กระแสการเกิดทุกข์ #กระแสปฏิจจสมุปบาท
.
…. “ปฏิจจสมุปบาท” ปฏิจจ แปลว่า อาศัย อาศัยกัน, สมุปบาท แปลว่า เกิดขึ้น. ปฏิจจสมุปบาท ก็แปลว่า อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันหลายๆอย่างแล้วเกิดอย่างใหม่ขึ้นมาๆ นี้มันก็มุ่งหมายที่จะดูตรงที่มันอาศัยกัน คือมันเนื่องกัน ขันธ์ ๕ นั่นมันแยกเป็นอย่างๆ คล้ายๆ กับว่า ๕ กอง ส่วนปฏิจจสมุปบาทนั้นมี ๑๒ อาการและเนื่องกันที่ปรุงแต่งกัน ปรุงแต่งกัน เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้ เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้ เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้ มันก็เรื่องเดียวกับขันธ์นั่นแหละ หากแต่ว่าเรามามองกันในแง่ที่ว่ามันปรุงแต่งกัน แล้วมันเนื่องกัน เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยากหรือเข้าใจยาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัย พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าคือรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท
…. คืนวันที่ตรัสรู้นั้น คิดค้นแต่เรื่องปฏิจจสมุปบาท และรู้แจ้งแทงตลอดชัดเจนเมื่อหัวรุ่งของวันตรัสรู้ ตามพระบาลีแท้ๆเป็นอย่างนี้ แต่บาลีบางแห่งอธิบายเป็นรู้ยาม ๓ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ, จุตูปปาตญาณ, อาสวักขยญาณ อย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าเนื้อแท้นั้นคือต้นเรื่องปฏิจจสมุปบาทจนรู้, ท่องได้ก็ดี แต่บางคนจะคิดว่ามันเยอะ ป่วยการ มันครึคระ ยืดยาว.
…. ปฏิจจสมุปบาท มันก็คืออายตนะตั้งต้น อายตนะ เช่น ตากับรูปมาถึงกันเข้าก็เรียกว่าจักขุวิญญาณ เมื่อ ๓ อย่างนี้ทํางานอยู่ด้วยกันก็เรียกว่า “ผัสสะ” เพราะมีผัสสะจึงมีเวทนา ออกมาเป็นความรู้สึกพอใจไม่พอใจ เมื่อมีเวทนาแล้วก็มีตัณหา อยากไปตามอํานาจของเวทนาที่มันจะให้อยากอย่างไร ถ้าเป็นบวกมันอยากจะได้ ถ้าเป็นลบมันก็อยากจะฆ่า มันอยากจะทําลาย ถ้าไม่แน่ว่าเป็นบวกหรือลบมันก็ได้แต่สงสัยๆ วิ่งตาม วิ่งวนเวียนอยู่รอบๆ นี่ เวทนาให้เกิดตัณหา
…. พอตัณหามีความอยากเกิดขึ้นในใจ แล้วมันก็โง่ ว่า“กูๆๆ ผู้อยาก” สิ่งที่อยากนั้นคือกู คือตัวกู คือตัวตน เรียกว่า “อุปาทาน”.
…. อุปาทานอย่างนี้เกิดขึ้นในจิตใจแล้ว ก็เรียกว่าความตั้งต้นแห่งความมี“ตัวตน”มันได้เกิดขึ้น เรียกว่า“ภพ” การตั้งต้นแห่งความมีตัวตนออกมาจากอุปาทาน เปรียบเหมือนกับตั้งครรภ์ ตอนนี้ตั้งครรภ์“ภพ”...ภพ...ภวะ นี่ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์แห่งความมีตัวตน แล้วครรภ์มันก็แก่ๆ แก่ๆ พอถึงเวลาหนึ่งมันก็คลอดเรียกว่า“ชาติ” ก็เกิด ตัวกู ของกู ขึ้นมาเต็มที่ มันก็คว้าเอาทั้งหมดทุกอย่างเป็นตัวตน เป็นของตน มันก็ไปคว้าเอา ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อะไรหลายๆอย่าง ทุกอย่างมาเป็นตัวตน มาเป็นของตน มันก็ได้มีความทุกข์ เพราะไปคว้าเอามายึดถือไว้โดยความเป็น“ตัวตน” นี่เรียกว่า “กระแส” ที่มันเนื่องกันๆๆเป็นลูกโซ่ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท.
…. แต่ถ้าจะให้ละเอียดกว่านี้ ก็ต้องตั้งคําถามว่า “อายตนะ ทีแรกมาจากไหนเล่า?” มีอายตนะแล้วมีวิญญาณ มีผัสสะ มีเวทนา มาจากไหน? มันก็ข้ามไป ว่า เพราะมี“อวิชชา”ธาตุแห่งความไม่รู้ อวิชชาธาตุ-ธาตุแห่งความไม่รู้ มีอวิชชาก็มีอํานาจที่จะปรุงแต่งให้เกิดสิ่งใหม่ มันสัปดน มันซุกซน มันจะปรุงแต่งให้เกิดสิ่งใหม่ เพราะมีความโง่ ไม่รู้ในสิ่งทั้งปวง ก็เกิดอาการปรุงแต่งเรียกว่าสังขาร อวิชชาให้เกิดสังขาร การปรุงแต่ง ปรุงแต่งนี้ก็ไปคว้าเอาวิญญาณธาตุตามธรรมชาติมาปรุงแต่งให้เป็นวิญญาณทางอายตนะ พอมีวิญญาณทางอายตนะขึ้นมา ก็เป็นเหตุให้มีครบทั้งกายและใจ คือ นามรูป เพราะมีนามรูปจึงมีอายตนะ ๖ มีอายตนะก็เข้ามาสายเดียวกับที่ว่าตะกี้ เราจะตั้งต้นที่อายตนะไปถึงความทุกข์ก็ได้ มันก็ ๘ หรือ ๙ อย่าง ถ้าจะตั้งต้นที่อวิชชาเรื่อยมา ผ่านอายตนะ ถึงความทุกข์ ก็ได้ มันก็มีอยู่ ๑๒ อย่าง ๑๒ อาการ ๑๒ การปรุงแต่ง นี่เรียกว่าอายตนะ มีอยู่ตลอดเวลา แต่เราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก นี่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท”
.
พุทธทาสภิกขุ
< อวิชชา ๘ >
อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้, ความเขลาไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ท่านมุ่งถึงความไม่รู้ในอริยสัจ มี ๘ อย่าง คือ
๑.ไม่รู้จักทุกข์
๒.ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งทุกข์
๓.ไม่รู้จักทางความดับทุกข์
๔.ไม่รู้จักทางถึงความดับทุกข์
๕.ไม่รู้จักอดีต
๖.ไม่รู้จักอนาคต
๗.ไม่รู้จักทั้งอดีตทั้งอนาคต
๘.ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท
๑.ไม่รู้จักทุกข์ คือ คนส่วนใหญ่เคยประสบกับทุกข์มาทั้งนั้น ทั้งทุกข์ทางกายที่เกิดจากปัจจัยภายนอก ( หนาว, ร้อน, หิว, กระหาย )หรือปัจจัยภายใน ที่เรียกว่า ทุกข์ประจำสังขาร ( ผมหงอก, ฟันหัก, หูพร่า, ตามัว ) และทุกข์ทางใจ ( เสียของรัก จากของชอบ ) แต่ไม่รู้จักทุกข์ตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งทนได้ยาก โดยเริ่มต้นจาก การเกิด แล้วก็ แก่ และสุดท้ายก็ต้องดับไป
๒.ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งทุกข์ คือ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ที่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะส่วนใหญ่มัวแต่โทษว่า สิ่งอื่นหรือผู้อื่นสร้างทุกข์ให้กับตน โดยไม่ยอมเข้าใจว่า ที่เป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เกิดจากตัณหา ความทะยานอยากในใจของตนนั่นเอง
๓.ไม่รู้จักทางความดับทุกข์ คือ เมื่อไม่รู้เหตุผลไม่ยอมรับว่า ตัณหาในจิตใจของตนต่างหากเป็นตัวให้เกิดทุกข์จึงไม่รู้ว่า หากจะดับทุกข์ได้อย่างสนิท ต้องดับตัณหานั้นเสียก่อน ทุกข์ถึงจะดับ
๔.ไม่รู้จักทางถึงความดับทุกข์ คือ ไม่รู้ถึงวิธีการที่จะทำให้ทุกข์ดับไป เพราะไม่รู้ว่าอริยมรรคมึอง ๘ เป็นแนวทางที่ผู้ปฏิบัติตามสามารถดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง
๕.ไม่รู้จักอดีต คือ ไม่รู้ผลชั่วที่ตนได้รับในปัจจุบันนี้ มีสาเหตุมาจากการทำความเลวไม่ดีมาก่อน อาจจะเป็นในอดีตชาติหรือในชาตินี้ คนพวกนี้มักมีความคิดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป เมื่อกรรมตามสนองในปัจจุบันวันนี้ จึงไม่รู้จักสืบสาวหาเหตุการณ์ที่ตนทำผ่านๆมา เรียกว่า ไม่รู้จักเหตุ
๖.ไม่รู้จักอนาคต คือ ไม่รู้ว่าความชั่วที่ตนทำในวันนี้ จะมีผลให้ตนได้รับทุกข์ยากลำบากในวันข้างหน้า คนพวกนี้ไม่เชื่อผลของกรรมว่ามีอยู่จริง จึงไม่สามารถคาดการณ์ถึงผลที่ตนจะต้องได้รับในอนาคต ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง เรียกว่า ไม่รู้จักผล
๗.ไม่รู้จักทั้งอดีตทั้งอนาคต คือ ไม่รู้จักผลชั่วที่ตนได้รับในปัจจุบัน ที่มีสาเหตุจากการทำชั่วแต่ครั้งอดีต แล้วยังตั้งหน้าตั้งตาทำความชั่วต่อไปไม่คิดกลับตัวกลับใจ เพราะถูกความไม่รู้ปิดบังปัญญาไว้ จึงทำให้ไม่เชื่อว่า กรรม และกฎแห่งกรรมมีจริง จึงต้องก้มหน้ารับผลกรรมชั่วต่อไปอย่างไม่รู้จบสิ้น เพราะไม่รู้จักเชื่อมโยงเหตุในอดีตและผลในอนาคตให้สืบเนื่องถึงกัน เรียกว่า ไม่รู้จักเหตุและผล
๘.ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือ ไม่รู้จักความเป็นจริง ว่าสภาวะธรรมต่างๆ เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน เนื่องกันไปเหมือนกับลูกโซ่ ที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นสายฉะนั้น เมื่อไม่รู้เช่นนี้ จึงทำให้ต้องวนเวียนอยู่กับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างไม่รู้จบสิ้น
~~~~~~~~~~~~~~~~~
อ้างอิง:
http://avija8.blogspot.com/2009/10/blog-post.html?m=1
จะเข้าถึงปรมัตถ์ต้องรู้กฏ “อิทัปปัจจยตา”
เป็นกฏอันเฉียบขาดตลอดจักรวาล ตลอดอนันตกาล
.
…. “คําแปลกๆว่า “อิทัปปัจจยตา” นั้น ขอให้ช่วยสนใจกันหน่อย เพราะไม่ค่อยเอามาพูดกันเป็นกฎของธรรมชาติว่า มันต้องเป็นอย่างนี้ๆ อย่างนี้ เพราะเหตุปัจจัยอย่างนี้ ๆ สิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น, สิ่งนี้มี เพราะเหตุปัจจัยนี้มี, สิ่งนี้มี เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้มี เพราะสิ่งนี้มี นี่มันเป็นกฏตลอดจักรวาล ตลอดอนันตกาล เรียกว่า กฏอิทัปปัจจยตา
…. ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวอะไรทั้งหลาย ทั้งสากลจักรวาล มันเกิดขึ้นมาตามกฎของ “อิทัปปัจจยตา” : เมื่อทําอย่างนี้ อย่างนี้จะต้องเกิดขึ้น, ทําอย่างนี้ อย่างนี้มันต้องเกิดขึ้น, ทําอย่างนี้ อย่างนี้มันก็เป็นความทุกข์เกิดขึ้น, ทําอย่างนี้ อย่างนี้เป็นความดับทุกข์เกิดขึ้น. นี้เป็นปรมัตถ์สูงสุด ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล, ไม่มีพระเจ้าที่เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล, มีแต่พระเจ้าที่เป็นกฏอันเฉียบขาดของธรรมชาติ, เข้าถึงกฏอิทัปปัจจยตาแล้วก็เข้าถึงปรมัตถธรรมอย่างยิ่ง
…. พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็คือ ตรัสรู้เรื่องนี้, ท่านตรัสรู้เรื่อง “อิทัปปัจจยตา” ; แต่เรามักจะเรียกกันเสียว่า “ปฏิจจสมุปบาท” เป็นความหมายแคบเฉพาะเรื่องความทุกข์ของสิ่งที่มีชีวิต แต่ถ้าเราพูดว่า “อิทัปปัจจยตา” ความหมายมันกว้างหมดเลย จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอะไรก็ตาม มันตกอยู่ใต้อํานาจของกฎที่ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี. ปรมัตถธรรมจะนําไปที่นั่น ไม่มีทางที่จะผิด คือว่ามันจะไม่เป็นฝ่ายบวกหรือฝ่ายลบ ไม่เป็น positiveไม่เป็น negative มันเป็นสายกลางของมันไปอย่างนั้น, นี่ เรียกว่ากฎของธรรมชาติแท้ๆ
…. ถ้าว่า “บวก” มันก็มีคน หรือตายแล้วเกิด เป็นต้น : ถ้า “ลบ” มันก็ไม่มีคน ตายแล้วไม่เกิด เป็นต้น. แต่ว่ากฎ “อิทัปปัจจยตา” มันมีแต่สิ่งนี้ซึ่งเป็นไปอย่างนี้ เป็นไปอย่างนี้ เป็นไปอย่างนี้ แล้วคนเขาก็ไปบัญญัติเอาเองว่า นี้เป็นสุข นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นได้ นี้เป็นเสีย, นี้เป็นแพ้ นี้เป็นชนะ, นี้เป็นกําไร นี้เป็นขาดทุน. นั้นมันความโง่ของคนต่างหากล่ะ กฎของอิทัปปัจจยตาเขามีตายตัวเฉียบขาดตามธรรมชาติ
…. ความรู้ปรมัตถ์ต้องไปถึงนั่น รู้จนไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล, ไม่ใช่สัตว์ บุคคล, แล้วก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล : คือ ไม่ได้ปฏิเสธจนไม่มีอะไรเลย, แล้วก็ไม่ได้ยืนยันว่ามีอะไรอยู่อย่างตายตัว, มีแต่กระแสของความเปลี่ยนแปลงปรุงแต่ง. ถ้ามาถึงนี่แล้วก็เรียกว่า “รู้อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านรู้ แล้วก็ดับทุกข์ได้” เป็นสิ่งสูงสุดที่ต้องเคารพ คือกฎของ “อิทัปปัจจยตา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาคอาสาฬหบูชา ชุด “ฟ้าสางระหว่าง ๕๐ ปีที่มีสวนโมกข์” ครั้งที่ ๑๙ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ณ ศาลามหานาวา สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จากหนังสือ “ธรรมานุภาพ”
ปฏิจจสมุปบาท กับ อริยสัจ
เป็น...เรื่องเดียวกัน
ไม่เคยมีใครสอนเรื่องนี้
แม้ในอินเดียก็สอนอย่างอื่น
.
