้เมื่อเราสงบซักหน่อย สัญญาที่มันอยู่ในตัวของเรามันก็คลายออก มาเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ และตัวสัญญานั้น แหละลูก มันเก็บข้อมูลไว้ได้เยอะกว่าที่เราจะจำ เห็นอยู่ ภายนอกที่เรารู้ว่าอันนั้นคือสิ่งนั้นสิ่งนี้ จริงๆ ตัวสัญญานี่แหละลูก มันเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ เมื่อตอนเด็กจนถึงทุกวันนี้ และมันเก็บได้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเก็บได้เยอะมาก ฉะนั้น ตัวสัญญาที่มันเก็บข้อมูลอยู่ บางทีมันก็ออกมาทำงาน ถ้าเกิดว่าจิตของเรายังสงบไม่พอ เราไม่ได้เอาตนหรือความรู้สึกไปรวมไว้ที่จิตอย่างเดียว หน่ะลูก ถ้าเกิดว่าเรายังรวมอย่างนั้นไม่ได้ ไอ้ตัวสัญญาเรื่องราว ที่มันอยู่ในกล่องสัญญา ที่มันบันทึกเอาไว้มัน ก็ยังออกมาทำงานอยู่ ออกมา ทั้งเรื่องนั้น เรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งที่เราไม่ได้คิดมันก็ออกมาเอง อย่างนี้เป็นต้น
ลูกเอ๋ย นอกเหนือจาก สิ่งเหล่านี้แล้ว กายที่เรียกว่าเป็นกายภายในของเรา กายที่ซ้อนกายนี้อยู่ไม่ใช่จิตจริงๆ จิตก็คือความว่างเปล่า ความมีกับความไม่มีเสมอเหมือนกัน จิตคือแสงสว่าง คือความว่าง ความโล่ง ความเบาสบายอย่างนั้นนะ แต่ว่ากายภายในคือผลของกรรมที่เราทำเอาไว้ในปัจจุบันหรืออดีตที่ผ่านมาไม่นานนั้น ที่เราสั่งสมบุญเอาไว้แล้วก็ส่งผลให้เรามีกายภายใน เป็นกายทิพย์ กายเทพ เทวดา หรือว่าเราทำบาปเอาไว้ แล้วกายนี้ก็เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ของ เปรต ของสัตว์นรก อสูรกาย ผี สัมภเวสีต่าง ๆ ก็คือรูปลักษณ์ ถ้าเกิดเราตายจากกายนี้เมื่อไหร่ กายนั้นก็จะเกิดขึ้นกับเราทันที เหมือนกเราไปจองรถคันใหม่ไว้ ด้วยกรรมของเราทั้งดีและชั่วอย่างงั้นแหละลูก และในกายนั้นเป็นขันธ์ 5 ที่ ซ้อนขันธ์ 5ในกายหยาบนี้อีกทีหนึ่ง เขาก็ยังมีสัมผัสกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สิ่งที่ตามองเห็นในรูปแบบของเขา อย่างเช่นเรานึกถึงเทวดา เทวดาก็ยังมีรูปร่าง รูปลักษณ์ของร่างกายแบบเทวดา ยังมีความต้องการอาหารที่อร่อย ยังมีสุข มีทุกข์ มีเวียงวังบ้านเรือน มีเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ในรูปแบบนั้น เขาก็ยังมีแบบนั้นของเขา ฉะนั้น ก็จะยังมีกายที่ซ้อนกายอีกกายหนึ่ง ที่ซ้อนเข้ามาอยู่ในตัวของเรานี้ อย่างนี้หละพระยาธรรม มันก็เลยทำให้เกิดหลายอารมณ์ได้ เกิดหลายสภาวะแทรกซ้อนกันไปมาได้ ในช่วงระหว่างที่เรานั้นเข้าสู่ฌาน อย่างแท้จริงไม่ได้ เราไม่สามารถสงบอย่างแท้จริง คือเข้าสู่ฌานที่จะสามารถที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป