พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 29 เมษายน 2561
ตอนที่ 326 **พระอรหันต์กับการละกามราคะ**
+ +
ในเช้าของวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึงการละสังโยชน์ ข้อที่ 4* ขององค์พระอรหันต์
องค์พระอรหันต์ท่านนั้น ทรงละสังโยชน์ข้อที่ 4 ได้ คือ อะไรบ้างล่ะเจ้าคะ และท่านละได้แบบไหน ยังไง ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ปรับท่านั่งของตนเอง ให้มันสบาย
ผ่อนคลายจิตใจของตนเอง ให้มันว่าง
คลายจิตใจและร่างกาย ให้มันพร้อมที่จะพิจารณาธรรมตาม..
หายใจเข้าลึกๆ แล้วก็หายใจออก.. ผ่อนคลาย
ปล่อยจิตใจ ให้คลายจากความกังวล ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง เกี่ยวกับกาย เกี่ยวกับความคิด ความกังวลต่างๆไปเสียเถิด
ปล่อยใจว่างๆ กายและจิตเบาๆ สว่างไสว ในตัวในตน
รู้สึกโล่ง โปร่ง เบาสบายแล้ว.. จึงค่อยพิจารณาธรรม ตามนี้นะ.. พระยาธรรมเอย
*องค์พระอรหันต์* ท่านนั้น สามารถที่จะละสังโยชน์ข้อที่ 4*
คือ การลุ่มหลง พัวพันมัวเมา ติดอยู่ จมอยู่ กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางอารมณ์ต่างๆ
องค์พระอรหันต์ สามารถที่จะละสิ่งเหล่านี้ได้ โดยที่ไม่พัวพันมัวเมา ลุ่มหลง จมอยู่ กับสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป..
เพราะว่าองค์พระอรหันต์นั้น ย่อมเป็นผู้ฝึกฝนตนดีแล้ว ฝึกฝนตนจนรู้แจ้งแล้ว.. ในสรรพสิ่งทั้งหลาย ในโลกสมมุติใบนี้
องค์พระอรหันต์ ย่อมมีดวงปัญญาที่สว่างไสว - ส่องให้ตนนั้นรู้แจ้งตามความเป็นจริงว่า
รูปทั้งหลาย..
/ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
/ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
/ เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
ย่อมมองเห็นรูปทั้งหลายที่มีอยู่นั้น เป็นเพียงแค่สิ่งที่มันสมมุติมีขึ้นมาตามเหตุ- และก็ดับไปตามเหตุ
ย่อมมองเห็น การเกิด- และการดับ / การมี- และไม่มี.. ซ่อนอยู่ในรูปนั้นอย่างชัดเจน
รูปนั้นเกิดตามเหตุ เหตุนั้นก็ยังไม่เที่ยงแท้
เหตุนั้นก็มีขึ้นมา แล้วก็ต้องดับไปเช่นเดียวกัน
ฉะนั้น.. เมื่อหมดเหตุ - รูปก็ดับตามเหตุ เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล หรือว่าสิ่งของข้าวของ
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า
จะเป็นอะไรก็ตาม..
บุคคลผู้ซึ่งเป็นองค์พระอรหันต์นั้น.. ย่อมมองเห็นทะลุอย่างแจ่มแจ้ง ในรูปทั้งหลาย.. ที่มีอยู่ ที่เกิดอยู่
จะสักแต่ว่าเห็น จะสักแต่ว่ารู้ ว่า..
นั่นคือ รูปคน
นั่นคือ รูปของสัตว์
และคน เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
สิ่งที่มองเห็นนั้นเป็นคน หรือว่าเป็นสัตว์
เป็นสัตว์ตัวผู้ หรือว่าตัวเมีย
รูปที่มองเห็นนั้น..สวยงามละเอียดประณีต หรือว่าเป็นรูปที่มีความไม่สวยไม่งาม
ย่อมมองเห็นเป็นธรรมดา และรับรู้เช่นนี้
แต่จะสักแต่ว่าเห็น - เห็นเป็นธรรมดา.. ไม่ได้ปรารถนาครอบครอง
ไม่ได้เห็นว่า..