…. “เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท กับเรื่อง อริยสัจ น่ะ มันเรื่องเดียวกัน ความทุกข์เป็นอย่างนี้ คือไม่น่าปรารถนา อริยสัจก็บอกสั้นๆว่ามันเกิดมาจาก“ตัณหา” แต่ถ้าจะต่อให้ถูกต้อง มันเกิดมาจากกระแสปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายผิด ฝ่ายโง่ (สมุทยวาร) มันมีตัณหารวมอยู่ในกระแสนั้นด้วย เมื่อตะกี้ก็พูดแล้ว มีอายตนะ มีวิญญาณ มีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา แล้วจึงมีอุปาทาน มีภพ มีชาติ มันมีตัณหาอยู่เป็นแกนกลางของปฏิจจสมุปบาท
…. ฉะนั้น อริยสัจ ในส่วน ทุกข์ กับ สมุทัย ก็คือ ปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายสมุทยวาร เต็ม เต็มที่,
…. อริยสัจ ฝ่ายดับทุกข์ ทุกข์กับนิโรธ ก็คือ ปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายนิโรธวาร เต็มที่ มีสติคุมอายตนะ มีวิญญาณฉลาด มีผัสสะฉลาด มีเวทนาฉลาด แล้วก็ไม่เกิดตัณหา ไม่เกิดทุกข์ ฝ่ายนี้เรียก “ฝ่ายดับทุกข์”
.
ชีวิตเป็นเพียง “กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท”
ที่นี้ ที่จะทําให้เป็นอย่างนั้นได้น่ะ ทําอย่างไร ก็ตอบสั้นๆนี้ ก็ด้วยสติ สัมปชัญญะ ถ้าตอบให้ยาวก็ตอบว่ามี อริยมรรคมีองค์ ๘ มรรคมีองค์ ๘ รวมสติ สัมปชัญญะ ปัญญา สมาธิ อยู่ที่นั่น ก็เรื่องเดียวกันแท้ แต่ว่าพูดกันคนละแง่ พูดกันคนละฝ่าย เพื่อให้มันเข้าใจง่ายไปตามกรณีที่จะต้องพูด ฉะนั้น การรู้เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ก็คือการรู้เรื่อง อริยสัจ ฉะนั้น ขอให้มองเห็นความสําคัญของเรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องเต็ม เรียกเต็มที่ว่า “อิทัปปัจยตาปฏิจจสมุปบาท”
.
…. ไม่เคยมีใครสอนเรื่องนี้แม้ในอินเดีย เขาสอนกันอย่างอื่น ความทุกข์เกิดจากอย่างอื่น เกิดจากพระเป็นเจ้า เกิดจากอะไรก็ไม่รู้ ตามใจเขา แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องความทุกข์มันเกิดมาจากอวิชชา ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท กําจัดอวิชชาเสีย กระแสปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่จะเกิดทุกข์มันก็เป็นไปไม่ได้ มันกลับเกิดฝ่ายที่เป็นวิชชา เป็นความถูกต้อง แล้วมันก็ดับทุกข์ขึ้นมาแทน”
.
พุทธทาสภิกขุ
จะเข้าถึงปรมัตถ์ต้องรู้กฏ “อิทัปปัจจยตา”
เป็นกฏอันเฉียบขาดตลอดจักรวาล ตลอดอนันตกาล
.
…. “คําแปลกๆว่า “อิทัปปัจจยตา” นั้น ขอให้ช่วยสนใจกันหน่อย เพราะไม่ค่อยเอามาพูดกันเป็นกฎของธรรมชาติว่า มันต้องเป็นอย่างนี้ๆ อย่างนี้ เพราะเหตุปัจจัยอย่างนี้ ๆ สิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น, สิ่งนี้มี เพราะเหตุปัจจัยนี้มี, สิ่งนี้มี เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้มี เพราะสิ่งนี้มี นี่มันเป็นกฏตลอดจักรวาล ตลอดอนันตกาล เรียกว่า กฏอิทัปปัจจยตา
…. ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวอะไรทั้งหลาย ทั้งสากลจักรวาล มันเกิดขึ้นมาตามกฎของ “อิทัปปัจจยตา” : เมื่อทําอย่างนี้ อย่างนี้จะต้องเกิดขึ้น, ทําอย่างนี้ อย่างนี้มันต้องเกิดขึ้น, ทําอย่างนี้ อย่างนี้มันก็เป็นความทุกข์เกิดขึ้น, ทําอย่างนี้ อย่างนี้เป็นความดับทุกข์เกิดขึ้น. นี้เป็นปรมัตถ์สูงสุด ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล, ไม่มีพระเจ้าที่เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล, มีแต่พระเจ้าที่เป็นกฏอันเฉียบขาดของธรรมชาติ, เข้าถึงกฏอิทัปปัจจยตาแล้วก็เข้าถึงปรมัตถธรรมอย่างยิ่ง
…. พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็คือ ตรัสรู้เรื่องนี้, ท่านตรัสรู้เรื่อง “อิทัปปัจจยตา” ; แต่เรามักจะเรียกกันเสียว่า “ปฏิจจสมุปบาท” เป็นความหมายแคบเฉพาะเรื่องความทุกข์ของสิ่งที่มีชีวิต แต่ถ้าเราพูดว่า “อิทัปปัจจยตา” ความหมายมันกว้างหมดเลย จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอะไรก็ตาม มันตกอยู่ใต้อํานาจของกฎที่ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี. ปรมัตถธรรมจะนําไปที่นั่น ไม่มีทางที่จะผิด คือว่ามันจะไม่เป็นฝ่ายบวกหรือฝ่ายลบ ไม่เป็น positiveไม่เป็น negative มันเป็นสายกลางของมันไปอย่างนั้น, นี่ เรียกว่ากฎของธรรมชาติแท้ๆ
…. ถ้าว่า “บวก” มันก็มีคน หรือตายแล้วเกิด เป็นต้น : ถ้า “ลบ” มันก็ไม่มีคน ตายแล้วไม่เกิด เป็นต้น. แต่ว่ากฎ “อิทัปปัจจยตา” มันมีแต่สิ่งนี้ซึ่งเป็นไปอย่างนี้ เป็นไปอย่างนี้ เป็นไปอย่างนี้ แล้วคนเขาก็ไปบัญญัติเอาเองว่า นี้เป็นสุข นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นได้ นี้เป็นเสีย, นี้เป็นแพ้ นี้เป็นชนะ, นี้เป็นกําไร นี้เป็นขาดทุน. นั้นมันความโง่ของคนต่างหากล่ะ กฎของอิทัปปัจจยตาเขามีตายตัวเฉียบขาดตามธรรมชาติ
…. ความรู้ปรมัตถ์ต้องไปถึงนั่น รู้จนไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล, ไม่ใช่สัตว์ บุคคล, แล้วก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล : คือ ไม่ได้ปฏิเสธจนไม่มีอะไรเลย, แล้วก็ไม่ได้ยืนยันว่ามีอะไรอยู่อย่างตายตัว, มีแต่กระแสของความเปลี่ยนแปลงปรุงแต่ง. ถ้ามาถึงนี่แล้วก็เรียกว่า “รู้อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านรู้ แล้วก็ดับทุกข์ได้” เป็นสิ่งสูงสุดที่ต้องเคารพ คือกฎของ “อิทัปปัจจยตา”
.
พุทธทาสภิกขุ
“ตถตา” แปลว่า ความเป็นเช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเอง...
“ตถตา” มีความหมายว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ มันเป็นอย่างนี้เอง
หรือว่ามันเป็น "อิทัปปัจจยตา" คือ เพราะมีสิ่งนี้ ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น เพราะไม่มีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงดับลง.
ทุกสิ่งแสดงความเป็น"เช่นนั้นเอง"อยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าใจ
"ตถตา" นี้สำคัญมาก ถ้าเห็นแล้วปุถุชนก็จะกลายเป็นพระอริยเจ้า เพราะถ้าเห็นแล้วก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆในโลก โดยความเป็นตัวตน หรือโดยความเป็น "ตัวกู-ของกู"
ก็เพราะเขาไม่เห็นความความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้นๆ เพราะเขาไม่รู้ หรือโง่เขลาต่อสิ่งนั้นๆ จึงไปยึดเอาเป็นสิ่งที่น่ารักมีความรัก และโกรธในสิ่งที่ชวนให้โกรธ เกลียดในสิ่งที่ชวนให้เกลียด กลัวในสิ่งที่ชวนให้กลัว แล้วก็เป็นทุกข์เอง.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : เทปบันทึกคำปราศรัย เพื่อนำมาแสดงในงานฌาปนกิจศพ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๖
---------------------------------
"สิ่งทั้งปวงมีความเป็น "เช่นนั้นเอง" ในตัวมันเอง ซึ่งมันจะต้องเป็น "เช่นนั้นเอง" เป็น "อย่างอื่น" ไม่ได้
เราอย่าไปฝืน อย่าไปบังคับชนิดที่บังคับไม่ได้
เมื่อมันเป็นเช่นนั้นเอง เราก็ไม่ต้องไปรักมัน ไปโกรธมัน ไปเกลียดมัน ไปกลัวมัน ไปวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์อะไรกับมัน เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าไปรักโกรธ เกลียดกลัว อาลัยอาวรณ์มันก็ต้องเป็นทุกข์ "
พุทธทาสภิกขุ
Cr. : หอจดหมายเหตุพุทธทาส BIA
< อิทัปปัจจยตา >
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในพระบาลีเขียนไว้ว่า ท่านตรัสรู้ "อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท" แต่ก็มีอยู่มากที่บอกว่า ท่านทรงตรัสรู้ อริยสัจ 4 ทั้ง อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปฏิจจสมุปบาท กับ อริยสัจ 4 นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน แต่อริยสัจ 4 นั้นเป็นเรื่องที่กล่าวโดยย่อๆ ส่วนเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น เป็นเรื่องที่กล่าวโดยพิสดาร
ยกตัวอย่างเช่น การอธิบายเรื่อง ความทุกข์เกิดมาจากอะไร อริยสัจ 4 อธิบายไว้ว่า ความทุกข์มาจากตัณหา ส่วนปฏิจจสมุปบาทนั้น อธิบายว่า ความทุกข์เกิดมาจากอวิชชา อวิชชาทำให้เกิดสังขาร และต่อไปเรื่อย ๆ จนไปถึง เวทนา ทำให้เกิดตัณหา และตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน และทำให้เกิดตัวตนผู้อยาก จนทำให้เกิดการยึดถือจึงเกิดทุกข์ขึ้นมา
อิทัปปัจจยตา แปลว่า เพราะมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น ซึ่งมีความหมายว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น, เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี, เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป
ย่อได้ความว่า คือส่วนที่เป็นเหตุมี ส่วนที่เป็นผลก็จะมี เมื่อส่วนที่เหตุดับไป ส่วนที่เป็นผลก็ดับไป เรียกว่ากฏของธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติ มีอำนาจของสูงสุดของธรรมชาติ เรียกว่ากฏอิทัปปจัจจยตา ใช้กับทุกสิ่งทั้งนามธรรม และรูปธรรม ส่วนปฏิจสมุปบาทนั้นใช้เฉพาะสิ่งที่มีความรู้สึกเท่านั้น
ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น คือรู้ทุกสิ่งทั้งอิทัปปัจจยตาและปฏิจสมุปบาท ดังนั้นในพระบาลีจึงใช้คำว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท เรียกว่า ตถตา มันต้องเป็นอย่างนั้น, อวิตถตา ความไม่ผิดจากความเป็นอย่างนั้น, อนัญถตา มันไม่เป็นประการอื่นนอกจากอย่างนั้น, ธัมมัฏฐิตตา เป็นความตั้งอยู่โดยความเป็นธรรมดา, ธัมมนิยามตา เป็นกฎตายตัวของธรรมดา, อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท นี่แหละ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท
กฏอิทัปปัจจยตา แยกออกเป็น 2 สาย
1. สายที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา
2. สายที่ไม่ทำให้เกิดทุกข์ได้
https://spymemo.files.wordpress.com/2014/03/spd_20120812104815_b.jpg
“…ทุกท่านที่ฟังผมอยู่ในขณะนี้ คงรู้สึกเฉย ๆ
ลักษณะนี้แหละมีอยู่ในคนทุกคน ไม่ยกเว้น
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง-ผู้ชาย พระ-เณร
คนไทย คนจีน คนลาว คนเขมร
ซึ่งก็สมมติเรียกขึ้นมาทั้งนั้น
แต่ก็จริง-จริงโดยสมมติ
ลักษณะเฉย ๆ อันนี้
ท่านเรียกว่าเป็นปรมัตถบัญญัติ เป็นอรรถบัญญัติ
ใครจะรู้หรือไม่รู้ มันก็มีอยู่อย่างนั้น
ลักษณะอันนี้ มันมีมาก่อนพระพุทธเจ้าอีกด้วย
พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีสติปัญญา ค้นพบเป็นคนแรก
ลักษณะอันนี้เป็นลักษณะไม่ทุกข์-ไม่สุข
มันเหนือทุกข์-เหนือสุข เหนือดี-เหนือชั่ว
ไม่ใช่บาป-ไม่ใช่บุญ
ท่านกล่าวว่า ‘เป็นของหาง่ายสำหรับคนฉลาด-คนมีปัญญา
หรือมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง’
คนไม่ฉลาด-ไม่รู้จัก ก็หันไปหาบุญ
ไปทอดกฐินที่นั่น ไปบังสุกุลที่นี่
ก็เพื่อให้ได้อันนี้ แต่ก็ไม่ได้พบ-ได้เห็น
เหมือนกับขุดบ่อน้ำไม่ถูกสายน้ำ
ขุดจนตาย-ก็ไม่พบน้ำ หรือจะมีน้ำ-ก็น้อยที่สุด
หรืออุปมาให้ฟังอีกอย่างหนึ่ง
เหมือนก้อนน้ำแข็งใหญ่ ๆ ที่วางไว้ตากแดด-ตากลม
ไม่นานน้ำแข็งก็ละลายเป็นน้ำเหมือนเดิม
เมื่อได้ทำบุญ-ทำทาน ก็ดีใจ-สบายใจ
แต่เมื่อมีคนมาตำหนิ ความดีใจ-อิ่มใจก็หายไป
เขาไม่ได้เห็นความเป็นปกติของจิต
ที่มันมีอยู่แล้วแต่เดิมและตลอดเวลา
ความดีใจ-เสียใจ เพิ่งจะเกิดขึ้นมาทีหลัง
และไม่อาจตั้งอยู่ได้
คนฉลาด-มีปัญญา จึงจะเห็นลักษณะอันนี้ได้
และรู้จักเข้าใจปรมัตถบัญญัติ-อรรถบัญญัติ และอริยบัญญัติ
ดังนั้นเมื่อเราฟังแล้ว ต้องพิจารณาจริง ๆ
แล้วก็ดูตัวเองจริง ๆ อย่าไปดูคนอื่นมากเกินไป
อย่าไปคอยจับคำพูดคนอื่นมากเกินไป
*คอยดูความคิดตัวเองอยู่ที่ตรงนี้*...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
< ว่าด้วยอิทัปปัจจยตา >
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย
▪กายนี้ มิใช่ของพวกเธอ
▪ทั้งมิใช่ของคนอื่น
ภิกษุทั้งหลาย
▪กายนี้กรรมเก่าควบคุมไว้ จิตประมวลไว้
▪พึงเห็นว่า เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา
ภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวก ผู้ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมมนสิการ ปฏิจจสมุปบาทอย่างดี โดยแยบคายในกายนั้นว่า
“เพราะเหตุนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป คือ
▪เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
▪เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนั้นมีได้ด้วยประการอย่างนี้
▪เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ... ความดับแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ มีได้โดยย่อด้วยประการอย่างนี้”
รวมความว่า กิเลสเครื่องกังวลว่า สิ่งนี้ของเรา หรือสิ่งนี้ของคนอื่นย่อมไม่มีแก่ผู้ใด อย่างนี้บ้าง สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า โมฆราช (พระโมฆราชเถระ)
▪เธอจงพิจารณาเห็นโลกโดยความว่างเปล่า
▪เป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พึงถอนความตามเห็นว่ามีตัวตนเสีย
▪เป็นผู้ข้ามมัจจุราชเสียได้ ด้วยอาการอย่างนี้
▪บุคคลพิจารณาโลกอยู่อย่างนี้ มัจจุราชจึงไม่เห็น ๑ รวมความว่า กิเลสเครื่องกังวลว่า สิ่งนี้ของเรา หรือสิ่งนี้ของคนอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด อย่างนี้บ้าง สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า
▪สิ่งใดมิใช่ของพวกเธอ เธอทั้งหลายจงละ สิ่งนั้นเสียเถิด สิ่งที่พวกเธอละได้แล้วนั้นแลจักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอดกาลนาน
ภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่ามิใช่ของพวกเธอ ภิกษุทั้งหลาย รูปมิใช่ของ พวกเธอ เธอทั้งหลายจงละรูปนั้นเสียเถิด รูปที่พวกเธอละได้แล้วนั้นแลจักมีเพื่อ ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอดกาลนาน
เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณก็มิใช่ของพวกเธอ เธอทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสียเถิด วิญญาณที่พวกเธอ ละได้แล้วนั้นแล จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอดกาลนาน (เข้าสู่นิพพาน)
๑ ขุ.สุ. ๒๕/๑๑๒๖/๕๔๙, ขุ.จู. ๓๐/๘๘/๑๘๘
เกิดอะไรขึ้น ใน “คืนตรัสรู้”
โดย...พุทธทาสภิกขุ
.
