915. เฝ้าองค์แห่งพุทธะ
..เมื่อเรานั่งดูใจ. ดูมือที่เคลื่อนไหว..โดยมีใจรู้
เราจะเห็นความคิด. เห็นความปรุงแต่งดี..ชั่ว.
(มีวิตกวิจาร) เรามีความรู้สึกอิ่มใจ..ตื้นตันใจ.
(มีปิติ) เรามีความแช่มชื่น(สุข).มีจิตแน่วแน่.
(เอกัคตา).นั่นคือเราได้ฌาน๑แล้ว.
#....เมื่อมีสติต่อเนื่องต่อไป พอความคิดเกิด..เราจะเห็น
แล้วความคิดมันจะดับ ..ยิ่งดับบ่อยเท่าไร.วิปัสสนา
จะเข้ม..ในที่สุดความรู้ตัวจะนำหน้าความคิด
มันจะเหนือคิด. .เหนือโลก..นั่นเป็นปรมัตถ์..
**.....ช่วงที่เราเจริญสติมากๆ. จิตมันจะตื่น..จะ
สำรอก อาเจียนสัญญาความคิดที่ฝังอยู่ในจิต
ออกมา. เราจะเห็นความคิดไหลพร่างพรูออก
มา..ทั้งลืมตาหลับตา..เป็นภาพประหลาดๆมีทั้ง
ภาพอกุศล..ภาพกุศล.บางทีเห็นภาพอดีต.ภาพ
ใบไม้..พระพุทธรูป..วิหารโบสถ์..เสียงทิพย์..
เสียงโต้ตอบของจิต..แสงสว่าง..นั่นเป็นการชำระวิบากออกมา...จงตั้งสติเห็นโดยไม่ใส่ใจ..
. .จนความรู้สึกตัวเป็นอัตโนมัติ..นั่นคือมหาสติ
เป็นต้นทางขององค์หนึ่งในมรรค๘..เป็นทาง
เดินเข้าหาพระพุทธเจ้าที่แท้จริง..เป็นทางตรง
เป็นองค์แห่งพุทธะ..เสมือนเราได้เข้าเฝ้าพุทธ
องค์ทุกเช้าค่ำ..ทุกขณะจิต..
....เราจะมีสุข.เย็น
ด้วยร่มโพธิ..จนเราหลอมละลายเป็นเนื้อเดียว
กับพุทธองค์ กับพระรัตนตรัย..นั่นคือการเข้า
เฝ้าพระพุทธเจ้า ที่สมบูรณ์ที่สุด
โดย…..ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ
เมื่อหลวงพ่อพุทธทาสตัดสินใจเดินทางจากกรุงเทพมหานคร กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนเพื่อค้นคว้าศึกษาพุทธธรรมจากพระไตรปิฎกและจัดระบบชีวิตของการประพฤติพรหมจรรย์ตามรอยพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านได้พำนักที่วัดตระพังจิก ซึ่งเป็นวัดร้างมาหลายสิบปี เป็นที่สงบสงัดสมควรเป็นที่บำเพ็ญความเพียรเพื่อการขูดเกลาศึกษาค้นคว้า ต่อมาท่านเรียกสถานที่นี้ว่า สวนโมกขพลาราม แปลว่า สถานที่อันร่มรื่นเป็นพลังแห่งความหลุดพ้น
หลวงพ่อพุทธทาสใช้เวลา ศึกษา ปฏิบัติและเผยแพร่พุทธธรรมจากพระไตรปิฎกที่เรียกว่า ชุดธรรมโฆษณ์จากพระโอฐ์ จำนวนมากมายมหาศาล ท่านเคยกล่าวว่า ต่อจากนี้ไปใครจะบ่นไม่ได้อีกว่า ไม่มีหนังสือธรรมะอ่าน เพราะท่านได้เขียนไว้ทุกประเภททุกขนาด สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกขั้นตอนของชีวิต
อย่างไรก็ตามแก่นธรรมที่หลวงพ่อได้แสดงไว้สามารถสรุปลงได้ในเก้าตาคือ
๑) อนิจจตา แปลว่าความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลง แปรปรวนไป ไหลเรื่อย
๒) ทุกขตา สภาพที่ทนได้ยาก เมื่อสิ่งต่างๆอยู่ภายใต้กฎอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดทนอยู่ในสภาพเดิมได้ต้องเปลี่ยนไปในรูปต่างๆจากความใหม่สู่ความเก่า จากความเก่าสู่ความสูญสลายไม่สามารถจะทนทานได้ในสภาพเดิม
๓) อนัตตตา ความไม่มีตัวตน ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจาก การรวมตัวกันของธาตุเพียงชั่งคราว เมื่ออนิจจังแสดงอำนาจไม่มีสิ่งใดจะเป็นตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร หาตัวตนที่เป็นแก่นสารไม่ได้ พบกันเพียงชั่วขณะแล้วก็อำลากันไป