สิ่งที่สวย- ต่างจากสิ่งที่ไม่สวย
ผู้หญิง- ต่างจากผู้ชาย
สัตว์- ต่างจากคน หรือคน- ต่างจากสัตว์
ย่อมมองเห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย- ที่เป็นรูปนั้น.. มีความเหมือนกันทุกอย่าง
-- ไม่มีอะไรต่างจากอะไรเลย สักอย่างหนึ่ง ++
องค์พระอรหันต์นั้น ย่อมมีปัญญาที่รู้แจ้ง มองทะลุแจ่มแจ้งสิ่งทั้งหลาย ที่เป็นรูป
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
ย่อมไม่ให้คุณค่าอะไร กับสิ่งทั้งหลาย เพียงแต่..
ไม่ใช่สติไม่มี ไม่รู้ว่า.. อันนั้นผู้หญิง อันนั้นผู้ชาย
ไม่ใช่ว่าสติไม่ดี แบ่งแยกไม่ได้ ว่า..อันนั้นคือสิ่งสวยงาม / อันนั้นไม่สวยงาม
ย่อมมีสติเสมอ และมีความรับรู้ แบ่งแยกได้
เพียงแต่ การแบ่งแยกนั้น สักว่าแบ่ง แบ่งเพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ไป - อย่างผู้ไม่ขาดสติ
เพียงแต่ สักว่าแบ่งไป.. ให้รู้ว่า อะไรคืออะไร.. เท่านั้น !
แต่ความลุ่มหลง พัวพันมัวเมา หลงใหลในสิ่งที่เป็นรูปนั้น.. ย่อมไม่มี !
เห็นสวย ก็รู้ว่า สวย
เห็นไม่สวย ก็รู้ว่า รูปไม่สวย
ดี - ไม่ดี.. เห็นเป็นธรรมดา
แล้วก็มีดวงปัญญาทะลุแจ่มแจ้ง มองเห็นลึกเข้ากว่านั้นอีก ว่า..
มี กับไม่มี.. ก็เลยเหมือนกัน
ฉะนั้น.. จึงมองเห็นทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันมีอยู่
แบบเห็น สักแต่ว่าเห็น
ไม่ลุ่มหลงกับรูป.. อีกต่อไป
เช่นเดียวกันกับ รสชาติ
ลิ้นสัมผัส ก็รู้ว่า.. ลิ้นนั้นสัมผัสรับรส
รู้ว่ารสชาติเผ็ด เปรี้ยวหวาน
อร่อย ขม หรือไม่อร่อย จืดชืด
รู้ แต่ว่า.. จะเป็นเพียงสักแต่ว่ารู้ เพราะรู้แล้วนี่ลูก
ว่า.. กายนี้ มันมีความรู้สึกที่จะรับรู้ได้ว่า.. รสชาติที่แตะลิ้นไปแล้ว มันเป็นยังไง
แต่มันเป็นเรื่องของกาย ความรู้สึกรับรสทางลิ้นของร่างกาย
แล้วร่างกายมันเป็นยังไง ?
ร่างกายมันก็เป็น “รูปไม่เที่ยง”
รส.. มันก็เป็นการรับรส ที่ไม่เที่ยง
ฉะนั้น..ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปสนใจ กับรสชาตินั้น !
กินของที่อร่อย มีรสชาติแบบไหน ถูกใจ ไม่ถูกใจ - ตรงนั้นไม่มี +
กินของที่ดี ที่อร่อย ละเอียดประณีต.. ก็สักแต่ว่า รู้อยู่
แต่ไม่ได้ติด หรือว่าลุ่มหลง พัวพันมัวเมา - ในรสนั้น
รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ การรับรสผ่านทางลิ้น
พอเข้าไปในท้องแล้ว.. รสชาติมันอยู่ที่ไหน !