“คืนที่จะตรัสรู้ เป็นคืนที่สำคัญที่สุด พิจารณา อิทัปปัจจยตา คือ ปฏิจจสมุปบาท นี้ ใน
.
ปฐมยาม : พิจารณาแต่ฝ่าย “สมุทยวาร” คือ ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ให้เกิดทุกข์, พอสิ้นสุดของปฐมยาม เกิดความรู้แจ้งขึ้นมาวาบหนึ่ง เป็นอุทานออกมาทางปาก เป็นพุทธอุทานบทหนึ่ง ว่า...“..เมื่อใดธรรมะมาปรากฏ แก่พราหมณ์ผู้เพ่งหาความจริงอยู่...เพราะมารู้ว่า สิ่งทั้งหลายมาแต่เหตุ”
.
มัชฌิมยาม ตรัสรู้เพิ่มขึ้น เพราะพิจารณาปฏิจจสมุปบาทฝ่าย “นิโรธวาร” ตลอดมัชฌิมยาม, พอสิ้นสุดแห่งมัชฌิมยาม ก็เปล่งอุทาน เป็นอุทานที่สอง ว่า...“...ความสงสัยสิ้นไป เพราะรู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย”
.
ปัจฉิมมยาม พิจารณาปฏิจจสมุปบาท ทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งสมุทยวารและทั้งฝ่ายนิโรธวาร, ในที่สุดแห่งปัจฉิมยาม ท่านตรัสรู้ถึงที่สุด และเปล่งอุทานที่สาม ว่า...“...นี้ มารและเสนาสิ้นไป เหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นมากำจัดความมืดให้หายไป”
นี่คือการตรัสรู้ : ด้วยการพิจารณา อิทัปปัจจยตา ทั้งคืน”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย "อิทัปปัจจยตา" ฉบับย่นความ โดย"เช่นนั้นเอง"
------------------------------------
.
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ "อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท"
.
"อิทัปปัจจยตา...คำนี้เป็นคำที่ต้องเข้าใจแล้วปฏิบัติให้ได้ โดยมากเราจะเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ไม่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ที่จริงเป็นเรื่องเดียวกัน ในพระบาลีเรียกยาวเอามารวมกันเป็น "อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปาโท" เรียกกันเต็มที่แล้วก็เรียกว่า "อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท" แต่หัวใจของเรื่องก็มีคำเดียวคือ "อิทัปปัจจยตา" ใจความของคำๆนี้ก็มีแต่เพียงว่า "สิ่งทั้งปวงมีเหตุมีปัจจัย แล้วก็เป็นไปตามอำนาจของเหตุของปัจจัย" นี่ความหมายของคำว่า อิทัปปัจจยตา...
.
ทุกๆปรมาณูในจักรวาลเกิดจากอิทัปปัจจยตา เป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา นี่คือความจริงของธรรมชาติ..ว่าทุกสิ่งเกิดจากและเป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา
.
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ก็ตรัสรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา แต่เมื่อเอามาสอนประชาชน สอนเฉพาะสิ่งที่มีชีวิต เช่น มนุษย์มีชีวิต เปลี่ยนชื่อเรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท" เพราะคำว่า อิทัปปัจจยตา มันหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอะไร แต่ถ้าเฉพาะคน เฉพาะสิ่งที่มีชีวิต มนุษย์รู้จักสุขทุกข์ได้ เปลี่ยนชื่อให้มันแคบเข้ามาสั้นเข้ามา เรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม"
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "อิทัปปัจจยตา ในฐานะหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา"
---------------------------------
.
“อิทัปปัจจยตา” กับ “ปฏิจจสมุปบาท”
.
“อิทัปปัจจยตา” คือ คำย่อของเรื่อง “ปฏิจจสมุปบาท” โดยมีใจความแต่เพียงว่า "เมื่อมีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้น" ตลอดถึงปฏิปักขนัยที่กลับกันอยู่ด้วยในตัว คือว่า "ถ้าไม่มีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆก็ไม่เกิดขึ้น"
.
ถ้าจะกล่าวในรูปของปฏิจจสมุปบาท ก็กล่าวยืดยาวโดยขยายออกไป ตั้งแต่..อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ฯลฯ กระทั่ง..ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส พร้อมทั้งฝ่ายดับที่ว่า..เพราะอวิชชาดับสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ กระทั่ง..เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส จึงดับ ดังนี้.
.
คำว่า "อิทัปปัจจยตา" มีความหมายกว้างทั่วไป จะใช้กับรูปธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในกรณีใดกรณีหนึ่งก็ยังได้ เป็นกฏวิทยาศาสตร์ทั่วไปก็ได้
.
ส่วน"ปฏิจจสมุปบาท"นั้น มุ่งหมายใช้เฉพาะเรื่องเกิดทุกข์และดับทุกข์โดยตรงในพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น ใจความสำคัญก็คงมีอย่างเดียวกัน คือแสดงถึงกระแสแห่งปัจจัย และสิ่งที่เกิดตามปัจจัย เป็นสายยืดยาวไปเท่านั้น
.
การที่จะเข้าใจความหมายของ "อิทัปปัจจยตา"อย่างลึกซึ้งทั่วถึง ต้องศึกษาถึงความหมายของคำว่า...
ตถตา : ความเป็นอย่างนั้น,
อวิตถตา : ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น,
อนัญญถตา : ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น,
ตลอดถึงคำว่า ธัมมัฏฐิตตา, และ ธัมมนิยามตา เป็นต้นด้วย…"
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : หนังสือ "อิทัปปัจจยตา" ฉบับปฏิภาค เล่ม ๑
-----------------------------------
.
พุทธวจนะ
" ภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความดำริเกิดขึ้นว่า: ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นของลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบระงับ ประณีตไม่เป็นวิสัยแห่งตรรก ละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้
ก็แหละ หมู่ประชานี้ เป็นผู้เริงรมย์อยู่ด้วยอาลัย(ความผูกพัน ยึดติด) ยินดีอยู่ในอาลัย ระเริงอยู่ในอาลัย สำหรับหมู่ประชาผู้เริงรมย์ รื่นระเริงอยู่ในอาลัย (เช่นนี้) ฐานะอันนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก กล่าวคือ หลักอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท…"
.
พระบาลีไตรปิฎก วินย. ๔/๗/๘ ; ม.มู ๑๒/๓๒๑/๓๒๓
( สำนวนแปล พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) จากหนังสือ "พุทธธรรม" ฉบับเดิม )
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม. ##
ทางออกจากวงจรปฏิจสมุปบาท คือ "เวทนา"
เมื่อเกิดเวทนา(สุข/ทุกข์/เฉย) จะต้องมีสติสัมปชัญญะ (ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน 4) รู้ทันสภาพธรรมที่เกิดขึ้น อย่าให้กิเลสเข้าครอบงำจนเกิด(ตัวตน)
ความพอใจ/ไม่พอใจ อันจะเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา และอุปาทาน
ซึ่งทำให้วงล้อปฏิจจสมุปบาทหมุนต่อเนื่องจนเกิดทุกข์...
* พระพุทธองค์สอนให้เริ่มตั้งแต่การสำรวมอินทรีย์ 6 คือ ตั้งแต่เกิดผัสสะกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีสติรู้ทัน ถ้าหลุดไปให้มาดูที่เวทนา อย่าให้เกิดความพอใจและไม่พอใจ เพราะจะเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาต่อไป...