โดยไม่สนใจกับมัน เรายังไม่สามารถไปถึงจุดนั้น เราก็ยังรู้สึกหลายความรู้สึกอยู่ อีกใจหนึ่งก็สงบแล้ว เราดูแล้วจิตเราก็นิ่ง เงียบ สว่าง มีความสุข แต่ว่าทำไมอีกสิ่งหนึ่งที่มันก็คล้าย ๆ กับความรู้สึก ของเรา มันยังคิดเรื่องโน้น เรื่องนี้อยู่ในสมองของเรา มันยังมีเรื่องนั้น เรื่องนี้ ผ่านไปผ่านมา ให้เรารู้สึกว่าไม่ได้คิด ทำไมมันถึงเป็น มันก็ยังมีความรู้สึกผ่านมากระทบทางกาย หนาวบ้าง ร้อนบ้าง และสิ่งเหล่านี้ก็จะคอยส่งสัญญาณ ไปกระทบไปดึงจิตของเรา ให้มาเป็น ให้มันเป็นจิต ถ้าเกิดเราแบ่งแยกจิตออกจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เราก็จะยังคิดอยู่ร่ำไป ว่าเขานั้นเป็นเรา เรานั้นเป็นเขา ก็ยังเอาเขากับเรามาเป็นอันเดียวกัน ทีนี้จิตของเรามันก็สงบได้แป๊ป แป๊ป สงบได้นิดหนึ่งมันก็กลับมายุ่ง วุ่นวายกับไอ้ตัวยุ่งทั้งหลายอีก มันก็จะเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ จนเราไม่สามารถที่จะเข้าสู่สมาธิอย่างแท้จริงได้เลย
และการทำเช่นนี้นั้น หน่ะลูก ก็ยังไม่ใช่แค่การหลบเข้าไปอยู่ในฌาน แต่เป็นการถอดถอนกิเลสด้วย เพราะเราเข้าฌานโดยการ ถอดถอนกาย ถอดถอน สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่าง ๆ ถอดถอนทั้งบุญและบาป คือผลของกรรมที่ส่งผลให้เราเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ถอดถอนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรื่องของกิเลสทิ้งเอาไว้ เราจึงค่อยไป
เขาก็จะสว่างไสว อยู่ในโลกที่มีกับไม่มีเสมอเหมือนกัน
อยู่ในโลกที่สว่าง ไสว เป็นแก้ว ใส ไปพบองค์พระพุทธเจ้า
ไปพบกับดวงแก้ว ดวงธรรม ไปพบกับองค์พระอรหันต์ ไปสู่ดินแดนพระนิพพาน
โดยไม่สนใจสิ่งใด ๆ อย่างนี้แหละพระยาธรรม
เมื่อพลังของเขาเต็ม เต็มโดยไม่มีสิ่งใดดึงให้เขากลับมาอีก
เขาก็จะไม่รับรู้ความสุข ทุกข์ ภายนอกอีก ต่อไป
เขาก็จะทิ้งกาย ทิ้งสัญญา สังขาร วิญญาณ ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปทั้งหมด
เขาก็จะเบาสบาย เขาก็จะล่องลอย ไปสู่ดินแดนแห่งความว่างเปล่า ดินแดนแห่งความพ้นทุกข์
เขาก็จะไปในที่ ๆ มีแต่ดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนเขา
ทีนี้ เมื่อเขาเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุของเขาไปเรื่อย ๆ
โดยเราไม่เอาสิ่งภายนอกทั้งหลาย ที่เป็นกาย เป็นวิญญาณ เป็นสังขาร เป็นสัญญา
สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นไม่เอาไปยุ่งกับเขา ทั้งกายนอก กายใน ตัดมันทิ้งไปหมดแล้ว
เราก็จะเห็นรูปกายที่แท้จริงที่อยู่ในดวงจิตของเรา ที่มันสว่างไสว จนกลายเป็นแก้วที่ใส