๔) ธัมมัฏฐิตัตตา แปลว่า ความดำรงอยู่แห่งธรรมดาหรือธรรมชาติ เช่นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกแล้ว ตกทางทิศตะวันตก เคยเป็นมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
๕) ธัมมนิยามตา ความเปลี่ยนแปลงทำให้สิ่งต่างๆเป็นไปตามวิถีของมัน เช่นใบไม้ดอกไม้หลากหลายชนิดที่มีสีสรรแตกต่างกัน มีทั้งขาว เขียวเหลือง แดงปะปนกันไป ต้นไม้หรือใบไม้ที่เคยมีสีสรรอย่างนั้นก็คงความเป็นอย่างนั้นของมันไม่เหมือนกันกับสิ่งอื่นเรียกว่า ถูกกำหนดโดยธรรม
๖) สุญญตา แปลว่าความว่าง ทุกสิ่งเป็นเพียงมายาภาพที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผ่านมาเท่าไรก็ผ่านไปเท่านั้น สิ่งใดเกิดจากความว่างสุดท้ายก็สลายไปสู่ความว่าง ซึ่งความว่างนี้มีอยู่ในสรรพสิ่ง
๗) อิทัปัจจยตา แปลว่า อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาลอยๆโดยไร้เหตุปัจจัย แต่สิ่งทั้งหลายไม่ว่านามหรือรูปล้วนเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย หรือกฎแห่งเหตุและผล สอดรับกันไปเป็นกระบวนการ
๘) ตถาตา สภาวะที่เปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ ต้องมีเหตุปัจจัยประกอบกันเข้า เป็นเพียงมายา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารทุกอย่างล้วนมาจากความว่างเปล่าไปสู่ความว่างเปล่า ไม่เป็นอย่างอื่น แต่จะเป็นอย่างนั้นตลอดไปเรียกว่า ตถาตา ความเป็นเช่นนั้นเอง
๙) อตัมมยตา หลวงพ่อพุทธทาสแปลได้ถึงใจว่า กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย เมื่อใดเห็นแจ้งด้วยปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดจากเหตุปัจจัยล้วนผ่านมาแล้วผ่านไป แบกสิ่งใดก็หนักเพราะสิ่งนั้น ครั้นวางลงไปไม่หยิบฉวยมาเป็นเราหรือของเราทุกอย่างก็ว่างโล่งโปร่งสบาย เมื่อประจักษ์ชัดว่า แบกทุกครั้งหนักทุกครั้ง ยึดทุกครั้ง ทุกข์ทุกครั้ง วนเวียนซ้ำซาก จึงเปล่งวาจาด้วยความเห็นแจ้งว่า อตัมมยตา กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย
เหล่านี้คือหัวใจของพระพุทธศาสนาที่หลวงพ่อพุทธทาสได้นำมาสอนเพื่อนมนุษย์ให้ได้รับประโยชน์อย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ
ธรรมะ 9 ตา มีความสำคัญคือเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การดับทุกข์ เมื่อได้ปฏิบัติตามแล้วสามารถทำให้เราไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง และสามารถเข้าใจสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้มากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้เราไม่เป็นทุกข์นั่นเอง
< ธรรมะ 9 ตา >
ทำอย่างไร? จึงจะอยู่เหนือความตาย
และ ไม่ผิดหวังกับอะไรๆเลย
“ เมื่อสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ “ตัวตน” ไม่ใช่ “ของตน” แล้วไปยึดถือเอาว่า เป็นตัวตน เป็นของตน ดังนี้ มันก็เป็นตัวเป็นตน หรือเป็นของของตนให้ไม่ได้ คือมันจะต้องเป็นไปตามเรื่องของมัน ( ตามเหตุ-ปัจจัย เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) ครั้นมันเป็นไปตามเรื่องของมัน คนโง่ที่เข้าไปยึดถือนั้นต้องนั่งเช็ดน้ำตา เพราะว่าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา นั่นแหละ คือผลของการที่เข้าไปยึดถือโลกนี้ว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของของตน
.