* ความไม่พอใจ (โทสะ) เกิดจาก การที่ไม่ได้ดั่งใจ อันมีพื้นฐานมาจากตัณหานั้นเอง
* ตัณหา คือ ธรรมชาติที่มีความอยากได้และยึดติดในอารมณ์ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ส่วนอุปาทานนั้นเป็นการยึดติดในอารมณ์ที่รับเข้ามาอย่างเหนียวแน่นนั่นเอง
* ทั้งโทสะ(ความโกรธ) และตัณหา มีพื้นฐานมาจากความไม่รู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ ยังมีความหลง(อวิชชา) ซึ่งปกปิดสภาพธรรมตามความเป็นจริงไว้ จึงเกิดความพอใจ/ไม่พอใจ ยึดเอาอารมณ์ที่เข้ามานั้นมาเป็นของตน เกิดตัวตนขึ้น
< ปฏิจจสมุปบาท ฉบับจัดเต็ม >
*** คำแปลและความหมาย ***
ปฏิจจสมุปบาท มาจากคำบาลีว่า “ ปฏิจฺจสมุปฺปาท” ซึ่งประกอบด้วยคำ ปฏิจฺจ กับ คำว่า สมุปฺปาท
ปฏิจฺจ แปลว่า อาศัย
สมุปฺปาท (แยกเป็น สํ ร่วม + อุปฺปาท เกิดขึ้น) แปลว่า การเกิดขึ้นร่วมกัน
เมื่อรวมคำทั้ง ๒ เข้าด้วยกัน จึงแปลได้ว่า การเกิดขึ้นร่วมกันโดยอาศัยกัน
การเกิดขึ้นร่วมกันโดยอาศัยกันนี้คือ การเกิดขึ้นร่วมกันโดยอาศัยกันของอวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ
ธรรม ๑๒ ประการนี้ต่างเกิดขึ้นร่วมกันโดยอาศัยกันเกิดขึ้น ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างเกิดด้วยตัวเองโดดๆ ปฏิจจสมุปบาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็ทรงมุ่งหมายที่จะทรงแสดงถึง ภาวะที่ต่างฝ่ายต่างเป็นปัจจัยให้กันและกันเกิดขึ้น ดังจะเห็น
ได้จากพระพุทธดำรัสที่ตรัสไว้ว่า
“ ภิกษุทั้งหลาย ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร คือ การที่อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรามรณะ”
จากนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงผลที่เกิดจากการที่ธรรมทั้งหลายได้อาศัยกันเกิดขึ้น
“ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย”
ในปัจจยสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
“ พระตถาคตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้นคือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ทั่วถึงธาตุอันนั้น ครั้นแล้วย่อมตรัสบอก ทรงแสดงบัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น และตรัสว่า ท่านทั้งหลาย จงดูดังนี้ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท”
*** ความสำคัญของปฏิจจสมุปบาท ***
ปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักธรรมสำคัญที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เกี่ยวกับกฎธรรมชาติหรือหลักความจริงที่มีอยู่ตามกฎธรรมชาติ ที่ไม่มีใครสร้างหรือดลบันดาลขึ้น หากแต่มีอยู่ตามธรรมชาติ อย่างแท้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ กฎธรรมชาตินี้ แล้วได้ทรงนำมาประกาศแก่ชาวโลกให้รู้ตาม ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในปัจจยสูตรนั้น
นอกจากปฏิจจสมุปบาทจะเป็นหลักธรรมที่เกี่ยวกับกฎธรรมชาติแล้ว ยังเป็นหลักธรรม ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความหลุดพ้นจากทุกข์ เพราะถ้าบุคคลรู้และเข้าใจกฎธรรมชาตินี้แล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ ให้ถูกต้องจนเกิดปัญญารู้แจ้ง มองเห็นความเปลี่ยนแปลง ของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงแล้ว ก็เท่ากับได้พบ ทางเดินของชีวิตอันประเสริฐ เห็นธรรมอันประเสริฐ ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในมหาหัตถิปโทปมสูตรว่า
“ ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท”
พระพุทธพจน์นี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักธรรมที่มีความสำคัญและเป็นเป้าหมายสูงสุดที่มนุษย์จะต้องดำเนินไปให้ถึง นอกจากจะเป็นหลักธรรมที่มีความสำคัญดังกล่าวแล้ว ปฏิจจสมุปบาทยังมีสารัตถะที่ละเอียดลึกซึ้ง รู้ได้ยาก เห็นได้ยาก สำหรับสรรพสัตว์ที่ยังหนาด้วยกิเลส พระพุทธองค์ทรงเกรงว่าจะเป็นความเหนื่อยเปล่า ถ้าจะแสดงหลักธรรมนี้ แก่ชาวโลก จึงทรงน้อมพระทัย เพื่อการขวนขวายน้อยที่จะไม่แสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ เพราะทรงดำริว่า
“ ธรรมที่เราได้บรรลุนี้ลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบ ประณีต หยั่งไม่ได้ด้วยความตรึก ละเอียด รู้ได้แต่บัณฑิต ส่วนหมู่สัตว์นี้เป็นผู้ยินดีเพลิดเพลินใจในอาลัย ยากที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาทที่เป็นปัจจัยแห่งธรรมเหล่านี้ได้ และยากที่จะเห็นธรรมที่สงบสังขารทั้งปวง สลัดอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอก เป็นที่ดับ เป็นที่ออกจากตัณหา ก็ถ้าเราพึงแสดงธรรม และคนอื่นไม่รู้ทั่วถึงธรรมของเรา เราก็จะลำบากเหน็ดเหนื่อยเปล่า”
มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส กับพระอานนท์เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท โดยที่พระอานนท์กราบทูลพระพุทธองค์ว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักเหตุผลที่เข้าใจง่ายสำหรับท่าน แต่พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสห้ามพระอานนท์ว่า
“ เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูก่อนอานนท์ เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็น ผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้วย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่าย และหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร”
จากพระพุทธดำริของพระพุทธองค์และเหตุการณ์ที่ได้ตรัส กับพระอานนท์ ชี้ให้เห็นว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมลึกซึ้ง ควรแก่การศึกษาและทำความเข้าใจเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงควรได้ศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดต่อไป
*** องค์แห่งปฏิจจสมุปบาท ***
ปฏิจจสมุปบาท มีองค์ประกอบซึ่งเป็นหลักการสำคัญทั้งหมด ๑๒ ข้อ แต่ละข้อมีประเด็นควรศึกษาให้ทราบไว้เป็นเบื้องต้น ดังนี้
๑.อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้ ตรงข้ามกับวิชชา ความไม่รู้ในที่นี้คือ
▪ความไม่รู้ในทุกข์
▪ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย (เหตุเกิดแห่งทุกข์)
▪ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ (ความดับแห่งทุกข์)
▪ความไม่รู้ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติที่ให้ถึงความดับแห่งทุกข์)
๒.สังขาร หมายถึง ความคิดปรุงแต่ง ความจงใจที่ประกอบด้วยเจตนาอัน...
▪แสดงออกทางกาย เรียกว่า กายสังขาร(สภาวะที่ปรุงแต่งกาย)
▪แสดงออกทางวาจา เรียกว่า วจีสังขาร(สภาวะที่ปรุงแต่งวาจา)
▪แสดงออกทางใจ เรียกว่า จิตตสังขาร(สภาวะที่ปรุงแต่งใจ)
ความคิดที่ปรุงแต่งเกิดขึ้นนี้อาจจะมีทั้งที่เป็นส่วนดี เป็นบุญ เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร ส่วนที่ไม่ดี เป็นบาป เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร ความคิดที่ปรุงแต่งจิตอันมั่นคงของผู้ที่ได้บรรลุอรูปสมาบัติ เรียกว่า อาเนญชาภิสังขาร ซึ่งความคิดที่ปรุงแต่งกายสังขารและวจีสังขาร เป็นปุญญาภิสังขาร และอปุญญาภิสังขาร แต่ในจิตตสังขารเป็นสังขารได้ทั้ง 3 ประการ
๓.วิญญาณ หมายถึง ความรู้แจ้งอารมณ์ต่างๆ อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ ตามติดให้เกิดการรับรู้ต่างๆ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
วิญญาณมี ๖ ประการ คือ
๑.จักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางตา)
๒.โสตวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางหู)
๓.ฆานวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางจมูก)
๔.ชิวหาวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางลิ้น)
๕.กายวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางกาย)
๖.มโนวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางใจ)
๔.นามรูป คือ นามธรรม ๕ อย่าง ได้แก่
▪เวทนา (ความเสวยอารมณ์)
▪สัญญา (ความจำได้หมายรู้)
▪เจตนา (ความจงใจ)
▪ผัสสะ (ความกระทบหรือสัมผัส)
▪มนสิการ (ความกระทำไว้ในใจ)
หรือนามขันธ์ ๓ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ (เจตนา ผัสสะ มนสิการ จัดเป็น สังขารขันธ์)
รูป ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป (อุปาทายรูป) ๒๔
มหาภูตรูป ๔ คือ ธาตุ ๔ ได้แก่
▪ปฐวีธาตุ คือ ธาตุดิน มีลักษณะอ่อน-แข็ง
▪อาโปธาตุ คือ ธาตุน้ำ มีลักษณะไหล-เกาะกุม
▪เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ มีลักษณะเย็น-ร้อน
▪วาโยธาตุ คือ ธาตุลม มีลักษณะไหว-ตึง
๕.สฬายตนะ คือ แดนติดต่อ ๖ แดน ดังนี้
๑.จักขวายตนะ (อายตนะคือตา)
๒.โสตายตนะ (อายตนะคือหู)
๓.ฆานายตนะ (อายตนะคือจมูก)
๔.ชิวหายตนะ (อายตนะคือลิ้น)
๕.กายายตนะ (อายตนะคือกาย)
๖.มนายตนะ (อายตนะคือใจ)
ที่ต่อ ๖ อย่างนี้ เรียกว่า อายตนะภายใน เพื่อต่อกับอายตนะภายนอก ๖ คือ ตาต่อกับรูป หูต่อกับเสียง จมูกต่อกับกลิ่น ลิ้นต่อกับรส กายต่อกับสัมผัส ใจต่อกับธรรมารมณ์
๖.ผัสสะ คือ ความถูกต้องหรือกระทบ หมายถึง อาการที่จิตหรือวิญญาณถูกต้องหรือกระทบกับอารมณ์คือสิ่งเร้าแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์หรือเฉยๆ
ผัสสะมี ๖ อย่าง คือ
๑.จักขุสัมผัส (ความกระทบทางตา)
๒.โสตสัมผัส (ความกระทบทางหู)
๓.ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมูก)
๔.ชิวหาสัมผัส (ความกระทบทางลิ้น)
๕.กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย)
๖.มโนสัมผัส (ความกระทบทางใจ)
ความสัมผัส ๓ อย่างนี้ จะต้องมีธรรม ๓ อย่างมาประจวบกัน เช่น จักขุสัมผัสจะต้อง มีจักขุปสาท รูป และจักขุวิญญาณ มาประจวบกัน ถ้าเป็นแต่เพียงจักขุปสาทกระทบกับรูปเฉยๆ ยังไม่เกิดจักขุวิญญาณ ก็ยังไม่เป็นผัสสะ ผัสสะอื่นๆ ก็ทำนองเดียวกัน
๗.เวทนา หมายถึง ความเสวยอารมณ์ คือ ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือรู้สึกเฉยๆ การเสวยอารมณ์นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากผัสสะ เมื่อองค์ทั้ง ๓ มาประจวบกัน จึงเกิดผัสสะ ต่อ จากผัสสะก็เกิดเวทนา คือ การเสวยอารมณ์ที่ต่อจากสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
เวทนาดังกล่าวนั้นมี ๖ ประการตามแดนที่เกิด คือ
๑.จักขุสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตา)
๒.โสตสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู)
๓.ฆานสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก)
๔.ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางลิ้น)
๕.กายสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย)
๖.มโนสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ)
ว่าโดยลักษณะเวทนามี ๕ คือ
๑.ความรู้สึกเป็นสุขทางกาย (สุขเวทนา)
๒.ความรู้สึกเป็นสุขทางใจ (โสมนัสเวทนา)
๓.ความรู้สึกเป็นทุกข์ทางกาย (ทุกขเวทนา)
๔.ความรู้สึกเป็นทุกข์ทางใจ (โทมนัสเวทนา)
๕.ความรู้สึกเฉยๆ คือ รู้สึกเป็นกลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ (อุเบกขาเวทนา)
เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เวทนามี ๒ อย่าง คือ เวทนาทางกายและเวทนาทางใจ
๘.ตัณหา คือ ความทะยานอยาก เมื่อแบ่งตามแดนที่เกิดแล้ว มี ๖ ประการ คือ
๑.รูปตัณหา (ความทะยานอยากได้ในรูป)
๒.สัททตัณหา (ความทะยานอยากได้ในเสียง)
๓.คันธตัณหา (ความทะยานอยากได้ในกลิ่น)
๔.รสตัณหา (ความทะยานอยากได้ในรส)
๕.โผฏฐัพพตัณหา (ความทะยานอยากได้ในโผฏฐัพพะ)
๖.ธัมมตัณหา (ความทะยานอยากได้ในธรรมารมณ์)
เมื่อว่าโดยอาการที่เกิด แบ่งเป็น ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา(อยากได้ อยากมี อยากเป็น) และวิภวตัณหา(ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น)
๙.อุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่นในเวทนาที่ชอบหรือชัง จนเกิดความหลงติด มี ๔ ประการ คือ
๑.กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม
๒.ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฏฐิ เช่น ยึดมั่นในความเห็นว่าบุญไม่มี บาปไม่มี
๓.สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลพรต ในข้อวัตรปฏิบัติของตน
๔.อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา คือ ถือว่าขันธ์ ๕ มีอัตตา เป็น ตัวตน เที่ยงแท้ เป็นต้น