แล้วให้จิตของเรานั้นตั้งมั่น อยู่ในดวงแก้วดวงธรรม อยู่ในแสงสว่าง
รับพลังสว่างไสว อย่างเฉย ๆ เบา ๆ
รับแสงพลัง อันขาวนวล ใส ในจิตของเราอย่างเบา ๆ
จนเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ รูปร่างต่าง ๆ เช่นอาจจะเป็นดวงธรรมที่โตขึ้น ๆ
อาจจะเป็นรูปลักษณ์ที่เป็นกายแก้วใส อาจจะเป็น รูปวงรี หรือว่าเป็นดอกบัวแก้ว ใส
จะเป็นรูปลักษณ์แบบไหน ก็ปล่อยเขาไป
ความรับรู้ รู้สึก ที่ผ่านเข้ามาต่าง ๆ มันก็คือเรื่องของวิญญาณ
ทีทำให้เรารับรู้ รู้สึก ว่าสุข ว่าทุกข์ แล้วก็เอามาปรุงแต่ง
ไม่ต้องไปสนใจกับมัน ความคิดปรุงแต่งเราก็ไม่คิดมันแล้ว
สิ่งที่มันอยู่ในความจำของเรา มันออกมาวิ่งวุ่นก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา เราก็ทิ้งมันไปเสีย
กายนี้ก็เป็นเรื่องของโลก เป็นของมีคู่อยู่กับโลก เรารับผลของกรรมเลยมาเกิดอยู่ในกายนี้
กายภายในนั้น ก็เป็นผลของบุญและบาป
แต่เมื่อมันเกิดขึ้น ถึงมันจะสวยงามหรือขี้เหล่ เดี๋ยวมันก็พังไป เสื่อมไป ไม่มีความเที่ยงแท้
แรกๆ เราอาจจะรู้สึกเห็น รู้สึกรู้ รู้สึกรับรู้ได้ แต่ว่าเราไม่ได้สนใจ เราดูดวงแก้ว ดวงธรรม ดวงจิตอันสว่าง ไสว และก็รู้ว่านี่หละคือตัวของเราที่แท้จริง แล้วก็เอาใจเอาความรู้สึกทั้งหมด ไปไว้ที่ตรงนั้นโดยไม่ออกมายุ่งกับสิ่งอื่น ที่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา
แต่เรามุ่งไปสู่เพชรเม็ดงาม ที่สว่างไสว อยู่ในตัวของเรา อยู่ในส่วนลึกข้างใน ที่มันใสสะอาด แล้วก็ไปดูที่ตรงนั้นอย่างปล่อยวาง ดูโดยปราศจากความคิดอันปรุงแต่ง ดูโดยปราศจากกาย ปราศจากความรู้สึกต่าง ๆ ไม่สนใจตรงนั้น
ให้ดูที่จิตของเราอย่างเดียว คือดวงจิตที่สงบแล้ว แม้เราจะเห็นแสงเพียงแค่เล็กน้อย เห็นความสงบโดยไม่เห็นแสง เห็นความเฉย ๆ ว่าง ๆ เท่านั้น ก็ให้เอาความรู้สึกของเราไปไว้ที่ตรงนั้นทั้งหมด เมื่อเราทำเช่นนี้ กายนอก หรือกายในก็ไม่มีผลอะไรต่อเรา เพราะเราไม่เอามันแล้ว เรารู้เท่า รู้ทันมันแล้ว ว่าสิ่งเหล่านั้น มันเป็นสิ่งสมมุติทั้งกายนอกกายใน เหมือนว่าเราเห็นว่าเพชรเม็ดงาม ซ่อนอยู่ใต้ดิน เราเลยไม่สนใจกับดินเหล่านี้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ไม่สนใจมัน เราก็ขุดมันทิ้งไป ๆ โดยไม่กลัวว่ามันจะ แพง ไม่สนใจ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย
เราควรที่จะทำความรู้จักกับดวงจิตของเราให้ดี รู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของเราให้ดี ควรที่จะเริ่มต้นการทำสมาธิโดยการ ถอดถอน ปล่อยวางเรื่องของกาย มันจะเจ็บจะปวด มันจะรับรู้สุขทุกข์ ร้อน หนาว รู้สึกอะไรในกายนี้ ก็ช่างมันไปก่อน เพราะมันเป็นเรื่องของร่างกาย เรายุ่งกับกายนี้มามากพอแล้ว เราปล่อยมันเสีย คลายมันเสีย อย่าพึ่งไปยุ่งกับมัน