แต่ถ้ามองเห็นชัดแจ้งว่า โลกนี้ หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน ยึดถือเอาให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ มันต้องเป็นไปตามเรื่องของมัน ( ตามเหตุ-ปัจจัย อยู่ภายใต้กฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) ดังนี้แล้ว “ก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผิดหวัง” เพราะตนไม่ได้หวังอะไรเลย เป็นผู้ไม่มีความหวัง ว่าอะไรๆจะต้องเป็นอย่างนี้, จงอย่าเป็นอย่างนั้น, จงมาเป็นอย่างนี้ ตามความต้องการของตน ดังนี้
.
คนที่มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างจากตัวตน จึงเป็นคนที่ไม่เคยผิดหวังเลย อะไรๆก็ล้วนแต่เป็นไปตามความรู้สึกที่ถูกต้องทั้งนั้น มองเห็นความจริงไว้ล่วงหน้า แล้วสิ่งทั้งหลายก็เป็นไปตามนั้น แล้วจะผิดหวังได้อย่างไร ในที่สุดก็ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเป็นทุกข์ เป็นคนที่มีจิตใจปกติสงบอยู่ได้
.
นี่แหละ เรียกว่า “อยู่เหนือความตาย” คือว่า สิ่งทั้งหลายที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนั้น มันจะแตกทำลายวิบัติฉิบหายไปอย่างไร เท่าไร ที่ไหนเมื่อไหร่ ก็ไม่มาทำให้จิตของบุคคลนี้ ให้มีความเดือดร้อนได้แม้แต่หน่อยเดียว เพราะเขาไม่ได้ยึดถือสิ่งเหล่านั้นว่า เป็นตัวตน หรือเป็นของของตน มาแต่กาลก่อน จึงเป็นคนที่อยู่เหนือความตายของทุกสิ่งทุกอย่าง จะเป็นความตายของมด แมลง หรือเป็นความตายของบุตร ภรรยา ที่เป็นที่รักใคร่หวงแหน ก็มีความหมายเท่ากัน ปัญหาเรื่องความตายของใครก็ตาม ไม่ครอบงำจิตใจของบุคคลที่มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างจากตัวตน ดังนี้เลย.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : มาฆบูชาเทศนา หัวข้อเรื่อง หัวข้อเรื่อง สุญญตาเวกขณถา การเห็นสุญญตาคือคุณธรรมของพระอรหันต์ ณ ศาลาโรงธรรม กันฑ์บ่าย ของมาฆบูชาเทศนา เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑
------------------------------------------
มีคำอธิบายใน “ธัมมัปปโชติกา ภาค ๑” ว่า
“ ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตตฺตา สุญฺญโต ”
(แปลว่า) ชื่อว่า สุญญตา เพราะว่าว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เพราะจิตในขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาเห็นว่าโลกว่าง
.
ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสสอนว่า “จงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เสมอ” เหมือนอย่างทรงสอนโมฆราช ใน “โสฬสปัญหา” ว่า...“ สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต = ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอไป” เมื่อเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง จิตก็ไม่มีความยึดถืออะไรด้วยอุปาทาน ความว่างอย่างนี้ของจิตเราเรียกว่า “สุญฺญตา”
.
ฉะนั้น เราได้ใจความครั้งแรกว่า “โลกนี้ว่าง” เพราะว่างจาก “ตัวตน” “ของตน” ได้ใจความถัดมาว่า “จิตว่าง” เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ โดยเหตุที่จิตนี้ได้มองเห็นว่าโลกนี้ว่าง ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าตัวตนของตน นี่คือ ความหมายของคำว่า “สุญญตา”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง “สุญฺญตา หัวใจของพุทธศาสนา”
------------------------------------------
“การเห็นสุญญตา กล่าวคือ การเห็น นาม และ รูป หรือสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของ “ว่างจากตัวตน” โดยสิ้นเชิง จะทำให้เห็น “ความไม่มีการเกิด” ของอะไรๆทั้งสิ้น
.
ไม่มีใครเกิดมาเสียตั้งแต่แรก แล้วจะมีใครตายได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความตายจึงไม่มี
.