๑๐.ภพ แปลว่า ความมีความเป็น ในที่นี้หมายถึง ภาวะแห่งชีวิต คือ ความมีขันธ์หรือมีนามรูป เพราะชีวิตต้องตกอยู่ในภพทั้ง 3 อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ คือ
๑.กามภพ ภพที่เป็นกามาวจร
๒.รูปภพ ภพที่เป็นรูปาวจร
๓.อรูปภพ ภพที่เป็นอรูปาวจร
นอกจากนี้ในอภิธรรม ยังกล่าวถึงอุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดกรรมภพ และอุปปัตติภพ
กรรมภพ แปลว่า ภพคือกรรม ได้แก่ เจตนาและธรรมที่สัมปยุตด้วยเจตนา มีอภิชฌา (ความละโมบ) เป็นต้น อันได้แก่ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร หรือจะกล่าวให้ง่ายก็คือ กรรมภพนั้น ได้แก่ กุศลกรรม และอกุศลกรรม อันจะนำไปสู่กามภพ รูปภพ อรูปภพ
อุปปัตติภพ แปลว่า ภพคือภาวะที่เกิดขึ้น ปรากฏขึ้น ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ซึ่งก็หมายถึง ภพทั้ง 3 นั้นเอง
๑๑.ชาติ คือ ความเกิด ว่าโดยสมมติได้แก่ความเกิดของสัตว์ โดยปรมัตถ์ ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ หรือความเกิดขึ้นครั้งแรกของขันธ์
สรุปแล้วชาติในที่นี้มีความหมายได้ ๒ นัย คือ
▪หมายถึงการเกิดของขันธ์ ๕ ในแต่ละขณะจิต คือการเกิดปรากฏของอุปปัตติภพใหม่ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งถือว่าเป็นวิบาก หลังจากกรรมภพ คือ การทำความดีความชั่วสิ้นสุดลง การเกิดแบบนี้ปรากฏขึ้นในทุกขณะจิต ภาษาอภิธรรม เรียกว่า อุปปาทะ และ
▪หมายถึงการเกิดของขันธ์ ๕ ในแต่ละภพแต่ละชาติ ได้แก่ การเกิดปรากฏเป็นตัวตนมีรูปร่าง ในภพภูมิต่างๆ เช่น เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ทั้งนี้แล้วแต่ผลของกรรม มีอายุยืนบ้าง สั้นบ้าง การเกิดแบบนี้ ภาษาอภิธรรม เรียกว่า ปฏิสนธิ
๑๒.ชราและมรณะ ชรา คือ ความแก่ ความเฒ่า ความคร่ำคร่าของสัตว์ มีอาการที่ปรากฏ เช่น ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น หย่อนยาน อายุและกำลังวังชาลดน้อยถอยลง๑๒) แบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ ความเสื่อมโทรมของขันธ์ ๕ ในแต่ละขณะจิต และความเสื่อมโทรมของขันธ์ ๕ ในแต่ละภพแต่ละชาติ
ความเสื่อมโทรมของขันธ์ ๕ ในแต่ละขณะจิต หมายถึง ความตั้งอยู่ได้ชั่วขณะหนึ่งของอุปปัตติภพใหม่หลังจากการเกิดปรากฏ แล้วก่อนที่จะดับ กล่าวคือ ในแต่ละขณะจิต ขันธ์ ๕ เมื่อปรากฏแล้วก็จะคงอยู่ได้ชั่วแวบหนึ่งแล้วก็จะดับลง ขณะที่คงอยู่ ภาษาอภิธรรมเรียกว่า ฐิติ แต่ก็ใช่ว่าจะคงที่อยู่อย่างนั้น มีความเสื่อมโทรมอันเป็นตัวแปรนำไปสู่ความแตกดับกำกับแทรกซ้อนอยู่ด้วย
ความเสื่อมโทรมของขันธ์ ๕ ในแต่ละภพแต่ละชาติ หมายถึง ความแก่ของรูปที่ปรากฏออกมาในลักษณะ อวัยวะหย่อนยาน หนังเหี่ยวย่น หูตาฝ้าฟาง ความแก่ของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ปรากฏออกมาในลักษณะ การรับรู้ต่างๆ ไม่ชัดเจน ความจำเสื่อม ความคิดไม่แจ่มชัด
มรณะ คือ ความจุติ ความเคลื่อนไป ความทำลายไป ความหายไป ความตาย ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่างกาย
ความแตกทำลายของขันธ์ ๕ ซึ่งมี ๒ อย่าง คือ ความแตกดับของขันธ์ ๕ ในแต่ละขณะจิต และความแตกดับของขันธ์ ๕ ในแต่ละภพแต่ละชาติ
ความแตกดับในแต่ละขณะจิต หมายถึง ความแตกดับของอุปปัตติภพใหม่หลังจากเกิดขึ้น และตั้งอยู่แล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งภาษาอภิธรรม เรียกว่า ภังคะ
ความแตกดับของขันธ์ ๕ ในแต่ละภพแต่ละชาติ หมายถึง ความตาย กล่าวคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกสลาย ไม่สามารถประชุมกันเป็นชีวิตเดิมได้อีก ภาษาอภิธรรม เรียกว่า จุติ
*** ความสัมพันธ์ของปฏิจจสมุปบาท ***
ปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นธรรมที่อิงอาศัยกันและกัน ทุกๆ องค์จะเกิดขึ้นอย่างมีสัมพันธ์ ผูกต่อกันเป็นลูกโซ่ กระทั่งเกิดเป็นวงเวียนแห่งสังสารวัฏ
》ประเภทความสัมพันธ์
ความสัมพันธ์ของปฏิจจสมุปบาทแบ่งเป็น ๒ สาย คือ
▪สายเกิด(ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์) เรียกว่า สมุทยวาร และ
▪สายดับ(ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวล) เรียกว่า นิโรธวาร
มีพระบาลีพุทธภาษิตโดยย่อ ดังนี้
๑.สายเกิด
อิมสฺมึ สติ อิทํ อุปฺปชฺชติ อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจจึงเกิดขึ้น พร้อมกองทุกข์ทั้งมวลจึงเกิดขึ้นประการฉะนี้
๒.สายดับ
อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ
เพราะอวิชชาสำรอกดับไปโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรามรณะจึงดับ ความโศก ความคร่ำครวญ รำพัน ทุกข์ โทมนัสความคับแค้นใจก็ดับ กองทุกข์ทั้งมวลก็ดับลงด้วยประการฉะนี้
*** ความเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ***
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงวงจรของสายเกิดอันเป็นปัจจัยแห่งการเกิดสังสารวัฏ การเวียนว่าย ตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยปฏิจจสมุปบาทแต่ละองค์มีความเกี่ยวข้องกันดังต่อไปนี้
๑.อวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร หมายความว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้ทำบุญทำบาป คือ
อวิชชา → สังขาร → กรรม (ดี-ชั่ว) → วิบาก (ดี-ชั่ว)
ดังที่ทราบแล้วว่า กรรมทางกาย วาจา ใจ ของมนุษย์เริ่มต้นจากเจตนา เจตนานี้มีทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล ซึ่งส่งผลให้เกิดการคิดดี พูดดี ทำดี หรือคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ซึ่งเป็นส่วนของสังขาร เจตนานี้เองก็มี อวิชชาเป็นมูลฐาน ทำให้ประกอบสิ่งที่เป็นกุศล หรืออกุศล ซึ่งอธิบายในรายละเอียดดังนี้
(๑) ความดีนี้มี ๓ ระดับ (ยังมี อวิชาครอบงำ) คือ
▪ระดับกามาวจร คือ ความดีที่ส่งผลให้ได้มนุษยสมบัติและสวรรค์สมบัติ ความดีระดับนี้แบ่งออกเป็นความดีทางกาย วาจาและใจ ความดีทางกายและวาจาเริ่มต้นมาจากความดี ทางใจเป็นพื้นฐาน เมื่อมีความดีทางใจ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความดีทางกายและทางวาจาติดตามมา จัดว่ามีอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะทำโดยปรารถนาให้ได้มนุษยสมบัติ คือ เกิดเป็นมนุษย์ถึงพร้อมด้วยลาภยศเป็นเครื่องตอบแทน ยังปรารถนาการเวียนว่ายตายเกิดเพราะไม่รู้แจ้งนามรูปตามที่เป็นจริง
▪ระดับรูปาวจร คือ ความดีที่ส่งผลให้เกิดเป็นพรหมมีรูปร่าง ได้แก่ การได้รูปฌาน ๔ จัดว่ามีอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะผู้ทำทำพร้อมทั้งปรารถนาการได้เกิดเป็นรูปพรหม นับว่ายังข้องอยู่ในนามรูป
▪ระดับอรูปาวจร คือ ความดีที่ส่งผลให้เกิดเป็นอรูปพรหม ได้แก่ การได้อรูปฌาน ๔ จัดว่ามีอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะปรารถนาการได้เป็นอรูปพรหม คือ พรหมไม่มีรูป ยังข้องอยู่ในนาม
(๒)อวิชชาเป็นปัจจัยให้ทำชั่ว ความชั่วนี้มีทั้งความชั่วทางกาย วาจา และใจ โดยเริ่มต้นมาจากความชั่วทางใจเป็นพื้นฐาน โดยมี อวิชชาเป็นปัจจัย เพราะไม่รู้จึงทำชั่ว ทั้งทางกาย วาจา และใจ
อวิชชาเป็นปัจจัยแก่การทำชั่วหรือบาปอันส่งผลให้เกิดความทุกข์ และยังผลให้สัตว์ไปเกิดในอบายภูมิเป็นสิ่งที่เข้าใจได้โดยธรรมดา ส่วนอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดการทำดีหรือบุญซึ่งเป็นวัฏคามี คือ เพื่อจะได้ท่องเที่ยวเสวยสุขในวัฏสงสาร เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะฝืนความรู้สึก คล้ายกับว่าอวิชชาเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่พึงปรารถนา ส่วนบุญกุศล การเกิดในสวรรค์ ในพรหมโลก ถือว่าเป็นสิ่งพึงปรารถนา ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า สิ่งที่ดีจะเกิดจากสิ่งที่ไม่ดีได้อย่างไร หรือสิ่งที่พึงปรารถนาจะเกิดจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาได้อย่างไร คำตอบนั้นมีปรากฏให้เราเห็นอยู่ในสังคมทั่วไป เช่น ถ้าสมมติว่ากฎหมายเป็นสิ่งดีทำให้สังคมดำรงอยู่อย่างสงบสุข ก่อนจะมีกฎหมายก็จะต้องมีคนไม่ดีก่อกวนสังคมมาก่อนกฎหมายจึงเกิดขึ้น เจตนาในการสร้างกฎหมายก็เพื่อป้องกันมิให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้น ตำรวจเกิดมีขึ้นก็เพราะมีโจรผู้ร้าย ศาลยุติธรรมเกิดมีขึ้นเพราะมีการทุจริต ในกรณีนี้สิ่งไม่ดีจึงเป็นปัจจัยให้เกิดสิ่งที่ดี
บุญ สวรรค์ หรือพรหมโลก เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่ออยู่ในภพภูมิที่ดีได้เสวยสุข แต่ในแง่ของการตัดวงจรสังสารวัฏ ในฐานะของพระอรหันต์ผู้หมดกิเลส การมีบุญ สวรรค์ หรือพรหมโลก ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะพระอรหันต์คือผู้ละบุญและบาปได้แล้ว ดังที่พุทธพจน์ที่ว่า
“ ผู้ใดมีกิเลสสงบแล้ว ละบุญและบาปได้แล้ว ปราศจากกิเลสธุลี รู้โลกนี้และโลกหน้าแล้ว ล่วงชาติและมรณะได้ ผู้คงที่เห็นปานนั้น บัณฑิตกล่าวว่า เป็นสมณะ"
》สรุปแล้ว อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร หมายถึง ความไม่รู้ทำให้คนทำดีทำชั่ว การทำดีทำชั่วนั้นย่อมต้องมีวิบาก เพราะฉะนั้น สังขาร คือ เจตนา จึงเป็นทั้งกรรมและวิบาก แล้วสังขารฝ่ายวิบาก(เจตนาฝ่ายวิบาก) นี้เองที่เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณต่อไป
๒.สังขาร เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เมื่อมีสังขารหรือเจตนาทางกาย ทางวาจา ทางใจ (ความคิด) เกิดขึ้นตามที่ได้เคยสั่งสมไว้ ในกระบวนการทางจิตจักมีวิญญาณมารับรู้สังขารหรือเจตนานั้น วิญญาณจึงทําหน้าที่คล้ายๆ ระบบประสาทเป็นตัวเชื่อมต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกาย จิต และสิ่งแวดล้อม
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ สังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ” หมายความว่า สังขาร คือ บุญหรือบาปที่เราได้ทำไว้ จะเป็นชนกผู้ให้กำเนิดปฏิสนธิวิญญาณ พระพุทธองค์ยังได้กล่าวว่า เมื่อเวลาใกล้จะตาย สังขาร คือ บุญหรือบาปที่เป็นชนกนั้นก็จะมาปรากฏเป็นอารมณ์ โดยเป็นกรรมนิมิตหรือคตินิมิต ปรากฏในมโนทวาร
จุติจิต คือ จิตที่ทำหน้าที่เคลื่อนจากภพก็จะเกิดขึ้น พอจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตจะถูกกรรมผลักดันให้เกิดขึ้นในภพใหม่ทันที
ที่กล่าวมานั้นเป็นสังขารทำให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ สำหรับสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดปวัตติวิญญาณ คือ สังขารฝ่ายวิบากที่ดีเป็นปัจจัยให้เกิดการรับรู้ที่ดี คือ เจตนาฝ่ายวิบากที่ดีทำให้เกิดการรับรู้ผ่านทวารต่างๆ เป็นการรับรู้ที่ดี สังขารฝ่ายวิบากที่ชั่วเป็นปัจจัยให้เกิดการรับรู้ที่ไม่ดี คือ เจตนาฝ่ายวิบากที่ชั่ว ทำให้เกิดการรับผ่านทวารต่างๆ ที่ไม่ดี
๓.วิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
คือ ปฏิสนธิวิญญาณ เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตมนุษย์ในภพใหม่ นั่นคือส่วนของรูป ซึ่งจะค่อยๆ มีการพัฒนาไปตามลำดับ จนกระทั่งเติบโตดังที่ พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม(ปัญจสาขา) ต่อจากนั้น มีผมขนและเล็บ(เป็นต้น) เกิดขึ้น มารดาของสัตว์ในครรภ์ บริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์มารดานั้น ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยอาหารอย่างนั้นในครรภ์นั้น
▪กลละนี้ คือ ส่วนที่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ในอรรถกถากล่าวว่า กลละมีประมาณเท่าหยาดน้ำมันงาซึ่งตั้งอยู่ที่ปลายเส้นด้ายที่ทำด้วยเส้นขนสัตว์ ๓ เส้น มีสีใสไม่ขุ่นมัว เหมือนหยาดน้ำมันงาหรือเนยใส
》เมื่อมนุษย์เจริญเติบโตขึ้นตามลำดับวัย ปวัตติวิญญาณสามารถทำหน้าที่ทางทวาร ๖ ได้อย่างเต็มที่ ช่วงนี้ทำให้เรามองเห็นความสัมพันธ์ของกรณีที่ว่า สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป ได้อย่างชัดเจน
สังขาร คือ เจตนาทางกาย วาจา ใจ
วิญญาณ ได้แก่วิญญาณ ๖ นามได้แก่ เจตสิก
รูป ได้แก่ร่างกายส่วนที่เป็นรูปพร้อมทั้งคุณลักษณะอาการของรูปทั้งหมด
เมื่อมนุษย์ทำสิ่งใดลงไป วิญญาณทางทวาร ๖ ทางใดทางหนึ่งก็เกิดขึ้น พร้อมกับองค์ประกอบของตน เช่นนี้ วิญญาณจึงเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