ความคิดปรุงแต่ง เราก็วางความคิดทั้งหลายนั้นทิ้งไป ไม่ต้องไปปรุงแต่งมันแล้วเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับกาย เป็นเรื่องของกิเลสตัณหา มันไม่ใช่เรื่องของดวงจิตทิ้งมันไป
สัญญา ความจำ มั่นหมาย หมายรู้ สิ่งนั้น สิ่งนี้ ข้อมูลต่าง ๆ ที่มันอยู่ในสัญญา คือความจำของเรา เราก็ตัดมันทิ้งไปเสีย อย่าไปสนใจมัน อย่าไปจดไปจำว่ามันเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ปล่อยมันไป
สติปัฏฐาน 4 (ดูจิต)
ตอนที่ 103 จิตที่กำลังจะรู้แจ้ง
" จิตใจ
ที่สุดของศีล ที่สุดของสมาธิ ที่สุดของปัญญา
ถ้าขณะใดโลกเข้า ย่ำยี
ขณะนั้น ก็เดือดร้อนตั้งตัวไม่ได้
ระส่ำระสายวุ่นวาย ไปกับอารมณ์ต่าง ๆ
เพราะ...ไม่มีสติ
อำนาจของสติปัญญา ไม่พอ
สู้กำลังของกิเลสที่ผลักดันจิตใจ ให้ฟุ้งซ่านไม่ได้
ความที่จิตจะฟุ้งซ่านไปนั้น
ก็เพราะอาศัยอารมณ์อดีต เป็นสำคัญ
ไปได้เห็น ไปได้ยินสิ่งใดแล้วนำเรื่องนั้น
เข้ามาเป็นอารมณ์ เผาตัวเอง
เพราะ...จิตใจถือสิ่งนั้น เป็นอารมณ์
ถือสิ่งนั้น เป็นงาน
งานนั้น...เป็นไฟ
ผลของงานที่เป็นไฟ ก็เผาผลาญจิตใจ
ให้เกิด ความเดือดร้อน
ขณะไม่มีสติ ย่อมเป็นอย่างนี้ด้วยกัน
ไม่ว่า ฆราวาส
ไม่ว่า นักบวช
ไม่ว่า นักปฏิบัติเรา
ฉะนั้น จงทำความสังเกต สอดรู้ตนอยู่...เสมอ
สมกับเราเป็นผู้รักษา เรา
คือ...รักษาใจ
อย่าให้สิ่งใดมาย่ำยี จิตใจได้
อย่าให้สิ่งใดมารบกวน จิตใจได้
คำว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้มารบกวนนั้น หมายถึง
ใจไปคิดวาดภาพเอาสิ่งนั้น ๆ มาครุ่นคิด
อยู่...ภายในใจ ทำให้ว้าวุ่นขุ่นมัวอยู่ภายใน
ผลก็เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนขึ้นมา
อย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้
เพราะ...เป็นความจริงที่ต้องยอมรับกัน
เมื่อ...มีสติปัญญาคอยกำกับรักษา
คอยขัด คอยขืนคอยต้านทานกันอยู่เสมอ
ใจย่อมปลอดภัย ไร้ทุกข์
เพราะ...มีพี่เลี้ยง
คือ...สติปัญญาตามรักษา
ปกติ เราก็ทราบแล้วว่า
อารมณ์เช่นนั้นเป็นสิ่งไม่ดี ให้ผลเป็นพิษ
เมื่อสัมผัส สัมพันธ์กันอยู่บ่อย ๆจึงต้องอาศัย
การรักษา
การกีดกัน
การต้านทาน
การต่อสู้ กันเรื่อย ๆ
คำว่า ปะทะกันนั้น
คือ มีการต่อสู้ จึงมีการปะทะ
หากจิตใจของเรา เลื่อนลอย
ไม่มี...สติปัญญา
ซึ่งเป็นศาสตราอาวุธอันสำคัญ ไม่มี
คำว่าปะทะ ก็ไม่ปรากฏ
นอกจาก หมอบราบเรียบไปเลย เท่านั้น
ถ้ายังมีปะทะ ก็ยังมีการต่อสู้กัน ทั้งเขาทั้งเรา
ต่อสู้กัน
เช่น ปะทะผู้ก่อการร้าย เป็นต้น
เรียกว่าสู้กัน ต่างคนต่างสู้กัน
ย่อมมีทางแพ้ ทางชนะได้
แต่...