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
องค์พระอรหันต์.. จึงไม่ติด ไม่ลุ่มหลง อยู่กับรสชาติอาหารที่ละเอียดประณีต / สิ่งต่างๆทั้งหลาย
จึงสักแต่ว่า.. รู้ และดำรงชีวิตอยู่ต่อไป เพียงเพื่อได้บำเพ็ญ ทำหน้าที่แห่งตน
จนกว่าจะใช้ในสิ่งที่เป็นกรรมของตน - ที่ส่งผลมา มีตัวมีตน / มีร่างกายนี้
.. ให้มันดับไป หมดไป..
- ก็จบกิจแห่งการทำทุกสิ่ง **
เท่านั้นละ พระยาธรรม..
จึงไม่มีความลุ่มหลง ในรสชาติอะไร
กลิ่น.. ก็เช่นเดียวกัน
เมื่อได้กลิ่นหอม ก็รู้ว่าหอม.. แต่ไม่ได้สนใจว่า มันหอม
เมื่อได้กลิ่นเหม็น.. ก็รู้ว่า เหม็น
มันไม่ได้สนใจว่า เหม็น
- เพราะเหม็น กับหอมนั้น.. มันก็เหมือนกัน ++
เหมือนลมที่พัดผ่านไปมา รู้อยู่ เห็นอยู่ เข้าใจอยู่.. เป็นธรรมดา
ไม่ได้ไปยึดติด หรือว่าพันพันมัวเมาว่า ตนจะต้องมีกลิ่นหอม
.. คนนั้นมีกลิ่นหอม.. คนโน้นมีกลิ่นเหม็น
เห็นเหม็น กับหอม อยู่ในตัวเดียวกัน
หอมยังไง สักวันหนึ่ง.. ก็ต้องเหม็น +
เหม็นยังไง สักวันหนึ่ง.. ก็ต้องเสื่อมไป +
กลิ่นนั้น เป็นของไม่เที่ยง.. เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มันชวนให้คนนั้นลุ่มหลง พัวพันมัวเมา กับมันเท่านั้น
การที่องค์พระอรหันต์ จะติดอยู่ในกลิ่นนั้น - จึงไม่มี !
สักแต่ว่ารู้.. เพราะว่า มีดวงปัญญาที่แจ่มแจ้งแล้ว ++
เสียง ก็เช่นเดียวกัน.. พระยาธรรมเอย
เสียงจะเพราะ นุ่มนวลเพียงใด..
องค์พระอรหันต์.. ก็ยิ่งมองเห็น สิ่งที่มันแฝงอยู่ ซ่อนอยู่ในเสียงเพราะ นุ่มนวลนั้น
ถอดถอนจิตของตน ออกจากเสียงที่เพราะนั้น
ได้ยินเสียงที่ไม่เพราะ.. ก็สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าได้ยิน..
ไม่เก็บเอามาใส่ใจ
ทั้งเสียงเพราะ และไม่เพราะ
สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็นเป็นธรรมดา
เสียงนั้น ก็ไม่เที่ยงแท้ / ไม่มีอยู่จริง
เสียงเพราะ - เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เดี๋ยวก็ดับไป
เสียงไม่เพราะ ได้ยินเสียงคนนินทา ด่าว่าเรา.. มันก็ไม่เที่ยงแท้
เกิดขึ้น แล้วตั้งอยู่.. เดี๋ยวก็ดับไป
องค์พระอรหันต์รู้แจ้งเช่นนี้ละลูก จึงไม่มีความสนใจสิ่งใดๆอีกต่อไปแล้ว..
สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน ไปอย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
และองค์พระอรหันต์.. ไม่ว่าจะได้สัมผัส ผ่านทางหู ทางตา ทางกาย ทางใจ
ความรู้สึกต่างๆที่สัมผัส กระทบเข้ามา - ให้รับรู้ว่า มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้
.. ก็สักแต่ว่า รู้ว่ามันเป็นสัมผัสแบบไหน ? มันคืออะไร ?