๔.นามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เมื่อมีนามรูปครบองค์ของชีวิต คือ ทําหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ย่อมทําให้สฬายตนะ คือ อวัยวะส่วนต่างๆ ของนามรูป ที่ใช้สื่อกับสิ่งต่างๆ ซึ่งมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง ๖ หรือเรียกว่า อายตนะภายใน อันเกิดร่วมมาด้วยโดยธรรมชาติ มีการเริ่มทําหน้าที่ของตน พระพุทธองค์จึงตรัสว่า นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดหรือมีสฬายตนะ หรือก็คืออายตนะ ๖ นี้มีอยู่แล้ว แต่เริ่มทํางานตามหน้าที่คือ กระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ร่วมกับวิญญาณ ทำให้เกิดการรับรู้
๕.สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เมื่อมีสฬายตนะแล้ว ย่อมต้องมีการผัสสะ คือ การประจวบกระทบกันกับสิ่งที่ถูกรู้ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ทั้ง ๖ หรือเรียกว่า อายตนะภายนอก และมีการรับรู้ (วิญญาณ) เกิดขึ้น เช่น
ตา + รูป + จักขุวิญญาณ กระทบกัน »> ผัสสะ
สังเกตให้ดีว่า เป็นขบวนการธรรมชาติ เป็นธรรมดาที่เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรสสัมผัส กายกระทบสัมผัส ย่อมเกิดวิญญาณการรู้แจ้งในสิ่งที่สัมผัสหรือกระทบนั้นเป็นอาการธรรมดา แต่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดทุกข์ขึ้น
๖.ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น คือมีการกระทบกันของอายตนะภายในและภายนอก และมีการรับรู้ คือ วิญญาณ ก็จะบังเกิดเป็นเวทนา คือการเสวยอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส (โผฏฐัพพะ) ธรรมารมณ์ ที่มากระทบ โดยมีความจํา (สัญญา) มาจําแนกการรับรู้นั้นว่าเป็นถูกใจ ไม่ถูกใจ หรือเฉยๆ จึงแยกเป็น สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุข หรือเฉยๆ ตามมาเป็นธรรมชาติ ผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา
๗.เวทนา เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เมื่อเกิดเวทนาขึ้นมาแล้ว จิตย่อมบังเกิดความรู้สึกภายในที่เป็นตัณหา คือ ความทะยานอยาก อันจําแนกให้เห็นได้ชัดๆ ง่ายๆ เป็นความอยากได้ในอารมณ์ ความอยากมี (ภวตัณหา) หรือไม่อยาก (วิภวตัณหา) หรือเฉยๆ ในเวทนานั้น เกิดขึ้นในขณะจิตนั้นเอง ต้องมีโยนิโสมนสิการถึงจักมองเห็นด้วยตาปัญญาหรือญาณ คือ เข้าใจ
ถ้าเวทนานั้นเป็นเวทนาที่เป็นสุขก็อยากจะได้ อยากให้เกิด อยากให้เป็นไปตามสุขเวทนานั้นนานๆหรือตลอดไป พยายามยึดไว้
ถ้าเวทนานั้นเป็นเวทนาที่รู้สึกเป็นทุกข์ ก็ไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้เป็น ไม่อยากให้มี จะเกิดอาการผลักไสขึ้นในจิตทันที พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
๘.ตัณหา เป็นปัจจัย ให้เกิดอุปาทาน
หมายความว่า ความยึดมั่นถือมั่นนั้นมีความอยากเป็นมูลฐาน เมื่ออยากจึงยึดมั่นถือมั่น ถ้าไม่อยากก็ไม่ยึด ทำนองเดียวกันเพราะหิวจึงกิน ถ้าไม่หิวก็ไม่กิน ตัณหากับอุปาทานนั้น แม้จะเป็นพวกโลภะด้วยกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
▪โดยที่ตัณหาเป็นเหตุ
▪ อุปาทานเป็นผลของตัณหา
คือ ตัณหานั้นเป็นความอยาก ความปรารถนาอารมณ์ที่ยังไม่ได้ ยังมาไม่ถึง อุปาทานเป็นความยึดอารมณ์ที่ได้แล้ว ที่มาถึงแล้ว เช่น อยากเป็น นายพล เป็นตัณหา ครั้นได้รับยศเป็นนายพลแล้ว ก็ถือยศนายพลว่า ข้าคือนายพล นี่เป็นอุปาทาน
》พระพุทธองค์ทรงเปรียบไว้ว่า ตัณหาเหมือนอาการที่ขโมยเหยียดมือออกไปควานหาในที่มืด อุปาทานเปรียบเหมือนอาการที่ขโมยเอามือจับของนั้นไว้ ไม่ย่อมปล่อย อีกอย่างหนึ่ง ตัณหาอย่างอ่อนจัดเป็นตัณหาความอยาก ตัณหาอย่างแรงจัดเป็นกามุปาทาน ตัณหาตรงข้ามกับความปรารถนาน้อย อุปาทานตรงข้ามกับความสันโดษ อุปาทานนี้เองเป็นปัจจัยให้เกิดภพ
๙.อุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมีภพ
เมื่อมีอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจของตน ดังได้กล่าวแล้วว่าอุปาทาน มี ๔ อย่าง คือ
(๑)กามุปาทาน คือ การยึดมั่น พึงพอใจติดพันในกาม ในสิ่งที่อยากได้ในกามหรือทางโลกๆ เช่น ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
(๒)ทิฏฐุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่น ความพึงพอใจในทฤษฎีและความเชื่อหรือทิฏฐิอยากให้เป็น หรือไม่อยากให้เป็นตามที่ตนเชื่อ ตามที่ตนยึดถือ ยึดมั่น
(๓)สีลัพพตุปาทาน คือ การยึดมั่นยินดียินร้ายในศีลและพรต(ข้อปฏิบัติ) ด้วยกิเลส อย่างงมงายผิดๆ เช่น การทรมานกายเพื่อให้บรรลุธรรม การถือศีลอย่างเดียวเชื่อว่าบรรลุธรรม เชื่อว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์
(๔)อัตตวาทุปาทาน คือ ความยึดมั่นในวาทะ (ถ้อยคํา) ว่าตัวตน เป็นความหลงผิด พื้นฐานที่เกิดในชีวิตประจําวันอยู่แล้ว และช่วยเสริมด้วยถ้อยคําภาษาสมมุติที่ใช้สื่อสารกัน ทําให้เกิดมองเห็นสิ่งต่างๆ แยกออกจากกัน เห็นเป็นของตนชัดเจนขึ้นในจิตเป็นประจํา เช่น ของผม ของคุณ บ้านของผม รถของฉัน ลูกของฉัน จนไปยึดถือ ยินดียินร้าย หรือพึงพอใจโดยไม่รู้ตัวตลอดเวลาในทุกขณะจิตในชีวิตประจําวัน
เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่น ก็ย่อมจะมีกรรมภพ คือ การทำบุญทำบาปได้ เช่น เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตน เป็นของตน หรือเป็นของเนื่องด้วยตน โดยความรัก ความหวงแหน ความเห็นผิด จึงมีการกระทำเพื่อสิ่งที่ตนยึดมั่นถือมั่นนั้น ถ้าไม่มีการยึดมั่นถือมั่นก็ไม�
San Nirvana
“วิญญาณ” ในปฏิจจสมุปบาท ตอนที่ 2/2 (ว่าด้วยภาคปฏิบัติ)☀️
🔸️ปรารภเหตุจากโอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา เรื่อง “รู้ คือใจ ไหลไป คือสังขาร” วันที่ 8-9 พฤษภาคม 2563 (อ่านรายละเอียดตามลิงก์ข้างล่างนี้)
http://www.luangtanarongsak.org/…/5352-05-may12-63-ot-63-q2…
~~~~~~~~~~~~~~~
👉โยมส่งการบ้านองค์หลวงตา อ้างถึงโอวาทธรรมบางส่วนดังนี้
“...ขณะจิตใดที่ไม่หลงสังขาร คือ ไม่หลงยึดถือสังขาร ไม่หลงไปเป็นสังขาร ไม่หลงยึดว่าเราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นเรา ไม่ยึดว่าเราเป็นวิสังขาร
*** ก็เป็นใจที่เป็นวิสังขารธรรมโดยอัตโนมัติ จึงไม่มีใครใช้ความพยายามอย่างใด ๆ เพื่อให้ตัวเราเข้าถึงใจ...”
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
เห็นภาพชัดขึ้นเลยเจ้าค่ะ ว่าสังขาร หรือ แม้แต่ตัวเราเป็นเพียง “ของจร” ของจริงมีอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ
เลยไม่ต้องหาของจริง
รู้ว่าอะไรเป็นของจร แยกของจรกับของจริงเป็น ก็เป็นของจริงอัตโนมัติ ไม่ต้องไปหาหรือไปทำของจริง (ถ้าไปทำ “ของจริง” ก็เป็น “ของจร”)
อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจแบบนี้เจ้าค่ะ
☀️หลวงตา : เข้าใจถูกแล้ว
“ใจ” ซึ่งเป็นวิสังขารธรรม เขาเป็นธาตุรู้ เขารู้จักตัวเขาดีว่าเขาเป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฎ ไม่เกิดดับ
ซึ่งความไม่มีอะไรปรากฏ ความไม่ปรุงแต่ง จึงเป็นธรรมชาติถาวร เรียกว่า "อมตะ" หรือ วิมุตติ
จึงไม่มีใครปรุงแต่งทำให้เกิด ทำให้เป็น หรือ ดับเขาได้ หรือ ไม่สามารถจะเอาขันธ์ห้า หรือ ความคิด ความรู้สึกว่าเป็นเรา ตัวเรา ของเรา ซึ่งเป็นสังขารปรุงแต่งไปเป็นเขาได้
ซึ่ง “สังขารธรรม” เป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติเกิดดับจึงไม่ใช่ของถาวร เป็นของชั่วคราว จึงเรียกว่า “สมมติ”
ดังนั้น “ใจ” เท่านั้น จึงรู้จัก “ใจ”
จึงรู้ว่า...
อะไร “เป็นใจ” ที่เป็นวิสังขารธรรมซึ่งเป็นของจริง เป็นธรรมแท้ (สัจธรรม)
อะไร “ไม่ใช่ใจ” เพราะเป็นสิ่งมีกิริยาอาการปรุงแต่ง เกิดดับ เป็นของจรมาชั่วคราว เป็นสมมติ เป็นของปลอม ไม่ใช่ของจริง (สัจธรรม)
แล้วใจเขาก็รู้ว่า... อยู่กับใจที่เป็นของจริง... ของแท้... ธรรมแท้... สัจธรรม
😎 ความพยายามเอาตัวเราไปเป็นใจ หรือ พยายามเอาตัวเราอยู่กับใจอย่างเป็นอมตะตลอดกาล เป็นความเข้าใจผิดมหันต์
แต่เพราะความโง่ ความไม่รู้ (อวิชชา) จึงหลงเอาสังขารไปไล่ดับสังขาร โดยหวังว่าถ้าดับสังขารในใจได้หมดจนเกลี้ยงเกลา เหลือแต่ความว่าง ซึ่งเป็นความว่างที่เกิดจากความปรุงแต่งสร้างขึ้นมา จึงเป็น “ของจร” ย่อมไม่เที่ยง ว่างบ้าง ไม่ว่างบ้าง
ขณะใดพยายามมีสติประคองรักษาไม่ให้มีอาการปรุงแต่งแทรกเข้ามา ก็มีความรู้สึกว่าง ซึ่งความจริงความรู้สึกเป็นเรา “ตัวเรามีสติ” กันไม่ให้มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นในใจนั้นเป็น “อวิชชา” แล้วยังไม่รู้ตัว
เพราะระหว่างนั้น ไม่เห็นความปรุงแต่งแสดงอาการอย่างอื่น ๆ เกิดดับในใจ แต่ก็มีความปรุงแต่งเป็นเรา ตัวเรา ปรุงแต่ง "มีสติ" ปรุงแต่ง “ใจของเราว่าง” (ความว่างเกิดจากความปรุงแต่ง)
หากรู้ซะแล้วว่าทุกอย่างเป็น “ของจร” เขาจะดับ หรือจะไม่ดับ สุดท้าย... ของจรก็เป็นของจร ยังไงเขาก็มีหน้าที่ต้องดับไปเอง
ไม่ใช่หน้าที่จะพยายามเอาสังขารไปไล่ดับสังขาร เพราะแม้สังขารเก่าดับไป ก็เกิดสังขารใหม่เป็นผู้ไล่ดับเขาเรื่อยไป เป็นงูกินหาง...!!
***** ความสำคัญที่สุด ต้องรู้เห็นจากใจในปัจจุบันขณะ (รู้โดยธาตุรู้ ซึ่งเป็นวิสังขาร) ว่า ความคิด ความรู้สึกเป็นเรา ตัวเรา จิต ใจของเรา ในปัจจุบันขณะ เป็นสังขารปรุงแต่ง เป็นธรรมชาติเกิดเอง ดับเอง ไม่มีตัวตนคงที่ ไม่มีเลยที่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวจิต ตัวใจของเรา ที่มีอยู่จริงอย่างเป็นอมตะ
~~~~~~~~~~~~~~~
👦โยม : องค์หลวงตาหมายถึง “ความเห็นผิด” ที่คิดว่ามีตัวเราที่เที่ยงเป็นอมตะ คือ ต้องเห็นด้วยใจว่ามันไม่เที่ยงแท้ถาวรหรอก นี่คือ “การดับวิญญาณ” ที่องค์หลวงตาบอกใช่มั้ยเจ้าคะ?
ดับความเห็นผิดว่ามันมีจริง ๆ ให้เห็นความจริงว่า... มันไม่มีคงที่จริง ๆ เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี... ใช่มั้ยเจ้าคะ?
วันนี้มีคำถามในใจขึ้นมาเจ้าค่ะว่า...
วิญญาณตั้งอยู่ได้เพราะเหตุใด?
อะไรเป็นเหตุเป็นที่ตั้งของวิญญาณ?
☀️หลวงตา : ความคิด ความรู้สึกเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นจิต ใจ ของเรา เกิดดับ เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี เมื่อคิด หรือ รู้สึกว่ามี ก็มีความคิดความรู้สึกนั้นขึ้นมา
แล้วเดี๋ยวก็ดับไป แล้วก็คิด หรือ รู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา จิต ใจของเราขึ้นมาใหม่อยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ดับไปเสียทุกครั้ง
ดังนั้น แม้สังขารปัจจุบันขณะ เขาจะปรุงแต่งคิด รู้สึกเป็นเรา ตัวเรา จิต ใจของเรา แต่ถ้า “ใจ” ซึ่งเป็น “ธาตุรู้” เขารู้แจ้งจากใจแล้วว่า อาการคิด หรือ รู้สึกอย่างนั้น เป็นเพียงสังขารปรุงแต่ง ซึ่งเป็นเพียงคลื่นพลังงานเป็น wave, vibration ที่เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร เกิดเอง ดับเอง... เกิดเอง ดับเอง... เป็นของจร ไม่ใช่ธรรมแท้ คือ ความไม่มีอะไรปรากฏ
ไม่ได้เป็นตัวตนคงที่ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวจิต ใจของเราจริง ก็จะ “หายโง่” สิ้นอวิชชา
ต่อจากนั้น แม้สังขารปรุงแต่งความคิดความรู้สึกอย่างนั้นจะเกิดดับกี่ครั้ง ก็ไม่มีความหมายต่อใจอีกต่อไป
"วิญญาณ" ตั้งอยู่ได้เพราะ “อวิชชา”
คำว่า “วิญญาณตั้งอยู่” ก็แสดงถึงยังมี “อวิชชา” คือ ไม่รู้ความจริงว่าวิญญาณเกิดขึ้น (มีแต่ความคิดปรุงแต่ง ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานเกิดขึ้น) จึงยึดว่ามีวิญญาณ (ปรุงแต่งเป็นรูปวิญญาณขึ้นมา)
เปรียบเหมือนกับกลางวันไม่กลัวผี เพราะไม่ได้คิดปรุงแต่งสร้างผีเป็นตัวตนขึ้นมา พอตกกลางคืนกลัวผี เพราะคิดปรุงแต่งสร้างผีเป็นตัวตนขึ้นมา แล้วคิดปรุงแต่งมีเราเป็นตัวตนกลัวผี
แท้ที่จริง ตัวผีในขณะนั้น และ ตัวเราที่กลัวผีก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เป็นแต่เพียงคลื่นพลังงาน เป็น wave, vibration ที่เกิดขึ้นมาจากความไม่มี แล้วดับกลับคืนไปสู่ความไม่มี
ดังนั้น การปรุงแต่งว่ามีวิญญาณ (ผีตัวเรา) กับการปรุงแต่งตัวผีอื่นจึงไม่ได้มีตัว มีรูปลักษณ์ที่ต้องการ มีที่อยู่ที่ตั้ง เหมือนกับว่าถ้าให้พาไปชี้ว่าผียืนอยู่ตรงไหนจึงกลัวผี จะสามารถชี้ที่ตั้งของผีได้หรือไม่?
ดังนั้น “ถ้าไม่มีอวิชชา ก็ไม่มีวิญญาณ”
แท้ที่จริงทั้ง อวิชชา วิญญาณ เรา ตัวเรา จิต ใจ หรือ วิญญาณของเราเป็นเพียงคลื่นพลังงานที่ปรุงขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติที่เกิดเอง ดับเอง แต่เพราะไม่รู้ (อวิชชา) จึงหลงยึดความปรุงว่ามีอยู่จริง
จึงกล่าวได้ว่าความมีวิญญาณ (จิต ใจ) ตัวเรา ของเรา เกิดขึ้นพร้อมอวิชชา
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในปฏิจจสมุปบาทว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงทำให้เกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดวิญญาณ .........