การเห็นสุญญตาทำให้ไม่มีตัวคนเรา หรือตัวตนของใครเลย มีแต่ “สุทฺทธมฺมา ปวตฺตนฺติ : ธรรมชาติล้วนๆไหลไป”
จิตไม่มีความรู้สึกยึดว่า เราเกิดขึ้น เรามีอยู่ เราดับไป ฉะนั้น “ความตายจึงไม่มี” สำหรับจิตที่มองเห็นสุญญตาอย่างถูกต้อง”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “ตายก่อน ก่อนตาย ชีวิตที่ชนะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย”
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ * รวบรวม. ##
อริยสัจจ์แห่งจิตของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตเห็นจิตเป็นมรรค ในการภาวนานั้น การฝึกรู้ด้วยจิตในสติปัฏฐาน 4 ก็เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิได้มากพอ ผลที่ตามมาก็คือ เกิดการแยกตัวออกของจิต(ผู้รู้) และ อาการของขันธ์ (ซึ่งก็คือ สิ่งที่ถูกรู้) ซึ่งในสภาวะตอนนี้ ในวงการภาวนาจะเรียกว่า สภาวะแห่งการเป็นของคู่ คือ มีผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ ในบรรดาสิ่งที่ถูกรู้นั้น คือ อาการต่าง ๆในขันธ์ 5 สิ่งถูกรู้เหล่านี้มิใช่จิต นี่ยังเป็นการรู้ การละ ไม่ยึดติดด้วยกำลังของสัมมาสมาธิ การทีนักภาวนาได้ลงทุนลงแรงฝึกฝนสติปัฏฐาน 4 จนเกิดสภาวะของคู่ขึ้นมาได้นั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นกันได้ง่าย ๆ ได้มาถึงนี่ ก็ดีมากแล้ว แต่ก็ยังต้องฝึกฝนต่อไปอีก เมื่อสัมมาสมาธิแก่กล้ามาขึ้น เพราะตั้งมั่นมากขึ้น ลำดับต่อไป นักภาวนาจะเกิดสัมมาญาณ อันเป็น ญาณ ที่เห็นจิตได้ การเห็นจิตได้ด้วยญาณนี้ จึงจะเข้าสู่ขั้นต้นของสิ่งที่เรียกวา จิตเห็นจิต การเห็นจิตนี้ จึงเป็นการเริ่มต้นของการ ตกกระแส พระนิพพาน เพราะเมื่อนักภาวนาได้เห็นจิตได้แล้ว ก็จะรู้จักจิตและจะเห็นจิตได้มากขึ้น ได้บ่อยขึ้น (หมายเหตุ นักภาวนาที่เพิ่งเห็นจิตได้ ใหม่ ๆ จะเห็นจิตได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ยังเห็นได้ไม่ต่อเนื่องตลอดเวลา ) ชาวพุทธสักคนจะเข้าสู่การตกกระแส เพราะเขียนไว้ เพียงสังโยชน์ขาดขั้นต้น 3 อันดับคือ 1.สักกายทิฏฐิ 2.วิจิกิจฉา 3. สีลัพพตปรามาส แต่ในความเป็นจริงในการภาวนา ถ้ากล่าวว่า โสดาบัน คือ ผู้ตกกระแสพระนิพพานแล้ว และจะมีแต่ก้าวต่อไป ไม่กลับมาอีก ไม่เกิน 7 ชาติ ผู้ที่จะมีคุณสมบัติอย่างนี้ได้ ก็จะมีแต่นักภาวนาที่พบอาการ จิตเห็นจิต ได้แล้วเท่านั้น จึงจะเป็นปัญญาขั้นต้นในระดับญาณที่จะมีสิทธิทำลายกิเลสได้สิ้นจนถึงที่สุด และ การเสื่อมจากญาณก็จะไม่มี เพราะได้รู้แล้ว เห็นแล้ว รู้จักแล้ว เพียงแต่ยังไม่สมบูรณ์ต่อเนื่อง 100 เปอร์เซนต์เท่านั้นเอง (หมายเหตุ การได้สภาวะของคู่ เพราะสัมมาสมาธิ โดยยังไม่เกิดญาณ สัมมาสมาธิสามารถเสื่อมถอยได้อยู่ )