สัมผัสดี สัมผัสไม่ดี
มันเป็นสัมผัส แบบลุ่มหลง พัวพันมัวเมา
หรือมันเป็นสัมผัส แบบละเอียดประณีต
องค์พระอรหันต์ ก็ไม่ติดในสัมผัสนั้น
ไม่ติดสุข ไม่ติดทุกข์ ไม่ติดอะไรทั้งหมดทั้งสิ้นเลย
สักแต่ว่ารู้.. รู้ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
- เขาเป็นธรรมดาของเขา เช่นนั้น++
.. เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปสนใจ ติดอยู่กับเขา
เมื่อได้สัมผัสที่รู้สึกพึงพอใจ.. ก็รู้สึกว่า เป็นสุข
เมื่อได้สัมผัสที่ไม่พึงพอใจ.. ก็รู้สึกว่า เป็นทุกข์
ไม่ได้สบอารมณ์แห่งตน.. ก็เลยรู้สึกสุข ทุกข์ ตามไปด้วย
-- อารมณ์เช่นนี้ องค์พระอรหันต์.. จึงละหมดเสียแล้ว !
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. ก็รูปไม่เที่ยง
รูปนั้น เป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่สวย ไม่งาม
มองเห็นอย่างชัดเจนแล้ว.. ไม่ว่าจะเป็นผู้คน หรือสิ่งของ
ฉะนั้น.. มันก็เลยเกี่ยวข้องไปด้วย
ตัวคนอื่น ที่จะมาสัมผัสเรา
เสียงคนอื่น ที่จะมาพูดเพราะกับเรา
อาหารที่มองดูแล้ว มันน่ากิน น่าทาน น่าอร่อย
สิ่งปรุงแต่งต่างๆทั้งหลาย.. ที่จะมาสัมผัสทางลิ้น ว่ามันอร่อย / ว่ามันไม่อร่อย
.. สิ่งเหล่านี้ - จึงไม่มี !
พระอรหันต์ ย่อมรู้ดีว่า..
รูป ไม่เที่ยง
รส ไม่เที่ยง
กลิ่น ไม่เที่ยง
เสียง ไม่เที่ยง
สัมผัส ก็ไม่เที่ยง
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้.. มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น
มันจมอยู่ มีอยู่ ในขันธ์ห้านี้ ในร่างกายของคนเรา และสัตว์
มันมีอยู่ แฝงอยู่ ในกายทุกกายของดวงจิตทั้งหลาย.. ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้
พระอรหันต์.. ย่อมถอดถอนตนออกจากวัฏสงสารนี้ได้
สิ่งใด ที่เป็นการผูกมัดรัดดึงตนให้อยู่ในนี้.. ย่อมไม่มีอีกต่อไป..
เป็นผู้ห่างไกลจาก ความลุ่มหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
ย่อมไม่ถูกอะไรครอบงำได้อีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางอารมณ์ต่างๆ.. ย่อมไม่มีอีกต่อไป
เช่นนี้ละ พระยาธรรม ที่ องค์พระอรหันต์ ท่านละได้ เป็นสังโยชน์ข้อที่ 4*
พอจะเข้าใจมั้ย พระยาธรรม.. จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิดลูก
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
พอที่จะนำไปพิจารณา และเผยแผ่ได้บ้าง
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
ลูกจะนำไปพิจารณาทบทวน ให้เข้าใจอย่างแท้จริง - ตามคำสอนของพระองค์
และเผยแผ่ ให้ผู้อื่นได้เข้าใจเช่นเดียวกัน เจ้าค่ะ
เพื่อที่ลูกทั้งหลาย.. จะได้รู้ว่า
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นยังไง ?
พระอรหันต์ ละแบบไหน - จึงละสังโยชน์เหล่านี้ได้ ?
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกคงต้องกราบลาก่อน เจ้าค่ะ..
สาธุ