เพราะอวิชชาดับ (ไม่มี) สังขารจึงดับ (ไม่มี) เพราะสังขารดับ (ไม่มี) วิญญาณจึงดับ (ไม่มี) เพราะวิญญาณดับ ............
สังขารอย่างอื่นต่อจากนั้นในปฏิจจสมุปบาทก็ดับหมด
หรือ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
ขันธ์ห้ามันเป็นสิ่งปรุงแต่งมาจากอวิชชา (ดูในปฏิจจสมุปบาท) มันเป็นวิบากกรรมเก่าที่เกิดมาจากความไม่รู้ (อวิชชา)
ขันธ์มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ซึ่งเวทนา เช่น อาการแน่น อึดอัด ทึบ ตื้อ ร้อนผ่าว... มันเป็นทุกขสัจ ต้องรับผลกรรมที่เกิดมามีขันธ์ห้า จะให้มันไม่ทุกข์ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็มีอาการเป็นทุกข์ เป็นสุข เป็นกลาง จะห้ามมันไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แม้พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์
ก็ต้องรับทุกขเวทนานี้เหมือนกับปุถุชน เวลาธาตุขันธ์จะแตกดับก็ทุกข์ทรมานเหมือนกัน เพียงแต่พระพุทธเจ้า และท่านเหล่านั้น ท่านรู้แจ้งแล้วว่าอะไรเป็นสังขาร อะไรเป็นใจที่ไม่สังขาร (วิสังขาร)
ใจของท่านจึงอยู่กับ “ใจ” ไม่หลง (อวิชชา) เอาใจไปอยู่กับสังขารเวทนา ท่านจึงมีแต่ความทุกข์ทางกาย
แต่ไม่มีความทุกข์ทางใจ
ส่วนปุถุชนจะหลงปรุงแต่งสร้างตัวตน เป็นเรา ตัวเรา ของเรา จึงหลงยึดขันธ์ห้า ยึดสุขเวทนา
เช่น ความรู้สึกว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย
แล้วรังเกียจทุกขเวทนา เช่น ความรู้สึกหนัก แน่น อึดอัด ทึบ ร้อนผ่าว เป็นต้น จึงทุกข์ทั้งกาย และทุกข์ใจด้วย
พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ จึงนิพพานสองครั้ง คือ
ครั้งแรก - นิพพานในขณะยังมีชีวิตอยู่ (สอุปาทิเสสนิพพาน) เพราะ “พบใจ พบธรรม ถึงใจ ถึงนิพพาน” คือ ใจอยู่กับใจ (วิสังขาร) ไม่อยู่กับสังขาร หรือ ขันธ์ห้า แต่เนื่องจากขันธ์ห้ายังไม่ดับ ใจจึงอยู่กับใจและอยู่ร่วมกับขันธ์ห้า ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ครั้งที่สอง - ใจนิพพานแล้ว และขันธ์ห้าแตกดับ (ตาย) ด้วย (อนุปาทิเสสนิพพาน) เหลือแต่ใจ (วิสังขาร) ที่ไม่ปรากฏอะไร จึงสิ้นทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ
ถ้าไม่มีอวิชชา คือ หลงยึดว่ามีตัวเรา จิต ใจ หรือ วิญญาณของเรามีตัวตน มีรูปลักษณ์อยู่จริง หรือ สิ้นอวิชชา ก็จะมีแต่ความแน่น อึดอัด ร้อนผ่าวเฉพาะร่างกาย แต่ไม่แน่น อึดอัดที่ใจ
ซึ่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็ต้องรับทุกข์ทางกายอย่างนี้เหมือนกัน เราจะหลีกเลี่ยงได้หรือ?
👦โยม : ไม่ได้เจ้าค่ะองค์หลวงตา
☀️หลวงตา : “ยถาภูตญาณทัสสนะ” ยอมรับตามความเป็นจริงซึ่งมีผลมาจากกรรมเก่า (วิบาก) นี้ด้วยใจ นี่แหละเป็นประตูก้าวข้ามโลกไปสู่นิพพาน
ซึ่งผู้บรรลุนิพพาน (ถึงใจบริสุทธิ์) ก็ต้องผ่านประตูนี้ทุกท่าน ไม่มียกเว้น...
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนากับคณะศิษย์
วันที่ 11 พฤษภาคม 2563
“อวิชชา อนุสัย สมมติ”
...วันนั้นได้พูดถึงการปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร? ก็เพื่อความดับไม่มีเชื้อนั่นเอง “การปฏิบัติธรรมก็เพื่อความดับไม่มีเชื้อ”
ทีนี้พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้ว ท่านมาพิจารณาปฏิจจสมุปบาท อวิชชาทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ วิญญาณทำให้เกิดนามรูป นามรูปทำให้เกิดสฬายตนะ คือ อายตนะภายใน ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สฬายตนะทำให้เกิดผัสสะ ผัสสะทำให้เกิดเวทนา เวทนาทำให้เกิดตัณหา ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน อุปาทานทำให้เกิดภพ ภพทำให้เกิดชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ คือความทุกข์นั่นเอง อันนี้เรียกว่าสายเกิด
สายดับก็คืออวิชชาดับ ก็ดับลงไปจนถึงทุกข์ดับ อันนี้พูดตามตำราที่ท่านบัญญัติออกมา
พระพุทธเจ้ามาพิจารณาปฏิจจสมุปบาท เหตุนั้นถ้าเราจับจุดนี้มาพิจารณาดู จะดับอวิชชาจะดับอย่างไร คำว่าดับไม่มีเชื้อ ก็คือไม่มีเชื้ออวิชชานั่นเอง
อวิชชาท่านก็บัญญัติออกไป ความไม่รู้แจ้งหรือไม่เห็นแจ้งในทุกข์ ในสมุทัยคือสาเหตุให้เกิดทุกข์ ในมรรคคือข้อปฏิบัติถึงซึ่งความดับทุกข์ ในนิโรธคือความดับทุกข์ นี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
การไม่รู้จักรูปนามในอดีต การไม่รู้จักรูปนามในอนาคต การไม่รู้จักรูปนามทั้งอดีตและอนาคต การไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท อันนี้ล่ะเรียกว่าอวิชชามันเกิด ไม่รู้แจ้งใน ๘ ข้อนี้
เหตุนั้นมันตรงกันข้ามกับคำว่าวิชชา วิชชาคือความรู้แจ้ง ความเห็นแจ้งใน ๘ ข้อนี้นั่นเอง อันนี้พูดแบบตำรา
ทีนี้มาในการปฏิบัตินั้น ในมหาสติปัฏฐานสูตรที่ท่านกล่าวไว้ รวมความทุกบทจะลงคำว่า เห็นกายสักแต่ว่าญาณคือความรู้ สักแต่ว่าสติอาศัยระลึก เห็นเวทนาสักแต่ว่าญาณคือความรู้ สักแต่ว่าสติอาศัยระลึก เห็นจิตสักแต่ว่าญาณคือความรู้ สักแต่ว่าสติอาศัยระลึก เห็นธรรมสักแต่ว่าญาณคือความรู้ สักแต่ว่าสติอาศัยระลึก แล้วก็ต่อมา อันตัณหาทิฏฐิอาศัยเกิดไม่ได้ เมื่อทิฏฐิเกิดไม่ได้ ตัณหาก็เกิดไม่ได้ ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้ นั้นจึงเป็นที่สุดแห่งกองทุกข์นั่นเอง…
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ปฎิจจสมุปบาท
โดยรากฐานแล้ว อริยสัจ ๔ ขับเคลื่อนด้วยเหตุปัจจัย
และแสดงให้เห็นถึงกฏของเหตุและผล
พระพุทธองค์ได้แจกแจงธรรมชาติ
อันเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันของอริยสัจ ๔
ด้วยการอธิบายหลักแห่งปฎิจจสมุปบาท
รากฐานของคำสอนเรื่องปฎิจจสมุปบาทมาจากความจริงที่ว่า
การอุบัติขึ้นของเหตุการณ์ทั้งปวง
ซึ่งหมายถึงประสบการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา
สรรพสิ่งต่างๆหรือเหตุการณ์ทั้งหลาย
ล้วนเป็นเพียงผลของเหตุปัจจัยที่มาประกอบกัน
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจคำสอนในจุดนี้ให้ชัดเจน
เพราะเราจะได้เห็นกันต่อไปว่า
หลักการข้อนี้คือรากฐานของคำสอนเรื่องความว่าง
อันเป็นหัวใจของ หฤทัยสูตร ปฎิจจสมุปบาทมีองค์ ๑๒ ดังนี้
๑ อวิชชา คือความไม่รู้ในอริยสัจ ๔
๒ สังขาร คือความปรุงแต่ง
๓ วิญญาณ คือความรู้แจ้งอารมณ์
๔ นามรูป คือสิ่งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม
๕ สฬายตนะ คืออายตนะทั้ง ๖
๖ ผัสสะ คือสัมผัส
๗ เวทนา คือความรู้สึก
๘ ตัณหา คือความอยาก
๙ อุปทาน คือความยึดมั่น
๑๐ ภพ คือภาวะชีวิต
๑๑ ชาติ คือกำเนิด
๑๒ ชรามรณะ คือความแก่และความตาย
เหตุปัจจัยที่โยงใยสืบเนื่องกัน
โดยเริ่มจากอวิชชาไปจนถึงชาติและมรณะนี้
แสดงให้เห็นถึงกระบวนการของชีวิตที่ไม่รู้แจ้งหรือมีอวิชชา
เมื่อเราพิจารณาที่ความดับไปของปรากฏการณ์แต่ละข้อ
แทนที่จะเริ่มจากการเกิดขึ้นของมัน
ลำดับของความเป็นเหตุเป็นผลนี้จึงกลับกันเป็นตรงข้ามกัน
คือจะเริ่มจากการดับของชรามรณะ
และถอยหลังผ่านการดับของความเกิดไปเรื่อยๆ
เมื่อพิจารณาในลักษณะปฏิโลมเช่นนี้
จึงเห็นกระบวนการของเหตุปัจจัยที่นำไปสู่ความ รู้แจ้ง
ด้วยเหตุนี้เอง ปฎิจจสมุปบาททั้ง ๑๒ องค์จึงสามารถอธิบายได้
ทั้งกระบวนการของเหตุปัจจัยที่นำไปสู่ความรู้แจ้ง
และเหตุปัจจัยที่นำไปสู่อวิชชา
ด้วยปฎิจจสมุปบาทนี้เอง
พระพุทธองค์สอนว่าสรรพสิ่งและเหตุการณ์ทั้งปวง
รวมทั้งประสบการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเรา
อุบัติขึ้นในฐานะที่เป็นเพียงผลของเหตุปัจจัยเท่านั้น
เมื่อเข้าใจความจริงข้อนี้เราก็จะเห็นว่า
โดยธรรมชาติแล้วสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวเนื่องโยงใยซึ่งกันและกัน
สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นได้ก็เพราะเป็นผลของสิ่งอื่นและปัจจัยอื่นทั้งสิ้น
พระพุทธองค์สอนว่าการที่สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
โดยอาศัยอีกสิ่งหนึ่งเป็นปัจจัยนั้น
แสดงให้เห็นว่ามันจะต้องไม่มีแก่นสารที่เป็นเอกเทศ
จากปรากฏการณ์อื่นๆคือจะต้องไม่สามารถ ดำรงอยู่ได้ในตัวมันเอง
(ไร้สวภาวะ)ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า
สิ่งใดก็ตามที่ต้องอาศัยสิ่งอื่นเกิด
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งนั้นโดยจะต้อง"ว่างเปล่า"เช่นกัน
ปฏิจจสมุปบาท ภาคปฏิบัติ
หลักธรรมที่ "พาหิยะ" ฟังและส่งกระแสจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ในที่ตรงนั้นทันที
.
" ปฏิจจสมุปบาท ในฝ่ายภาคปฏิบัติแท้ๆนั้น มันก็มีเพียงหยิบมือเดียวหรือกำมือเดียว เท่าที่พระพุทธเจ้าท่านว่า คือว่า..เมื่อสัมผัสกันเข้ากับรูป หรือเสียง หรือกลิ่น หรือรส อะไรก็ตาม ทางตา ทางหู ฯ ทางใดทางหนึ่ง เมื่อมีการกระทบแล้วก็เรียกว่า "สัมผัส" ภาษาบาลีว่า "ผัสสะ" ผัสสะนี้ปรุงให้เป็นเวทนา เวทนานี้ปรุงเป็นตัณหา ตัณหานี้ปรุงเป็นอุปาทาน อุปาทานปรุงเป็นภพ ภพปรุงเป็นชาติ คือความเกิด ต่อจากชาติก็คือ แก่ เจ็บ ตาย คือตัวทุกข์
.
ให้ดูที่ว่า พอมากระทบอารมณ์ก็เป็นผัสสะ แล้วมันปรุงเป็นเวทนา หรือที่ปรุงต่อๆกันไปนั้น ก็เรียกว่า "อาการของปฏิจจสมุปบาท" คืออาการของการที่สิ่งต่างๆมันอาศัยสิ่งหนึ่งแล้วปรุงสิ่งหนึ่งขึ้น, แล้วอาศัยสิ่งนั้นปรุงอีกสิ่งหนึ่งขึ้น, อาศัยสิ่งนั้นแล้วปรุงอีกสิ่งหนึ่งขึ้น, อาการอย่างนี้หรือภาวะอย่างนี้ก็เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท คือ อาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันเกิดขึ้น เท่านั้น ไม่ได้มีตัวจริงที่ไหน เพียงแต่พึ่งพาอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น แล้วเกิดขึ้น เอาอาการที่อาศัยกันเกิดขึ้นนี้เป็นตัว "ปฏิจจสมุปบาท"
.
วิธีที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็คือว่า..อย่าให้มันอาศัยกันเกิดขึ้นได้ ให้ตัดตอนมันเสีย
.
คือว่า เมื่อผัสสะกระทบทางตา ฯ เป็นต้นแล้ว ให้มันขาดตอนลงไป อย่าให้ปรุงเป็นเวทนา อย่าให้รู้สึกเป็นพอใจหรือไม่พอใจขึ้นมา นี้เรียกว่าไม่ปรุงเวทนา เมื่อไม่ปรุงเวทนาแล้วก็ไม่เกิดตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็น "ตัวกู" หรือ "ของกู" มันเป็นตัวกู-ของกูอยู่ตรงที่เกิดตัณหา อุปาทาน นั่นแหละ มายาอยู่ที่ตรงนั้น ถ้าพอกระทบอารมณ์เป็นผัสสะล้วนๆแล้วหยุดแต่แค่นั้น มันก็ไม่มีทางที่จะเกิด ตัวกู-ของกู มันก็ไม่เป็นโรคทางวิญญาณ และไม่เป็นทุกข์..."