การที่ จิตเห็นจิต จึงเป็นสิ่งที่ยากสุด ๆ สำหรับนักภาวนาที่ยังไม่เคยเห็นจิตของจริง เพราะอธิบายให้ฟังก็ยากมาก ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้น มันปรากฏอยู่แล้วอยู่ข้างหน้า แต่นักภาวนาไม่เห็นเอง เพราะไม่รู้จัก เมื่อนักภาวนาพบจิตได้แล้ว นักภาวนาเพียงหมั่นฝึกฝนต่อไปอีก ขอให้เชื่อได้เลยว่า เมื่อนักภาวนาได้ตกกระแสแล้ว ก็จะมีแต่จะไม่หวนกลับ เพราะกำลังสัมมาสมาธิที่ยิ่งตั้งมั่น ก็จะเสริม สัมมาญาณให้มั่นคง แล้วการเกิด จิตเห็นจิต ก็จะยิ่งได้บ่อย เห็นได้นาน เห็นเหมือนจิตไม่หายไปไหนเลย ในคำสอนของครูบาอาจารย์ และในพระไตรปิฏก ได้กล่าวเปรียบเทียบ จิตเหมือนฟองไข่ และในคำสอนก็บอกว่า ให้ทำลายจิตทิ้งเสีย เมื่อจิตถูกทำลายทิ้ง สภาวะของคู่ก็จะสลายไป กลายเป็นสภาวะใหม่ ที่เรียกว่า ความเป็นหนึ่ง ขึ้นมาแทน ในความเป็นจริง ไม่มีใครทำลายจิตได้ แม้แต่ตัวนักภาวนาเอง แต่การที่จิตเกิดการแตกสลายออกไปนั้น เกิดจากที่จิตที่บ่มเพาะปัญญาที่จิตไปเห็น จิตที่แปรเปลี่ยนไปมาเพราะมีการสร้างขันธ์ขึ้นของจิต และเห็นสภาวะแห่งจิตที่หยุดสร้างขันธ์ ปัญญานี้แหละที่จะทำลายจิตให้เป็น จิตหนึ่ง การที่จิตหยุดสร้างขันธ์ ในครูบาอาจารย์มักกล่าวว่า ให้จิตหยุดคิด หรือ ฮวงโปได้กล่าวว่า ให้หยุดปรุงแต่งเสีย นี่เป็นสิ่งทียากยิ่งอีกอย่างของนักภาวนา จิตหยุดคิด เพราะนักภาวนาไม่รู้จัก จิตหยุดคิดเป็นอย่างไร ถ้านักภาวนาเพียงคิดว่า จะทำอย่างไรให้จิตหยุดคิด นั้นคือ เป็นการคิดแล้ว ถ้านักภาวนาเพียงรู้ว่า นี่ลมหายใจเข้า นี่ลมหายใจออก นี่กินข้าวไปแล้วสิบคำ นี่ก็คือ การคิดแล้วเช่นกัน
จิตหยุดคิด ก็คือ จิตหยุดสร้างขันธ์ จิตที่ไม่สร้างขันธ์ ใน มโน จะใสกระจ่างแจ้ง จิตที่กำลังสร้างขันธ์ ใน มโน จะขุ่นมัว ไม่สดใส ในสภาวะแห่ง จิตหนึ่ง แสงแห่งจิต จะส่องสว่างขึ้นไม่มืดมัว เมื่อจิตส่องแสงสว่าง อันกิเลสต่าง ๆ ที่อาศัย โมหะ เป็นชนวนการเกิด ก็เกิดไม่ได้ เพราะ โมหะ ต้องกาศัยเกิดตอนจิตมืดมิด เมื่อ จิตส่องสว่าง ความมืดย่อมหายไป กิเลสจึงเกิดอีกไม่ได้เพราะเหตุนี้ นี่คือธรรมชาติของจิตที่ประภัสสร เปล่งกระกายออกมา แล้วกิเลสก็เกิดไม่ได้เอง นี่คือวิถีแห่งมรรค
💐#หากเข้าใจจริงแม้งานที่ทำอยู่ก็เป็นธรรมะ
💐#ธรรมะคือการรู้เท่าทันจิตตนเองและเป็นอิสรภาพ
📌📌อิสรภาพจากการถูกมัดรึง ไขว่คว้า และไม่ยอมรับความเป็นธรรมดาของชีวิต
📌📌ชีวิตคือธรรมชาติ!!!
#ไม่จำเป็นต้องเอาสภาวะใดทั้งสิ้น
#เพราะมันแค่ธรรมชาติที่เกิดดับทุกกรณี
#ธรรมะคือการทำหน้าที่ปัจจุบันขณะถูกต้องอย่างสงบสุขและมีปัญญา
#ธรรมะมันต้องเป็นประโยชน์และใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
😎😎เผชิญหน้าได้กับทุกปรากฏการณ์อย่างผู้มีใจสูง
📌📌ไม่ใช่หนีโลก หนีทุกข์ หนีปรากฏการณ์
#รากเหง้าของความทุกข์คือตัวกูของกู
📌กูที่มุ่งมั่น
📌ห้ามแก่
📌ห้ามเจ็บ
📌ห้ามตาย
📌ห้ามพลัดพราก
📌ห้ามเปลี่ยนแปลง
และต้องการให้ทุกสิ่งเป็นนิรันดร์
👊แต่..ทุกขัง การเปลี่ยนแปลง การทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
🙏🙏🙏มันเป็นสัจจะโลก
มันเป็นของมันอยู่เช่นนั้น
มันเป็นตถตา
😚เห็นทุกข์ เผชิญทุกข์
😚รู้จักธรรมชาติแห่งทุกข์
😚แต่...ไม่ทุกข์
นั้นแหละอิสรภาพทางจิตวิญญานที่แท้จริง
#อาม่า...พระเชนเรซิก