นักปฏิบัติธรรม ไม่ควรให้มีคำว่า...
สู้...ไม่ได้
หรือ แพ้กิเลส
นอกจากชนะไปเป็นพัก ๆ ตอน ๆ
เพื่อก้าวเข้าสู่...แดนชนะ
โดยสิ้นเชิง เท่านั้น."
____________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
หลวงพ่อปราโมทย์ : ครั้งหนึ่งพระเจ้าอยู่หัว ท่านไปเยี่ยมหลวงปู่เทสก์ ท่านถามหลวงปู่เทสก์ บอกว่า หลวงปู่ ที่สุดของศีลคืออะไร ที่สุดของสมาธิคืออะไร ที่สุดของปัญญาคืออะไร
หลวงปู่เทสก์ตอบในหลวงนะ ที่สุดของศีลคือเจตนาวิรัติ เจตนางดเว้นทำชั่ว ที่สุดของสมาธิคืออัปนาสมาธิ ที่สุดของปัญญาคือไตรลักษณ์
ถ้าไม่เห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์ เรียกได้ว่าไม่มีปัญญาจริงหรอก เป็นปัญญาตื้นๆซึ่งไม่พอที่จะต่อสู้กับกิเลส เพราะฉะนั้นที่เราภาวนาเนี่ย ก็เพื่อให้เกิดปัญญา ปัญญาก็คือการเห็นกายเห็นใจตรงตามความเป็นจริงว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ทนอยู่ไม่ได้ เราบังคับไม่ได้ เป็นไตรลักษณ์
พอเห็นตามความเป็นจริงแล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเห็นตามความเป็นจริงจะเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก
เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจทิศทางของการปฏิบัติให้ดี เราไม่ได้ภาวนาเอานิ่งเอาสงบ การนิ่งการสงบเป็นการพักผ่อน เราต้องภาวนาให้เกิดปัญญา เห็นความจริงของกายของใจ อยากเห็นความจริงของกายของใจไม่ใช่คิดเอาเอง ต้องดูความจริง ดูของจริง ว่ากายจริงๆเป็นอย่างไร จิตใจจริงๆเป็นอย่างไร ไปนั่งคิดเอาเองไม่ได้ผลหรอก
การนั่งคิดเอาเองว่าร่างกายเป็นของสกปรกเปื่อยเน่าอะไรอย่างนี้ เสร็จแล้วมันก็ข่มราคะได้ชั่วคราว เดี๋ยวราคะก็เกิดอีก นี้มันเน่านะแต่ตอนนี้มันยังไม่เน่า มันยังสวยอยู่ นี่จะไปอย่างนี้ จะรู้สึกอย่างนี้
แต่ถ้าเราเห็นราคะเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วราคะเบียดเบียนจิตใจ สติรู้ทันราคะดับไปเลย ไม่ต้องไปกังวลว่าจะมีราคะเพราะไปเห็นสาวสวยหรอก การเห็นสาวสวยก็เรามีบุญเราก็ได้เห็นของสวย ช่วยไม่ได้ ใช่มั้ย การที่เราได้เห็นของสวยหรือของไม่สวย มันอยู่ที่วิบาก ทำบุญมาดีเราก็เห็นของสวย เช่น เราเห็นสาวๆสวยๆอะไรอย่างนี้ ก็คนมันมีบุญน่ะ ไม่ใช่เห็นแต่ของน่าเกลียด
แต่ว่าเมื่อเราไปกระทบ นัยน์ตามองเห็นสาวสวยแล้วจิตเกิดราคะ ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เห็นของสวย จิตเกิดราคะแล้วจะทำอย่างไร ถ้าไปพิจารณาสาว ว่าสาวนี้สกปรก ไม่งาม มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ มีรูรั่วใหญ่ๆ ๙ รู มีรูรั่วเล็กๆนับไม่ถ้วน มีของโสโครกไหลออกมาเป็นนิตย์ พิจารณาอย่างนี้ ก็ข่มราคะได้ชั่วคราว อันนี้เรียกว่าสมถกรรมฐาน แต่ถ้าเห็นสาวสวย จิตเกิดราคะ รู้ว่ามีราคะ จิตก็ไม่ใช่เรา ราคะก็ไม่ใช่เรานะ ภาพที่มองเห็นคือสาวก็ไม่ใช่เรา อะไรๆก็ไม่มีเรา อันนี้เรียกว่าเดินวิปัสสนา ถอดถอนความเห็นผิดลงไป มันจะแก้ปัญหาได้ถาวร