--------------------------------------
หลักที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวกชื่อ "พาหิยะ"
" ความรู้สึกว่า “ตัวกู-ของกู” นี้ เรียกว่า "อุปาทาน" เกิดมาจากตัณหา
“ถ้าปฏิจจสมุปบาทได้ส่งทยอยกันมาจนถึงตัณหา อุปาทาน แล้ว มันก็เป็นมูลเหตุของความทุกข์ได้โดยสมบูรณ์แล้ว นี้แปลว่า เดี๋ยวนี้เชื้อโรคฟักตัวเต็มที่แล้ว เชื้อโรคที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในขณะของผัสสะหรือเวทนานั้น เมื่อมาถึงขั้นของตัณหา อุปาทาน นี้ มันฟักตัวเต็มที่ ถึงขนาดจะเป็นอาการของโรคโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะว่าหลังจากอุปาทานก็มีภพ “อุปาทาน ทำให้เกิด ภพ”
"ภพ" แปลว่า ความมี-ความเป็น ความมี-ความเป็น ของอะไร? ก็ของ ตัวกูและของกูนั่นเอง
"กรรมภพ" ก็คือ การกระทำที่ทำให้เกิด “ตัวกู และ ของกู” ถ้าเรียกว่า “ภพ” เฉยๆ ก็คือ ภาวะแห่ง “ตัวกู” เต็มที่ เป็นโรคเต็มที่
“ภพ” ให้เกิด “ชาติ” ก็หมายความว่า ความเต็มที่นั้นมันแสดงออกมาเป็น “ชาติ” คือความเกิดนี้ "ตัวกู"ได้เกิดออกมาแล้ว เป็นความทุกข์ เป็นความแก่ ความตาย โศกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส มากมายเหลือที่จะจาระไนอาการ แต่รวมเรียกว่า "เป็นทุกข์"
ขณะนี้ก็คืออาการที่เรากำลังเจ็บปวดทุรนทุรายอยู่ด้วยผลของโรค นี้เรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท" ได้เป็นมา ได้ทยอยกันมา จนถึงกับเกิดโรค หรือ เกิดทุกข์
ในทางปฏิบัติ เราหยุดมันเสียให้ได้ตรงที่ “ไม่ให้ผัสสะปรุงเวทนา” หรือ ถ้าพลาดตรงนั้นก็ให้มาทำตรงที่ไม่ให้เวทนาปรุงเป็นตัณหา หลังจากนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้
เพราะฉะนั้น เราพยายามมีธรรมะกันให้ได้ ตรงที่...ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น นี้ โดยที่เราศึกษาอบรมกันอยู่เป็นประจำในข้อที่ว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" แปลว่า คนธรรมดาเขามีแนวว่า ถ้าเกิดผัสสะแล้วเกิดเวทนา แล้วเกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ นี้ เป็นทางที่เดินกันจนเตียนโล่งไปหมด เดินง่ายที่สุด
แต่เราไม่เอาอย่างนั้น พอมีผัสสะกระทบแล้วเราก็วกกลับเดินไปในทางของสติปัญญา ไม่เดินไปทาง "ตัวกู-ของกู" อย่างนี้ไม่มีทุกข์เลย ทุกวันทุกคืนจะไม่มีทุกข์เลย แล้วถ้าทำได้เก่ง คือทำไปตามวิธีที่ถูกต้องถึงที่สุดแล้ว เป็นพระอรหันต์ได้ในตัวเอง
ถ้าเอาตามหลักที่พระพุทธเจ้ากล่าว มันก็มีหลักง่ายๆ คือหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวก ชื่อ "พาหิยะ" ว่า...
“ดูกร พาหิยะ เมื่อใดเธอได้เห็นรูป สักว่าตาเห็น ได้ฟังเสียง สักว่าหูได้ยิน ได้ดมกลิ่น ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ก็สักแต่ว่าได้ชิม ได้สัมผัสผิวหนัง ก็สักแต่ว่า เป็นการกระทบทางผิวหนัง จะคิดนึกขึ้นมาในใจ ก็สักแต่ว่ารู้สึกตามธรรมชาติขึ้นมาในใจ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เมื่อนั้นตัวเธอจักไม่มี (คือ ตัวกูไม่มี) เมื่อตัวเธอไม่มี การวิ่งไปทางโน้น หรือวิ่งมาทางนี้ หรือหยุดอยู่ที่ไหนก็ตาม มันก็ไม่มี นั่นแหละคือที่สิ้นสุดของความทุกข์ นั่นแหละคือ “นิพพาน”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมกถาในโอกาสพิเศษ ที่มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล หัวข้อเรื่อง "ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา" เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๔
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
< กฎสูงสุดของธรรมชาติ >
ธรรมชาติก็คือสิ่งที่ปรากฏอยู่จริงจนเราเห็นเป็นของธรรมดานี่เอง โดยสิ่งที่มีอำนาจสูงสุดที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปนี้ ทางพุทธศาสนาจะเรียกว่าเป็น กฎของธรรมชาติ ซึ่งกฎของธรรมชาตินี้มีอยู่มากมายหลายกฎ แต่กฎที่เป็นกฎสูงสุดที่ทุกกฎของธรรมชาติ จะต้องขึ้นอยู่กับกฎนี้จะเรียกว่า "กฎสูงสุดของธรรมชาติ" หรือ "กฎสูงสุดของเอกภพ" โดยกฎสูงสุดนี้ก็ได้แก่กฎที่บังคับเอาไว้ว่า
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น”
กฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ก็คือกฎพื้นฐานง่ายๆที่บังคับเอาไว้ว่า “การที่สิ่งใด (ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือจิต) จะเกิดขึ้น (การเกิดขึ้นก็คือจากที่ไม่มีอยู่ก่อน แล้วจึงมีขึ้นภายหลัง)
》จะต้องอาศัยเหตุ (สิ่งที่มากระทำ) และปัจจัย (เหตุย่อยๆ) มาร่วมกันปรุงแต่ง (การปรุงแต่งก็คือการที่ธรรมชาตินำเอาสิ่งต่างๆหลายๆสิ่งมาทำให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ อย่างเช่น นำเอาดิน น้ำ ความร้อน และอากาศ มาทำให้เกิดเป็นพืช, ผลไม้, สัตว์, และร่างกายของคนเราขึ้นมา เป็นต้น) ให้เกิดขึ้น”
ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า “ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุและปัจจัย” แต่ถ้าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุและปัจจัย ก็แสดงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติ ตามความเชื่อของศาสนาประเภทเทวนิยม อย่างเช่น ความเชื่อเรื่องผี เทวดา นรก สวรรค์ เป็นต้น
กฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ก็คือกฎของเหตุและผลตามหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง คือ
》เมื่อมีเหตุจึงมีผล, เมื่อไม่มีเหตุ ก็ไม่มีผล, เมื่อเหตุเกิดขึ้น ผลจึงเกิดขึ้น, เมื่อเหตุดับหายไป ผลจึงดับหายไป
ซึ่งกฎนี้ดูว่าจะเป็นกฎง่ายๆที่ใครๆก็ยอมรับ แต่จากฎสูงสุดนี้เองที่เป็นเหตุให้เกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นถ้าเรานำกฎสูงสุดนี้มาศึกษาสิ่งทั้งหลายของธรรมชาติอย่างจริงจัง เราก็จะเกิดความเข้าใจถึงความจริงสูงสุด (ความจริงแท้) ของธรรมชาติทั้งหลายได้ โดยเฉพาะร่างกายกับจิตใจของเรา คือทำให้เราเข้าใจถึงความจริงแท้เรื่องความเป็นสุญญตา (ความว่างจากตัวตนของเรา) ของร่างกายกับจิตใจได้ ซึ่งความเข้าใจในความจริงเรื่องความเป็นสุญญตาของร่างกายกับจิตใจนี้เอง ที่เป็นหัวใจของปัญญาในพุทธศาสนา
แต่การที่จะเข้าใจกฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ได้อย่างถูกต้อง เราจะต้องมาทำความเข้าใจกับคำเหล่านี้ก่อน อันได้แก่คำว่า
เหตุ ที่หมายถึง สิ่งที่กระทำให้เกิดผล
ปัจจัย ที่หมายถึง เหตุย่อยๆ หรือสิ่งที่มาสนับสนุนเหตุ
ผล ที่หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุ
ปรุงแต่ง ที่หมายถึง การ (กิริยา) ทำให้เกิดขึ้น
สิ่งปรุงแต่ง หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยมาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น
เกิดขึ้น ที่หมายถึง จากการที่ไม่มีอยู่ก่อน แล้วจึงมามีขึ้นในภายหลัง
ดับหายไป ที่หมายถึง จากการที่เคยมีอยู่ก่อน แล้วจึงมาหายไปในภายหลัง
< ต้องเข้าใจคำว่าปรุงแต่งก่อน >
มีคำๆหนึ่งที่เราจำเป็นต้องเข้าใจความหมายของมันก่อน จึงจะศึกษากฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ได้เข้าใจ คือคำว่า "ปรุงแต่ง" ที่หมายถึง การผสมและตบแต่ง หรือหมายถึง การกระทำ ก็ได้ แต่จะหมายถึงการกระทำโดยธรรมชาติเท่านั้น คือหมายถึง การกระทำของธรรมชาติ ที่นำเอาสิ่งต่างๆหลายๆสิ่งมาผสมหรือรวมกัน แล้วก็ตบแต่งให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนกับการที่เรานำเอาส่วนผสมและเครื่องปรุงต่างๆของอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง มาผสมรวมกันอย่างพอเหมาะ แล้วปรุงด้วยความร้อนอย่างพอดี ก็จะเกิดเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่เอร็ดอร่อยขึ้นมาได้ หรือเหมือนกับการที่เรานำเอาดินเหนียวมาผสมน้ำให้อ่อนนิ่ม แล้วปั้นเป็นรูปร่างของสิ่งต่างๆขึ้นมา
คำว่าปรุงแต่งนี้จะใช้เฉพาะในการกระทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาโดยธรรมชาติเท่านั้น
คือเมื่อธรรมชาติได้นำเอาสิ่งต่างๆมาปรุงแต่งให้เกิดเป็นสิ่งใดขึ้นมาแล้ว สิ่งนั้นแทบจะไม่หลงเหลือลักษณะของสิ่งที่นำมาปรุงแต่งนั้นให้เราได้พบเห็นหรือรับรู้ได้เลย เพราะมันได้รวมตัวกันจนกลายเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการปรุงแต่งนี้ เราจะเรียกว่าเป็น “สิ่งปรุงแต่ง”
อย่างเช่น การที่ต้นแอปเปิลได้นำเอาดินหรือปุ๋ย พร้อมกับน้ำ รวมทั้งอากาศ มาผสมกันแล้วปรุงโดยใช้ความร้อนจากแสงแดด แล้วตบแต่งให้เกิดเป็นลูกแอปเปิล ที่มีลักษณะรูปร่างสวยงาม และมีกลิ่นหอมเฉพาะของมัน รวมทั้งมีรสเอร็ดอร่อยขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
โดยที่มันแทบจะไม่หลงเหลือลักษณะของดินหรือปุ๋ย น้ำ อากาศ และความร้อนให้เราได้พบเห็นหรือรับรู้ได้เลย เป็นต้น (ส่วนการกระทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาโดยคนหรือสัตว์นั้นไม่ควรใช้คำว่าปรุงแต่ง ควรเรียกว่าเป็นการทำหรือสร้างหรือประกอบหรือประดิษฐ์ เพราะเมื่อทำให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาแล้ว ก็ยังทำให้เราพบเห็นสิ่งที่นำมาทำนั้นได้ อย่างเช่น รถยนต์ที่เรายังคงพบเห็นเหล็ก อลูมิเนียม พลาสติก ยาง และแก้ว เป็นต้น ที่มาประกอบเป็นรถยนต์นั้นขึ้นมา)
จาก...< สุญญตา - สิ่งทั้งหลายไม่ได้มีอยู่จริง >
เรียงเรียงโดย เตชปัญโญ ภิกขุ
กฎที่เหนือกฎทั้งปวง
อิทัปปัจจยตา แปลว่า เพราะมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น ซึ่งมีความหมายว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น, เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี, เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป ย่อได้ความว่า คือส่วนที่เป็นเหตุมี ส่วนที่เป็นผลก็จะมี เมื่อส่วนที่เหตุดับไป ส่วนที่เป็นผลก็ดับไป เรียกว่า กฏของธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติ มีอำนาจของสูงสุดของธรรมชาติ เรียกว่า กฏอิทัปปัจจยตา ใช้กับทุกสิ่ง ทั้งนามธรรม และรูปธรรม
พึงให้ความสำคัญของ อิทัปปัจจยตา ในฐานะเป็นกฎแห่งกรรม สามารถใช้แก้ทุกปัญหาได้ทันการณ์
เข้าใจกรรมประเภทศีลธรรม และกรรมประเภทสัจธรรม สรรพสิ่งล้วนอยู่ภายใต้กฎเดียวกัน
หลักอิทัปปัจจยตาซึมซ่านอยู่ในเหตุปัจจัยแห่งการก่อเกิด การดำรงอยู่ การมีปฏิสัมพันธ์ และเสื่อมสลาย ของสรรพสิ่งในจักรวาล
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ คือค้นพบกฎของธรรมชาติ ที่เรียกว่าอิทัปปัจจยตา คือกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ อันเฉียบขาดตายตัว ว่าความทุกข์จะต้องเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ว่าความทุกข์จะต้องดับไปอย่างนี้ ถ้ารู้จริงมันก็ป้องกันได้ ดับทุกข์ได้ อยู่ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่เรียกว่าเราได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ถ้ายังมีความตื่นเต้น ยังเห็นอะไรประหลาด ยังเห็นอะไรน่าอัศจรรย์ หรืออะไรลึกซึ้งลึกลับอยู่ นั่นก็คือผลของการที่ไม่เห็นอิทัปปัจจยตา
การใช้หลัก อิทัปปัจจยตา - ปฏิจจสมุปบาท - ตถตา - สุญญตา เป็นอมฤตโอสถ ซึ่งทำให้อยู่ เหนือความตาย หรือ เหนือการเวียนว่าย ตายเกิด เพราะ ทำให้หมดตัวตน และของตน
โดย..ท่านพุทธทาสภิกขุ