เพราะฉะนั้นที่เรามาเรียน ๓ วัน ๔ วัน เรียนเพื่อให้รู้วิธีนะ รู้วิธี เราต้องรู้เป้าหมาย วิธี เป้าหมายของเราก็คือ เราจะต้องรู้กายรู้ใจ จนเห็นความจริงของกายของใจว่าเป็นไตรลักษณ์ จนหมดความยึดถือกายยึดถือใจ จิตก็จะเข้าถึงวิมุติหลุดพ้น เป้าหมายของเรา ส่วนวิธีการก็คือ การเจริญสติปัฏฐาน
การเจริญสติปัฏฐานมี ๒ ส่วน ส่วนที่เป็นสมถะ กับส่วนที่เป็นวิปัสสนา อย่านึกนะว่าทำสติปัฏฐานแล้วจะต้องเป็นวิปัสสนาเสมอไป ถ้ารู้กายถ้ารู้ใจ แต่ไม่เห็นไตรลักษณ์ ไม่เรียกว่าวิปัสสนานะ เป็นสมถะ ถ้าเห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์ถึงจะเป็นวิปัสสนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ที่เราเป็นทุกข์ กังวล ทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็เพราะยังมีคำว่า "เรา"
นั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา ยึดเอาไว้ไม่ปล่อย
แต่สภาวะที่แท้จริงมันไม่มีอะไรเลย...
พระพุทธองค์จึงทรงมาชี้ทางให้รู้ว่า จริงๆแล้ว
**สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มี **
จากคลิปพุทธธรรม
วัดพระพุทธเจ้าศรีเชียงของ
ค ว า ม ส ง บ เ พ ร า ะ ส ม า ธิ ยั ง ไ ม่ แ น่ น อ น
เ สื่ อ ม ไ ด้..
ความสงบแท้ เกิดเมื่อเรารู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จนปล่อยวางยึดมั่นถือมั่น ว่าเรา ว่าของเรา
[ หลวงปู่ชา สุภัทโท ]
__________________________________
มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
สังเกตไหมว่า ถ้าเรารู้สึกอยู่กับปัจจุบัน
อดีต อนาคต ไม่มี เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบันไป
การอยู่กับปัจจุบันเนี่ย อยู่อย่างไม่ยึดถืออะไร
คือไม่ยึดถือปัจจุบัน
อดีต อนาคต มันไม่มี โดยตัวของมันเองอยู่แล้ว
แต่ปัจจุบันซึ่งมีอยู่เนี่ย ก็ไม่มีตัวเราในนี้นะ
อดีตอนาคตไม่ใช่ของจริง
อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึงใช่ไหม
แล้วปัจจุบันเนี่ย อยู่กับความไม่ยึดถืออะไร
เราเห็นว่ามันไม่มีอะไร ดูอย่างนี้
ไม่ใช่ว่ามีเราอยู่หนึ่งขณะจิตในปัจจุบันนะ
ในขณะจิตปัจจุบันเนี่ย
มีแต่รูปธรรมและนามธรรมเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย
แต่ไม่มีเรา ดูอย่างนี้นะ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ตัวแบบ : บททดสอบของมาร
...ตอนที่ ๑๓๙ บททดสอบจากคนใกล้ชิด*****
ผู้ปฏิบัติตนเพื่อหวังความหลุดพ้น แต่มีบุคคลที่เป็นญาติมิตร ที่อยู่ชิดใกล้ เกิดปัญหานั้นปัญหานี้มากมาย ต้องคอยช่วยเหลือคอยแก้ไข อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นมารหรือไม่ พระยาธรรมสงสัยจึงทูลถามต่อพระพุทธองค์(บุญสัมพันธ์ บาปสัมพันธฺ)
พระยาธรรมิกราชได้มองเห็นรูปกาย ของมารทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายใน จึงมีความสงสัยในรูปกายของมาร จึงได้เข้าเฝ้าทูลถามต่อพระพุทธองค์